วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562

หนึ่งเดียว - ที่ใดมีความไม่มีโรค ที่นั้นมีศาสนา”


สิ่งที่อ้าง กล่าวกัน มากมาย ในความเชื่อของมนุษย์ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า นั่นก็อ้างกันไป แล้วแต่หมู่ชน จะจัดสิ่งที่ตนเชื่อถือว่าเป็นสิ่งใด

แต่ความจริงของจักรวาล แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้ว่า โลก มีศาสนาเพียงหนึ่งเดียว

โลกของโลกียะ ศาสนาหนึ่งเดียวของเขาคือพราหมณ์ อยู่คู่มากับโลก

ลักษณะที่เด่นชัด คือ เป็นศาสนาร้องขอพร พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ก็หวังพึ่งผู้อื่นเป็นอุปนิสัย

ศาสนาลัทธิความเชื่ออื่นใดในโลกโลกียะนี้ ชื่อต่างๆก็เกิดดับไปตามยุค ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในความจริงอันนี้ รวมไปถึงการแพทย์ ล้วนแล้วคือพราหมณ์ ที่เปลี่ยนชื่อ แปลงรูป

โลกโลกุตระ ศาสนาหนึ่งเดียว คือ พุทธศาสนา สอนให้พึ่งตนเอง

เราเคยถามหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ก็แล้วพุทธที่มีมาหลังสิ้นพระโคดม มิใช่พุทธหรือ ท่านว่า มันเป็นสมมุติสงฆ์ แต่พุทธที่แท้จริงมันไม่มีแล้ว บทพิสูจน์ คือ ไม่ว่าพระเหล่านั้นจะทำผิดสักฉันใด มันจึงเป็นไปตามกรรมของโลก ไม่มีธรณีสูบเหมือนเทวทัต

ก็ในวันนี้ พราหมณ์ที่มีเต็มอินเดีย มันไปไหน มาเกิดในยุคนี้ มันก็ครองผ้าเหลืองหากิน จึงไม่แปลก พิธีกรรมมากมาย ก็เพื่อสุขของพราหมณ์นั่นแล

วันใดที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติและประกาศตน นั่นของจริงเขามาแล้ว อำนาจมหาศาล ทำถูกบรรลุได้ ทำผิดธรณีสูบได้ เมื่อประกาศวินัย ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ ผู้ใดที่ครองผ้าเหลือง แล้วกินสองมื้อ สามมื้อ ผลเกิดทันตาเห็น พระสามแสนรูปในประเทศไทย รับรองหายหมด เหลือต่ำร้อยแน่นอน ใครแน่ลองขายพระดู

บทสรุป เมื่อของจริงยังไม่มา ใครจะเอาศาสนาหากิน ผลกรรมมันจึงไม่ทันตา แลกลับกัน สิ่งที่ทำทำสักฉันใด ก็ช่วยตนของตนไม่ได้ แค่ปวดท้องยังแก้ไม่ได้เลย

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงให้แว่นส่องจักรวาล ให้มนุษย์ไว้มองหาศาสนาที่แท้จริง นั่นคือ “ที่ใดมีความไม่มีโรค ที่นั้นมีศาสนา”

เมื่อกรรมมันแรง ธรรมเขาก็ต้องแรง ทำผิดผลผิดมหาศาล ทำถูกกผลถูกก็ยิ่งมหาศาลหลวงพ่อนิพนธ์เคยเตือนว่า ถึงวันนั้น ท่านอาจเห็นคนที่คุยในห้องสวดมนต์ คุยไปคุยมาชักตาตั้ง พฤติกรรมมันเย้ยศาสนา มันไม่กลัวกรรม มันฆ่าคนหน้าตาเฉย ด้วยคำพูดของมัน

จึงไม่ต้องแปลกใจ ทำไมความสงบจึงเป็นเอกลักษณ์ของศาสนา เพราะคนทุกข์เขามาฟังธรรมเอาไปช่วยตน เสียงที่รบกวนทำให้เขาไม่ได้ยินคำสอน จึงช่วยตนไม่ได้ จะปฏิเสธสักฉันใด ตัวกระทำฆ่าคนมันเกิดแล้ว

และถ้าคนผู้นั้น ถ้าได้ฟังแล้วศรัทธาเกิดเลื่อมใสในพุทธศาสนา อยากบวช นั่นยิ่งหนักฆ่าพระเลยนั่น จึงไม่ต้องสงสัย ทำไมคนพูดมันชักตาตั้ง

ส่วนลัทธิ ความเห็น ความเชื่อ ในโลกต่างๆ ทีเป็นของพราหมณ์ ศาสนาร้องขอพร วันเวลาจะพิสูจน์ว่าทำแล้วช่วยตนไม่ได้แม้นแต่น้อย จึงไม่แปลกที่ต้องแต่งตัวสวยดูดี ต้องมีอาคารหรู ห้องแอร์ มีใบประกาศรับรอง พิธีกรรมน่าเชื่อถือ แต่แค่ปวดท้องก็แก้ไม่ได้แล้ว

