ภาพที่เห็น ทำให้คนคิดไปต่างๆ นานา จินตนาการไปมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สรุปเอาเองว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้น
แต่ก็ถือว่าเป็นคนจริง ที่กล้าเขียนในสิ่งที่คิด ส่งให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้อ่าน ได้รู้ ว่าเขาคิดอย่างไรกับชมรมนี้
มีหลายประเด็นที่คนไข้ได้เขียนวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่เขาเห็น และตำหนิอย่างแรง ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ อันหมายถึง การที่ไม่สามารถทำให้การบริการเป็นที่พอใจของเขา
ประเด็นที่เราอยากกล่าว อย่างแรกคือ การหารายได้มาเพื่อดำเนินกิจการนี้ ด้วยเหตุที่กิจการนี้เป็นกิจการทำให้ ดังนั้น เมื่อเริ่มกิจการนี้เมื่อปี ๓๐ ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์เรียกได้ว่าอยู่ในสภาพที่ไม่มีทุนเลย มีแต่ความเชื่อมั่น ศรัทธา และปณิธานที่ต้องทำให้ได้
การเริ่มในสมัยนั้น จึงต้องเป็นการกระเบียดกระเสียนจากเงินของครอบครัว จนในบางครั้ง แม้แต่ลูกก็ต้องไปโรงเรียน โดยไม่มีเงินติดตัวเลยก็มี เพราะต้องนำไปซ์้อสมุนไพรแจกคนไข้
ภาระในการหารายได้เพื่อดำเนินการ จึงต้องดิ้นรนในทุกทาง จนในที่สุดเมื่อมีคนไข้ที่เลิกยาเสพติด อาสามาช่วย จึงได้เริ่มมีการนำสูตรข้าวเหนียว และกระยาสาทร ของแม่ชีเมี้ยน มาเริ่มทำเพื่อเป็นรายได้ดำเนินการ
จึงเป็นจุดเริ่มของศาลาขนมไทย ดังนั้น จากอดีตที่ผ่านมา รายได้หลักก็มาจากการขายข้าวเหนียว กระยาสาทร และขนมตามเทศกาล นั่นเอง โดยกำลังแรงงานล้วนมาจาก จิตอาสา คือคนไข้ทั้งหมดทั้งสิ้น ตั้งแต่เริ่ม เพราะทุกคนที่มาช่วยรู้ดีว่า ภาระของท่านมากเพียงใด
มาจนถึงวันนี้ รายได้ส่วนนั้นได้ลดลง และคงเหลือแต่กิจกรรมขนมตามเทศกาล นั่นคือ ขนมเทียน เท่านั้นเอง ก็ด้วยเหตุที่เวลาทั้งหมด ต้องใช้ไปในการจัดหาสมุนไพร และการทำสมุนไพร รวมทั้งสิ่งต่างๆ รองรับคนไข้ที่มา
การขายอาหาร และน้ำ ไม่ได้เคยอยู่ในความคิดของหลวงพ่อนิพนธ์เลย นับแต่อดีตท่านมักพูดเสมอว่า "เมื่อให้ก็ต้องให้ถึงที่สุด" และเคยดำริที่จะให้ทำอาหารแจกคนไข้ทานฟรี
ดังนั้น ในยุคแรกๆ ของ วิทยากร คือ อ.อร่าม คนไข้ในยุคนั้นๆ มาที่ศาลาขนมไทย มาเข้ากระโจม รับสมุนไพร และยังแถมมีอาหารเลี้ยงฟรี
แต่ความคิดข้อนี้ก็ต้องตกไป เพราะจำนวนคนที่มามากขึ้น ในขณะที่เวลาในการหารายได้เดิมก็ลดลง จึงมีคนไข้ที่มีฝีมือด้านทำอาหาร เสนอว่าให้ทำอาหารขายเพื่อนำรายได้มาจัดซื้อสมุนไพรชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปเดิม โดยการมาทำก็ทำให้ฟรี
วันเวลานานเข้า เรื่องของการทำฟรี แม้มีใจ แต่งานก็หนักขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนตักก็ยังเหนื่อย ยังท้อ
ภาพของมุมมอง ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างเห็น ก็เริ่มขัดแย้งกันในตัวของมัน อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่รู้ซึ่งที่มาที่ไปของมันนั่นเอง
คนมาทำ ก็อยากจะหารายได้ให้เพื่อเป็นทุน และพึงคิดว่า คนมาทานคิดเหมือนตน ทานเพื่อเอาบุญ หรือเรียกได้ว่าทานแค่เป็นพิธี ไม่ใช่ทานเอาอิ่ม ทานเอาอร่อย เลิศเลอ และรู้ว่า เงินที่ได้จะย้อนมาเป็นสมุนไพรให้ทานนั่นเอง
