วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อาการชัก

วันก่อนได้มีพ่อแม่ของเด็ก บอกกล่าวเจ้าหน้าที่ว่า ลูกของเขามีอาการชักปรากฎขึ้น ควรจะทำอย่างไรเมื่อปรากฎอาการ

คำแนะนำที่ได้รับกลับมา จึงขอนำมาเผยแพร่อาจเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย

ก่อนอื่น ต้องทราบว่า อาการชัก หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นโรคที่จัดในประเภททรมาน นั่นคือ ไม่ทำให้ถึงแก่ความตาย ไม่ว่าจะชักแรงหรือเบาก็ตาม

สิ่งที่ต้องพึงระวังนั่นคือการกัดลิ้นตัวเอง ดังนั้นพี่เลี้ยงต้องเตรียมช้อน พันผ้าที่ด้ามไว้ติดตัวเสมอ เมื่อคนไข้เริ่มเกิดอาการ ให้คนไข้กัดไว้

ประการต่อมา คือ ลดอาการเกร็งที่เกิด โดยการให้คนไข้นอนในท่าที่สบาย เหยียดแขนขาได้สะดวก นวดมือ เท้า และกดบริเวณท้อง โดยใช้มือกดทดสอบเรื่อยๆ หากบริเวณท้องเริ่มมีอาการแข็งเกร็ง ให้โกยท้องจากบนลงล่าง และไล่ออกด้านข้าง จนกว่าท้องจะนิ่ม

ในกรณีที่นิ้วมือและแขนเกร็ง ให้ง้างนิ้วมือออก และนวด จนกว่าจะนิ่ม ในกรณีที่ขาเกร็ง ให้เหยียดขา และกดปลายเท้าเข้าหาตัว เป็นจังหวะ สลับกับบีบนวดบริเวณน่อง โดยบีบไล่ลง จนกว่าจะนิ่มเช่นกัน

การบีบนวด ไม่จำเป็นต้องบีบตลอด แต่ให้บีบนวดเมื่อเกิดอาการเกร็ง

ให้คนไข้ทานสมุนไพรเขียวก่อน และเมื่อเริ่มฟื้น ให้ใช้น้ำอุ่น แล้วผสมสมุนไพรลูกกลอนน้ำผึ้ง (สีดำ) ชงให้เข้ากันให้คนไข้ทานอีกครั้ง

อย่าตกใจ ปล่อยให้ร่างกายค่อยๆ ฟื้น และปรับสภาพ ดังนั้น อาการการชักที่ดูรุนแรงจนถึงขีดสุด เมื่อร่างกายทนได้ อาการครั้งต่อไปจะลดลง และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

ลักษณะของอาการคล้ายลูกบาสเกตบอล ที่ตกครั้งแรกจะสูง และกระดอนต่ำลงเรื่อยๆ จนหยุดนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ติดคุก

ท่านที่ให้ทัศนะความเห็น เป็นจดหมายแก่หลวงพ่อนิพนธ์ อีกประการหนึ่ง หลังจากที่ได้พูดเรื่องการขายอาหารและน้ำ นั่นคือ ความรู้สึกที่สัมผัสขณะเข้าห้องสวดมนต์

เขาบรรยายสองประเด็น ประเด็นแรกคือ ในห้องนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ใส่แว่นคนหนึ่ง เขาสงสัยว่าทำไมทุกคนต้องทำตามคนๆ นั้น

เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นผู้มีประสพการณ์ และอยู่รับใช้หลวงพ่อนิพนธ์มายาวนานพอสมควร จึงพอจะมีความเข้าใจ และเห็นแนวทางว่า แนวทางใดที่ทำแล้วเกิดผล แนวทางใดที่ทำแล้วไม่บังเกิดผล เสียเวลาเปล่า ทั้งผู้ให้และผู้รับ

เขาจึงมีหน้าที่เสมือนประภาคารในท้องทะเล ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมใดที่สอดคล้อง และเมื่อทำแล้วจะทำให้เรือของผู้นั้น แล่นไปถึงฝั่ง พฤติกรรมใด ที่กำลังออกนอกแนวทาง และเมื่อทำแล้วยากจะถึงฝั่งหรือไม่มีทางถึงฝั่ง นั่นเอง

หากแต่การจะไปตามแสงแห่งประภาคารนั้นหรือไม่ ก็ขึ้นกับเจ้าของเรือเป็นผู้ตัดสินใจในการกระทำ

สิ่งที่บอกกล่าวจึงไม่อยากให้เสียเวลา สำหรับผู้อยากช่วยตน ก็จะได้เดินแนวทางตรงตามคำสอน ช่วยตนได้เร็ววัน คนเก่าไป คนใหม่จะได้มาแทนที่ ไม่ใช่เก่าก็ยังอยู่ ใหม่ก็มา สำหรับคนที่ไม่มีเจตนาที่จะทำตาม ไม่อยากทำ หรือไม่ชอบที่จะทำ ก็จะได้เปลี่ยนไปหาสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องมาเสียเวลากับที่นี่ เพราะเมื่อไม่ทำตามคนที่ท่านมาขอให้ช่วย ผลสุดท้ายก็ย่อมเห็นเด่นชัด ไม่ชอบ ก็ไม่ว่า กล่าวกันตรงๆ เพราะไม่มีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

นั่นจึงเป็นเหตุและผลที่ว่า คนทุกคนที่หวังผลจึงทำตามคำของคนใส่แว่นนั้น ก็เพราะเขาเป็นคนคอยเตือนให้เดินอยู่ในร่องของคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนนั่นเอง

และอีกประเด็นคือ ความรู้สึกเหมือน ติดคุก ขณะที่อยู่ในห้องสวดมนต์

ก็ไม่ผิด สิ่งนี้แหละเรียกว่าเป็นทุกข์ หากแต่ทุกข์ที่เกิดหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เกิดเพราะวินัย หาใช่นิสัยไม่ ทุกข์นี้จึงทำให้เกิดบุญ เพราะต้องหักห้ามนิสัย อยากคุยไม่ได้คุย อยากไปโน่น ไปนี่ ก็ไม่ได้ไป

การมาทำตนให้ทุกข์ตามวินัย อุปมาเหมือนคนบ้า อยู่ดีๆ ทำให้ตนทุกข์ แต่สิ่งนี้แหละทำให้เรานำไปใช้กรรมใช้เวร

หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่าง ในสมัยปี ๓๐ เพื่อประกาศให้เห็นบุญญาธิการของพระธรรมวินัย จึงรับพระที่หมอไม่รับมาบวชประมาณ ๓๐ รูป บางท่านหมอบอกอยู่ไม่เกินสามเดือน

พระทุกรูปแม้จะมีสภาพที่ร่อแร่ปางตาย แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ถ้าท่านเชื่อผมและสามารถทำตามวินัยทุกข์ของพระภูมีได้ ท่านจะได้สัมผัสบุญของพระภูมี และรอดชีวิตได้

วินัยฉันมื้อเดียวก็หนักพอ หากแต่วินัยที่หนักกว่าคือเดินธุดงค์ ในปีนั้น เดินประมาณ ๖๐๐ กิโลเมตร เดินไปพร้อมแบกกลด บาตร ย่าม ทั้งที่ตัวเองก็แทบจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว

พระบางองค์ป่วยเป็นโปลิโอ ลำพังเดินตัวเปล่าก็แย่แล้ว แต่ทั้งหมดทุกองค์ก็ทำตาม

ขณะเดินธุดงค์ มีหลายครั้งที่มีพระที่โดยสารรถมา แล้วเห็นพระกลุ่มนี้เดินด้วยความลำบาก จึงนิมนต์ให้ขึ้นรถ ก็ได้รับคำตอบว่า อาตมาถือวินัย ของพระภูมี ไม่ขึ้นรถลงเรือ ด้วยพิสูจน์หลัก "ตนพึ่งตน" นั่นเอง

รถพระเหล่านั้นออกตัวไป พร้อมคำตะโกนว่า อ้ายพระพวกนี้มันบ้า

แต่พระกลุ่มนี้ทุกองค์ล้วนแล้วแต่เดินกลับสำนักสงฆ์ได้ครบถ้วน พร้อมกับสุขภาพที่แข็งแกร่ง และยังอยู่มาจนทุกวันนี้

ดูอย่างท่านทวี ที่เป็นโปลิโอตั้งแต่เกิด ก็กลับมามีกล้ามเนื้อน่อง และเกือบเหมือนคนปกติทั่วไป

ดังนั้น สิ่งที่ทำอยู่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า คือทำตนให้ทุกข์ แต่ทุกข์นี้เกิดจากธรรมวินัยของพระภูมี ดีกว่าต้องทนทุกข์จากโรคภัย

จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะคิดว่า ทุกข์ฉิบหาย เบื่อฉิบหาย เมื่อทำการสวดมนต์ หากแต่เมื่อเรียนรู้ เราจะสุข เพราะทุกข์อันนี้ มันเกาะกินแค่ชั่วครู่ชั่วยาม หากแต่ทุกข์ที่เกิดจากโรคมันเกาะกินตลอดเวลา

การกระทำตามคำสอนแม่ชีเมี้ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมานั้น จึงอุปมา ทำตนเหมือนคนบ้า ดั่งพระภูมี ทิ้งวัง ทิ้งราชรถ มาเดิน มาลำบาก จนได้มรรคผล เป็นบุญ

ก็ด้วยธรรมวินัยทำให้ตนทุกข์นี้เอง จึงทำให้คนปฏิเสธ และกล่าวว่า ธรรมของพระภูมี "ดีแต่ทำไม่ได้" คนที่เดินตามจึงมีน้อย

ก็นี่ขนาดที่แม่ของเขาเดินไม่ได้ เพราะทนทุกข์อันนี้ จึงกลับมาเดินได้ เขายังอยากปฏิเสธไม่รับทุกข์อันนี้เลย

จึงไม่น่าแปลก ว่าทำไมยุคนี้ไปที่ไหนก็เห็นแต่ "พระเจ้าทันใจ" ขออะไรได้หมด และโน่นก็ศักดิ์สิทธิ์นี่ก็ศักดิ์สิทธิ์ขอได้ ให้ทุกอย่าง แลคนแห่แหนกันไป

แม่ชีเมี้ยนจึงมักกล่าวว่า ศาสนาจริงๆ ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก และสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือความจริงของมนุษย์ และตรัสสอนเป็นธรรมหมวดแรก จึงเป็น ธรรมหมวด "ตนพึ่งตน"

จะร้องเร่ไปในทิศทางใด ก็ไม่มีใครช่วยได้ ไอ้ที่อวดเก่งว่าช่วยได้ ลงท้ายตัวเองก็ไม่รอด ดังคำ "หมองูตายเพราะงู" นั่นเอง

พระพุทธเจ้าอยากช่วยสักฉันใด ก็ยังต้องอุเบกขาเลย เพราะเขาเอาคนทำได้ ... ใครทำใครได้ .... นั่นเอง

พรหมลิขิต

กรรมการคนสำคัญท่านหนึ่ง ซึ่งมีเชื้อชาติจีน อันมีขนบธรรมเนียมประเพณี ที่เรียกกันว่ามงคลอย่างหนึ่ง นั่นคือ มงคลจากการตาย

ปกติแล้ว การตาย ย่อมเป็นเรื่องของความอัปมงคลที่มาสู่ครอบครัว หากแต่อาวุโสที่เสียชีวิตนั้น มีอายุยืนยาวเกินร้อยปี ชาวจีนจะถือว่า นับเป็นเรื่องที่มีมงคลต่อผู้ตาย และครอบครัวอย่างยิ่ง

กรรมการท่านนี้จึงอยากให้มารดาของตน สามารถผ่านอายุขัยร้อยปีได้ เพื่อมงคลนี้

หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า พรหมลิขิตของแม่กรรมการท่านนี้ อายุุถึง ๑๐๒ ปี หากไม่พึ่งหมอจนเกิดอุบัติเหตุ ทานยาหมอบ้าง ทานสมุนไพรบ้าง ใช้ชีวิตแบบปกติทั่วไปได้ ก็อยู่ถึงอย่างแน่นอน

บทพิสูจน์พรหมลิขิต คุณแม่ของกรรมการท่านนี้ ก็สามารถผ่านวันเกิดครอบ ๑๐๒ ปี และเสียชีวิตลง

วันเสาร์ที่ผ่านมา ทางชมรมคนรักสุขภาพ และมูลนิธิไทยกรุณา โดยหลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้เป็นเจ้าภาพจัดพิธีศพ

สิ่งนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ได้กล่าวว่า หากเราไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ คนทุกคน ย่อมมีพรหมลิขิตของตน อยู่ครบอายุขัยอย่างแน่นอน ถ้าไม่ทำร้ายตน ด้วยการใช้เคมีจนเกินไป

ท่านจึงเน้นย้ำเสมอว่า ทุกคนมีพรหมลิขิต ตราบใดที่ไม่ถึงพรหมลิขิตแล้วไซร้ โรคห่าอะไรพิฆาต ไม่อาสัญ

อย่าไปเชื่อคำขู่ คำโฆษณา คำหวาน หอมหวน ชวนหลงใหล จนกลายเป็นอุบัติเหตุ ทำร้ายตนเองจนทำให้ต้องไป ก่อนพรหมลิขิต

สติที่พึงควรใช้เตือนตน ที่มักพูดบ่อยๆ คือ "มนุษย์โลกที่เป็นพงศาวดารมาเป็นล้านๆ ปี เขาดำรงเผ่าพันธุ์กันมาอย่างไร โดยไม่ต้องอาศัยเคมี"

ปลุกเสก

อันมวลสารที่ว่ามีค่า นำมาปั้นรูปพระ ก็หาได้มีคุณค่า และเป็นที่ต้องการใดๆ ไม่

หากแต่รูปพระนั้นเมื่อผ่านการปลุกเสก กลายเป็นสิ่งมงคล คนเคารพกราบไหว้บูชา มีฤทธิ์ ฉันใดก็ฉันนั้น

ความไม่รู้ของคน จึงเที่ยวไปหาผู้มีฤทธิ์เพื่อปลุกเสก กันจนขาขวิด ที่ไหนดี แม้จะลำบาก กันดาร วิบากสักขนาดไหน ก็บุกบั่นฝ่าไป เพราะอยากได้

หากแต่พระภูมีมิได้สอนเช่นนั้นเลย สิ่งที่ท่านบัญญัติจึงปรากฎเป็นธรรมหมวดแรก คือ "ตนพึ่งตน"

หลวงพ่อนิพนธ์จึงได้อรรถาธิบายให้ฟังว่า แท้จริงแล้วผู้ที่จะปลุกเสกให้เป็นผลนั่นก็คือ ตัวเรานั่นเอง

ของสิ่งใดที่ผู้ทำ เป็นผู้มีคุณธรรม นำสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา หากแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมีฤทธิ์เดช ก็ต้องอาศัยการปลุกเสกโดยผู้รับ ผู้ใช้นั่นเอง จึงจะเกิดผล

ท่านจึงยกตัวอย่าง พระองค์เดียวกันนี้ สมัยอยุธยา ผู้ทำเขาให้ไว้ไปแขวนช่วยตน ผู้รับใช้ศรัทธาและประพฤติธรรม เพื่อให้พระนี้มีฤทธิ์คุ้มครองตน

พระองค์นี้ หากอยู่ในครอบครองของคนไม่ประพฤติธรรม ก็เสื่อมค่า ยิ่งคนรับมาตีราคาค่างวดก็ยิ่งแล้วไปใหญ่ คนในอดีตแขวนแล้วรอด แต่คนเช่ามาแขวนแล้วไม่รอด ตายทั้งที่แขวนนั่นแหละ ก็พระองค์เดียวกัน

สมุนไพรก็เช่นเดียวกัน แม้นผู้ทำจะทำให้ ก็อุปมามือที่มีข้างเดียว จะแกว่งไกวสักฉันใด ก็ไม่บังเกิดเสียงดังขึ้นมาได้

หากแต่เมื่อผู้รับ รับไปแล้ว ปฏิบัติธรรมคำสอนตามที่พระภูมีบัญญัติ ทำได้แค่ไหนก็ทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์มากเท่านั้น อุปมาเหมือนมือที่จับมาร่วมตบกับมือของผู้ทำ มือเล็กเสียงก็เบา มือใหญ่เสียงยิ่งดังนั่นเอง

ก็เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีวิญญาณรับรู้การกระทำได้ จะออกฤทธิ์ออกเดชก็ตามแต่การกระทำของผู้ทำผู้ใช้

หลวงพ่อนิพนธ์จึงเล่าเรื่องในอดีตครั้งหนึ่งให้ฟังว่า

มีคนไข้ท่านหนึ่งเกิดวิกฤตฉับพลัน แต่สมุนไพรหมด โทรศัพท์มาหาท่าน ว่าควรทำอย่างไร

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ให้ใช้ศรัทธาที่ท่านมี ปลุกเสกน้ำมนต์ด้วยตัวเองแล้วทาน โดยการรินน้ำแก้วหนึ่งวางที่หิ้งพระ แล้วสวดมนต์เหมือนที่ทำที่ชมรม

ศรัทธาสร้างปาฏิหารย์ หลังจากดื่มน้ำมนต์ที่ตัวเขาทำขึ้นเองนั้น เขาก็ผ่านวิกฤติอันนั้นได้

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผู้ที่รู้ในคำสอนและประพฤติธรรมตามพระภูมี จึงทำน้ำมนต์ให้แก่ตนเองได้โดยง่าย ไม่ต้องไปเร่หาจากที่ไหนเลย

ก็ใครจะมาช่วยปลุกเสกให้ตัวของตนได้ พระพุทธเจ้ายังไม่ทำเลย ท่านแค่สอนวิธี แล้วไปทำเอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การมาทำตามธรรมวินัยของพระภูมี ในแต่ละสัปดาห์ที่ชมรม ก็คือมาปลุกเสกให้ตนนั่นเอง เมื่อทำครบแล้ว เวลารับสมุนไพร จึงสอนให้เทิดสมุนไพร ไหว้แม่ชีเมี้ยน ไหว้พระพุทธเจ้า แล้วอธิษฐาน นำสิ่งที่ทำได้ในวันนั้น ใช้แก่เจ้ากรรมนายเวร และปลุกเสกสมุนไพรเพื่อช่วยตน

ผลที่ปรากกฎ จึงเป็นไปตามสิ่งที่ได้ทำ นั่นจึงเป็นคำตอบที่มักได้ยินว่า เมื่อทานสมุนไพรแล้ว คาดการณ์ผลอะไรไม่ได้เลย ก็ด้วยเหตุที่มันขึ้นกับผู้ทานทำอย่างไร นั่นเอง

พระออกจากคนทำคนเดียวกัน ทำเหมือนกันทุกอย่าง คนหนึ่งแขวนรอด อีกคนแขวนเหมือนกันแต่ไม่รอด ก็ด้วยเหตุเดียวกันนี้เอง

พระจะดีสักฉันใด คนทำจะมีคุณธรรมสักเพียงไร คนถือไม่มีคุณสมบัติ พระนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย สมุนไพรก็เฉกเช่นเดียวกัน


ประกาศเรื่องการนำรถเข้าจอดในมูลนิธิไทยกรุณา

แจ้งข่าว การนำรถเข้าบริเวณชมรม

ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2555 นี้เป็นต้นไป ทางชมรมไทยกรุณา จะอนุญาตให้เฉพาะรถที่มีสติกเกอร์สีน้ำตาล เท่านั้น ที่จะนำรถเข้ามาจอดภายในบริเวณรั้วด้านในของชมรมฯ ได้

นั่นหมายความว่า ผู้ที่มีสติ๊กเกอร์เดิม ทั้งสีขาว และสีเขียว ได้ถูกยกเลิกไป

หากผู้ใดมีความจำเป็นจะต้องนำรถเข้ามาจอดด้านในมูลนิธิฯ ให้ติดต่อขอสติกเกอร์สีน้ำตาลใหม่ ได้ที่ อ.อร่าม ซึ่งจะพิจารณาอนุญาตเป็นรายๆ ไป

ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริเวณด้านหลังชมรมฯ ด้านที่ติดคลองชลประทาน ได้รับการปรับพื้นที่ ให้เป็นที่จอดรถได้ประมาณ 400-500 คัน

ดังนั้น หากที่จอดรถบริเวณด้านหน้าชมรมฯ เต็ม ก็สามารถนำรถไปจอดด้านหลังได้

จึงประกาศมาเพื่อทราบ

แว่นส่องพระ

อันแว่นส่องจักรวาลที่พระภูมีทิ้งไว้ให้เป็นรอย ในการพิจารณาอันจะทำให้สิ่งที่เราท่านทำเป็นผล

หลวงพ่อนิพนธ์ได้เล่า การสอบสวนเมื่อครั้งปี ๐๔ ให้ฟังว่า

พระเถระผู้ใหญ่ได้เริ่มตั้งคำถาม หลวงพ่อนิพนธ์จึงร้องขอว่า ให้ถามทุกข้อที่สงสัยในคราวเดียว จะได้ตอบให้ครบถ้วนทุกประเด็นในคราวเดียวเลย

ประเด็นหนึ่งที่ได้ตอบแก่เถระผู้ใหญ่เหล่านั้นคือ

คำถามที่ว่า "ท่านเชื่ออย่างไรว่า หลักปฏิบัติที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอนสงฆ์ เป็นหลักของพระภูมีที่แท้จริง"

และต่อเนื่องคือ "หลักปฏิบัติทั่วไปของสงฆ์ที่เป็นอยู่ไม่ใช่"

หลวงพ่อนิพนธ์ได้ชี้แจงว่า

พระภูมีทรงเป็นกษัตริย์ ทิ้งช้อนเงิน ช้อนทอง มาใช้ช้อนสังกะสี ทิ้งราชรถ มาเดิน ทิ้งแพรพรรณ มาใช้เพียงจีวรผืนเดียว

หลักปฏิบัติของแม่ชีเมี้ยน ก็ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น ไม่ดื่มน้ำปานะนอกเวลาฉัน เดินธุดงค์เป็นวัตร ก็เพื่อเป็นการตัดกิเลส

ในขณะที่พวกท่าน ล้วนแล้วเดิมมาทานแต่ช้อนสังกะสี บัดนี้มาทานช้อนเงิน ช้อนทอง ล้วนแล้วแต่เดิน นอนกระต๊อบ บัดนี้มานั่งรถ และนอนกุฎิ ตรงข้ามกับพระภูมีอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้น การที่พระถ้ำกระบอก ไม่สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ก็เพราะเห็นแล้วว่า ในอินเดีย หาได้มีโบสถ์วิหาร ให้เห็นเป็นหลักฐานไม่ อันแสดงว่า สิ่งที่พระภูมีสร้าง คือ "คน" ไม่ใช่โบสถ์ วิหาร และสิ่งที่พระภูมีทรงใช้นอน ก็คือเรือนไม้ จึงไม่ปรากฎถาวรวัตถุใดๆให้เห็นเลยนั่นเอง

