หลวงพ่อนิพนธ์ได้เล่า การสอบสวนเมื่อครั้งปี ๐๔ ให้ฟังว่า
พระเถระผู้ใหญ่ได้เริ่มตั้งคำถาม หลวงพ่อนิพนธ์จึงร้องขอว่า ให้ถามทุกข้อที่สงสัยในคราวเดียว จะได้ตอบให้ครบถ้วนทุกประเด็นในคราวเดียวเลย
ประเด็นหนึ่งที่ได้ตอบแก่เถระผู้ใหญ่เหล่านั้นคือ
คำถามที่ว่า "ท่านเชื่ออย่างไรว่า หลักปฏิบัติที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอนสงฆ์ เป็นหลักของพระภูมีที่แท้จริง"
และต่อเนื่องคือ "หลักปฏิบัติทั่วไปของสงฆ์ที่เป็นอยู่ไม่ใช่"
หลวงพ่อนิพนธ์ได้ชี้แจงว่า
พระภูมีทรงเป็นกษัตริย์ ทิ้งช้อนเงิน ช้อนทอง มาใช้ช้อนสังกะสี ทิ้งราชรถ มาเดิน ทิ้งแพรพรรณ มาใช้เพียงจีวรผืนเดียว
หลักปฏิบัติของแม่ชีเมี้ยน ก็ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น ไม่ดื่มน้ำปานะนอกเวลาฉัน เดินธุดงค์เป็นวัตร ก็เพื่อเป็นการตัดกิเลส
ในขณะที่พวกท่าน ล้วนแล้วเดิมมาทานแต่ช้อนสังกะสี บัดนี้มาทานช้อนเงิน ช้อนทอง ล้วนแล้วแต่เดิน นอนกระต๊อบ บัดนี้มานั่งรถ และนอนกุฎิ ตรงข้ามกับพระภูมีอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้น การที่พระถ้ำกระบอก ไม่สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ก็เพราะเห็นแล้วว่า ในอินเดีย หาได้มีโบสถ์วิหาร ให้เห็นเป็นหลักฐานไม่ อันแสดงว่า สิ่งที่พระภูมีสร้าง คือ "คน" ไม่ใช่โบสถ์ วิหาร และสิ่งที่พระภูมีทรงใช้นอน ก็คือเรือนไม้ จึงไม่ปรากฎถาวรวัตถุใดๆให้เห็นเลยนั่นเอง
คำสอนของแม่ชีเมี้ยน เน้นให้ลดนิสัย กิเลส ไม่สร้างวัตถุ จึงเดินตามรอยของพระภูมีอย่างแน่นอน แลผลที่ได้ ก็ได้คนดี
ในเมื่อพระภูมี ทิ้งสุข มาหาทุกข์กับวินัย จนบรรลุโมกขธรรม โดยไม่มีเงิน ไม่สร้างวัตถุ คนที่มาสนับสนุนหรือเรียกง่ายๆว่า บรรเทาทุกข์ท่าน จึงได้รับอานิสงฆ์มหาศาลนั่นเอง
อันก่อเกิดตำนาน "นางสุชาดา" ที่ทำข้าวมธุปายาส ถวายแด่องค์พระภูมี จนฟื้นคืนพลังมาสอนสงฆ์แปดหมื่นสี่พันองค์
หากพระโคดม บวชในวัง ข้าวนางสุชาดา จะมีค่าแม้กระผีกหรือ
พระของพระภูมี จึงมีลักษณะ เป็นผู้ทุกข์ อันเป็นทุกข์จากธรรมวินัย แลเป็นผู้ขาด ผลของการบรรเทาทุกข์ท่าน อาทิ การใส่บาตร จึงมีค่ามหาศาล ทำให้ท่านทรงวินัยอยู่ได้
ในขณะที่พวกท่าน มีข้าวเต็มยุ้ง มีจีวรเต็มกุฏิ ก่อนมาบวช ล้วนมีทุกข์กับการดำรงชีพ แต่เมื่อบวชแล้ว มาเสวยสุข หาได้มีทุกข์อันใดไม่เลย แม้แต่กับธรรมวินัย
ในยุคถ้ำกระบอก ได้มีโยมผู้หญิงสองท่าน ล้วนแล้วแต่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง อาการหนักพอๆ กัน
ได้ฟังธรรม ที่ว่า ลูกบวชเป็นพระแล้วสามารถช่วยผู้เป็นบิดามารดาได้
คนหนึ่งมีลูก๗คน อีกคนหนึ่งมีลูก ๑ คน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่บวชให้แม่
เวลาผ่านไป แม่ผู้ที่มีลูก ๑ คน อาการดีวันดีคืน ในขณะที่อีกคน ไม่ดีขึ้นเลย
คนไข้ท่านนั้นจึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า ลูกของเขามาบวชถึง ๗ คน แต่เขาไม่ดีขึ้นเลย ในขณะที่อีกคนบวชแค่คนเดียว ทำไมถึงดีวันดีคืน
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสตอบว่า ก็พระลูกของโยมทั้งหมด บวชแล้วไม่ประพฤติธรรมอันใดเลย ในขณะที่พระรูปเดียวนั้น ตั้งอกตั้งใจประพฤติธรรม นั่นเอง
ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ถ้าจะทำสิ่งไร พิจารณาให้ดี ว่าทำกับใคร สาวพุทธประวัติ ว่า สิ่งที่ทำนั้น ไปสร้างสุขให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ มิฉะนั้นก็จะสูญเปล่า ดังคนทั่วไปที่มักง่าย กล่าวเองเออเองว่า ทำแล้ว ไม่สน แล้วไปนั่งรอบุญ ซึ่งเป็นอากาศ ไม่มีวันได้
หากทำกับพระผู้ซึ่งเดินตามรอยพระภูมีแท้จริงแล้ว สบายใจได้ว่า เดินยังไม่ถึงบ้าน บุญไปรอที่หัวกระไดแล้ว
ไม่ว่าพระไม่ว่าโยม หากเดินรอยตามพระภูมี ย่อมต้องทุกข์ อันเนื่องจากธรรมวินัยนี้เอง
แว่นส่องพระที่พระภูมีทิ้งไว้ให้นี้ ชี้ให้เห็นเลยว่า พระแท้เป็นเยี่ยงไร
บทจบของการสอบในครั้งนั้น จึงเป็นที่มาของฉายา "พระมีดโกน" ของหลวงพ่อนิพนธ์ จนไม่มีพระเถระองค์ใดกล้ามาสอบอีกเลย
และหลังการสอบสวน ทำให้จอมพลสฤษดิ์ทราบความจริง อุทานว่า "เกือบฆ่าพระดีเสียแล้วเรา" และได้แต่งตั้ง เสธ.ทวี จุลละทรัพย์ ให้ช่วยไปเป็นมรรคทายกวัด และจัดซื้อที่ดินถวายแม่ชีเมี้ยน พร้อมทั้งออกคำสั่ง ตั้งให้ถ้ำกระบอกเป็นวัดอภิสิทธิ์ บวชพระเองได้ ไม่ต้องมีใบสุทธิ ไม่ขึ้นกับเถรสมาคม นับแต่นั้นมา