คนมากิน ก็คิดว่า แพงฉิบหาย อาหารก็งั้นๆ ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์แจกยา แต่มาขูดรีดขายอาหารอย่างนี้ ไม่ขายสมุนไพร แต่ทำอย่างนี้ยิ่งกว่าเสียอีก ว่ากันไป
ความคิดเช่นนี้น่ากลัวนัก และเรากลัวคำว่า หลวงพ่อนิพนธ์ก็คงรับไม่ได้เช่นกัน เพราะคนวงในจะรู้ดีว่า ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาในการดำเนินการกิจกรรมนี้ บัญชีของบ้านท่าน ตัวแดงมาตลอด โดยที่ท่านไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย และบอกกล่าวลูกศิษย์เสมอ ให้เชื่อมั่นในความดี ทำไป แล้วดีเอง
แต่ภาพที่คนทั่วไปเห็น นั่นคือ สรรพสิ่ง ไม่ว่ารถรา อาคาร สถานที่ ที่กว้างขวาง โอ่โถง ต้องเป็นสมบัติของหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านต้องรวยมาก และอาจเลยไปว่า ต้องมีซิกแซกแน่นอนจึงรวยขนาดนี้
หากแต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ทุกคนเห็น ไม่มีสิ่งใดเป็นของท่านเลยแม้แต่ชิ้นเดียว นั่นคือไม่มีของชิ้นไหนที่เป็นชื่อท่านเลย หรือเป็นสมบัติส่วนตัวของท่านเลย
มิหนำซ้ำ ในขณะที่ห้องคนไข้ ทำอย่างดี แต่ห้องนอนของครอบครัวท่าน กลับนอนรวมกันกระจุกอยู่ในห้องแคบๆ จนคณะกรรมการทนไม่ได้ จึงร้องขอทำห้องให้ท่านอยู่ใหม่
ไม่แปลกใจที่คนจะคิดไปทางที่ไม่ดี หากแต่แปลกใจว่า ทำไมด่วนสรุป ไม่ศึกษาไตร่ตรองแล้วจึงวิพากษ์วิจารณ์
เท่าที่เราทราบ ด้วยภาระที่ท่านแบกอยู่ ไม่ว่ารายได้ขายอาหาร ขายน้ำ หรือจิปาถะ ร่วมทั้งเงินบริจาคจากส่วนต่างๆเข้ามูลนิธิ ล้วนแล้วแต่ไม่พอดำเนินการ สิ่งที่ทำให้อยู่ได้ ล้วนแล้วมาจาก ความศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ จึงมีคนที่มาแบกรับภาระให้ในส่วนที่ขาดตลอดมา
มาถึง ณ วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การกระทำเช่นวันวาน ในการที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใด หรือ กลุ่มหนึ่งกลุ่มใด แบกภาระของคนส่วนใหญ่นั้นไม่ชอบตามหลักพระภูมี
คนทุกคนที่มา ต้องมีส่วนร่วมในภาระนี้ พูดง่ายๆ ทุกคนที่มาใช้บริการ ก็ต้องมีภาระในการทำให้กิจกรรมนี้ดำเนินไปได้ ด้วยตัวของพวกเขาเอง ไม่ใช่ร้องขอ หรือรอรับการช่วยจากผู้อื่น หรือองค์กรใดๆ นั่นคือ ต้องพึ่งลำแข้งตัวเอง ตาม
หลัก "ตนพึ่งตน"
หากความคิดนี้ไม่ถูกกระจายไป และปฏิบัติ นั่นหมายถึง ไม่สามารถรักษาหลักของพระภูมีให้คงอยู่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับความจริงว่า สิ่งดีงามที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งให้ไว้นี้ ไม่เป็นที่ต้องการ ก็ต้องตัดสินใจปิด หรือยุบให้เล็กลงเท่าที่พอจะทำไหว หรือบุคคลิกเฉพาะคนที่เข้าใจ เท่านั้น
สูตรสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ไม่จำเป็นต้องมาเร่ขายหรอก แค่เสี้ยวหนึ่ง อาทิเช่นในอดีตที่แม่ชีเมี้ยนประทานให้ลูกศิษย์ไปทำกิน คือ ยาหอม ก็โด่งดังคับฟ้าเมืองไทย เป็นยี่ห้อดังจนทุกวันนี้ กินไปชั่วลูกชั่วหลานไม่หมดแล้ว
ที่สำคัญและแน่นอน คนที่จะใช้สูตรสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนนั้น ต้องมีคุณธรรม ฟ้าดินยอมรับ จึงประสพผล
ก็ ๗ สำนัก ที่มันห่มผ้าเหลืองทำ ยังหงายเก๋ง ตายด้วยโรคหมด
แต่ที่นี่ นุ่งกางเกงทำ หากมีนอกมีใน ไม่ว่าคนที่มา หรือ คนทำ ฟ้าดินเขาไม่แม้แต่ชายตามองหรอก แล้วจะมีคนหายมาเดินเชิดหน้าให้เห็นได้อย่างไร