คำสอนของแม่ชีเมี้ยน เน้นให้ลดนิสัย กิเลส ไม่สร้างวัตถุ จึงเดินตามรอยของพระภูมีอย่างแน่นอน แลผลที่ได้ ก็ได้คนดี

ในเมื่อพระภูมี ทิ้งสุข มาหาทุกข์กับวินัย จนบรรลุโมกขธรรม โดยไม่มีเงิน ไม่สร้างวัตถุ คนที่มาสนับสนุนหรือเรียกง่ายๆว่า บรรเทาทุกข์ท่าน จึงได้รับอานิสงฆ์มหาศาลนั่นเอง

อันก่อเกิดตำนาน "นางสุชาดา" ที่ทำข้าวมธุปายาส ถวายแด่องค์พระภูมี จนฟื้นคืนพลังมาสอนสงฆ์แปดหมื่นสี่พันองค์

หากพระโคดม บวชในวัง ข้าวนางสุชาดา จะมีค่าแม้กระผีกหรือ

พระของพระภูมี จึงมีลักษณะ เป็นผู้ทุกข์ อันเป็นทุกข์จากธรรมวินัย แลเป็นผู้ขาด ผลของการบรรเทาทุกข์ท่าน อาทิ การใส่บาตร จึงมีค่ามหาศาล ทำให้ท่านทรงวินัยอยู่ได้

ในขณะที่พวกท่าน มีข้าวเต็มยุ้ง มีจีวรเต็มกุฏิ ก่อนมาบวช ล้วนมีทุกข์กับการดำรงชีพ แต่เมื่อบวชแล้ว มาเสวยสุข หาได้มีทุกข์อันใดไม่เลย แม้แต่กับธรรมวินัย

ในยุคถ้ำกระบอก ได้มีโยมผู้หญิงสองท่าน ล้วนแล้วแต่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง อาการหนักพอๆ กัน

ได้ฟังธรรม ที่ว่า ลูกบวชเป็นพระแล้วสามารถช่วยผู้เป็นบิดามารดาได้

คนหนึ่งมีลูก๗คน อีกคนหนึ่งมีลูก ๑ คน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่บวชให้แม่

เวลาผ่านไป แม่ผู้ที่มีลูก ๑ คน อาการดีวันดีคืน ในขณะที่อีกคน ไม่ดีขึ้นเลย

คนไข้ท่านนั้นจึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า ลูกของเขามาบวชถึง ๗ คน แต่เขาไม่ดีขึ้นเลย ในขณะที่อีกคนบวชแค่คนเดียว ทำไมถึงดีวันดีคืน

แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสตอบว่า ก็พระลูกของโยมทั้งหมด บวชแล้วไม่ประพฤติธรรมอันใดเลย ในขณะที่พระรูปเดียวนั้น ตั้งอกตั้งใจประพฤติธรรม นั่นเอง

ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ถ้าจะทำสิ่งไร พิจารณาให้ดี ว่าทำกับใคร สาวพุทธประวัติ ว่า สิ่งที่ทำนั้น ไปสร้างสุขให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ มิฉะนั้นก็จะสูญเปล่า ดังคนทั่วไปที่มักง่าย กล่าวเองเออเองว่า ทำแล้ว ไม่สน แล้วไปนั่งรอบุญ ซึ่งเป็นอากาศ ไม่มีวันได้

หากทำกับพระผู้ซึ่งเดินตามรอยพระภูมีแท้จริงแล้ว สบายใจได้ว่า เดินยังไม่ถึงบ้าน บุญไปรอที่หัวกระไดแล้ว

ไม่ว่าพระไม่ว่าโยม หากเดินรอยตามพระภูมี ย่อมต้องทุกข์ อันเนื่องจากธรรมวินัยนี้เอง

แว่นส่องพระที่พระภูมีทิ้งไว้ให้นี้ ชี้ให้เห็นเลยว่า พระแท้เป็นเยี่ยงไร

บทจบของการสอบในครั้งนั้น จึงเป็นที่มาของฉายา "พระมีดโกน" ของหลวงพ่อนิพนธ์ จนไม่มีพระเถระองค์ใดกล้ามาสอบอีกเลย

และหลังการสอบสวน ทำให้จอมพลสฤษดิ์ทราบความจริง อุทานว่า "เกือบฆ่าพระดีเสียแล้วเรา" และได้แต่งตั้ง เสธ.ทวี จุลละทรัพย์ ให้ช่วยไปเป็นมรรคทายกวัด และจัดซื้อที่ดินถวายแม่ชีเมี้ยน พร้อมทั้งออกคำสั่ง ตั้งให้ถ้ำกระบอกเป็นวัดอภิสิทธิ์ บวชพระเองได้ ไม่ต้องมีใบสุทธิ ไม่ขึ้นกับเถรสมาคม นับแต่นั้นมา

วินัยทุกข์

คาถาที่พระของแม่ชีเมี้ยนใช้ ในการเดินธุดงค์ นั่นคือ "สุขจริงหนอ ที่เราไม่ฉ้อโลก โลกก็ไม่ฉ้อเรา"

นั่นคือ การที่ผู้ทำยอมรับในความจริงว่า ตัวเราเป็นผู้ทำกรรมนั้น และบัดนี้กรรมนั้นพึงบังเกิดกับเราแล้ว หรือกำลังมาแล้ว

เราจึงยอมรับกรรมที่พึงเกิดขึ้น และใช้กรรมที่กำลังมาถึง ด้วยการทุกข์กับธรรมวินัยของพระภูมี

ด้วยเหตุที่โลกนี้ มีสองสิ่ง ที่มนุษย์พึงทำได้ คือ บาป และ บุญ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ถ้าทำตามนิสัยก็เป็นบาป เรียก "กรรมลิขิต" ถ้าทำตามธรรมวินัย ก็เป็นบุญ เรียก "ธรรมลิขิต"

แลพระพุทธเจ้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มีแต่บุญเท่านั้นที่เหนือกรรมได้

ผู้ที่เข้าใจ จึงมีสุข แม้จะต้องรับทุกข์จากวินัยของพระภูมี เพราะรู้ว่า "เมื่อใช้ต้องหมด" และสิ่งที่รออยู่ในวันข้างหน้าก็คือสุข

ดั่งคนที่ทำงานเก็บเงินสร้างเรือนหอ เมื่อแฟนตกลงแต่งงาน แม้นจะเหน็ดเหนื่อย ก็สุขใจ

บทสรุป จึงเป็นสติที่พระภูมีตรัสไว้ว่า "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า"

ดังนั้นผู้ที่เดินตามรอยนี้ จึงต้องใช้ความขันติ และอดทน อันมหาศาล แต่ผลที่ได้ก็สุดแสนจะคุ้มค่า แม้นไม่ถึงมรรคผลนิพพาน ก็ได้ลาภอันประเสริฐ คือ "ความไม่่มีโรค" แลลาภนี้ก็จะติดวิญญาณไป ก่อให้เกิดสังขารที่ดีในภพหน้าได้อีกด้วย

หากคิดว่าตายแล้วไม่เกิด ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ก็แล้วแต่...

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฟังวิจารณ์

ฟังเขาพูดมา

"1.ยาเขาดีจริงที่มูลนิธิไทยกรุณา

"2.เสียเวลาทั้งวันปวดขาก็ต้องไปรอเข้าแถว อาทิตย์นึงไปตั้งสองวัน เสียค่าน้ำมันแพงได้ยาฟรีก็จริงแต่เสียเงินเดือนนึงก็ตกสามพันกว่าบาทรวมค่ากิน

"3.ถ้าคุณเอาปิ่นโตเข้าไปกินเขาว่านา

"4.มีพวกเส้นใหญ่เยอะ ไม่ต้องเข้าคิว ปากก็อ้างว่าไม่รับบริจาค แต่ถ้าใครทำคุณให้มากก็จะได้รับสิทธิพิเศษ

"5.ข้าวแกง น้ำ กาแฟ ทุกอย่างจะขายแพงหมดอ้างว่านำเงินไปซื้อสมุนไพร ไม่รับบริจาคแต่ข้าวแกงต้องขายหมดก่อนกลับบ้าน ตอนขากลับมีขายน้ำด้วยไม่บังคับซื้อก็เหมือนต้องซื้อเพราะคะยั้นคะยอเหลือเกิน

"6.คนรอดก็มี คนตายก็ต้องมี สุดท้ายผมไปหาหมอเณรที่กาญจนบุรี ไม่เรื่องมาก ราคายาก็สมเหตุผล กินไปมาดีขึ้นก็ไปเอาสามเดือนครั้ง ถ้าไปสิงห์บุรีต้องกำเงินหมื่นต่อเดือนแถมรักษาได้แต่โรคหมูๆ โรคยากเขาไม่รักษา"

ฟังแล้วพิจารณา คิดเหมือนกันไหม

ไม่แปลกใจว่า ทำไมแม่ชีเมี้ยนตรัสว่า หลักของพระภูมี "ทำยาก"

ก็คนเขาจะรับอย่างเดียว ปฏิเสธทุกข์ทั้งหมด

นี่แหละคนจริง ไม่ชอบก็ไปหาในสิ่งที่ชอบ

ไม่ชอบก็ไม่ควรอยู่ เก็บสมุนไพรไว้ให้คนที่ชอบ คนที่ทำได้

แลไม่ชอบ ก็ไม่ว่ากัน ชอบทางไหนไปทางนั้นดีที่สุด

ผีเห็นพระ

หลวงพ่อนิพนธ์ได้พูดถึงคนไข้ ที่มักจะพูดว่า "ไม่กล้าเข้าหา กลัว ..."

คนไข้หลายต่อหลายคน มักจะบ่น และตัดพ้อ พูดกับเจ้าหน้าที่ว่า อยากจะพบหลวงพ่อนิพนธ์ อยากถาม อยาก... แต่ไม่กล้า

คนประเภทนี้ ท่านกล่าวว่า เหมือนคนถูกผีสิง มันเลยไม่กล้าเข้าใกล้เรา

เพราะผีที่สิงรู้ดีว่า หากคนเหล่านี้ได้เจอท่าน ก็ต้องได้รับสิ่งดีงาม ท้ายที่สุดผีนั้นก็จะอยู่ในตนของคนนั้นไม่ได้

สภาวะจิตหลอน จึงบังเกิดขึ้น อาทิ กลัวท่านว่า กลัวท่านดุ

ก็ถ้าเช่นนั้น แล้วปัญหาที่ผจญอยู่จะแก้โดยวิธีใด จะไปถามเจ้าหน้าที่ก็เสี่ยง ไม่รู้ตอบผิดตอบถูก

เราจึงอยากแนะนำว่า หลวงพ่อนิพนธ์แม้ไม่ห่มเหลือง ก็เหมือนพระ อย่าเชื่อความคิด แต่เชื่อความจริง ที่ว่า "อายครูบ่รู้วิชา อายภรรยาบ่มีบุตร"

เข้าไปเถอะ ท่านเมตตาอยู่แล้ว ปัญหาที่มีจะได้แก้โดยถูกวิธี

เราจึงเสนอคาถาบทหนึ่งที่โบราณสอน "ด้านได้ อายอด"

คนมีกรรม ดุจดังมีผีสิง ย่อมดลจิตดลใจ ให้หนีพระอยู่แล้ว

หากคิดว่าอาการของเราสาหัส ต้องการคำแนะนำ ควรที่จะพาตัวเข้าไปหาท่านอย่างเร่งด่วน

เชื่อเถอะไม่มีหรอกที่ท่านจะว่ากล่าว เพราะถ้าไม่สาหัสก็ไม่บากหน้ามาอยู่แล้วท่านเข้าใจ

เหตุ - Let it be

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สถานที่นี้ มีแม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า และสมุนไพร

มีท่านทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้า เป็นตัวแทนนั่งอยู่

จึงควรมุ่งมาหาตรงนี้ ส่วนอื่นๆ ไม่เกี่ยว

หากแต่มนุษย์มีกรรม และที่สำคัญ ย่อมเป็นเหตุซึ่งกันและกัน

สิ่งนี้เองที่ต้องพึงระวัง เมื่อกระทบกระทั่งกับเหตุ แล้วนำเหตุนั้นมาพาลทะโร ละทิ้งสิ่งที่จะช่วยตน ไม่ควรเลย

เพราะฉะนั้น พึงใช้ปัญญาพิจารณา เอาเหตุ เอาผล แล้วศรัทธาจะเกิด หากมาโดยเลื่อนลอย ช้าเร็ว ก็ต้องพบเหตุ และเอาเหตุนั้นๆ มาทำให้หนทางรอดของชีวิต ต้องหมดไป

ตั้งใจ ตั้งสติ มาแต่บ้าน เรามาหาแม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า ทำตามวินัยของท่าน และรับมงคลคือสมุนไพร กลับบ้าน มีหลวงพ่อนิพนธ์เป็นตัวแทน นอกนั้นไม่เกี่ยว

ใครจะพูดอะไร จะทำอะไร ก็บังคับกันไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น

คำเตือนของหลวงพ่อนิพนธ์ ให้ควรพิจารณา อย่านำซึ่งเหตุจากการกระทำของผู้อื่น มาทำให้เราสูญเสียสิ่งดีๆ ที่ใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และมีชีวิตต่อไปด้วยความสุขไป น่าเสียดาย

ภาษาสมัยนี้เขาบอก ใครจะทำอะไร ท่องไว้ Let it be

ด้วยสติของพระภูมีที่ให้ คือ "รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดคน"

เคร่ง


บทสนทนาในอดีตสมัยถ้ำกระบอก บทหนึ่งที่น่าเรียนรู้

เกิดขึ้นจากพระรูปหนึ่งผู้ซึ่งมีชื่อเสียงมาก และมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ ในยุคนั้นรูปหนึ่ง

ความสงสัยประดามี ว่า พระถ้ำกระบอก ที่เริ่มมีชื่อเสียง นั้นมีอะไรดี จึงอยากเห็นอยากมาดูด้วยตาของตนเอง

ก็เป็นอื่นไม่ได้ พระรับแขกในสมัยนั้นก็คือ พระนิพนธ์

เมื่อต้อนรับขับสู้เรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่การวิพากษ์วิจารณ์ไต่ถามข้อสงสัยของตนที่มีอยู่

พระรูปนั้นกล่าวว่า ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เรียกได้ว่า ศีล ๒๒๗ ข้อ ไม่มีขาดตกบกพร่อง

ท่านนิพนธ์ตอบว่า ข้อนี้ก็ต้องแสดงความยินดีกับท่าน ที่มีความนับถือเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นที่น่ายกย่อง เห็นดีด้วย

หลังจากสนทนาไปได้สักพัก พระรูปนั้นก็กล่าวว่า อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ท่านก็จะจัดงานที่วัด ได้ว่าจ้างนักร้องดังหลายคน ให้มาทำการแสดง เพื่อให้คนมาทำบุญกันเยอะๆ

ท่านนิพนธ์ตอบว่า ในเมื่อท่านเป็นนักปฏิบัติ ย่อมทราบดีว่า ธรรมของพระภูมี เป็นสิ่งสูงสุด มีคุณค่ามหาศาล เป็นที่ประจักษ์ แล้วทำไมท่านจึงต้องไปอาศัย นักร้อง มาเพื่อให้คนมาวัดเล่า เท่ากับเอาของต่ำมาตีค่า เหนือกว่าธรรม

พระพุทธเจ้ามีธรรม คนจึงหลั่งใหลไปหา ท่านก็เอ่ยอ้างว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอันสูงส่งนั้น เหตุใดจึงไม่ใช้ธรรมทำให้คนศรัทธาและหลั่งใหลไปหาเล่า กลับมาใช้ของต่ำเป็นเครื่องดึงดูดคน ควรแล้วหรือ

สถานที่นี้ก็เช่นกัน ไม่มีสิ่งอื่นใด นำมาใช้เพื่อเรียกคน นอกจากแม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า สมุนไพร

ที่ที่มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ก็คือที่ที่มีธรรมของท่าน ย่อมมีอำนาจดึงดูดผู้คนอยู่แล้ว คนมีธรรม จึงมีอำนาจนี้ในตัว ไม่ต้องพึ่งพาอาศัย สิ่งอื่นมาดึงดูดคนหรอก ....

เจอ ลดแลก แจกแถม ดูฟรี มีดารา รีบหนีให้ไกล...

คิดเอาเอง

ภาพที่เห็น ทำให้คนคิดไปต่างๆ นานา จินตนาการไปมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สรุปเอาเองว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้น

แต่ก็ถือว่าเป็นคนจริง ที่กล้าเขียนในสิ่งที่คิด ส่งให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้อ่าน ได้รู้ ว่าเขาคิดอย่างไรกับชมรมนี้

มีหลายประเด็นที่คนไข้ได้เขียนวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่เขาเห็น และตำหนิอย่างแรง ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ อันหมายถึง การที่ไม่สามารถทำให้การบริการเป็นที่พอใจของเขา

ประเด็นที่เราอยากกล่าว อย่างแรกคือ การหารายได้มาเพื่อดำเนินกิจการนี้ ด้วยเหตุที่กิจการนี้เป็นกิจการทำให้ ดังนั้น เมื่อเริ่มกิจการนี้เมื่อปี ๓๐ ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์เรียกได้ว่าอยู่ในสภาพที่ไม่มีทุนเลย มีแต่ความเชื่อมั่น ศรัทธา และปณิธานที่ต้องทำให้ได้

การเริ่มในสมัยนั้น จึงต้องเป็นการกระเบียดกระเสียนจากเงินของครอบครัว จนในบางครั้ง แม้แต่ลูกก็ต้องไปโรงเรียน โดยไม่มีเงินติดตัวเลยก็มี เพราะต้องนำไปซ์้อสมุนไพรแจกคนไข้

ภาระในการหารายได้เพื่อดำเนินการ จึงต้องดิ้นรนในทุกทาง จนในที่สุดเมื่อมีคนไข้ที่เลิกยาเสพติด อาสามาช่วย จึงได้เริ่มมีการนำสูตรข้าวเหนียว และกระยาสาทร ของแม่ชีเมี้ยน มาเริ่มทำเพื่อเป็นรายได้ดำเนินการ

จึงเป็นจุดเริ่มของศาลาขนมไทย ดังนั้น จากอดีตที่ผ่านมา รายได้หลักก็มาจากการขายข้าวเหนียว กระยาสาทร และขนมตามเทศกาล นั่นเอง โดยกำลังแรงงานล้วนมาจาก จิตอาสา คือคนไข้ทั้งหมดทั้งสิ้น ตั้งแต่เริ่ม เพราะทุกคนที่มาช่วยรู้ดีว่า ภาระของท่านมากเพียงใด

มาจนถึงวันนี้ รายได้ส่วนนั้นได้ลดลง และคงเหลือแต่กิจกรรมขนมตามเทศกาล นั่นคือ ขนมเทียน เท่านั้นเอง ก็ด้วยเหตุที่เวลาทั้งหมด ต้องใช้ไปในการจัดหาสมุนไพร และการทำสมุนไพร รวมทั้งสิ่งต่างๆ รองรับคนไข้ที่มา

การขายอาหาร และน้ำ ไม่ได้เคยอยู่ในความคิดของหลวงพ่อนิพนธ์เลย นับแต่อดีตท่านมักพูดเสมอว่า "เมื่อให้ก็ต้องให้ถึงที่สุด" และเคยดำริที่จะให้ทำอาหารแจกคนไข้ทานฟรี

ดังนั้น ในยุคแรกๆ ของ วิทยากร คือ อ.อร่าม คนไข้ในยุคนั้นๆ มาที่ศาลาขนมไทย มาเข้ากระโจม รับสมุนไพร และยังแถมมีอาหารเลี้ยงฟรี

แต่ความคิดข้อนี้ก็ต้องตกไป เพราะจำนวนคนที่มามากขึ้น ในขณะที่เวลาในการหารายได้เดิมก็ลดลง จึงมีคนไข้ที่มีฝีมือด้านทำอาหาร เสนอว่าให้ทำอาหารขายเพื่อนำรายได้มาจัดซื้อสมุนไพรชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปเดิม โดยการมาทำก็ทำให้ฟรี

วันเวลานานเข้า เรื่องของการทำฟรี แม้มีใจ แต่งานก็หนักขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนตักก็ยังเหนื่อย ยังท้อ

ภาพของมุมมอง ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างเห็น ก็เริ่มขัดแย้งกันในตัวของมัน อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่รู้ซึ่งที่มาที่ไปของมันนั่นเอง

คนมาทำ ก็อยากจะหารายได้ให้เพื่อเป็นทุน และพึงคิดว่า คนมาทานคิดเหมือนตน ทานเพื่อเอาบุญ หรือเรียกได้ว่าทานแค่เป็นพิธี ไม่ใช่ทานเอาอิ่ม ทานเอาอร่อย เลิศเลอ และรู้ว่า เงินที่ได้จะย้อนมาเป็นสมุนไพรให้ทานนั่นเอง

คนมากิน ก็คิดว่า แพงฉิบหาย อาหารก็งั้นๆ ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์แจกยา แต่มาขูดรีดขายอาหารอย่างนี้ ไม่ขายสมุนไพร แต่ทำอย่างนี้ยิ่งกว่าเสียอีก ว่ากันไป

ความคิดเช่นนี้น่ากลัวนัก และเรากลัวคำว่า หลวงพ่อนิพนธ์ก็คงรับไม่ได้เช่นกัน เพราะคนวงในจะรู้ดีว่า ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาในการดำเนินการกิจกรรมนี้ บัญชีของบ้านท่าน ตัวแดงมาตลอด โดยที่ท่านไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย และบอกกล่าวลูกศิษย์เสมอ ให้เชื่อมั่นในความดี ทำไป แล้วดีเอง

แต่ภาพที่คนทั่วไปเห็น นั่นคือ สรรพสิ่ง ไม่ว่ารถรา อาคาร สถานที่ ที่กว้างขวาง โอ่โถง ต้องเป็นสมบัติของหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านต้องรวยมาก และอาจเลยไปว่า ต้องมีซิกแซกแน่นอนจึงรวยขนาดนี้

หากแต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ทุกคนเห็น ไม่มีสิ่งใดเป็นของท่านเลยแม้แต่ชิ้นเดียว นั่นคือไม่มีของชิ้นไหนที่เป็นชื่อท่านเลย หรือเป็นสมบัติส่วนตัวของท่านเลย

มิหนำซ้ำ ในขณะที่ห้องคนไข้ ทำอย่างดี แต่ห้องนอนของครอบครัวท่าน กลับนอนรวมกันกระจุกอยู่ในห้องแคบๆ จนคณะกรรมการทนไม่ได้ จึงร้องขอทำห้องให้ท่านอยู่ใหม่

ไม่แปลกใจที่คนจะคิดไปทางที่ไม่ดี หากแต่แปลกใจว่า ทำไมด่วนสรุป ไม่ศึกษาไตร่ตรองแล้วจึงวิพากษ์วิจารณ์