ยาเม็ด มันก็ไม่ต่างกับพราหมณ์นั่นแล แค่โลกียะเขาแปลงรูป กว่าจะรู้ ช่วยไม่ได้ ฝาโลงก็แย้ม

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2562

หายโรค ไม่ได้แปลว่า “ไม่ตาย”


เราท่านมาหาศาสนากันทำไม

แม่ชีเมี้ยน ตรัสชี้ว่า คนมาแล้วทำ นั่นเพราะปรารถนาอยากได้ มรรคผล นิพพาน ไม่ว่าจะชาตินี้ หรือ ในภายภาคหน้า

มาแล้วทำอะไร

ท่านว่า จะไปถึงปรารถนานั้นได้ ต้องมีนิสัย ของพระภูมีพระภาคเจ้า ทุกเวลานาที

ดังนั้น จะไปได้ ก็ต้องลดนิสัยสันดานกรรมของตนลง สร้างสมหรือสะสมนิสัยของพระพุทธเจ้าให้เกิดกับตน จนหมดนิสัยกรรม นั่นแหละจึงไปกับเขาได้ สมปรารถนา

การมาหาศาสนา จึงมาเพื่อ “ทำนิสัยของพระภูมี ที่ยังทำไม่ได้ หรือยังไม่ได้ทำนั่นเอง” ตามแต่ตนจะทำได้ สะสมไป

เมื่อพิจารณาความจริงนี้แล้ว ก็ตัดสินใจ เราท่านจะอยู่รอกรรม ทำนิสัยกรรม แล้วนิสัยดีๆของพระภูมีที่เคยทำ ค่อยๆหายไป หรือพาตนเดินหนีนิสัยกรรม ไปสะสมนิสัยธรรม ด้วยมีสัจจะธรรมนำตน ให้พอกพูนขึ้นเป็นลำดับ

บทสรุป การทำสัจจะ จึงไม่แปลกที่สอนให้ทำทีละน้อย ทีละชั่วโมง และก็ไม่แปลกที่เมื่อเริ่มทำ จะทำไม่ได้ หรือทำได้ไม่สมบูรณ์ อุปมาเสมือนเด็กหัดเดินใหม่ๆ ย่อมล้มลุกคลุกคลานเป็นธรรมดา กว่าจะเดินได้ หากแต่การล้มทุกครั้ง ก็จะเกิดปัญญา ความแข็งแกร่งแก่ตน

คนที่ไม่ยอมล้ม ไม่มีทางเดินได้ อย่าพึงกลัวล้ม หรือกลัวสัจจะ เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่พรหมลิขิตต้องเผชิญ นั่นคือ “กรรม” ที่รอมาให้ทุกข์อันมหาศาล

ฤาจะรอทุกข์มา ถึงวันนั้นอยากทำก็ทำไม่ได้แล้ว จะบวชฉันมื้อเดียว ก็ทำไม่ได้ แม้นจะนั่งสวดมนต์ยังยากเลย

หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเคล็ดของการหายโรค แลสร้างบุญว่า “ทำตนตายจากโลกไปก่อนเสียแต่วันนี้ อย่ารอให้ถึงวันที่ที่กรรมมาดลให้เราตาย นั่นหนีไม่พ้น” จะสัปดาห์ละครั้ง เสมือนวันพระครั้งพุทธกาล หรือ บวชสักช่วงเวลาก็ตามแต่

ก็แล้วจะเดินกันไปอย่างไร เมื่อไม่มีวันเวลาไปเรียนรู้เลย สัจจะ ทำอย่างไร บุญเป็นไฉนทำอย่างไร แม้นแต่วันเวลามาสวดมนต์ ทำตนเป็นพระเวสสันดรยังไม่มีเลย หรือมีเวลา แต่มาเอาแต่สมุนไพร โดยไม่ทำอะไรเป็นที่พึ่งของตนเลย

ฤาจะเอาแต่สมุนไพร ไม่ว่ากัน แต่คนขาเดียวจะเดินไปได้สักกี่ก้าว สักแค่ไหน แน่ใจหรือจะไม่ล้ม

หายโรค ไม่ได้แปลว่า “ไม่ตาย”

แน่หรือ สิ่งที่ตนทำนั้นเป็นบุญ รู้อีกทีว่าเป็นลม ฝาโลงก็แย้มให้เห็นแล้ว

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562

หายเพื่อ


หนทางการฟื้นฟูตน ของศาสนา ท่านอาสิชี้ว่า โรคใดๆ ก็เป็นไปได้

คำถามก็คือ หายหรือดีขึ้นแล้วเอาแรงที่ได้ไปทำอะไร

ทำแบบเดิม ใช้นิสัยเดิมๆ ที่สร้างกรรม ก่อให้เกิดโรค อย่างนั้นหรือ

ศาสนาคงไม่เป็นขี้ข้าใคร มิฉะนั้นคงไม่ใช่หลักปราชญ์ ที่อ้างแต่เมตตา ต้องช่วย ขอแล้วต้องได้ มันจึงไม่น่าจะใช่ มิฉะนั้น พระโคดมคงเอาไปหมดโลกแล้ว