เท่าที่เราทราบ ด้วยภาระที่ท่านแบกอยู่ ไม่ว่ารายได้ขายอาหาร ขายน้ำ หรือจิปาถะ ร่วมทั้งเงินบริจาคจากส่วนต่างๆเข้ามูลนิธิ ล้วนแล้วแต่ไม่พอดำเนินการ สิ่งที่ทำให้อยู่ได้ ล้วนแล้วมาจาก ความศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ จึงมีคนที่มาแบกรับภาระให้ในส่วนที่ขาดตลอดมา

มาถึง ณ วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การกระทำเช่นวันวาน ในการที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใด หรือ กลุ่มหนึ่งกลุ่มใด แบกภาระของคนส่วนใหญ่นั้นไม่ชอบตามหลักพระภูมี

คนทุกคนที่มา ต้องมีส่วนร่วมในภาระนี้ พูดง่ายๆ ทุกคนที่มาใช้บริการ ก็ต้องมีภาระในการทำให้กิจกรรมนี้ดำเนินไปได้ ด้วยตัวของพวกเขาเอง ไม่ใช่ร้องขอ หรือรอรับการช่วยจากผู้อื่น หรือองค์กรใดๆ นั่นคือ ต้องพึ่งลำแข้งตัวเอง ตามหลัก "ตนพึ่งตน"

หากความคิดนี้ไม่ถูกกระจายไป และปฏิบัติ นั่นหมายถึง ไม่สามารถรักษาหลักของพระภูมีให้คงอยู่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับความจริงว่า สิ่งดีงามที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งให้ไว้นี้ ไม่เป็นที่ต้องการ ก็ต้องตัดสินใจปิด หรือยุบให้เล็กลงเท่าที่พอจะทำไหว หรือบุคคลิกเฉพาะคนที่เข้าใจ เท่านั้น

สูตรสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ไม่จำเป็นต้องมาเร่ขายหรอก แค่เสี้ยวหนึ่ง อาทิเช่นในอดีตที่แม่ชีเมี้ยนประทานให้ลูกศิษย์ไปทำกิน คือ ยาหอม ก็โด่งดังคับฟ้าเมืองไทย เป็นยี่ห้อดังจนทุกวันนี้ กินไปชั่วลูกชั่วหลานไม่หมดแล้ว

ที่สำคัญและแน่นอน คนที่จะใช้สูตรสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนนั้น ต้องมีคุณธรรม ฟ้าดินยอมรับ จึงประสพผล

ก็ ๗ สำนัก ที่มันห่มผ้าเหลืองทำ ยังหงายเก๋ง ตายด้วยโรคหมด

แต่ที่นี่ นุ่งกางเกงทำ หากมีนอกมีใน ไม่ว่าคนที่มา หรือ คนทำ ฟ้าดินเขาไม่แม้แต่ชายตามองหรอก แล้วจะมีคนหายมาเดินเชิดหน้าให้เห็นได้อย่างไร

ระวังภัย

มีเพื่อนสมาชิกขมรมได้แจ้งข่าวเพื่อเตือนให้ระวังภัย

สำหรับสมาชิกที่ขับรถมาเอง และต้องใช้ทางยกระดับจากถนนเพชรเกษม เพื่อเข้าบ้านโป่ง

สมาชิกท่านใดที่มาถึงบริเวณนั้นในตอนช่วงเช้ามืด ฟ้ายังไม่สว่างดี ให้โปรดระวัง เพราะช่วงนี้มีมิจฉาชีพ นำถังขยะขนาดใหญ่ มาวางไว้กลางถนน และเมื่อท่านหักหลบถังดังกล่าวแล้ว จะมีก้อนหินขนาดประมาณลูกฟุตบอลดักอยู่อีกชั้นหนึ่ง

บริเวณดังกล่าว เป็นช่วงที่ไม่มีไฟทาง ดังนั้น หากประสพเหตุชนเข้า ขอให้ประคองรถเลยมาจนถึงบริเวณที่มีไฟทาง เพื่อความปลอดภัย

ก็บอกต่อกันในหมู่สมาชิกให้ระวัง เพราะมีเพื่อนสมาชิกที่ประสพเหตุมาแล้ว บอกเล่าเพื่อเตือนให้ระวังเช่นกัน เคราะห์ยังดีที่รถของเขาเสียหายไม่มาก และก็มีสติดี ที่ไม่หยุดรถบริเวณนั้น

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เสีย หรือ ได้

หลายต่อหลายคน มักบ่นและกล่าวว่า การที่มารักษาตัวด้วยสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนนั้น ทำให้ขาดเสียซึ่งรายได้ เสียเวลา เสียอะไรอีกจิปาถะ ....

ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คำกล่าวนั้นมีส่วนถูก หากแต่เป็นการพิจารณาแค่ผิวเผินไม่ตลอดรอดฝั่ง

ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คำกล่าวนั้นมีส่วนถูก หากแต่เป็นการพิจารณาแค่ผิวเผินไม่ครบถ้วนกระบวนความ เพราะมองแค่ระยะสั้น

หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้เราเห็นภาพ

กรณีแรก คือ คุณปรียานุช ผู้ซึ่งต้องช่วยคุณนพพล ดูแลเบื้องหลังในการถ่ายทำละคร หรือแม้แต่เขียนบท เมื่อต้องทิ้งมาพำนักพักที่ชมรม นั่นหมายถึงนอกจากไม่มีรายได้แล้ว ยังต้องจ่ายเพิ่มขึ้นในการหาคนมาทำหน้าที่แทน นับดูแล้วก็เป็นเงินไม่ใช่น้อย

ผ่านไปครึ่งปี คุณปรียานุช เริ่มกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้น จนช่วยตัวเองได้ กลับมาเดินได้ มาจนวันนี้ สามารถกลับไปอยู่หน้าจอได้ มีรายได้เพิ่มมากขึ้น รายจ่ายจากการต้องรักษาตัวก็ไม่มี จากสภาพที่ต้องจำใจบอกขาย "บ้านตาหลา" ที่เชียงราย ก็ไม่ต้องขาย เพราะตอนนี้สามารถกลับมาหารายได้เป็นกอบเป็นกำ

กรณีที่สอง คุณธานินทร์ หรือที่ชมรมมักเรียกกันว่า อาเล็ก ที่ต้องหยุดมาฟื้นฟู พำนักที่ชมรมสองเดือนเต็ม โดยมีหนี้สินที่รอเคลียเป็นล้านบาท รวมทั้งต้องหลบหน้า เจ้าของห้องอัด เพราะไปรับเงินค่าร้องเพลงมาแล้ว แต่ไม่สามารถร้องให้เขาได้ ด้วยสุขภาพไม่เอื้อนั่นเอง

คิดค่าตัวคืนหนึ่งก็หลายตังค์ หยุดไปสองเดือน ก็นับไม่ถูก แต่ก็ต้องทำใจ ผ่านมาวันนี้ ก็นับสิบปี คุณธานินทร์ หายกลับไปร้องเพลงให้ห้องอัดได้ กลับไปทำคอนเสริต์ได้ หาเงินได้นับสิบล้านบาท

การสูญเสีย เพื่อรักษาตัว แล้วมีชีวิต มีสุขภาพที่ดี พร้อมที่จะกลับไปหาเงินอีกครั้ง คิดอย่างไรก็คุ้มเกินคุ้ม

น่าเสียดาย แม้นจะสอนและบอกกล่าวสักฉันใด ก็ยังมีคนที่ทำใจไม่ได้ แม้กระทั่งในเวลาที่ต้องทำเพื่อช่วยตน คือ การสวดมนต์ ก็ยังรับโทรศัพท์หรือพูดคุย ทำธุรกิจ คุยฟุ้งเรื่องสัพเพเหระ ให้ได้ยิน ได้เห็นกันทุกครั้ง

คำที่เปรียบเปรย จึงดังก้อง "เสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย"

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นเสมอว่า หากเราเห็นกระเป๋าเงินตก มีเงินอยู่ อยากได้ เราได้เงินนั้นในวันนี้ แต่เราจะมีมะเร็งในวันข้างหน้ารออยู่ หากเรายอมเสียนิสัย นำกระเป๋าไปคืนเจ้าของ เราไม่ได้เงินนั้น แต่เราจะพ้นกรรมมะเร็งในอนาคต คุ้มหรือไม่

จึงไม่น่าแปลก ผู้ที่จบหลักสูตรแม่ชีเมี้ยน และยึดธรรมของพระภูมีไว้ช่วยตน จึงกลายเป็นคนดี เพราะเขารู้ซึ้งถึงกรรม และทราบดีว่า เมื่อกรรมมันบันดาลทุกข์ ต้องทรมาน และใช้ขันติอดทน ต่อสู้ หนักหนาสักเพียงไหน แค่คิดก็หนาวแล้ว

คนที่ไม่รู้ ไม่กลัว จึงทำ แต่คนรู้ เขาจึงยอมเสียวันนี้ดีกว่า...

สิ่งที่ไม่มีในตำราของมนุษย์

ความรู้ที่สาวกของพระภูมีได้เรียนรู้ อันเป็นการเพื่อนำไปปฏิบัติเพื่อช่วยตนเอง คือความรู้ที่ไม่เคยมีในตำราใดๆ ของมนุษย์

สิ่งที่พระภูมี ทรงชี้ให้เห็นเป็นประการแรก ในการแก้ไขปัญหาของผู้ที่มาแสวงหาทางดับทุกข์จากท่านก็คือ "การเมตตาตนเองก่อน จึงเมตตาผู้อื่น"

เหตุและผลที่ทรงให้แก่เหล่าสาวก พิจารณา ก็คือ ตัวเราต้องรับผิดชอบกับกายเรา เพราะสังขารนี้เรายืมเขามาใช้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืน แล้วยืมสังขารใหม่มาใช้

พฤติกรรมที่เมตตาผู้อื่น แม้จะมากมายสักเพียงไร หากแต่ในขณะเดียวกัน เราก็มีพฤติกรรมทำลายตัวเอง ด้วยการทานสิ่งที่เป็นโทษ ซึ่งก็คือสิ่งที่ธรรมชาติมิได้บัญญัติ ทำให้เกิดโทษแก่ร่างกาย แก่อวัยวะของเราเอง จนหมดความสามารถ ก่อให้เกิดโรคภัย หรือเสียชีวิต การเมตตาผู้อื่นนั้นก็ไร้ผล ด้วยถูกการกระทำนี้ลบล้างนั่นเอง

พระภูมีจึงตรัสว่า "ไม่เห็นแก่ตน ฟ้าดินลงโทษ" แล "รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดคน" หากแต่มีผู้ไปตีความกลายเป็น ความเห็นแก่ตัว และเอาเปรียบผู้อื่นแทนเสียได้

พระภูมีทรงชี้ให้เห็นว่า บาปที่เกิดจากการทำร้ายตนนั้นมหันต์นัก จึงบัญญัติว่า ห้ามคร่าชีวิตตน หรือ อนันตริยกรรม เพราะเป็นบาปที่สาหัส

ด้วยความรู้นี้เอง ทำให้เอกลักษณ์ของสาวกของพระภูมีเด่นชัด คือ เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีโรค และเป็นคนดี มีน้ำใจ เรียกได้ว่าเป็นผู้เจริญนั่นเอง

คนเหล่านี้ได้รับการยอมรับ จนกลายเป็นการแก่งแย่ง อันเป็นที่มาของการที่ผู้หญิงอินเดีย ต้องเป็นฝ่ายไปขอชาย หากแม้นชายนั้นได้ผ่านการอบรมและปฏิบัติตามจนเกิดผล จากพระภูมีแล้ว

เพราะสิ่งหนึ่งที่เชื่อได้ว่า เมื่อผ่านเคราะห์กรรมนี้แล้ว สิ่งนี้จะเป็นบทเรียน และแนวทางปฏิบัติ ให้เดินในทางที่ถูกที่ควร ไม่เป็นภัยแก่ชีวิต และคงไม่กล้าที่จะนำสิ่งผิดไปบอกกล่าวแก่ผู้อื่น ก็ด้วยเนื่องกลัวกรรมที่ทำมันย้อนมา

หากแต่สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทำไมในอดีตคนที่เลิกยาเสพติดแล้วจึงไม่คิดหวนอีก ผู้ที่คิดหวน ก็มักจะเสียชีวิต ก็ด้วยเหตุที่ว่า "ผู้ไม่รู้ ความผิดก็ไม่ร้ายแร้ง แต่ผู้รู้แล้วยังทำ โทษถึงประหารนั่นเอง"

ใครที่คิดว่า สถานที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะมีแต่คุณ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เขาคิดผิด เพราะพระภูมีสาปธรรมของท่านอันมหาศาลเช่นกัน

ดั่งเช่นในอดีตที่มีพระที่รับงานจากพวกค้ายาเสพติดมาบวชที่ถ้ำกระบอก

แม่ชีเมี้ยนก็ตรัสเตือนให้ลาสึกไปเสียเถิด พระรูปนั้นก็ไม่ยอมสึก

ท้ายที่สุด เมื่อพวกค้ายาเสพติดลงขัน ให้ระเบิดตึกที่สร้างเพื่อรักษาคนไข้ยาเสพติด เมื่อทราบว่า ท่านจำรูญและท่านเจริญ ต้องเดินไปตรวจทุกวันในเวลาเที่ยง

หากแต่ ระเบิดได้ทำงานก่อนเวลา หลังจากตึกถล่ม ได้มีการตรวจตรา ก็พบว่า พระทุกรูปและโยมทุกคนปลอดภัย เว้นเสียแต่พระรูปนั้น ที่นั่งคุกเข่าเสียชีวิต โดยที่บ่าของเขามีคานกดทับอยู่เพียงรูปเดียว

คำที่หลวงพ่อนิพนธ์ชอบกล่าวเป็นทีเล่นทีจริง คือ ไม่ชอบไม่ว่ากัน ชอบแบบไหนก็ไปในทางที่ตนชอบ หากแต่อย่ามาทำลายสถานที่นี้เลย เพราะเป็นที่พึ่งของคนทุกข์ และสร้างคนดี คืนกลับสู่สังคม

เมื่อบุญมันแรง บาปมันก็แรงเป็นทวีคูณเช่นกัน

ด้วยความรู้นี้เอง จึงทำให้คนที่ทำมีพฤติกรรมเหมือนเห็นแก่ตัว เพราะต้องช่วยตนก่อน จึงต้องทนกับเหตุต่างๆ นานา ดั่งเช่นเมื่อครั้งพระโคดม ออกบวชเพื่อช่วยตน จนถูกชาวเมืองด่าและไล่ไม่ให้เข้าเมืองกบิลพัดส์ของพระองค์นั่นเอง


ปาฎิหารย์

ครั้งสมัยถ้ำกระบอก คำถามหนึ่งที่พระใคร่รู้และถามแม่ชีเมี้ยน นั่นคือ "ปาฎิหารย์"

หลายต่อหลายคน มุ่งมาดวาดฝัน ด้วยเหตุฟังเขาเล่า หรืออ่านหนังสือ ทำให้คาดคิดกันไปต่างๆ นานาในเรื่องนี้

แม่ชีเมี้ยนฟังคำถาม ก็อ่านใจพระออก

จึงตรัสว่า หากท่านคิดว่าเมื่อท่านได้พบผู้มีบุญญาธิการ มีอำนาจ หรือที่เรียกกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คงเห็นท่านหายตัว หรือ เหาะมาจากฟ้าเป็นแน่แท้ ดั่งในภาพยนต์หรือทีวี

เมื่อท่านได้เห็นดั่งนั้น ท่านจึงยอมรับและกราบไหว้

หากในความเป็นจริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีฤทธิ์ทำได้ ก็ไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน

เพราะอะไรหรือ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องการผู้มีปัญญา เอาเหตุและเอาผล พูดง่ายๆ ก็คือ คนฉลาดนั่นเอง

การแสดงฤทธิ์จะทำให้ได้คนกราบไหว้ แต่ไม่ได้ซึ่งคนทำตาม หรือ ศรัทธาที่แท้จริง เพราะหวังพึ่งฤทธิ์ และขอพร นั่นเอง

แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า เมื่อคนมีปัญญาเห็นสิ่งที่ผิดปกติ นั่นคือ สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ ปรากฎขึ้น สิ่งนั้นจะก่อให้เกิดศรัทธา และปฏิบัติตาม

เมื่อเราไม่รู้ ก็เวียนว่ายหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อุปโลกโน่นนี่ว่าศักดิ์สิทธิ์ หากแต่ชีวิตก็ด่ำดิ่งลงบนกองทุกข์ จนชีวิตดับ จึงพึงรู้ว่า สิ่งที่หาสิ่งที่ยึด หาใช่ไม่ ช่วยอะไรตนไม่ได้เลย

ใครจะว่าไรก็เรื่องของเขา แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สถานที่นี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ แม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้าและสมุนไพร

ภาพที่ปรากฎให้เห็น จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้

เราจึงเห็นคุณอ้อ ผู้ซึ่งแขนข้างซ้าย ถูกเครื่องโม่แป้ง หักกระดูก ๗ ท่อน เส้นเอ็นยืด และขาดเป็นระยะถึงคืบ เนื้อหลุด มองทะลุแขนได้ หมอบอกว่าแม้นจะต่อเส้นเอ็นได้ ก็ไม่สามารถใช้จับสิ่งของ หรือ กำมือ ได้อย่างเดิม

แต่วันนี้ คุณอ้อยังใช้แขนซ้ายทำงาน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ต่อเส้นเอ็น

เราจึงเห็น เส้นเลือดหัวใจของคุณธานินทร์ ที่ตีบตัน จนเลือดแทบจะเดินไม่ได้ เกิดเส้นเลือดฝอยแตกแขนงออกมา ทำหน้าที่บายพาสเลือด แทนเส้นเลือดเดิม โดยที่ไม่มีการผ่าตัด

เราจึงเห็นคุณซุ้ยเหรียญ แม่บ้าน ผู้ผอมบาง ด้วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด หรือเลือดแห้ง ยังคงเป็นแม่บ้านอยู่เกือบ ๒๐ ปีแล้ว

เราเห็นคุณแตน ผู้ที่เป็นมะเร็งปอด จนต้องตัดปอดทิ้ง ที่แม้จะเดินสักสิบก้าวก็ยังลำบาก หากแต่วันนี้ สามารถเดินขึ้นเขา เป็นหัวหน้าทีมเก็บใบยา มาให้เหล่าสมาชิกทานทุกสัปดาห์ได้ และทุกปีของการตรวจประจำปีที่ศิริราช จะต้องถูกหมอแซวว่า คนไข้รุ่นเดียวกัน ตายไปหมดแล้ว และต่อด้วย เก่งมากที่ยังเดินขึ้นชั้น ๒ มาหาหมอได้จนทุกวันนี้

จะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าอะไร ถ้าไม่ใช่ปาฏิหารย์

เมื่อมองไม่เห็น ก็ไม่ขนลุกขนพอง ไม่รู้สึกอันใด หรือมีการเปลี่ยนแปลงตนอย่างใด อย่างที่หลายคนเป็นนั่นเอง

คำที่แม่ชีเมี้ยนกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ ว่า เมื่อคนมีตาไร้แวว นั่นคือขาดปัญญา พิจารณา และเอาเหตุเอาผล คนพวกนี้ ก็อุปมาเหมือน "เข้าป่า ไม่เห็นไม้ อยู่ใกล้ช้าง ไม่เห็นงา"

แม้เขาจะเข้ามาอยู่ในแดนดินของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็มองไม่เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขาเหล่านั้น รอที่จะเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลอยลงมานั่นเอง

ต่อให้รอจนตายแล้วตายอีก เขาก็ไม่มีวันได้เห็นอย่างแน่นอน

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โกหก คำโต ๆ

หลายคนจะได้พบคำวินิจฉัยของหมอ ที่ว่า "อวัยวะส่วนนี้ส่วนนั้นตาย ต้องตัด หรือเปลี่ยน"

หลายคนก็หลงเชื่อ และเข้าสู่กระบวนการเชือด นั่นคือ การผ่าตัด ไม่ว่าเพื่อผ่าออก หรือผ่าเปลี่ยน ก็แล้วแต่

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน จนห้องผ่าตัดต้องจองคิวกันแน่น

แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนว่า เพราะคนเหล่านั้นขาดองค์ความรู้ ขาดพิจารณา ขาดภูมิปัญญาของพระภูมีนั่นเอง

คำถามง่ายๆ ที่ท่านให้ลองพิจารณา แล้วหาคำตอบ

สิ่งมีชีวิต เมื่อตายก็ต้องเน่าเสีย ใช่หรือไม่

เมื่อหมอวินิจฉัยว่า อวัยวะส่วนนั้นตายหรือเสียไป ทำไมมันจึงไม่เน่า สามารถดำรงอยู่ในร่างกายเราได้

คำตอบ หรือ เหตุผล นี้ คงไม่มีหมอใดมาตอบหรือพูดให้ท่านฟัง

หากแต่แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า พระภูมีทรงรู้แจ้ง และสอนว่า แท้จริงแล้วอวัยวะส่วนนั้นๆ มันไม่ได้ตายนั่นเอง เพียงแต่ถูกสิ่งแปลกปลอมไปกดทับ จนเกิดสภาวะน๊อคหรือสลบไป

ดุจดังคนเรา ถ้าตายไป เจ็ดวันก็เน่าแล้ว หากสลบไป ถึงจะเจ็ดวันสิบวัน ก็ไม่เน่าเปื่อย เป็นเพียงแค่เคลื่อนไหว หรือทำอะไรไม่ได้เท่านั้นเอง

แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสสอนชี้ความจริงข้อนี้ให้หลวงพ่อนิพนธ์เห็นว่า ทำไมสมุนไพรจึงช่วยได้ เพราะอวัยวะไม่ได้ตาย มันแค่สลบนั่นเอง

สิ่งที่ชี้ให้เห็นประการต่อมา นั่นคือ สิ่งที่ทำให้อวัยวะสลบ ทำงานไม่ได้ นั่นคือสิ่งแปลกปลอม หรือสิ่งที่ไม่ใช่มาจากธรรมชาติ การสลบจึงเป็นผลจากสารเคมีนั่นเอง ที่ไปสะสมในอวัยวะนั้นๆ

จึงเป็นที่มาของการห้ามหรือขอให้ลดการทานสารเคมี เมื่อเลือกจะเดินทางแนวสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนนั่นเอง

หลังจากหยุดเหตุ ก็มาฟื้นฟูอวัยวะ โดยการใช้สมุนไพร กระตุ้นให้ฟื้นกลับมาทำงานได้ดั่งเดิม

เราจึงเห็นภาพ คนที่หมอบอกว่าไตวาย ต้องเปลี่ยนไต แล้วไม่เปลี่ยนมาทานสมุนไพรแล้ว ไตกลับมาฟื้นได้

เราจึงเห็นภาพ คนที่หมอบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจตาย ต้องเปลี่ยน แล้วไม่เปลี่ยน กลับมาทำงานเป็นปกติได้

และเห็นภาพอย่างนี้ในทุกอวัยวะ

ก็จึงไม่แปลกใจว่า หลวงพ่อนิพนธ์มักพูดเสมอว่า สิ่งที่ท่านพูดเป็นจริง ไม่มีหมอไหนกล้าเถียง หรือกล้ามาพิสูจน์

เพราะโกหกคำโต หากพิสูจน์เมื่อไร ก็หมดทางหากินวันนั้นนั่นเอง

ขนาดแผลเบาหวานเน่า ยังต้องคว้านออก นี่อวัยวะอยู่ในร่างกาย ตายแล้วมันไม่เน่า ยังอยู่ในร่างกายได้ .... หาเหตุผล คิดไตร่ตรอง แล้วจะรู้......

สมุนไพรจึงไม่ได้มีไว้รักษาโรค แต่มีไว้ฟื้นฟูอวัยวะให้กลับมาทำงานเป็นปกติมากที่สุด ที่เหลือร่างกายเขามีความสามารถทำได้เองอยู่แล้ว เพราะเขาสร้างมาเอง

ฉะนั้น อย่าไปถามวิทยากรเลย สมุนไพรตัวนี้รักษาโรคอะไร .. ถามให้ตาย ก็ได้คำตอบว่า... ไม่ได้รักษาโรคอะไรเลย กลับมา

คุณสมบัติ - แค่ซื้อน้ำก็ได้บุญ จริงหรอ?

การกระทำที่เราคิดว่าถูก หากแต่ในหลักของพระภูมี กลับเป็นคนละเรื่อง สิ่งนี้จึงเป็นคำยืนยันของหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ผลสำเร็จในเบื้องต้น มาจาก "องค์ความรู้ของพระภูมี"

เมื่อคิดเอง ทำเอง โดยไม่ศึกษา แล้วนั่งตีขิม รอผลบุญแห่งการกระทำตามความคิดตน เมื่อผลปรากฎ สิ่งที่เราทำอาจไม่ได้อะไรเลย หรือซ้ำร้ายกระทำผิด จนผลผิดย้อนมาสนองตน

ยกตัวอย่างเรื่องที่ทำกันอยู่ทุกสัปดาห์ของเหล่าสมาชิก

ความคิดที่มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าเป็นเจตนาที่ดีบริสุทธิ์มากๆ คิดโดยตรรกะทั่วไป ก็มองไม่เห็นซึ่งมลทินอันใดเลย นั่นคือ การซื้อน้ำ

กิจกรรมการซื้อน้ำ เป็นกิจกรรมที่ใช้หลักหมูไปไก่มา คือ "พึ่งกันและกัน" หลวงพ่อนิพนธ์จึงดำริ ดำเนินการทำขึ้นเพื่อสร้างกิจกรรมให้ทุกคนมีส่วนร่วม "ทำบุญและทำทาน" เพื่อช่วยตนและผู้อื่น

กิจกรรมนี้ จึงเริ่มต้นด้วยความคิดที่ว่า ไม่เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป ทุกคนมีส่วนร่วมและทำได้ตามกำลังของตน ราคาที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนดจึงอยู่บนพื้นฐาน ที่ทั้งผู้ทำและผู้ซื้อ ไม่เป็นหนี้ซึ่งกันและกัน ผลที่ได้ก็จะถูกรวบรวมไปเพื่อจัดซื้อสมุนไพร

องค์ความรู้ที่ขาดไป หรือขาดความเข้าใจ ของเหล่าสมาชิก ในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ก็คือ กิจกรรมนี้มีไว้สร้างคุณสมบัติ ในตนให้เกิดขึ้นตามครรลองของพระภูมี

หากแต่เมื่อความเข้าใจถูกตัดตอน หลายคนจึงคิดว่า ฉันซื้อน้ำร้อยแพ็ค จ่ายเงินหกพันบาท หิ้วน้ำกลับแพ็คเดียว ฉันได้ทำบุญแล้ว และทำถูกต้อง เงินที่ให้ไปจะช่วยหลวงพ่อไว้ซื้อสมุนไพร จึงทำด้วยความเต็มใจ

ความจริงแล้ว สิ่งนี้เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะผู้ทำจะกลายเป็นบาป อันค้าขายกำไรเกินควร แลผู้ซื้อก็จะกลายเป็นผู้ขาดคุณสมบัติของพระภูมี

ท่านจึงยกตัวอย่างสมัยพุทธกาลให้ฟัง ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านไปยังตำบลแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งมีเศรษฐีคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระภูมีทราบ ขณะเดียวกัน ก็มีตายายคู่หนึ่งทราบเช่นกัน

เศรษฐีจึงสั่งให้บ่าวไพร่หลายสิบคน จัดสำรับ ทำอาหารอย่างดี เพื่อไปถวาย ขณะเดียวกัน ยายก็ให้ตาไปเก็บผักหวาน ส่วนยายก็ตั้งหม้อ หุงข้าว ทำแกงเลียงไปถวายเช่นกัน

ครั้นถึงเวลา เศรษฐีก็ให้บ่าวไพร่ จัดสำรับคาวหวาน ใส่ภาชนะอย่างดีที่สุด นำไปถวาย เช่นเดียวกับตายาย ก็นำแกงเลียงใส่หม้อดิน และข้าว พร้อมช้อนสังกะสี

เมื่อพระพุทธเจ้า พิจารณา ก็ทรงฉันข้าวและแกงเลียงของตายายจนหมดสิ้น โดยไม่แตะอาหารใดๆ ของเศรษฐีเลย

เมื่อเศรษฐีได้เห็นดังนั้น รอจนฉันเสร็จจึงทูลถามในความสงสัย

พระภูมีทรงตรัสว่า หลักของตถาคต คือ "ตนพึ่งตน" แลเมื่อตถาคตพิจารณาแล้วก็เห็นว่า สองตายาย ใช้หลักที่ตถาคตใช้อยู่จึงเสมือนเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนของท่านเศรษฐี อาหารที่ทำมา มิได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดเลยที่เป็นน้ำเหงื่อน้ำแรงในการทำ แม้นทานไป ก็หาประโยชน์แก่ท่านเศรษฐีหามีไม่

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมของคนซื้อน้ำก็เช่นกัน ใช้เงินมาแลก หาได้มีน้ำพักน้ำแรง และส่วนร่วมในกิจกรรมใดๆ ไม่ การทำนั้นจึงไม่ได้ผลเท่าที่ควร

หากการกระทำที่ถูกก็ควรทำให้ถูกต้องตามครรลองของพระภูมี เริ่มจากการทำบุญ เมื่อซื้อน้ำก็รับน้ำไปตามจำนวนที่ซื้อ จะนำไปแจกหรือทำเช่นไรก็สุดแล้วแต่

หากกระบวนการยังไม่สิ้นสุด เมื่อทำบุญ พระภูมีสอนให้ทำทานควบคู่กันไป ด้วยการให้สุขแก่เพื่อนมนุษย์ น้ำที่เราซื้อไป จึงต้องมีสติพึงเก็บรักษาขวดให้สะอาด นำกลับมาเพื่อเป็นบรรจุภัณฑ์ ที่ใส่สมุนไพรเพื่อคลายทุกข์ของเพื่อนมนุษย์

การทำทั้งสองส่วนจึงจะสมบูรณ์ในกิจกรรม

เมื่อทำแล้ว ยามที่เรากราบแม่ชีเมี้ยน กราบพระพุทธ เราจึงอ้างเอ่ย บุญและทานที่ได้ทำในกิจกรรมนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร .... ดั่งเช่นหลังสวดมนต์

พึงเห็นได้ว่า ผู้ที่ซื้อมาก โดยไม่ทำอะไรเลย การกระทำก็ดั่งเช่นเศรษฐี ผู้ที่้ซื้อน้อย มีสติและทำตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ก็อุปมาดั่งตายาย

ผลที่ปรากฎ จึงกลายเป็น ทำน้อยได้มาก ทำมากได้น้อย

ก็เพราะเรื่องของสมุนไพร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ ดุจดั่งกุมารทอง รู้ใจคนทำ รู้ใจคนกิน และผลของสมุนไพร ขึ้นกับคุณสมบัตินั่นเอง ยิ่งทำถูกเท่าไร ผลยิ่งมหาศาล ไม่ได้ขึ้นกับการให้เงินมากเท่าไร ผลจะมหาศาลตามจำนวนก็หาไม่

การซื้อน้ำ และการเก็บรักษาขวดน้ำ เพื่อนำมาเป็นบรรจุภัณฑ์ จึงเหมือนเป็นภาระ หากแต่ภาระนี้แหละคือคุณสมบัติที่ฟ้าดินเขาพิจารณา ว่าตัวผู้ทำเดินตามใคร ยึดหลักคำสอนของใคร

ก็เพราะถ้าเราท่าน ไปมือเปล่า มามือเปล่า นั่นหมายความว่า เราไม่เคยคิดที่จะให้สุขแก่ผู้ใดเลย แล้วสุขนั้นจะย้อนมาสู่ตนได้โดยวิธีใด

ยิ่งเราพิถีพิถันในสิ่งที่จะทำให้คนอื่นเท่าไร ผู้รับได้สุขมาก ผลที่ย้อนกลับก็ยิ่งมาก

เรื่องที่ดูเล็กน้อย ภาชนะที่ดูไร้ค่า หากแต่เราทำด้วยสติ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สิ่งนี้ช่วยให้เราพ้นจากโรคได้ เชื่อหรือไม่ ก็เพราะเราทำตามคำสอนของพระภูมีนั่นเอง เราจึงมีคุณสมบัติให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาเกื้อกูล

อย่ามักง่าย จ่ายเงินไปก็จบ พฤติกรรมเช่นนั้นไม่มีทางพบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่ทำ มันมลายหายไปกับคำพูดและความคิดที่ว่า "หนักก็หนัก เป็นภาระเปล่าๆ"

ก็ภาระนี้แหละ คือตัวกระทำที่ชัดเจน ว่าเรามีคุณสมบัติ เชื่อและทำตามคำสอนของพระภูมี จริงหรือไม่


ปุชฉา วิสัชนา

สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามสร้าง คือ ความเชื่อมั่นในพรหมลิขิต

เพราะพรหมลิขิต หากยังไม่ถึงตามกำหนด ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความเหนียวแน่น ที่สำคัญ ไม่ตายแน่นอน ตราบใดที่ยังไม่ถึงวัน

อะไรทำให้หลวงพ่อนิพนธ์จึงเชื่อมั่นเช่นนั้น

ท่านจึงเล่า ประสพการณ์ในครั้งอดีตเมื่อเป็นพระที่ถ้ำกระบอก

หลังจากได้รับถ่ายทอดวิชาสมุนไพรจากแม่ชีเมี้ยน และเริ่มมีการรับคนป่วยเข้ามารักษาดูแล

กิจกรรมหนึ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตร นั่นคือ การเข้าป่าเพื่อหาสมุนไพร

สิ่งที่อยู่คู่ป่า และที่คนกลัวกันหนักหนา นั่นก็คือยุง เพราะกัดก็เจ็บ คันก็คัน ที่สำคัญ แถมมาด้วยไข้มาเลเรีย

จนวันหนึ่ง หลังออกจากป่า ไข้มาเลเรียก็ถามหา พระนิพนธ์ตัวร้อน มีอาการสั่น และที่สำคัญคือมีอาการไข้มาเลเรียขึ้นสมอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า ผลทำความดี ไปเก็บสมุนไพรให้คนทาน แล้วทำไมยังต้องมาเป็นมาเลเรียอีก

แม่ชีเมี้ยนตรัสตอบว่า ก็กรรมของท่าน จึงย้อนความว่า ท่านจำได้หรือไม่ว่า สมัยเป็นเด็กท่านเคยภูมิใจว่ายิงหนังสติ๊กได้แม่นยำ และเคยยิงหัวนกไว้สองตัว กรรมนั้นย้อนมาหาท่านแล้ว

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แล้วผมจะตายไหม

แม่ชีเมี้ยนกล่าวสอนองค์ความรู้เรื่องพรหมลิขิตให้ฟัง และสรุปว่า พรหมลิขิตของท่านยังอีกไกล แม้อาการจะหนักสักปานใด ก็ไม่ตายหรอก

ท่านต้องใช้ขันติ อดทน ใช้กรรมอันนี้ของท่าน ผ่านไปสี่วันก็จะหายเอง

แล้วก็ทำยาบอระเพ็ดให้พระนิพนธ์ทาน

พระนิพนธ์นอนซมด้วยพิษไข้ ไม่ได้ฉันตลอดสี่วัน

พอวันที่ห้าก็สร่างพิษไข้ และมีอาการโหย ทำให้ฉันได้มากกว่าปกติ

และเมื่อกลับมาเปิดสำนักอีกครั้งในปี ๓๐ ท่านก็ประสบกับปัญหาโรคไส้ติ่ง

บทพิสูจน์จึงกลับมาอีกครั้ง เพราะอาการปวดรุมเร้า จนลูกศิษย์ที่เป็นหมอและพยาบาล เห็นแล้วว่าท่านไม่ไปหาหมอผ่าตัดแน่ จึงใช้วิธีวางยาสลบในอาหารและน้ำดื่ม

หลวงพ่อนิพนธ์รู้ความคิดของคนเหล่านั้น จึงปิดห้องอยู่ลำพัง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นในความจริงอันนี้

ท่านนอนปวดอยู่ ๔๘ ชั่วโมง หลังจากนั้นไส้ติ่งก็แตก และถ่ายเป็นเลือดพิษ ร่างกายก็กลับมาเป็นปกติ

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า คนโลภอาศัยความกลัว สร้างมโนภาพที่ผิดกับความเป็นจริง เพราะแท้จริงแล้ว เมื่อไส้ติ่งแตก หาใช่แตกภายนอกไม่ ร่างกายจะมีกลไกดูดกลับไปอยู่ภายในลำไส้ และถ่ายออก

อาศัยซึ่งความกลัวปวด และกลัวตาย จึงทำให้เกิดช่องทางหากินกับความไม่รู้นี้เอง

ยิ่งไปกว่านั้น แม่ชีเมี้ยนยังตรัสว่า หากร่างกายได้ผ่านการปวดของไส้ติ่งนี้ได้แล้วนั้น จะเกิดภูมิต้านทานอันมหาศาล และจะไม่มีอาการปวดท้องอีกเลย

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อหายจากมาเลเรียครั้งนั้น แม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวกับพระนิพนธ์ว่า ให้นำความรู้นี้ไปปลุกปั่นชาวประชา แม้นจะมีคนเชื่อไม่มาก หากแต่คนกลุ่มนั้น ก็จะได้ซึ่งสมบัติของพระภูมีที่ทิ้งไว้ให้ นั่นคือ "มนุษย์สมบัติ" อันทำให้ กินเป็นสุข นอนเป็นสุข ไม่มีโรคภัยมาสร้างทุกข์ แม้ถึงพรหมลิขิต ก็เสมือนคนหลับ

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กุมารทอง


หลวงพ่อนิพนธ์ ย้ำนัก ย้ำหนา ว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ มีญาณหยั่งรู้ รู้นิสัย เจตนา ทั้งคนทำ และคนทาน

บทบัญบัติของฟ้าดิน ในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ การปลุกเสก

อุปมาพระ ที่ซึ่งทำมาจากดิน หากยังไม่ได้ปลุกเสก ก็ไร้ค่า ฉันใดก็ฉันนั้น

สมุนไพรก็เฉกเช่นเดียวกัน จะมีฤทธิ์ไม่ได้เลย หากไม่มีการปลุกเสก

แม่ชีเมี้ยนได้ตรัสให้หลวงพ่อนิพนธ์ฟังว่า สมุนไพรของแม่ จะมีฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อผู้ทำ ต้องมีคุณธรรม คือ ทำให้

แลเมื่อผู้ทานรับไป ก็ต้องทำการปลุกเสกด้วยตนเอง จึงมีฤทธิ์สมบูรณ์ อุปมาการตบมือ หากตบข้างเดียวไม่มีวันดัง ฉันใดก็ฉันนั้น

การปลุกเสกสมุนไพรฝั่งผู้ทาน ที่พระภูมีทรงตรัสรู้และสอนสั่งนั้น ก็พิจารณาจากพื้นฐานที่มาของโรค นั่นคือกรรม อันเกิดจากนิสัยของผู้ทานนั้นเอง

ดังนั้น ผู้ทานจึงต้องเปลี่ยนนิสัยกรรม ให้เป็นนิสัยธรรม

อันนิสัยกรรมทำให้ผู้อื่นทุกงบข์ นิสัยธรรม ซึ่งตรงข้าม จึงต้องให้เราสงบ ลดกิริยา แลกล่าวสิ่งที่เป็นบุญ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ด้วยเหตุนี้แม้ข่มเขาโคขืนก็ต้องให้ผู้ที่มาต้องสวดมนต์ และฟังท่าน เพื่อไปสร้างนิสัยบุญ

เมื่อฟังแล้ว พิจารณาแล้ว ไม่ชอบ ก็ไม่ควรมาเสียเวลา เสียเงิน กับที่นี่ เพราะแม้นทานสมุนไพรสักฉันใด กุมารทอง หรือวิญญาณของสมุนไพรก็ไม่บังเกิด

ทานไป ก็เหมือนทานยาเคมี คือมีแต่สังขาร ไม่มีวิญญาณ สู้โรคไม่ได้หรอก

หากฟัง พิจารณาแล้วเห็นด้วย ก็ต้องสร้างศรัทธาให้เกิด แล้วปฏิบัติตามธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าบางประการที่ให้ทำ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างการปลุกเสกสมุนไพรว่า เรารินยาเขียว แล้วนำไปไหว้ที่หิ้งพระ จากนั้นให้สัจจะว่าจะทำตามธรรมคำสอน อาทิเช่น ไม่โกรธ หรือไม่ด่าใคร หนึ่งชั่วโมง

ครบหนึ่งชั่วโมงที่ทำได้ แล้วจึงมาอธิษฐานขอผลบุญจากสิ่งที่ทำในหนึ่งชั่วโมงนั้นมาช่วยตน

การปฏิบัติธรรมคือการปลุกเสกนั่นเอง ทำเอง ไม่ต้องพึ่งใคร พระภูมีจึงเรียกว่า หลัก "ตนพึ่งตน"

กุมารทอง หรือฤทธิ์ของสมุนไพร จะมากจะน้อย ก็ขึ้นกับสิ่งที่ตัวทำนั่นเอง จึงเป็นดั่งคำตรัสของพระภูมี ที่ว่า เรามีแต่คำสอน ให้พรใครไม่ได้หรอก หากใครอยากได้สิ่งไร ให้นำคำสอนไปทำ ก็จักได้ตามสิ่งที่ขอ

พูดง่ายๆ อยากได้อะไร ก็ "ทำเอง"

โรคอาศัย "พลังกรรม" สมุนไพรอาศัย "พลังธรรม"

หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า เรายอมใช้กรรมที่ทำแล้ว ทำให้พลังกรรมอ่อนลง และประพฤติธรรมคำสอน ทำให้พลังธรรมมากขึ้น เมื่อยืนระยะในสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ช้ากรรมต้องหมด ผลต้องเกิด

หากไม่มีปฏิบัติธรรมคำสอนแล้ว สมุนไพรก็กลายเป็นมัมมี่ ช่วยใครไม่ได้ อันเห็นได้จากถ้ำกระบอก และพระที่แตกตัวไปตั้งสำนักทั้ง ๗ ท้ายที่สุด ก็ตายด้วยโรคทุกตัวคน

ก็สมุนไพรสูตรเดียวกัน เจ้าของตำราคนเดียวกัน

หลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดอย่างเปิดอกว่า หากไม่ชอบการทำแบบนี้ ก็ไม่ควรเสียเวลา ไปหาวิธีที่ชอบจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาโทษกันในภายหลัง ว่าหลอกกัน ไหนว่าสมุนไพรดี

ก็เพราะต้องมีกุมารทองนั่นเอง .....

โฟล์คซองวงเล็ก

พฤหัส ที่ผ่านมา หลังจากทานสมุนไพรมะพร้าวแล้ว คนไข้ก็จะมานั่งกันในศาลา

ก็เพราะว่า จะมีวงดนตรีวงเล็กๆ มาร้องขับกล่อมบรรเลงให้ฟัง

ศิลปิน ที่ขับกล่อม คือ มงคล อุทก และผองเพื่อน

หลังจากที่ฟื้นฟูกลับมาช่วยตัวเองได้ และสามารถกลับไปทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวได้อีกครั้ง

จึงเป็นที่มาของวงดนตรีเล็กๆ นี้ เพื่อนำสิ่งที่ได้กลับคืนมา มาสร้างสุขให้แก่คนทุกข์จากโรคภัย ได้ผ่อนคลาย และรอวันฟื้นคืนกลับดั่งเช่นตัวเขานั่นเอง

วันนี้ เราจึงเห็นนักร้อง อย่างคุณธานินทร์ มาช่วยปั้นขนมในเทศกาลขนมเทียน ได้เห็น คุณมงคล อุทก มาร้องเพลงให้คนไข้ฟัง ได้เห็นคุณแชมเปญ เอ็กซ์ มาตำส้มตำขายให้คนไข้ ได้เห็นคุณศิรินทรา นิยากร มาเป็นผู้นำสวดมนต์ ได้เห็นดาราหลายๆ คน ที่มาทำงานในชมรมคนรักสุขภาพแห่งนี้

การมา คือ การเสียซึ่งรายได้

หากแต่การเสียรายได้นี้ จะนำพามาซึ่งรายได้บุญไว้หล่อเลี้ยงชีวิต

แลรายได้บุญนี้เอง ทำให้คนเหล่านี้นำไปใช้แก้ปัญหาสุขภาพและชีวิต

จึงมีภาพ คุณยุ้ยจีระนันท์ และคุณทัน มายืนขายน้ำ ได้เห็นคุณปรียานุช และคุณนพพล มายืนขายกาแฟ ให้เห็น

สิ่งนี้ย่อมเป็นเครื่องยืนยัน บุญ ไม่ได้มาด้วยเงิน อยากได้ต้องทำด้วยตนเอง และต้องทำให้ถูกจึงจะได้

แม่ชีเมี้ยนตรัสถึงหนทางบุญไว้ว่า "ที่ใดมีคนทุกข์ ที่นั่นแลคือแหล่งบุญ"

เดินไม่สุดราว

หลายต่อหลายคน ที่เลือกเดินทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น

หากแต่ทางเลือกสายนี้ ไม่ได้เป็นที่ศรัทธา หรือ ชี่นชอบ ก็มากมาย

แต่เมื่อทำถูก ผลถูกก็ย่อมเกิด เมื่อมีวันเวลาในการทำ จะอย่างไรเสียก็มีผล ไม่มากก็น้อย

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงยกตัวอย่างคนไข้หลายรายให้ฟัง

คนไข้รายหนึ่ง เป็นมะเร็ง พี่สาวของคนไข้ มีความรอบรู้ในเรื่องแพทย์สมัยใหม่อย่างเชี่ยวชาญ และเชื่อมั่น

การตัดสินใจในกระบวนการรักษา ที่เชื่อว่าจะช่วยน้องชายได้ คือการฉีดคีโมชั้นดี จำนวน ๑๒ เข็ม

การฉีดคีโมให้น้องชายจึงดำเนินไป จนกระทั่งถึงเข็มที่ ๔

ร่างกายของน้องชาย ไม่สามารถทนผลข้างเคียงของคีโมได้อีกต่อไป หมอจึงกล่าวว่า ต้องให้น้องชายของเธอพักร่างกายก่อน อย่างน้อยก็ ๓ เดือน เพราะถ้าฉีดเข็มที่ ๕ คิดว่าคงทนไม่ไหวและอาจเสียชีวิตได้

เมื่อเธอได้รับคำแนะนำจากเพื่อน เธอจึงพาน้องชายมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อทานสมุนไพรฟื้นฟูสภาพของน้องชาย

การก็เป็นไปดั่งใจเธอหวัง ผ่านไปสองเดือน น้องชายเธอกลับมามีร่างกายที่แข็งแรงอีกครั้ง

เธอจึงนำน้องชาย ไปเข้ารับการฉีดคีโมอีกครั้ง

สภาพที่ดีขึ้นของน้องชาย หลังจากทานสมุนไพร ทำให้สามารถทนผลของคีโมได้ ดั่งเธอหวัง ทำให้น้องชายของเธอ ได้รับคีโมครบคอร์ส ๑๒ เข็ม ตามที่หมอกำหนด

หากแต่สิ่งที่ไม่เป็นดั่งใจเธอก็คือ น้องชายของเธอเสียชีวิต หลังคีโมครบ ๑๒ เข็ม นั่นเอง

คนไข้อีกรายหนึ่ง ซึ่งป่วยเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ และใช้เคมีช่วยระงับอาการของเธอมาตลอดชีวิต

จนวันหนึ่ง หมอบอกกับเธอว่า ร่างกายของเธอต่อต้ายยาเคมีทุกประเภท แม้กระทั่งยาเทวดาคือเสตียรอยด์

นั่นหมายความว่า นับต่อแต่นี้ไป เธอจะไม่สามารถใช้ยาได้อีก อาการที่เกิด ก็ต้องทน และรับมันไปจนถึงวันเสียชีวิต

เธอก็ได้เวียนว่ายมาจนพบหลวงพ่อนิพนธ์ และใช้สมุนไพรในการฟื้นฟู

แม้อาการของเธอจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอไม่เคยคิดที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเลย

ผ่านไป ๖ เดือน เมื่อร่างกายพร้อมที่จะสู้โรค นั่นคือ การเกิดอาการลงแดง ทำให้เธอตัดสินใจทิ้งสมุนไพร

แต่ผลจากการทำถูกในช่่วง ๖ เดือนของเธอ ทำให้เธอสามารถกลับไปใช้เคมีเพื่อระงับอาการได้อีกครั้งโดยไม่ปรากฎอาการแพ้แต่อย่างใด

ตัวอย่างเหล่านี้ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ยกมาให้ฟังให้คิด จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร สมุนไพรก็ยังคงให้คุณ เมื่อมีวันและเวลายืนระยะในการทาน

และแม้จะไปไม่ถึงฝั่งฝันในการหายโรค ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม อย่างน้อย ก็ทำให้กลับไปใช้ชีวิตตามทางที่ชอบได้

พูดง่ายๆ ผลถูกที่ทำนี้ ย่อมให้ผลในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

โลกหวนกลับ

เผลอแพลบเดียว ก็ผ่านไปห้าสัปดาห์ของนางงามสี่ตำแหน่งของสหรัฐ ที่บินมารักษาตัวอยู่กับหลวงพ่อนิพนธ์

อาการโรคกระดูกของเธอ ที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคนี้ที่สุดของสหรัฐ บอกกับเธอว่า หมดหนทาง

การดำรงอยู่คือทานยาเคมี เพื่อประทังวันละกำมือ หากละเว้นก็จะเกิดอาการปวดกระดูก ทรมานจนต้องนั่งรถเข็น

เมื่อมาเริ่มต้นทานสมุนไพร ก็เจอบทพิสูจน์เฉกเช่นที่โรเบิร์ตผ่านเช่นกัน นั่นคือ การต้องทิ้งยาเคมีที่ทานอยู่ทั้งหมด

ยาที่หอบมาถุงใหญ่ ก็ถูกทิ้งไป เพราะเธอเลือกเดินทางนี้ พร้อมกับบทพิสูจน์ใจ นั่นคือ การอดทนปวด ทานสมุนไพรไป ร้องไห้ไป ในช่วงเริ่มต้น

การฟื้นฟูด้วยสมุนไพร ในสิ่งที่วิทยาศาสตร์บอกว่า เป็นไปไม่ได้ ก็เริ่มปรากฎแววให้เห็น ในความเป็นไปได้

เพราะวันนี้ของเธอ กลับมาเดินและเริ่มวิ่งได้แล้วนั่นเอง

ในขณะที่เหตุการณ์คู่ขนานก็เกิดขึ้น พร้อมจุดสุดท้ายของวิทยาศาสตร์ ที่ถึงทางตัน

นั่นคือ มีคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคเซลล์สมองเสื่อม และใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ จนถึงกระบวนการสุดท้าย เมื่อเจอทางตัน จึงมาพร้อมคำวินิจฉัย

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ไม่สามารถช่วยได้อีกแล้ว เหลือขั้นตอนสุดท้ายเพื่อยื้อชีวิตให้ได้นานที่สุด นั่นคือ การผ่าตัดช่องท้องและให้อาหารทางสาย แต่ก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคนี้ของสหรัฐ จึงแนะนำคนไข้ว่า จากข่าวที่เขาทราบมาว่ามีผู้ป่วยโรคนี้แล้วหายด้วยสมุนไพรที่เมืองไทย คิดว่าน่าจะลองมาใช้วิธีนี้ดู ซึ่งยังมีโอกาส ดีกว่าให้คนไข้นอนรอวัน

เมื่อคนไข้ตกลง จึงได้ทำการติดต่อประสานมายังหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อร้องขอให้รับคนไข้รายนี้ไว้ ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ก็ตอบรับ

โลกวันวาน คนที่เป็นโรค ล้วนแล้วบินไปหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค ของฝั่งตะวันตก เพื่อฝากผีฝากไข้ ด้วยเลื่อมใสในวิทยาการ ที่ว่ากันว่า ก้าวล้ำทันสมัย

โลกวันนี้ แพทย์ฝั่งตะวันตก ล้วนทราบดีว่า ความรู้และวิทยากที่มีอยู่ไม่สามารถตอบโจทย์ได้เลย เห็นได้ชัดจากปริมาณของตัวเลขผู้ป่วยไม่ว่าในส่วนใด ล้วนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

วันนี้ เขาจึงละทิ้งความหยิ่ง ทิฐิ เพื่อทางรอดของผู้ป่วย ยอมที่จะส่งข้ามฟากโลกมาฝั่งตะวันออก ใช้สมุนไพรในการช่วยผู้ป่วยของเขาอย่างเต็มใจ

น่าแปลก ที่อีกฟากโลกมองเห็นคุณค่าและยอมรับ หากแต่ประเทศต้นกำเนิด กลับมีพฤติกรรมที่ตรงข้าม .... กรรมอะไรหนอ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ไหว้

คนไข้หญิงสูงวัยท่านหนึ่ง เล่าภาพที่เห็นด้วยความไม่เชื่อสายตา ว่าเป็นจริง

ภาพที่เธอเห็น คือชายสูงวัยอายุ เกือบ ๘๐ ปี ที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆ เธอ ก้มลงกราบหลวงพ่อนิพนธ์ ผู้ซึ่งอ่อนวัยกว่าด้วยความเต็มใจ

ภาพคนกราบหลวงพ่อนิพนธ์ ก็คงเป็นภาพที่คนทั่วไปเห็นบ่อยๆ จนชินตา

ชายสูงวัยท่านนี้ พาลูกชายที่มีอาการโรคไตวายขั้นสุดท้าย จนหมอปฏิเสธในการรักษา ตัวบวม เดินแทบไม่ไหว มาหาหลวงพ่อนิพนธ์

ในชีวิตของท่านผู้นี้ คงเจอแต่คนกราบไหว้ และคงแทบจะไม่เคยกราบไหว้ใคร เพราะนามของท่านคือ พ.อ.ณรงค์ กิติขจร

ชายผู้ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เคยตั้งข้อหากักตุนน้ำตาล และจับท่าน เมื่อในอดีต ได้หวนมาพบกันอีกครั้ง

เรื่องในอดีตผ่านไป แต่วันนี้หลวงพ่อนิพนธ์รับลูกของเขาเป็นคนไข้ จวบจนวันนี้ กลับมาผอมและเดินตัวปลิว ไม่เหลือแววของคนใกล้ตายไว้เลย

คนไข้หญิงสูงวัย จึงกล่าวด้วยความแปลกใจอย่างยิ่ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำให้คนข้างบ้านเธอท่านนี้ ก้มลงกราบได้

นั่นแหละเป็นเครื่องยืนยันว่า การที่คนเรียกและกราบ ไม่ใช่เพราะผ้าเหลืองที่ห่อหุ้ม หากแต่เป็นการกราบในพระคุณของท่านนั่นเอง

แม้กระทั่งคนสูงวัยท่านนี้ ยังยอมทำด้วยความเต็มใจเลย



วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่าวแจ้งจาก อ.อร่าม

วิทยากรหลัก คือ ท่าน อ.อร่าม แจ้งว่า เนื่องด้วยในเดือนกรกฎาคมนี้ ท่าน อ.สุนทร ติดราชการ ต้องสอนหนังสือต่างจังหวัดตลอดทั้งเดือน

ดังนั้น การให้บริการในส่วนของคำแนะนำ ปรึกษาที่จัดไว้ให้ ณ แผนกประชาสัมพันธ์ จึงขอจำกัดเวลา ช่วงประมาณ บ่ายโมง ถึง บ่ายสอง

หากเป็นวันพฤหัสบดี ก็สามารสอบถามจากวิทยากรอีกท่าน คือ คุณณัฐนนท์ เลิศสัตยพร ได้ในเวลาอบรมคนไข้ใหม่

ขออภัยในความไม่สะดวก

หากแต่ในส่วนของการสอบถามทั่วไป ยังเปิดให้บริการ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า ถึง สี่โมงเย็น เหมือนเดิม

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สถานการณ์ปัจจุบัน

เมื่อการตอบรับ การให้ความร่วมมือจากกรรมการ และผู้ป่วยเป็นไปด้วยดี นั่นย่อมหมายถึงทุนที่จะซื้อหาสมุนไพรย่อมไม่ใช่น่าเรื่องเป็นห่วง ในการรองรับปริมาณของคนที่มาในขณะนี้และอนาคต

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ประเด็นที่สำตัญในตอนนี้ คือ ทำความเข้าใจกับผู้ป่วยที่มา แล้วเมื่อได้คนเชื่อ คนที่ศรัทธา แล้วทำตาม จนประสพผลความสำเร็จ นั่นคือ การช่วยตนเองได้แล้ว

ผู้ที่ประสพผลสำเร็จในการช่วยตน ก็ควรที่จะทำหน้าที่ที่สำคัญประการหนึ่ง นั่นคือ "การเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์"

เมื่อท่านได้รับความเมตตา ได้ความรู้ ได้ทำตนจนประสพผล นั่นหมายถึง ความรู้ที่ท่านมี ท่านทำ นั้นได้ผ่านการกลั่นกรองตรวจสอบ และปฏิบัติจนเห็นผล หลวงพ่อนิพนธ์จึงอยากให้ท่าน นำความรู้ที่มีถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นต่อไป

ดั่งคำแม่ชีเมี้ยนสอนสงฆ์ "ให้นำสิ่งที่ทำได้แล้ว ไปสอนสัตว์โลก อย่านำความคิด ความเห็นของตน ส่งให้สัตว์โลก"

พระมาลัยเช่นท่าน จะทำให้คนรุ่นหลัง มีความมั่นใจ และเข้าใจ ที่สำคัญทำตนได้ถูกต้องตามวิถีทางที่พระภููมีบัญญัติ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "ไม่ผิดพลาด" เพราะตัวท่านได้พิสูจน์และทำมาแล้วนั่นเอง

ผู้ไม่รู้ นิ่งเสีย ได้ตำลึงทอง ผู้รู้ ไม่พูด เขาเรียกขาดเมตตา

สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติในการพูดของท่านเหล่านี้ คือ อย่าหวังว่าทุกคนจะเชื่อ และทำตาม เพราะเป็นไปไม่ได้ หากแต่ควรให้กับผู้ที่อยากได้ แม้จะมีจำนวนน้อย หรือแค่คนเดียว ก็เรียกได้ว่าประสพผลแล้ว เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกคือ มนุษย์ บุญที่สร้างมนุษย์เพียงคนเดียวก็พอเลี้ยงตนได้แล้ว

การเรียนรู้ และศึกษาในวันนี้ของผู้ที่กำลังจะช่วยตน ไม่ใช่มีเพื่อตนเท่านั้น หากแต่ความรู้นี้ เมื่อใดที่ท่านประสพผล ก็สามารถถ่ายทอดไปยังคนรุ่นหลัง ให้เดินทางได้ถูกต้อง และประสพผลเช่นดั่งท่าน การเรียนรู้ จึงมีความหมายมหาศาล และเป็นสายธารของเมตตาที่ต่อเนื่องจากบรมครูแม่ชีเมี้ยน ผ่านมาถึงเรา ไปยังคนรุ่นหลังนั่นเอง

นี่แหละ "เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก"

ก่อนจะเป็นมูลนิธิไทยกรุณา

หลังจากที่ต้องออกจากถ้ำกระบอก พร้อมคำสาบานที่ท่านจำรูญ พระพี่ชายให้สาบานแล้วนั้น

แต่ไม่วาย ก็ยังถูกท่านจำรูญแจ้งจับ และให้คนตามล่า จนต้องหนีไปอยู่ลาว

รอจนลูกศิษย์เคลียร์เรื่องและคดีจนจบ จึงได้กลับมา

จวบจนกระทั่งปี ๓๐ ที่เริ่มมีอาการของโรคมะเร็ง จึงร้องขอท่านจำรูญเปิดสำนัก เพื่อนำตำราแม่มาหาบุญรักษาตัว

ท่านจำรูญอนุญาติให้เปิดสำนัก แต่ห้ามบวช จึงได้เกิดสำนักสงฆ์เล็กๆที่ ซอย ๖ สายตรี ต.โคกตูม อ.เมือง ลพบุรี ชื่อว่า "สำนักสงฆ์ ลำบาลี" เกิดขึ้น

เวลาผ่านไปไม่นาน ก็เริ่มเกิดสภาวะที่คนแห่แหนกันมาจนเนืองแน่น หลวงพ่อนิพนธ์ก็แบกภาระไม่ไหว พร้อมกับเริ่มเกิดปรากฎการณ์ที่ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์เกิดความเบื่อหน่าย นั่นคือ "การพูดกันไม่รู้เรื่อง" ระหว่างท่านกับคนที่มา

สิ่งนี้เอง ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย จนในท้ายที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์ตัดสินใจปิดสำนัก แล้วย้ายพระไปอยู่ศรีสวัสดิ์แทน

สำนักสงฆ์เล็กๆ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ในชื่อ สำนักสงฆ์ "มนต์บาลี" ที่ศรีสวัสดิ์ ปรากฎการณ์ที่หลวงพ่อนิพนธ์ไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้น คือ บริเวณไหล่เขาที่ล้อมสำนักสงฆ์ มีชาวเขา และชาวบ้าน มาปลูกเพิงล้อมไว้หมด คล้ายดั่งเช่นที่ลพบุรี

ด้วยความไม่พร้อมที่รองรับคนป่วย การปิดแล้วย้ายพระหนี จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง กลายมาเป็นสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่อยู่ในป่า ห่างไกลคน และบ้านเรือน เพราะเป็นพื้นที่ที่กันดารที่สุดในประเทศไทย นั่นคือ บริเวณ ต.หนองกุ่ม อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี

พื้นที่ที่กันดาร ห่างไกลผู้คน กลับเต็มไปด้วยผู้คนในเวลาไม่นาน ในขณะเดียวกันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ได้มีดำริให้สร้าง ร้านขนมชื่อ "ศาลาขนมไทย" เพื่อเป็นทุนในการสนับสนุนกิจกรรมของพระ

ไม่ถึงปี สำนักสงฆ์ดังกล่าวก็ต้องปิดตัวลง เพราะทนภาระที่แบกรับจากคลื่นมหาชนไม่ไหว

การดำเนินงาน จึงยุบมาเหลือที่ศาลาขนมไทยเพียงแห่งเดียว

ในช่วงจังหวะนี้เอง จึงได้เกิดคณะกรรมการชุดแรก มีความประสงค์เพื่อสนับสนุนหลวงพ่อนิพนธ์ในด้านทุน เพื่อจัดหาสมุนไพรรองรับคนที่มา จึงเกิด "ชมรมคนรักสุขภาพ" ขึ้นมาในช่วงนี้เอง

หลังจากชมรมก่อตั้งไม่นาน การคาดการณ์ที่ตั้งไว้ผิดพลาด เพราะอัตราการขยายตัวของปริมาณคนไข้เพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก

ศาลาขนมไทย กว้างกว่าสิบคูหา แคบลงไปในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดปรากฎการรถติด เพราะอยู่ติดถนนใหญ่ จนทางหลวงต้องร้องขอความร่วมมือ

คณะกรรมการชมรม จึงได้ขยายพื้นที่มาด้านหลัง ฝั่งตรงข้ามทางรถไฟ บนเนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ ในขณะที่ยังใช้ชื่อเดิมอยู่

เพียงครึ่งปีผ่านไป พื้นที่ดังกล่าวก็เต็มอีก ทำให้ต้องมีการขยายบริเวณอีกสองครั้ง จนเท่าปัจจุบัน

ศาลาขนมไทยในอดีต ก็เริ่มผุพัง คณะกรรมการจึงได้มีความเห็นให้จัดตั้ง มูลนิธิขึ้น เพื่อรองรับผู้ป่วยได้เต็มที่ และรื้อศาลาขนมไทยที่อยู่ด้านหน้าริมถนนออก จนเหลือแต่เสาและแนวกำแพงในปัจจุบัน

ชื่อที่คนรู้จักในอดีตที่เรียกกันติดปาก คือ "ศาลา" อันมีที่มาจาก "ศาลาขนมไทย" หรือ ชมรมคนรักสุขภาพ จวบจนปัจจุบัน ก็ได้กลายมาเป็นมูลนิธิไทยกรุณา

โดยความจริงแล้ว ชื่อที่ใช้ดำเนินการยังคงเป็น "ชมรมคนรักสุขภาพ" โดยมีมูลนิธิไทยกรุณาให้การสนับสนุนนั่นเอง

สิ่งที่มูลนิธิไทยกรุณาแตกต่างจากที่อื่นคือ การเปิดรับบริจาค จะรับเฉพาะจากสมาชิกของชมรมคนรักสุขภาพเท่านั้น ไม่รับจากคนนอกชมรม และจะเปิดรับเป็นครั้งคราว และรอจนกระทั่งเงินใกล้หมดจึงจะเปิดรับใหม่อีกครั้ง

การสร้างเพจนี้ จึงไม่ใช่เพื่อการโฆษณา หากแต่เป็นที่ถ่ายทอดความรู้ ที่ได้ฟัง ได้พบเห็น รวบรวมมาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจ อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่สับสน เพื่อนำไปช่วยตนได้สำเร็จ ตามเจตนาของหลวงพ่อนิพนธ์เท่านั้น

พลังชีวิต

บทบัญญัติของสมุนไพร และธรรมคำสอนของพระภูมี ก่อให้เกิดสัญลักษณ์ที่ทุกคนไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบในแนวทางนี้ ต่างก็ต้องยอมรับ นั่นคือ พลังของชีวิตที่สมบูรณ์

หลวงพ่อนิพนธ์ได้อรรถาธิบายว่า พลังชีวิต นั้นคือ พลังของวิญญาณ อันหมายถึง ผลของการกระทำของเราท่านทุกอย่างที่ทำไป วิญญาณจะเป็นตัวรับผลทุกข์หรือสุขอันนั้น

เมื่อเราท่านทำผิด ผลผิดจึงเกิดโรค ที่เป็นตัวแทนแห่งกรรม จึงบังเกิดเพื่อเคี่ยวเข็ญดวงวิญญาณของเราตามผลผิดที่กระทำ

เมื่อเราทำถูก ผลถูกจึงเกิด โรคภัยที่เบียดเบียนมาให้ทุกข์จึงไม่มี

ในเมื่อทุกคนมีพรหมลิขิต ต้องอยู่จนครบอายุขัย หากไม่มีการกระทำให้เกิดอุบัติเหตุแห่งชีวิตเสียก่อน พระสาวกของพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็เช่นกัน

พระทุกองค์สำเร็จอรหันต์ ไปนิพพาน แสดงว่าสิ่งที่ทำนั้นถูก หากแต่พระต้องทำกิจของสงฆ์จนวันสุดท้ายของพรหมลิขิต ไม่มีขาดตกบกพร่อง

พระต้องบิณฑบาต เดินธุดงค์ โปรดโยม

สัญญลักษณ์ที่ปรากฎของการทำสิ่งถูกคือ แม้ว่าทุกองค์จะเข้าสู่วัยชรา ก็ยังทำกิจเหล่านั้นได้ นั่นคือ ไม่มีองค์ใดที่ตาฝ้าฟาง เดินไม่ไหว ช่วยตัวเองไม่ได้

เพราะนั่นคือการที่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น เมื่อมีหนี้ก็ย่อมไปนิพพานไม่ได้อย่างแน่นอน

พระของพระภูมี ทุกรูป ทุกนาม แม่ชีเมี้ยนได้กล่าวว่า ไม่มีองค์ใด ที่ต้องพึ่งผู้อื่นเลย ไม่ว่าอายุจะร้อยกว่า ก็ยังตาดี เดินหลังตรง ธุดงค์ได้ นั่นเพราะการทำถูก ทำให้พลังชีวิตยังเต็มเปี่ยมนั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า พลังชีวิตหรือพลังของวิญญาณ จึงไม่ขึ้นกับวัย การทำผิดทำให้พลังของวิญญาณลดลง อันเป็นผลจากกรรมที่ทำมา การทำถูกทำให้พลังของวิญญาณเต็มเปี่ยม ไม่ว่าวัยจะน้อยมากสักฉันใด ก็ไม่เป็นอุปสรรค

คำท้าทายเล่นๆ จึงกล่าวว่า "ถ้าท่านใดยังอยู่อีก ๔๐ ปี ก็ให้มาดูตัวท่าน ว่าจะเดินหลังงอ ตาฝ้าฟาง เป็นโรคงอมหรือไม่ เพราะแม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ตัวหลวงพ่อนิพนธ์มีอายุขัยประมาณ ๑๑๐ ปี นั่นเอง"

เพราะสิ่งนี้เองที่ประจักษ์แก่มนุษย์ในอดีต จึงต้องยอมรับในคำสอนและบุญญาธิการของพระพุทธเจ้า

จึงมีคำพูดที่ตกทอดมาว่า "ศาสนาของพระโคดมนี้ดี เรายอมรับ แต่ทำยาก" จึงมีสาวกเพียงแค่ไม่ถึงแสนนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง แม่ชีเมี้ยนได้เคยตรัสว่า พระภูมีได้ทิ้ง "แว่นส่องจักรวาล" ไว้ให้มนุษญ์ไว้พิจารณา นั่นคือ

การกระทำใด ถูกหรือผิด ย่อมพิจารณาจากผลที่มีต่อ พลังชีวิตของเรานั่นเอง หาใช่จากความน่าเชื่อถือ หรือฟังจากปากใคร หรือมีกล่าวอ้างในคัมภร์ใดๆไม่ อันเป็นที่มาของ กาลามสูตรนั่นเอง

หายไปไหน

คำเริดหรูที่วงการแพทย์กำลังโหมโฆษณา นัยว่าเพื่อเป็นการป้องกันการเกิด หรือทำให้แก้ไขได้ทันท่วงที นั่นคือ "ตรวจคัดกรอง"

โปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม จึงถูกโหมโฆษณากันมากมาย ในการตรวจสุขภาพประจำปี

ตรวจแล้วยังไง

ตรวจแล้วก็เกิดภาวะ "กระต่ายตื่นตูม" นั่นเอง

เพราะเขามีเกณฑ์ ที่ใช้เชือด พอดีวันหนั้นร่างกายไม่ปกติ ตรวจแล้วความดันสูงกว่าปกตินิดหน่อย เออ... ต้องทานคุมความดันน่ะ ไม่งั้นเส้นเลือดอาจแตก ทำให้ตายได้ เบาหวานสูงกว่าปกติหน่อย เออ.. ต้องทานยาคุมเบาหวานน่ะ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเป็นอันตราย อาจตายได้ ไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ เออ... ต้องทานคุมไขมัน มิฉะนั้น อาจตายได้

สรุป คำวินิจฉัย ทุกประเด็นมุ่งให้เกิดฟ้าผ่า จากอาการลูกมะพร้าวตก ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวบ่อยๆ นั่นคือ "ปล่อยไว้ อาจถึงแก่ชีวิต" เพราะฉะนั้นต้องรีบทานยาคุมไว้ ..... เข้าล็อคพ่อค้ายา

สมัยที่เริ่มเรียนวิชาเคมี มีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งกล่าวเป็นกฎให้ท่องจำ นั่นคือ "สสารไม่มีการสูญหาย"

ย้อนกลับมาที่ตัวเราท่าน หากตรวจพบเจอว่า ระดับน้ำตาลในเลือด หรือไขมันในเลือด มีค่าสูงกว่าเกณฑ์ แล้วหมอสั่งให้ทานยาคุม

พอทานยาคุมปุ๊บ ดั่้งเนรมิต ระดับค่าที่สูงดังกล่าว ตกลงมาอยู่ในเกณฑ์ที่อยากให้เป็นปั๊บ

แต่สสารมันไม่มีวันสูญหาย คำถามง่ายๆ ก็คือ แล้วไอ้ที่มันหายไป มันไปอยู่ไหน

หลวงพ่อนิพนธ์จึงอรรถาธิบายว่า หากสิ่งเหล่านั้นอยู่ในเลือด นั่นเป็นเพราะร่างกายพิจารณาแล้วว่ามันไม่อันตราย

เมื่อเราท่านทานยา ให้มันหายไปจากเลือด เราจึงเกิดโรคชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพราะสิ่งที่หายไป จะไปอยู่ในกล้ามเนื้อแทน ถ้าไขมันไปอยู่ในหัวใจ เราก็จะโชคดี ได้กลายเป็นโรคหัวใจ ถ้าไปอยู่ในตับ ก็ได้เป็นโรคตับ ถ้าน้ำตาลไปอยู่ที่กล้ามเนื้อบริเวณใด ก็รอให้เกิดอาการคันที่บริเวณนั้น เช่น มดกัด ยุงกัด แล้วเราท่านไปเกาเข้า จนเกิดแผล ก็จะได้อานิสงฆ์ผลกรรมตามมา นั่นคือ แผลไม่มีวันแห้ง และขยายตัวเรื่อยๆ ท้ายที่สุด ก็จะเข้าระบบ ตัดแล้วตาย

ได้ฟังคนไข้ท่านหนึ่ง ซึ่งมีอาการดีขึ้นแลผันตัวมาเป็นเจ้าหน้าที่ ตอบคำถามให้คนไข้ฟัง ในประเด็นของระดับน้ำตาลของตัวคนไข้ ที่พุ่งขึ้น หลังจากเริ่มทานสมุนไพรและหยุดยาเบาหวานของหมอ

คนไข้ท่านนั้นถามว่า ตัวเขาจะเป็นไรไหม เพราะตอนนี้วัดค่า ได้ สี่ร้อยกว่า

อายุหกสิบกว่า ตอนเริ่มมาทานสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ระดับน้ำตาล ทั้งที่ทานยาหมอแผนปัจจุบัน อยู่ ๓๙๐

ทานไปได้สักสองสัปดาห์ อยากรู้จึงไปให้หมอตรวจ ระดับพุ่งขึ้นไป แปดร้อยกว่า หมอถามว่าไปทำอะไรมา ไปทานสมุนไพรใช่ไหม และพูดว่าเป็นชั่่วโมง

กลับมาก็นั่งนึก น้ำตาลที่สูงขนาดนั้น แต่ไม่มีอาการใดๆ เลย ไม่ว่ามึนหัว ปากแห้ง หรือใดๆ ทั้งสิ้น ก็เลยตัดสินใจหยุดไปหาหมอ และทิ้งยาที่หมอฝากกลับมาบ้านทั้งหมด จนปัจจุบัน ร่วมสองปี

พร้อมกับบอกว่า เบาหวานเรื่องเล็ก เพราะตัวเธอเอง หมอบอกว่าเป็นโรคเก๊าต์ และที่มาแรงแซงโค้ง คือมะเร็งระยะสุดท้าย จนเริ่มมีอาการปวด แต่ทุกวันนี้ ทานสมุนไพรเท่าที่ได้ เขียว ไพร ดำ มะพร้าว ตามแต่เขาจะให้ มาจนวันนี้ไม่มีอาการปวด และก็ไม่ไปตรวจ ไม่มีไข้ ไม่มีอาการอะไรรุนแรงปรากฎ จึงผันตัวมาเป็นอาสาได้เกือบปีแล้ว

พูดจบ คนไข้ก็บอกว่า อาการของเขาก็ไม่มีปรากฎ แต่วิตก ว่าค่ามันสูง ได้ฟังก็สบายใจ

การเรียนรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็น .... และควรที่จะถามหมอว่า เมื่อทานยาหมอให้แล้ว ไอ้เจ้าไขมัน กับน้ำตาลในเลือด มันไปอยู่ไหน



วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สมุนไพรปอด

อ.อร่าม วิทยากรหลัก ได้อธิบายข้อซักถามที่มักมีคนสงสัยประจำ คือ ตัวผู้ป่วย ไม่ได้เป็นโรคปอด ทำไมต้องทานสมุนไพรปอด ไม่ทานได้ไหม

หลายต่อหลายครั้งเช่นกัน กับคำถามว่าสมุนไพรตัวนี้ ตัวนั้น รักษาโรคอะไร

วิทยากรก็ตอบว่า ไม่ได้รักษาโรคอะไรเลย ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้อรรถาธิบายเสมอว่า เมื่อมีวัตถุดิบ ร่างกายจะทำของมันเอง เป็นธรรมชาติ ที่พระภูมีค้นพบ

สมุนไพรปอด จะทำหน้าที่คือ ฟอกเลือด หรือพูดง่ายเข้าก็คือ ทำให้เลือดของผู้ทาน มีปริมาณอ๊อกซิเจนมากขึ้น อันหมายถึง เลือดมีคุณภาพดีขึ้น

ผลที่ตามมาคือ เซลล์ เพราะได้อาหารคือเลือดที่ดี การฟื้นฟูก็จะทำได้ดีขึ้น

อาการที่จะพึงเกิดกับปอด ด้านการไอ ที่เรียกไอกระแทก และต่อไป จะข้ามไปเพราะเคยกล่าวไว้แล้ว แต่ผลอีกประการหนึ่งที่วิทยากรชี้ให้เห็น สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือที่มีอาการปรากฎให้เห็นคือ หลังค่อม

สืบเนื่องจาก ไขกระดูกที่เป็นแกนของกระดูกสันหลัง คือแหล่งผลิตเลือด หรือ stem cell ของเราท่าน

เมื่อเลือดที่ผ่านปอด กลายเป็นเลือดที่มีคุณภาพ จะทำให้อวัยวะส่วนนี้ คือ กระดูกสันหลังส่วนของไขกระดูก จะถูกแก้ไข ทำให้ผลิตเลือดได้ดีขึ้น และซ่อมแซมตัวเองได้

อาการที่จะพึงปรากฎก็คือ อาการปวดบริเวณกระดูกสันหลังนั่นเอง ในขณะที่มีการรื้อ ซ่อมแซม

การเรียนรู้ และเตรียมตัว เตรียมใจ ก็จะทำให้ไม่แตกตื่น

ผลที่ได้ ก็จะทำให้ร่างกายผลิตเลือดได้ดีขั้น แลอาการที่ทำให้หลังค่อม ก็จะหายไป นั่นคือ กลับมาเดินได้ตรงดังปกติ

นี่จึงเป็นอาการอีกอย่างหนึ่ง นอกจากการไอกระแทก เมื่อรับทานสมุนไพรปอด

ร่วมด้วยช่วยกัน - รับบริจาคใบทับทิมจ้า


สมุนไพรตำลึง อันเป็นสมุนไพรหลักที่ให้สำหรับคนไข้มะเร็ง กรดไหลย้อน แลคนที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารเป็นแผล เป็นต้น

วัตถุดิบหลัก คือ "ใบทับทิม"

ทางผู้ควบคุมห้องยา ฝากร้องขอมาว่า ช่วงนี้ขาดแคลนมาก ทำให้สมุนไพรตำลึง มีไม่เพียงพอที่จะแจกจ่ายให้คนไข้กลุ่มดังกล่าวได้ครบถ้วนตัวคน

สมาชิกท่านใด มีความสามารถหาได้ ก็ช่วยติดไม้ติดมือ ไปให้ชมรมคนรักสุขภาพด้วย คนละนิดละหน่อย จะได้มีสมุนไพรให้คนไข้ที่จำเป็นใช้

เพราะตอนนี้ ต้นทับทิมทั้งในบริเวณชมรมคนรักสุขภาพ และใกล้เคียง ร้องจ๊ากแล้ว เพราะล่อนจ้อนเหลือแต่กิ่งแล้วจ๊า ช่วยหน่อย ๆ น่ะ.....

ยาไพร หรือ ยามะกรูด

คุณประโยชน์ของยามะกรูด หรือ ไพรเหลือง อีกประการหนึ่ง ที่ได้มีผู้ถ่ายทอดให้ฟัง

ผู้ป่วยคือ น้องของธานินทร์ อินทรเทพ ซึ่งได้ตามพี่ชายมาเพื่อรักษาตัวด้วยนั้น

คำแนะนำที่ได้จากหลวงพ่อนิพนธ์สำหรับเขาคือ การที่ต้องทานยาไพรให้ได้ปริมาณมากพอควร

สิ่งที่เป็นอุปสรรคของเขาก็คือ การที่ไม่สามารถกลืนยามะกรูดที่ปั้นเป็นลูก เหมือนยาลูกกลอน เพื่อทาน เพราะเป็นคนที่ทานยายากนั่นเอง

เมื่อวิธีที่ทานสมุนไพรแล้วดื่มน้ำตามทำไม่ได้ วิธีที่เขาใช้คือการเคี้ยวให้ละเอียด แล้วค่อยๆ กลืน

ปัญหาอีกประการหนึ่งที่มีก็คือ ฟันทั้งปากของเขาโยกคลอน และมีปัญหาสุขภาพเหงือกค่อนข้างรุนแรง

การเคี้ยวจึงเหมือนค่อยๆ ละเลียด ดั่งการเคี้ยวเอื้องประมาณนั้น

ผลของการทำเช่นนั้น ผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียว โรคที่เป็นอยู่ยังไม่รู้ผล หากแต่ผลที่บังเกิดคือ ฟันทั้งปากของเขากลับมาแข็งแรงไม่โยกคลอน และอาการของเหงือกหายเป็นปลิดทิ้ง

นี่จึงเป็นคุณประโยชน์อีกประการหนึ่งของสมุนไพรมะกรูด ที่คนผู้ซึ่งมีปัญหาเหมือนกัน อาจนำไปใช้ ไม่ต้องพึ่งหมอฟัน ให้โดนฟัน

ตราบจนปัจจุบัน น้องของคุณธานินทร์ ก็ไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของเหงือกและฟัน มารบกวนอีกเลย

ผูกติด

หลายต่อหลายคนที่มาที่ชมรมคนรักสุขภาพ แล้วชอบที่จะผูกติดตัวเองไว้กับผู้อื่น

เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับผู้ที่ตนผูกติด ก็ส่งผลต่อพฤติกรรมของตนไปด้วย

ทั้งที่เรื่องของชีวิต หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า พระภูมีตรัสว่า "เป็นเรื่องเฉพาะตน"

นั่นหมายถึง "ใครก็ช่วยใครไม่ได้ ใครก็ทำให้ใครไม่ได้" จึงเป็นที่มาของบัญญัติ "ตนพึ่งตน" นั่นเอง

หากแต่ตัวอย่างที่อยากยกมาเล่า ก็ดั่งเช่น ลุงติ๊ก ชายวัย ๗๐ ปี ที่มาเป็นอาสา ช่วยดูแลสถานที่ จัดหาสมุนไพร และบริการคนไข้ใหม่ที่มา ทุกวันนี้

ลุงติ๊ก มาชมรมคนรักสุขภาพ เมื่อ ๖ ปีก่อน หลังจากฟังคำวินิจฉัยครั้งสุดท้ายของหมอ

หมอกล่าวว่า ไม่ต้องมาหาหมอแล้ว อาการโรคมะเร็งต่อมลูกหมากของคุณ อยู่ในระยะสุดท้าย คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกประมาณ ๓ เดือน ให้กลับบ้าน อยากทำอะไรก็ทำ

แต่ลุงติ๊ก ยังอยู่มาจนทุกวันนี้

ในขณะที่แม่บ้าน ผู้ซึ่งแข็งแรง มาวันนี้ ปรากฎอาการเบาหวาน แลเชื่อมั่นในหมอ ไม่ยอมทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ทั้งๆ ที่เห็นสภาพ ความเป็นความตาย ของลุงติ๊กที่ผ่านมาโดยตลอด

วันนี้หมอได้นัดตัดขาภรรยาลุงติ๊ก ในต้นเดือนหน้า

สุดขั้วของความเชื่อสองคน อยู่บ้านเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน

หากแต่ว่า ถ้าคนทั้งสองผูกติดความเชื่อด้วยกัน ไม่ทั้งคู่ไปหาหมอ หรือ ทั้งคู่ก็มาทานสมุนไพรด้วยกัน ในโลกความจริงไม่เป็นเช่นนั้น


วิญญาณใครวิญญาณมัน ใครเชื่ออย่างไหนก็ไปอย่างนั้น แลผลที่ได้ก็เป็นไปตามสิ่งที่เชื่อ สิ่งที่ทำ

ลุงติ๊ก จึงต้องทำใจ จะไปเหมาโมเม ว่า ภรรยาไม่ทาน ตนก็จะเลิกทานสมุนไพรด้วย ก็คงเป็นคนไม่เอาเหตุเอาผล

หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า แท้จริงวิญญาณของเราโดดเดี่ยว เราจึงต้องรับผิดชอบ อย่านำไปผูกติดกับผู้หนึ่งผู้ใด หากเป็นเรื่องของชีวิต ผลที่เกิดกับวิญญาณ เราจึงต้องเป็นผู้รับความทรมานนั้นเอง จึงเป็นที่มาของคำตรัสว่า "รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดคน"

อันหมายถึง การรักษาให้วิญญาณของเรา เป็นสุขนั่นเอง

วิธีแก้ทุกข์ของพระพุทธเจ้า

ผู้คนที่หลั่งไหลมาหาพระพุทธเจ้า แม้นมีมากหลาย หากแต่สรุปได้เพียงหนึ่งเดียว ตามวัตถุประสงค์ที่มา นั่นคือ เป็นผู้มีทุกข์แลต้องการพ้นทุกข์ที่มีนั้นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ทางเลือกของฟ้าดิน ที่บัญญัติให้แก่มนุษย์ มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีสอง นั่นจึงเป็นความสำคัญ ที่ทำไมจึงต้องมีพระพุทธเจ้า แลผู้ทุกข์ต้องดิ้นรนไปหาพระพุทธเจ้า

แต่เมื่อพบเจอพระพุทธเจ้า สิ่งที่วาดฝันไม่เป็นดั่งใจ คนส่วนใหญ่จึงพบกับวจี "ดี แต่ทำไม่ได้" อันเป็นผลให้ประจักษ์ว่า สาวกของท่านจึงมีน้อย ไม่ถึงแสนคนนั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ประเด็นให้เห็นว่า ณ ขณะนี้ สิ่งอื่นไม่ใช่ปัญหาในการรักษาโรค ปัญหามีอยู่ประการเดียวคือ ทำอย่างไรให้คนเชื่อ แล้วทำตาม ส่วนคนใดที่ไม่เห็นด้วยก็แยกทางกันเดินไป

สิ่งนี้จึงเป็นที่มาว่า ทำไมสมุนไพรของพระภูมี จึงต้องขม จึงต้องขื่นประการหนึ่ง และคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน จึงต้องมีความเผ็ดร้อนประการหนึ่ง

ก็เพราะผู้ที่จะเดินแนวทางนี้ ต้องปรับตน ปรับนิสัย จึงต้องเริ่มจากด่าน ทำใจ โดยอาศัยเหตุและผลมาพิจารณาการกระทำนั่นเอง

เมื่อเริ่มปฐมบท จึงต้องพบกับความคิด "มันด่าเรา จะทนไปทำไม" แล้วก็ลุกจากไป หรือ "สมุนไพรทานยากฉิบหาย ไม่เอาแล้ว" แล้วก็ลุกจากไป

สิ่งเหล่านี้ ศาสนา ใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อคัดกรองคน จึงทำให้เราเข้าใจคำที่พระภูมีตรัสไว้ว่า "ท่านเลือกคน ที่สมควรฝึกได้" นั่นเอง

แล้วคนที่เหลือ ผู้ให้ก็ต้องทำใจ พระพุทธเจ้าก็ต้องทำใจ แม้อยากจะช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมชาติ ทั้งอินเดีย ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะคนเหล่านั้น เชื่อกรรม ไม่เชื่อท่าน

เมื่อผ่านด่านได้ นั่นคือ จุดเริ่มของ ศรัทธา ที่มาจากรากฐานของเหตุและผล การกระทำก็จะมั่นคง ยืนระยะได้ แลเมื่อทำถูกผลถูกก็ย่อมเกิด ช้าหรือเร็ว ตามครรลองของมัน

คำที่ผู้ให้ต้องทำใจ เมื่อเจอคนพาล แลลอยล่องมาเข้าหูเป็นประจำ "ขมฉิบหาย รสชาดห่วย ทำไมไม่เห็นหายสักที ทำไมมีอาการอย่างนี้เมื่อก่อนไม่เห็นเป็น ..." นั่นแลเป็นสิ่งที่กำลังพรากคนประเภทนี้ไปจาก แม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า แลสมุนไพร ในไม่ช้า

เมื่อเลือกจะเดินทางนี้ ก็ต้องใจเย็น อดทนรอผล ระหว่างทางย่อมต้องผ่านอุปสรรคที่ผู้เดินทางนี้ล้วนต้องพานพบ นั่นคือ คำพูดที่เยาะเย้ย ถากถาง ดูหมิ่น ดูแคลน อันจึงต้องนำสติที่พระภูมีทิ้งไว้ให้ เพื่อให้ไม่หวั่นไหว นั่นคือ "หัวเราะทีหลังดังกว่า"

เพราะหนังชีวิต เขาดูกันตอนตาย อ้ายคนที่พูด ดิ้นทรมานจนขาดใจตาย หากแต่ผู้ที่เดินตามรอยพระภูมี สั่งลา แล้วหลับไป...

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ยาเขียว

ปกติแล้วยาเขียว วิทยากรจะแนะนำให้ "ทาน" ก่อนอาหาร

หากแต่คุณสมบัติของยาเขียว หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวว่า มีคุณสมบัติหลายประการ เช่น ฆ่าเชื้อโรค สมานแผล แก้คัน

ดังนั้น ท่านใดที่มีปัญหาเป็นแผลที่ผิวหนัง หรือ มีผื่นคัน ก็สามารถใช้ยาเขียว "ทา" ได้

หากในกรณีที่พื้นที่ที่เป็นมีบริเวณกว้างมาก การใช้ยาเขียว อาจจะทำให้หมดแล้วไม่มีทาน

อาจใช้ กากยาเขียวผสมน้ำปูนใส (ใช้ปูนแดงที่กินกับหมาก เทน้ำลงไป คนแล้วรอจนตกตะกอนได้น้ำใสๆ) เคล้าแล้วทาก็ได้

หากเป็นแผลที่ใหญ่ ถ้ามีหนองให้ใช้ยาดูดหนอง (ยานุ่น) แลเมื่อใดเห็นเป็นเนื้อแดง ก็ขอยาตัดมาทา ก็จะหายเร็วกว่าทาด้วยยาเขียว

สำหรับอาการปวด หากยาเขียวไม่เพียงพอ ให้ขอยาบอระเพ็ดแทน เพราะหาวัตถุดิบง่ายกว่า แต่ต้องทานปริมาณเยอะกว่ายาเขียวมาก ซึ่งก็คงไม่มีปัญหา เพราะเขาให้กันเป็นขวดลิตร

ยามะพร้าว

ยามะพร้าว เมื่อครั้งในอดีต แม่ชีเมี้ยนได้ให้แก่คนที่แท้งบ่อย หรือมีลูกยาก เพื่อให้สมหวังในการมีบุตร

ดังนั้น ชื่อดั่งเดิมที่แม่ชีเมี้ยนท่านกล่าวไว้ คือ "ยากล่อมกุมาร" อันเป็นสมุนไพรที่ทำให้คนอยากมีบุตรได้สมหวังนั่นเอง

อ.อร่าม ได้ยกตัวอย่าง คุณเตี่ยง ที่แท้ง ๒ ครั้ง โดยการคลอดก่อนกำหนด และหลวงพ่อนิพนธ์ได้จัดให้ทาน จนปัจจุบัน มีลูกชายสองคน โตเป็นหนุ่ม ให้คนไข้ได้ฟังหลายครั้งหลายหน

หากแต่สิ่งที่อยากเตือน เพราะอาจจะไม่รู้ทำให้เกิดความเสียหายขึันได้ นั่นคือ สมุนไพรมะพร้าว ต้องหยุดทาน เมื่อตั้งครรภ์ แลเด็กในครรภ์ มีอายุน้อยกว่าสี่เดือน

เพราะสมุนไพรมะพร้าว จะเป็นสมุนไพรธาตุไฟ ทำให้เกิดอาการร้อนเหมือนอยู่ไฟ เด็กจะทนไม่ไหวแลหลุดออก

หลังครบสี่เดือน คุณแม่ก็ทานได้ตลอด จนหลังคลอด และมีคุณเหมือนอยู่ไฟ ดังนั้นจึงทำให้ฟื้นตัวได้เร็ว และไม่จำเป็นต้องอยู่ไฟอีก มดลูกก็เข้าอู่ ไม่มีอาการแทรกซ้อนในยามชรา

อยากได้ - ต้องจำเอา

หลายต่อหลายคน เมื่อมาได้พบได้เห็นได้ยินและได้ฟัง ไม่ว่าบทสวด คำสอน หรือแม้กระทั่งเห็นรูปแม่ชีเมี้ยน สิ่งที่คิด นั่นคือ ฉันอยากจะได้จัง

หากแต่เจ้าหน้าที่ รวมถึงวิทยากร ท่าน อ.อร่าม ก็ประกาศ อยู่เนืองๆ ว่า ไม่อนุญาติให้จด หรือ ถ่าย หรือทำโดยวิธีการใดๆ เพื่อนำกลับไปโดยเด็ดขาด

หวง ... หรือ .... จะคิดว่าอะไรก็ตามแต่ ความจริงคือไม่ใช่อย่างที่คุณคิด

หลวงพ่อนิพนธ์ได้อรรถาธิบายเรื่องนี้ให้ฟังว่า

บทสวด สองบทนี้ แม่ชีเมี้ยนได้ให้แก่พระ เมื่อครั้งที่ไปธุดงค์ในยุคถ้ำกระบอก ที่เขาฉกรรจน์ แถวๆ ปราจีน สระแก้ว จันทบุรี

ในช่วงนั้น เขาลูกนี้ได้ชื่อว่า เป็นเขาที่โหด เพราะคนที่เข้าไป ส่วนใหญ่จะตาย ไม่เพราะไข้ป่า ก็เพราะสัตว์ป่า นั่นเอง

บทสวดสองบทนี้ แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า เป็นบทสวดที่พระพุทธเจ้าใช้ เพื่อป้องกันภัยจากสรรพสิ่ง จึงได้ให้พระจด และท่อง เพื่อคุ้มครองตน ในธุดงค์นั้นเอง

และบทสวด เป็นสิ่งที่มีไว้คุ้มครองชีวิต และเมื่อชีวิตเป็นของมีค่า สิ่งที่ช่วยชีวิตจึงเป็นสิ่งที่มีค่าสูงยิ่ง

สิ่งที่มีค่าสูง ท่านว่าจึงเป็นของที่มีน้ำหนัก

แลน้ำหนักนี้ ก็มีทั้งให้คุณแลโทษได้

ของสูง เมื่อวางที่สูง ก็จะพาชีวิตขึ้นสูง เมื่อวางที่ต่ำ ก็จะดึงชีวิตลงต่ำเช่นกัน

การห้าม ก็เพราะไม่อยากให้เกิดโทษจากความไม่รู้ หรือการกระทำทีไม่สมควร หากแต่ท่านใดคิดว่าทำได้ ก็สามารถขอจากหลวงพ่อนิพนธ์ได้

เพื่อความปลอดภัย ใช้ความจำดีที่สุด ค่อยๆท่องไป วันละนิดหน่อย หลายๆครั้ง ก็จำได้สมดั่งตั้งใจ

ก็พระที่แตกจากถ้ำกระบอกไป ยังต้องนำมาคืนให้หลวงพ่อนิพนธ์กันจนหมดทุกองค์แล้วเลย

ภาพสะท้อน

นางสุนิดา ศรีธนชโยทัย อายุ 41 ปี ลูกสาวคนโตของผู้ตาย ให้การว่า บิดาของตนป่วยเป็นโรคหัวใจมา 2 ปีแล้ว อีกทั้งยังต้องขับถ่ายปัสสาวะทางท่อสายยางที่ถูกเจาะบริเวณช่องท้อง โดยปกติจะไปหาหมอโรคหัวใจเป็นประจำ ที่โรงพยาบาลพระราม 2 ต้นสังกัด ก่อนที่หมอจะโอนไปให้ทาง รพ.ตำรวจ ผ่าตัดเกี่ยวกับเส้นหัวใจที่ตาย ซึ่งพรุ่งนี้หมอที่ รพ.ตำรวจ ได้นัดเพื่อพูดคุยหาวันผ่าตัด แต่ผู้ตายได้เคยเปรยๆ ว่า ค่าใช้จ่ายสูง กลัวลูกหลานจะสิ้นเปลือง และบ่นเครียดที่รักษายังไงก็ไม่หาย กระทั่งวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน เนื่องจากพาญาติอีกคนไปหาหมอที่โรงพยาบาลกันหมด ปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับลูกจ้างที่เป็นใบ้เพียงลำพัง จนมีคนข้างบ้านโทร.มาบอกว่าพ่อกระโดดลงมาเสียชีวิตแล้ว สาเหตุนั้น ตนคิดว่า น่าจะเกิดจากความเครียดที่ป่วยเป็นโรคหัวใจมานาน และยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายที่มีราคาแพง เลยเป็นเหตุให้ตัดสินใจคิดสั้นดังกล่าว

ข่าวนี้คงสะท้อนความจริงได้ไม่มากก็น้อย ในสังคมปัจจุบัน ทางเลือกที่หลายคนที่คิดฝากความหวังไว้ แลอีกหลายคนเมื่อเดินถลำเข้าไปแล้วก็พบความจริงที่ว่า เส้นทางเดินที่เลือกนั้น ทางเข้าสุดสวยหรู ปูหินอ่อน ติดแอร์เย็นช่ำ ความหวังความฝันที่เขาวาดให้ช่างสวยงาม ยามเมื่อความจริงปรากฎ กว่าจะรู้ว่าทางที่เดินเป็นทางตัน แลมีขวากหนามเต็มไปหมด จะกลับตัวก็ไม่ทันแล้ว

โรค อันเป็นเหตุ ไม่เพียงแต่คร่าชีวิต แต่กลับได้สร้างทุกข์เข็ญให้แก่คนรอบข้าง แลคนตายจะตายตาหลับได้อย่างไร ในเมื่อลูกหลานต้องมารับภาระหนี้สินอันเนื่องจากตน หรือทรัพย์สินที่ทำมาหากินทั้งชีวิต ก็ไม่ตกถึงมือลูกหลาน กลับต้องไปให้ฝรั่งต่างชาติ เป็นค่ายาค่ารักษา จนหมดสิ้น ปีละหลายแสนล้านบาท

เราเพียงเสียดาย หากอากงได้รู้ถึงทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ถึงแม้นตาย ก็ตายสบายตามอายุขัย ลูกหลานก็ยังมีมรดก ที่น่าเสียดายและเสียใจไปกว่านี้ จะต้องมีภาพนี้ปรากฎอีกมากเท่าไร คนโลภที่หากินกับชีวิตคน จึงจะยอมรับและเปิดเผยว่า สิ่งที่พวกเขาทำมันแค่ระงับ หากแต่จะช่วยรักษาใครไม่ได้เลย เพื่อให้คนทุกข์ได้มีสิทธิ์เลือกทางเดินบั้นปลายของชีวิตตน

สิ่งที่คิดว่าเล็กน้อย

อุบัติเหตุ อันน่าจะหลีกเลี่ยงได้ ด้วยความมีน้ำใจ และเมตตา

วันพฤหัสที่ผ่านมา มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น แต่ก็โชคดีที่ยังไม่ร้ายแรง

สาเหตุอันเนื่องมาจากเก้าอีพลาสติกถูกทิ้งไว้ให้ตากแดด จนเกิดอาการกรอบ แลบังเอิญมีคนสูงอายุที่รูปร่างท้วมมานั่งเก้าอี้ด้านข้างที่ติดกันอยู่

แลเมื่อผู้สูงอายุนั้นจะลุกขึ้น ด้วยความที่รูปร่างท้วมและอายุมาก จึงใช้มือท้าวไปยังเก้าอีตัวดังกล่าวที่อยู่ด้านข้าง

ผลปรากฎว่า พื้นเก้าอี้ที่ถูกตากแดดกรอบจนไม่สามารถรับน้ำหนักได้ แตกหักเป็นรู ผู้สูงอายุท่านนั้นจึงเสียหลัก ถูกรอยหักบาดมือ แลล้มลงจนได้รับบาดเจ็บที่เข่าพอสมควร

ปรากฎการณ์นี้ทำให้เราคิดถึงคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ แลคิดถึงผู้ที่ซื้อเก้าอี้มาให้เพื่อให้สุขแก่ผู้อื่นโดยการนั่ง

เมื่อผู้ใช้ นำไปใช้แล้วทิ้งให้ตากแดดตากฝน เจตนาที่ให้คุณแก่คนทุกข์ ได้นั่ง กลายมาเป็นให้โทษไปเสียนี่

ก็คิดได้ว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่เก็บ จึงเกิดเหตุการนี้

คำสอนที่มักบอกให้ฟังว่า ท่านทำยาหยอดตาเพื่อให้ตาเราสว่าง ได้เห็นสิ่งต่างๆชัดเจน แลเป็นหูเป็นตา สมกับผู้ที่ควรจะได้รับตาดีๆ

เมื่อภาพหลายๆภาพเกิดขึ้น คนทิ้งขยะ เก้าอี้กระจัดกระจาย พัดลมและไฟเปิดทิ้งไว้ น้ำเปิดทิ้งไว้ คนเฮโลแย่งเบียดเสียดกันออกจากห้องสวดมนต์ จนคนพิการต้องมาฟ้องว่าถูกผลักจนล้ม

มันกำลังบอกอะไร เราก็จึงไม่สงสัยที่ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า เบื่อกับมนุษย์พวกนี้ อยากจะปิด

ภาพเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ บอกได้ว่า สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนไม่มีผลอะไรกับคนที่มาเลยนั่นเอง นั่นก็หมายความถึงแม้ท่านจะทำสมุนไพรให้คนเหล่านี้ทานสักฉันใด ก็คงเป็นดั่งที่ท่านบอกว่า "ได้แค่ประทัง ไม่มีทางหาย"

จำนวนคนที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือ คนเก่าที่ไม่ยอมเรียนรู้ แลพัฒนาตน ทำคุณสมบัติเพื่อให้ตนหาย ภาพที่คนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ใช่ภายที่ดีเลย เพราะคนใหม่มา คนเก่าก็ยังอยู่

แทนที่คนเก่าควรจะหายจากโรค และหยุดมา คนใหม่จะได้มาแทน

หากสภาพตัวใครตัวมันยังคงอยู่เช่นนี้ ในไม่ช้าก็คงมีป้าย "ปิดทำการ" แขวนหน้าชมรม

สิ่งนี้ทำให้เราย้อนไปถึงคำกล่าวของแม่ชีเมี้ยน เมื่อครั้งในอดีตที่ให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า "ถ้าอยากทำสบาย ก็รักษาเฉพาะยาเสพติดกับโรคเอดส์ เพราะคนพวกนี้ไม่มีทางเลือก จะพูดง่าย หากอยากลำบาก ก็รักษาโรคทั่วไป เพราะคนเหล่านั้นมีทางเลือกเยอะ"

วันนี้ คำเหล่านั้นกำลังปรากฎ แลอาจส่งผลให้หลวงพ่อนิพนธ์ตัดสินใจปิด แลไปรับคนไข้ยาเสพติด หรือ เอดส์ เท่านั้นก็เป็นได้

ก็เขามีไว้สร้างให้คนได้ทำความดี แต่สิ่งที่ปรากฎมันไม่ใช่ และเมื่อถึงวันนั้น ก็คงบอกได้แต่ว่า "ตัวใครตัวมัน" น่ะคุณโยม

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คนมีเมตตา

หลวงพ่อนิพนธ์ได้เล่าเรื่องเมื่อครั้งถ้ำกระบอกให้ฟังว่า แม่ชีเมี้ยนท่านจะสอนให้พระโชว์นิสัยของพระพุทธเจ้า ให้โลกดู

หนึ่งในนิสัยที่แม่ชีเมี้ยนเน้นสงฆ์ทุกองค์นั่นคือ เรื่องพงศาวดาร ที่มาที่ไปของสิ่งของแต่ละสิ่ง

วันหนึ่ง แม่ชีเมี้ยนเดินนำหน้าพระ ผ่านช้อนสังกะสีคันหนึ่ง ที่ตกจมดินอยู่ ท่านจึงเก็บขึ้นมาแล้วนำไปทำความสะอาด จนสามารถกลับมาใช้ได้อีก

แม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวกับพระว่า พระของพระพุทธเจ้ากระทำตนเป็นผู้ขาดแคลน แลเป็นผู้อยู่ในทุกข์ เมื่อญาติโยมเห็นท่านทุกข์จึงบริจากถวายสิ่งของเพื่อคลายทุกข์นั้น

ในเมื่อพระของพระพุทธเจ้า แสดงตนว่ามีเมตตา รับสิ่งของนั้นมาเพื่อคลายทุกข์ของตน สุขที่พระได้รับจะได้เป็นบุญตอบสนองไปหาโยมผู้บริจาคสิ่งของนั้นมา

ช้อนคันนี้ สภาพยังดีอยู่ พวกท่านใช้ยังไม่ทันไร ไม่หวงแหน แลไม่ดูแล จึงตกทิ้งลงบนดิน

โยมผู้ที่บริจาคถวายช้อนนี้มารอบุญจากพวกท่านจะได้บุญได้อย่างไร และจะเรียกได้ว่าพวกท่านมีเมตตาต่อโยมผู้นั้นได้อย่างไร

ด้วยคำสอนนี้เอง ที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามทำตนและสอนให้ลูกศิษย์ทำตาม พยายามที่จะรักษาของและใช้ของที่มีผู้นำมาให้มีคุณค่าที่สุด นานที่สุด เท่าที่จะทำได้

เราจึงเห็นศาลาไม้แบบ ที่เหลือทิ้งจากการก่อสร้าง ที่สำนักลพบุรี เมื่อปี ๓๐ เราจึงเห็นอาคารไม้ที่เป็นที่พักของผู้ป่วย อันได้มาจากการรื้อบ้านของโยมที่คลองเตย ที่ศรีสวัสดิ์ เราจึงเห็นศาลาขนมไทย ที่ใช้ไม้รื้อจากบ้านป้าอ๊า ลูกศิษย์ที่ติดตามมาจากถ้ำกระบอก มาเป็นศาลาขนมไทย เราจึงเห็นสิ่งของเก่าๆ ที่ถูกนำมาใช้อย่างมากมาย ที่ชมรมครักสุขภาพในปัจจุบัน

เมื่อเราเมตตาตนจนล้น แผ่ไปเมตตาผู้อื่น เพราะอยากให้สุขแก่เขา สิ่งของทุกชิ้นในชมรมคนรักสุขภาพ จึงมีความหมาย หมายถึงชีวิตของผู้ที่เป็นผู้ให้มา

เราจึงพอเข้าใจได้ว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกพื้นที่ในสถานที่นี้ เกี่ยวพันกับชีวิต เป็นที่ที่แสดงพฤติกรรมของตน แสดงความเชื่อ และศรัทธา ว่าเป็นฉันใด

หากขาดสติ ขาดเหตุผล วาจาที่พร่ำบอกว่าเราเป็นคนมีเมตตา หรือจะทำตนเป็นคนมีเมตตา ก็ไร้ค่า เพราะสิ่งที่กระทำ คือ การไม่รักษาของในชมรมคนรักสุขภาพ อันหมายถึงบุญที่ผู้ให้จะได้รับจากของนั้น ที่เฝ้ารออยู่ ก็ไม่มีทางเป็นจริงได้

ด้วยสัจธรรม ที่ว่า "ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น" เมื่อเรามีพฤติกรรมเช่นนั้น ย่อมหมายความว่าชีวิตผู้อื่นไร้ค่า เราจึงไม่รักษาของนั้น ผลก็คือ ชีวิตเราก็ไร้ค่า ไม่ควรคู่ที่จะให้สิงศักดิ์สิทธิ์ เกื้อกูลเช่นกัน

เราจึงคาดคิดว่า ด้วยเหตุนี้กระมัง หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า "แผ่นดินนี้ไม่ใช่วัด แต่ผลของการกระทำยิ่งกว่าวัดอีก"

เห็นปลาให้อาหาร เห็นหมาโซ คลุกข้าวให้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่าดูช่างเป็นคนมีเมตตานัก แต่เห็นสิ่งของที่คนเอามาให้เพื่อช่วยชีวิตของเขา ไม่ดูแลก็หนักแล้ว กลับไม่รักษาด้วย บางทีถึงกลับทำลาย พร้อมหัวเราะขบขัน แลกล่าวช่างมัน ไม่ใช่ของเรา

นี่แหละเราท่านทำไปเพราะไม่รู้ซึ้งถึงผลของมัน ท้ายที่สุด ก็รำพึงรำพันว่า ทำไมคนอื่นเขารอด แล้วเราไม่รอด ก็พฤติกรรมของเรามันขัดกับว่าจาของเรานั่นเอง ของทุกสิ่งมีไว้ช่วยมนุษย์ ไม่ให้คุณค่าและรักษา การกระทำที่ช่วยสัตว์ทำให้ตาย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่ามันจึงไร้ผล เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ คือ "มนุษย์"

สารพันสิ่งที่ชอบและทำไป ไม่ว่าโบสถ์ วิหาร ใดๆ ก็ตาม หากยังประโยชน์แก่มนุษย์ไม่ได้เลย สิ่งที่ทำไปก็ไร้ค่า จะหาผลที่ย้อมกลับมายังผู้ทำไม่ได้เลย อันเป็นเหตุที่พระภูมีไม่ส่งเสริมให้สร้างศาสนวัตถุ แต่เน้นให้สร้างนิสัย เพื่อนำไปให้สุขแก่เพื่อนมนุษย์ เป็นสุขที่จะย้อนมายังตนนั่นเอง

สร้างศาสนวัตถุ ตั้งแต่เล็กจนแก่ จึงช่วยให้หายปวดหัวยังไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้นี่เอง แต่อยากหายปวดหัว เห็นเก้าอี้ตากแดด ก็เก็บเข้าร่ม เห็นช้อนตก ก็ล้างเก็บเข้าที่ กลับช่วยปวดหัวได้ ... ก็เพราะสุขที่เจ้าของทรัพย์ได้ มันย้อนมาหาตนของเรานั่นเอง

เมตตา

ความละเอียดอ่อนในการเมตตา โดยหลักของพระภูมี ท่านให้เริ่มจากการเมตตาตนก่อน

เราเคยฉงนสงสัย ว่าเมตตาอันนี้ไม่ใช่การหมายถึงการช่วยผู้อื่นดอกหรือ

หากแต่เมื่อฟังคำอรรถาธิบายจากหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านกล่าวว่า ก็ด้วยเหตุแห่งเมตตาแก่ผู้อื่น สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ถ้าสิ่งที่ให้มันผิด บาปย่อมตกแก่ผู้ให้ ถ้าสิ่งที่ให้มันถูก บุญย่อมเกิดแก่ผู้ให้เฉกเช่นเดียวกัน

เคยได้ยินคำว่า "พ่อแม่รังแกฉัน" หรือไม่ นั่นแหละเป็นตัวอย่างที่ดี แม้ผู้ให้จะเป็นพ่อเป็นแม่ แลให้ด้วยความรักความเมตตาสักฉันใด หากแต่สิ่งที่ให้มันผิด ผลผิดมันก็เกิด

สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์เน้นย้ำ ก็คือ ความรู้ที่จะให้และนำไปเมตตาผู้อื่น จึงต้องผ่านการพิสูจน์ด้วยตนของเราเองก่อน แล้วดูผล การทำสิ่งไร ให้ผลเช่นไร

จึงมีธรรมบทหนึ่งที่แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า พระภูมีทรงบัญญัติให้สงฆ์สาวกของท่านปฏิบัติ ใจความว่า "ให้นำสิ่งที่ทำได้แล้ว ไปสอนสัตว์โลก"

หลวงพ่อนิพนธ์ได้ขยายความให้ฟังว่า นั่นหมายถึงสิ่งที่เราได้ทำแล้วเกิดผล เราจึงสามารถไปบอกกล่าวผู้อื่น อันหมายถึงเมตตาผู้อื่นเพื่อให้ได้รับผลเช่นเรา

ด้วยเหตุนี้เอง บุคคลใดที่ยังอยู่ระหว่างรักษาตน นั่นคือกำลังอยู่ในระหว่างเรียนรู้ และปฏิบัติ ลองผิดลองถูก ตามใจคิด ในช่วงนี้เองหากนำสิ่งที่รู้ไปบอก ก็อาจเกิดการผิดพลาดได้

หากบุคคลใด ที่ผ่านการเรียนรู้ แลปฏิบัติจนสามารถช่วยตนได้ พ้นจากโรคภัยได้ วิชาความรู้นั้นย่อมเป็นของถูกที่แน่แท้ เพราะผลของการกระทำเช่นนั้นมันปรากฎผลถูกให้เห็นเด่นชัด

การบอกกล่าวผู้อื่นระหว่างปฏิบัติ จึงคาดเดาผลได้ยาก หากแต่ผู้ที่ทำตนได้แล้ว และไปบอกกล่าวย่อมถูกต้องอย่างแน่นอน

ข้อห้ามในการถามกันเองระหว่างผู้ที่อยู่ระหว่างช่วยตน อาจเพราะจิตเมตตา ก็ยังไม่ควรกระทำ

แต่กับผู้ที่กระทำตน และผลของการทำนั้นรักษาตนจนหายโรคได้แล้ว การบอกกล่าวของผู้นั้น จึงอุปมาเหมือนพระมาลัยโปรดสัตว์นั่นเอง

ไม่ว่าเจตนาหรือไม่ การกระทำเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้น

จุดเริ่มของความเมตตาจึงเริ่มที่ตน เพราะความรักในชีวิตตน จึงพยายามเรียนรู้และทำในสิ่งที่ถูก เมื่อช่วยตนได้ ความรู้ที่ได้มานั้น จึงเมตตาเผื่อแผ่ไปยังสัตว์โลก

หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้พิจารณา หากเราไม่ทานอาหาร ก็เรียกว่าทำร้ายตน ไม่ทานเนื้อ ไม่ทานผัก เพราะไม่ชอบ นั่นหมายถึงไม่เอาเหตุเอาผล เพราะร่างกายมีธรรมชาติที่ต้องการเนื้อ ต้องการผัก นี่ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง คือ ร่างกายรับแต่สิ่งของธรรมชาติ การทานเคมีซึ่งร่างกายไม่ยอมรับ เท่ากับกำลังทำร้ายตน เปรียบได้กับฆ่าตนเอง นี่อีกประการหนึ่ง

ด้วยหลักพระภูมีเป็นหลักธรรมชาติ วิทยากรทุกท่าน จึงมักแนะนำว่า เมื่อทานสมุนไพร ก็ควรหันกลับไปทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ตามธรรมชาติต้องการ ไม่มีของแสลง และยาเคมี ต้องหยุดหรือพยายามลดให้น้อยลงมากที่สุด เพราะเราต้องเมตตาตนเอง ไม่ใช่ฆ่าตนเอง

ทำไมไตพัง

ความชาญฉลาดของหมอผู้ที่ได้ค้นพบวงจรอุบาทว์ อันเป็นที่มาของยาเคมีนั้น ไม่เกินเลยที่แม่ชีเมี้ยนจะรับรู้ได้ และสอนถ่ายทอดให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้เรียนรู้

จุดแรกเริ่มจากความรู้ในนิสัยมนุษย์ที่ชอบปฏิเสธกรรม แม้เพียงน้อยนิดนั่นเอง เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะอันใหญ่หลวงของชีวิต

นั่นคือ ยาแก้ปวด ที่ทานกันไปเพื่อปฏิเสธกรรมเล็กกรรมน้อย ที่ทำให้ปวดเมื่อย

วงจรนี้จึงเป็นตัวนำให้สารเคมีที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ ผ่านเข้ากระแสเลือด ด้วยสารเคมีเหล่านี้ลอยไปในกระแสเลือด และไม่ถูกย่อยก็ต้องหาที่ตก

เมื่อได้จุดตกก็จะสะสมคล้ายตะกอนแม่น้ำ ร่างกายก็จะพยายามที่จะเคลียสิ่งนี้ที่อุดตันทางเดินของเลือด ก็ต้องใช้แรงดันเลือด

แลเมื่อความดันขึ้นสูง เมื่อไปตรวจหมอก็ให้ยาลดความดัน

ในขณะที่ธรรมชาติของร่างกาย ความดันที่สูงขึ้นนี้ จะถูกสลายไปเองเมื่อผ่านไต

เมื่อทานยาลดความดัน สารเคมีที่ย่อยไม่ได้ จึงไปกองรวมกันที่ได ทำให้ไตพังนั่นเอง

จึงไม่น่าแปลกที่คนโบราณ แทบจะไม่เคยเห็นว่าเป็นโรคไต เพราะไม่มียาเคมีให้กิน อย่างเก่งก็แค่นิ่วเท่านั้นเอง

พระภูมีจึงสอนให้ใช้ขันติอดทน ยอมรับกรรมที่ทำมา ยอมทนปวดทนเมื่อย เดี๊ยวก็หาย เมื่อเราปฏิเสธกรรมเล็กน้อยเหล่านั้น ด้วยยาแก้ปวด ผลที่เสียหายตามมาใหญ่หลวงนัก นี่แหละ "เสียน้อยเสียยาก ไม่ยอมเสีย จึงต้องเสียมาก แลอาจถึงกับเสียชีวิต"

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กู้ชาติ

หลายปีก่อน หลวงพ่อนิพนธ์ได้เคยกล่าวไว้ว่า ตำราสมุนไพรที่ให้ไว้ ให้เพื่อที่จะทำแทนแม่ ในการตอบแทนแผ่นดินเกิด สิ่งนี้จะช่วยกู้ชาติ

ในขณะนั้น ก็ยังงงงงง ..... มันจะกู้ยังงัย

ต่อมาเมื่อสิบปีก่อน ก็เริ่มมีคนไข้แบบ อ.อร่าม อ.สุนทร ผู้ซึ่งกลายมาเป็นวิทยากรในปัจจุบันเข้ามา

และเมื่อได้เห็นข่าว

นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานคณะกรรมการกำกับทิศทางการวิจัยและพัฒนาระบบยา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) แถลงว่า ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคยาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นโดยในปี 2553 ถึง 134,482,077,585 บาท คิดเป็นประมาณ 35% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เป็นยาที่ผลิตในประเทศมูลค่า 46,895.7 ล้านบาท นำเข้า 99,663.8 ล้านบาท มูลค่าส่งออก 12,077.5 ล้าน

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เฉพาะปัจจุบัน ทุกวันที่เปิดทำการ พฤหัส และอาทิตย์ มีคนไข้เวียนมาประมาณวันละสามพันคน จนต้องสวดมนต์สามรอบแล้ว

เมื่อย้อนไปในอดีต อ.อร่าม ต้องทำการเบิกค่ายาจาก ม.จุฬาฯ เดือนละประมาณสามหมื่นบาท ทุกเดือน อ.สุนทร ก็เบิกจาก ม.รามคำแหง พอๆ กัน

คนกว่าครึ่งหมื่น ไม่ต้องใช้ยานำเข้าจากต่างประเทศ ประการหนึ่ง คนกว่าครึ่งหมื่น ต้องหันมาบริโภค สินค้าในประเทศที่ใช้เพื่อการทำสมุนไพร ประการหนึ่ง แลคนกว่าครึ่งหมื่น สามารถกลับไปทานของที่ต้องห้าม หรือ แสลง อาทิเช่น เนื่้อสัตว์ ผลไม้ที่ให้ความหวาน เช่น ทุเรียน ได้

แลที่สำคัญ คนเหล่านี้ กำลังกลายเป็นคนดีของสังคม และทำให้คนรอบข้างเป็นสุข กระจายไปในสังคมไทย

ภาพการกู้ชาติจึงค่อยๆ ปรากฎให้เห็นเด่นชัด

และยิ่งสถานทูตหลายแห่ง โดยเฉพาะทางยุโรป ได้ทำเรื่องร้องขอให้พิจารณา ในเรื่องที่เป็นปัญหากับประชากรของเขาอย่างยิ่ง เพราะตรวจพบว่า ได้มีคนของเขาผู้ซึ่งเป็นโรคดังกล่าว คือ "เซลล์สมองเสือมเร็วกว่าปกติ" อันส่งผลให้ผู้เป็นเสียชีวิตในห้าปี นับจากอาการครั้งแรกปรากฎ ทุกราย

จากการตรวจสอบของสถานทูตประเทศนั้น พบผู้ที่หายจากการใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จากผู้ที่มารักษาทั้งสี่ราย ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่อย่างปกติ

จึงร้องขอให้พิจารณา เพราะโรคดังกล่าวเป็นกันมากในยุโรป

และปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาหรือชะลอการเสียชีวิต โดยทางการแพทย์ได้

หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวว่า ยุโรปเขาเป็นแค่ระดับเสื่อม แต่คุณสมศักดิ์ เพื่อนรักคุณพิศาล อัครเศรณี นั้นเป็นถึงระดับ สมองไหม้ เพราะพิษไข้มาเลเรียขึ้นสมอง จนสิ้นสติ ขับรถชนสะพานพุทธ และหัวใจหยุดเต้น จนหมอแทงเรื่องตาย

หากแต่โชคดี ที่หมออำนาจ ผ.อ. รพ.ศิริราช ในขณะนั้น ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ซึ่งก็เป็นเพื่อนรักเช่นกัน ไม่ยอมแพ้ ดึงร่างออกจากห้องแช่ มาผ่าอก แล้วใช้ไฟช็อตหัวใจ จนฟื้นขึ้นมา

หากแต่การฟื้นขึ้นมา ก็ช่วยตัวเองไม่ได้ จนผ่านไปเกือบสิบปี จึงยอมให้หมอผี คือหลวงพ่อนิพนธ์ รักษา

ปัจจุบัน คุณสมศักดิ์ กลับไปแต่งงาน มีภรรยา และทำงานเป็นปกติ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า จึงไม่เป็นการยากเลยในการใช้ตำราสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ในการกู้ชาติ แม้ประเทศไทยจะไม่ยอมรับ แต่ต่างชาติเขายอมรับในผลงานนั่นเอง

เมื่อมีความพร้อม และใช้สิ่งนี้เป็นประตูเบิกทางให้กับประเทศชาติในการต่อรองเรื่องสำคัญของชาติ ย่อมเป็นไปได้โดยง่าย

แต่ตอนนี้ สิ่งที่กำลังทำ คือ การที่ให้คนป่วยทุกคน ทำตนเป็นประวัติศาสตร์ ให้คนเหล่านั้นมาเรียนรู้ และพึงภาคภูมิใจ ที่วันหนึ่ง ลูกหลานจะได้กล่าวอ้างว่า

คนนั้นแม่ฉัน คนนั้นพ่อฉัน ที่เป็นต้นแบบเขียนในประวัติศาสตร์ ให้คนทั้งโลก ได้เรียนรู้ แล้วทำตาม

การกระทำของทุกคนในวันนี้ จึงมีผลไม่เพียงแต่คน หากแต่กำลังทำตนเป็นประวัติศาสตร์ให้คนทั่วโลกได้มาอ่าน ศึกษา แล้วเดินตาม เรียกได้ว่า "ทำตนเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์"

แลเมื่อผลที่ทุกคนพยายาช่วยตนนี้เอง จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลเกื้อกูลต่อประเทศชาติ ทั้งทางตรง และทางอ้อม

ประวัติศาสตร์อย่าง "ฟรังโก้" ชาวอิตาลี ที่มีภรรยาไทย แลได้เวียนมายังทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ก็จะกลายเป็นหน้าที่ถูกบันทึก แลให้คนชาวอิตาลี แลยุโรป ที่มีปัญหาเช่นเดียวกัน ได้มาศึกษา เรียนรู้

และเราท่านคนป่วยทั้งหลาย ที่ได้ทำตนเป็นหน้าประวัติศาสตร์ ก็ภูมิใจเถิดว่า สิ่งหนึ่งที่เรากำลังทำโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ การกู้ชาติ ที่ทำให้ชาติเราไม่ต้องเสียเงินไปซื้อยาปีละแสนล้าน ที่ทำให้คนไทยแลสังคมไทย มีสุขภาพ มีคนดีเพิ่มมากขึ้น เป็นกำลังสร้างประเทศให้เจริญ

ว่าแต่ เราท่าน อยากทำตนเป็นประวัติศาสตร์ให้คนอ่าน หรือทำตนเป็นผู้อ่านประวัติศาสตร์

เหตุ - อันเกิดแต่กรรม

หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบายว่า ทำไมการหันไปหามนุษย์ ก่อให้เกิดบุญ

ก็ด้วยเราทุกคนต่างเป็นเหตุซึ่งกันและกันนั่นเอง

หากแต่การก่อเกิดบุญนั้น พึงต้องอาศัยธรรมคำสอนของพระภูมี เป็นปัจจัยที่สำคัญ

ท่านจึงยกตัวอย่าง หากเราเป็นจิตอาสา แล้วไปเจอคนไข้ หรือเพื่อนร่วมงาน ที่ทำให้เกิดความโกรธ

นั่นหมายถึงคนเหล่านั้นกำลังเป็นเหตุให้แก่เรา

ด้วยความเชื่อ และศรัทธา ที่มีต่อแม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า เราจึงใช้ธรรมคำสอนและเหตุผลที่เรียนมา ข่มนิสัยโกรธนั้นลง

อันกรรมเดิมที่ส่งเหตุนี้มาให้เราโกรธ เพื่อก่อให้เกิดกรรมใหม่ อาจจะใช้ความโกรธนี้ ทำร้ายผู้อื่น บาดเจ็บ หรือตาย จึงไม่เกิดขึ้น

หลวงพ่อนิพนธ์เรียกสิ่งนี้ว่า ไม่ก่อกรรมใหม่ ใช้กรรมเก่า สิ่งที่บังเกิดแทนนั่นคือบุญ

หากไม่มีเหตุเราก็ไม่รู้ว่า เราทำได้หรือไม่ ก็ทำให้หลงตนว่าเราดีแล้ว

ดังอุปมาตัวอย่างเด็กเลี้ยงความที่ขว้างก้อนหินโดนศรีษะพระโคดม จนพระโคดมโกรธ และเมื่อได้สติ ก็ทำให้ทรงรู้ว่า ท่านเองคิดว่าตนเองสิ้นอาสวะแล้ว แท้จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อคิดได้จึงเดินกลับไปขอบคุณเด็กเลี้ยงควาย

หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า เหตุนี้ คนจึงบ่อเกิดของเหตุแห่งบาปและเหตุแห่งบุญพร้อมๆ กัน การทำบาปหรือทำบุญ จึงหลีกเลี่ยงคนไม่ได้ แลพระภูมีก็สอนว่า บุญของท่าน ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ จะสร้างโบสถ์แลวิหารสักฉันใด หากไม่มีผลต่อคนแล้วไซร้ ก็หาบุญอันใดไม่ได้เลย เราจึงไม่เห็นโบสถ์วิหารในอินเดีย

เราจึงควรที่จะขอบคุณเหตุอันนั้น ที่ทำให้เราได้มีโอกาสสร้างบุญ แลไม่ควรโกรธคนผู้นั้นที่มาเป็นเหตุ เพราะคนผู้นั้นเป็นเพียงผู้ที่กรรมอาศัยมาเป็นเหตุให้เราใช้กรรม แลสร้างกรรมใหม่เท่านั้นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แล้วเราจะใช้เหตุนั้นสร้างกรรมทำไม สร้างบุญไม่ดีกว่าหรือ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม การรักษาโรคที่นี่ จึงต้องใช้ธรรมคำสอนควบคู่กันไป ก็เพื่อดับที่ต้นเหตุแห่งโรค นั่นคือ กรรม

แลก็เป็นสิ่งที่ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมั่นใจ และกล่าวด้วยความท้าทายว่า ไม่มีหมอไหน ใครคนใด ที่รักษาโรคได้ นอกจากตัวของตัวเอง แลต้องอาศัย ความรู้ของพระภูมี

นี่แหละเหตุผลที่ทำไมต้องมีศาสนา และทำไมศาสนาพุทธจึงได้รับการยอมรับ แม้คนส่วนใหญ่จะไม่ชอบก็ตาม เพราะแก้ปัญหาที่พวกเขาแก้ไม่ได้นั่นเอง

สิ่งนี้ทำให้เราเข้าใจในคำสอนที่ว่า "มนุษย์มีกรรมเป็นอำนาจ และศาสนามีธรรมเป็นอำนาจ"

อยากหายโรคที่มีกรรมเป็นอำนจ แล้วไม่เอาเหตุและเอาธรรมคำสอนไปก่อให้เกิดอำนาจ มาล้างกรรม มันจึงไม่มีทางเป็นไปได้นั่นเอง

จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน คนที่จะประสพผลสำเร็จ จึงต้องทำตนเป็นคนดี และใครก็ช่วยใครไม่ได้เลย

ซักถาม

ประกาศ

สมาชิกใหม่หรือสมาชิกเก่า ที่มีข้อสงสัยในสมุนไพร อาการ หรือขอคำปรึกษา

ซึ่งโดยปกติวิทยากรทุกท่านจะเปิดให้ซักถามได้ในท้ายช่วงที่มีการให้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรนั้น

หากฟังไม่ทัน ไม่เข้าใจ ถามไม่ทัน ก็สามารถถามได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ ตู้คอนเทนเนอร์สีเหลือง ด้านหน้าบริเวณทางเข้าชมรมคนรักสุขภาพ ตรงข้ามอาคารมูลนิธิไทยกรุณาได้ ทุกวันเปิดทำการ (พฤหัสบดี กับ วันอาทิตย์)

มูลนิธิฯ ได้จัดบุคคลากรให้บริการ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้าเป็นต้นไป

และการถามที่ส่วนประชาสัมพันธ์ จะทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และครบถ้วน

และแม้ผู้ที่ต้องการข้อมูล สำหรับบุคคลทั่วไป ก็สามารถสอบถามได้เช่นกัน

ทั้งนี้ทุกภาคส่วนของชมรมคนรักสุขภาพ และมูลนิธิฯ ยังไม่มีโทรศัพท์ที่สามารถใช้ติดต่อได้ ดังนั้นอาจจะต้องขอเบอร์จากเจ้าหน้าที่ส่วนนั้นแทนชั่วคราวไปก่อน

หลงทาง - บุญและบาป เกิดแต่แหล่งเดียวกัน


เมื่อแม่ชีเมี้ยนมาสอนพระให้โชว์นิสัยของพระพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามวัตรของพระพุทธเจ้า นั่นคือ ฉันมื้อเดียว เงินทองไม่รับ ไปไหนเดิน ถือธุดงค์เป็นวัตร

พระทั้ง ๙ รูป ต่างมุ่งมั่นลดละนิสัย ด้วยมุ่งหวังเดินรอยตามพระภูมีนั่นเอง

สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชอบ แลตรงกับนิสัยท่าน นั่นคือ การปลีกวิเวก นั่งความเพียร หรือที่พระถ้ำกระบอกเรียกกันว่า "นั่งธูป"

ด้วยเคยเห็นเคยอ่าน ว่าพระภูมีนั่งความเพียรจนสำเร็จ นั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์มีความอดทนในสิ่งนี้สูง จนขนาดที่เรียกว่า ออกจากป่ามาตัวลายด้วยโดนยุงกัดไปทั้งตัว แลก็ภูมิใจในสิ่งนี้ ว่าจะเป็นการกระทำที่เป็นบุญ

แม่ชีเมี้ยนจึงเรียกมา แล้วกล่าวว่า สิ่งที่ท่านทำดูว่าดี ยังไม่ได้เสี้ยวของพวกฤาษีที่ทำเลย เพราะพวกนั้นนั่งเป็นเดือน เป็นปี แลกินแต่ผลไม้ ไม่กินเนื้อสัตว์ แลอื่นๆ อีกมากมาย

หากแต่ผลที่ได้ หามีฤาษีตนใดได้ไปนิพพานไม่ ได้แต่นั่งเฝ้าหน้าประตูนิพพาน แต่เข้าไม่ได้

แม่ชีเมี้ยนจึงยกตัวอย่างพระโคดม เมื่อครั้งสำเร็จโพธิญาณ สิ้นอาสวะแล้ว แต่ก็เหลือกรรมสุดท้าย กรรมนั้นจึงดลบันดาลให้พระโคดมตัดสินใจ อดอาหาร เพื่อเข้านิพพานเลย

แต่ฟ้าดินมาให้สติพระโคดมว่า พระโคดมจะเอาพาหะอะไรพาเข้านิพพานเล่า ในเมื่อพระโคดมมีแต่ธรรม แต่ยังไม่ได้นำธรรมที่มีไปหาบุญเพื่อเป็นพาหะเข้านิพพานเลย

แลชี้ให้เห็นว่า "บุญและบาป เกิดแต่แหล่งเดียวกัน นั่นคือมนุษย์" ให้ทุกข์ก่อเป็นบาป ให้สุขก็เป็นบุญ

คำที่แม่ชีเมี้ยนตรัสบ่อยๆ ก็คือ "ถ้าจะหาบุญ อย่าเดินกินเลยมนุษย์"

ด้วยเหตุนี้ พระโคดมจึงกลับมาฉัน แลทรงสั่งสอนสาวก จนได้สาวกแปดหมื่นกว่ารูป ได้บุญเป็นพาหะพาไปนิพพาน เป็นรอยให้เราได้เห็นได้ทำตาม

เมื่อสอนเสร็จ จึงโยนตำราสมุนไพรให้ แลบอกว่า นี่แหละคือตำราบุญ เอาไปช่วยมนุษย์ให้เขามีสุข แล้วจึงจะได้บุญ

จากผู้ทีชอบสันโดษ จึงกลายมาเป็นอาจารย์นิพนธ์ที่มีลูกศิษย์มากมาย และก่อให้เกิดตำนานถ้ำกระบอกในอดีต

มาวันนี้ คำสอนนี้ได้ถูกถ่ายทอดมาให้ และเป็นคำตอบว่า ทำไมจึงต้องมีสถานที่ที่รวมคนทุกข์ไว้ ก็เพื่อให้เราท่านได้มีโอกาสสร้างสมบุญได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เพราะมีโอกาสให้สุขแก่คนทุกข์มากมายนั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์อุปมา ดั่งเราท่านมีน้ำแก้วหนึ่ง แล้วไปให้คนทั่วไป ค่าของน้ำแก้วน้ำก็มีค่าน้อย หรืออาจจะไม่มีเลย เพราะคนไม่ต้องการ ดีไม่ดี ถูกสาดกลับมาด้วย

หากน้ำแก้วนั้น ถูกนำไปไว้ที่ทางคนเดินในทะเลทราย น้ำแก้วนั้นย่อมมีค่ามหาศาล เพราะช่วยชีวิตคนไว้ได้

ฉันใดก็ฉันนั้น เงินกำไรจากข้าวแกง และน้ำที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้คนป่วยทำ แม้ดูอาจเพียงน้อยนิด แค่สิบบาทยี่สิบบาท

เมื่อเปลี่ยนเงินนั้นเป็นสมุนไพร แล้วสามารถไปช่วยคนทุกข์ให้มีสุขได้ จึงมีค่ามหาศาล และย้อนกลับมาหาตนได้

คนหลงหาง มองเห็นข้าวแกง เป็นสุขของปาก สุขของตน จึงตำหนิ ติฉิน ได้ว่า ไม่อร่อย แพงฉิบหาย

คนที่เข้าใจ และรู้ในเหตุและผล มองเห็นข้าวแกง เป็นแหล่งบุญ กินเพื่อเอาบุญไว้เลี้ยงตน ไม่ได้กินเพื่ออิ่ม เพื่อสุขของปาก แม้ในจานข้าวแกงนั้น จะมีข้าวเพียงช้อนเดียว แกงช้อนเดียว เขาก็ทานด้วยความอิ่มเอมในบุญที่เขาได้ทำด้วยหยาดเหงื่อและน้ำพักน้ำแรงของเขา ที่ได้ให้แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย

อย่าหลงในรูปรสกลิ่นเสียง จนทำให้เลยบุญ อันพึงกระทำต่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อช่วยตน ....

สถานที่นี้ แม่ชีเมี้ยนตรัสไว้ว่า "ไม่กลอกกลิ้ง พูดความจริงทุกอย่าง" .... หากไม่ชอบก็ไม่ว่ากัน อย่ามาทำบาปกันเลย ไม่ว่า กาย วาจา หรือใจ

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44