บทสรุป ถ้าทานแล้วเอาแรงไปเก็บใบยา ถ้าท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะช่วยใคร

สมุนไพรดี จึงมีวิญญาณ มิใช่ดีที่ทำให้ทุกคนหาย แต่ดีเพราะช่วยคนที่อยากเป็นคนดี ได้มีแรงทำความดีต่างหาก

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2562

ไม่เที่ยง


ยุคนี้เป็นยุคที่คนทั้งหลายบอกสรรพสิ่งไม่เที่ยง

ที่มันไม่เที่ยงเพราะการกระทำของคนมันไม่เที่ยง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ดิน น้ำลม ไฟ เป็นพี่เลี้ยงของมนุษย์ สะท้อนพฤติกรรมมนุษย์ เมื่อการกระทำไม่เที่ยง เอนเอียงไปด้านใด ฤดูกาลก็เบี้ยวไปทางนั้น ตามนิสัยหมู่คนนั้นๆ

เมื่อผลแห่งตัวกระทำหมู่ให้ทุกข์ ไม่ว่าจะแก้สักฉันใดไม่เป็นผล ร้อนจัด หนาวจัด ทะเลทรายน้ำยังท่วม โรคที่หายสาบสูญไปนานก็ย้อนคืนมา

แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ว่า พระพุทธเจ้าจะมาดับยุคเข็ญ ตอบโจทย์ แก้ทุกข์ที่ต้นเหตุ คือ ”นิสัย”

นำสัจจะธรรมมาให้มนุษย์ปฏิบัติ สร้างการกระทำเที่ยง เป็นที่พึ่งแห่งตน

สอนให้ใช้สัจจะ แล้วใช้ขันติ อดทน ทำให้เที่ยง คือ พูดอย่างไร ทำอย่างนั้น

ใครก็อยากเป็นคนดี แม้นจะมีขันติอดทน แต่ก็ทำไม่ได้ ยืนระยะไม่ได้ เพราะเหตุใด

แม่ชีเมี้ยนชี้ให้พิจารณา

ขันติ เป็นการกระทำ

อดในสิ่งที่อยากได้แต่ไม่ได้

ทน ในสิ่งที่ไม่อยากได้แต่ได้

สัจจะ จะเป็นผู้นำทำให้สำเร็จ

ถ้ามีแต่ขันติอดทน แต่ไม่มีสัจจะ

เดี๋ยวก็ลืมทำ ขันติอดทน

พอนึกขึ้นได้ ก็ทำใหม่

การกระทำมันจึงไม่เที่ยง

ผลจึงไม่เที่ยง แค่อยู่จนครบพรหมลิขิต ยังไม่เที่ยงเลย เพราะการกระทำทำลายตน ด้วยหวังพึ่งผู้อื่น ขอแต่พร

บทสรุป เมื่อสร้างตัวกระทำเที่ยง ผลมันก็เที่ยง เป็นบุญ ที่เสมือนเงาตามตัว ยิ่งไปกว่านั้นให้ผลเร็ว ทำปุ๊บหลวงพ่อนิพนธ์บอกบุญไปรอที่กระไดบ้าน เสมือนแสงอาทิตย์ เมื่อเราเดินออกแดด ก็รู้สึกได้ทันที ที่สำคัญ ซื้อกรรมได้ เลี่ยงกรรมได้

หายโรคจึงเป็นไปได้ เหมือนปาฏิหาริย์

ยุคเฟื่องฟูของศาสนา ที่เรียกยุคศรีวิไลซ์ นั่นจึงยุคที่การกระทำเที่ยงเฟื่องฟู สัจจะธรรมเฟื่องฟูนั่นเอง ฤดูกาลจึงกลับมาปกติ ฤดูละสี่เดือน

นี่แลทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงชวนเราท่านให้มาทำ ก็จะได้เลี่ยงกรรมหมู่ ทำตนอยู่ดูศาสนา ดูพระพุทธเจ้าที่จะอุบัติในแผ่นดินพม่า แลมีนิสัยของเขา ทำตามคำสอนได้

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2562

นิสัยกรรม - นิสัยธรรม


ศาสนาเป็นหลักปราชญ์ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณา ว่าทำไมแม่ชีเมี้ยนจึงนำหลักสัจจะ มาให้ปฏิบัติ

แลนับตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอก สัจจะที่รับเพื่อทำนิสัยของพระภูมี อาทิ ไม่โกรธ มักมีกำหนดเริ่ม ทีละ 1 ชั่วโมง ครั้งละ 100 วัน

เมื่อเทียบกับศีลที่นิยมรับกัน ในยุคนี้ บอกไม่มุสา พิจารณาเอาเถิด ทำได้จริงหรือ บอกไม่ฆ่าสัตว์ ทำได้จริงหรือ จะมีสติผู้ใดที่ไม่เคยฝึกแล้วทำตนได้ตลอดในศีลที่รับมา อุปมาเหมือนคนไม่เคยวิ่ง หรือวิ่งบ้าง จับไปวิ่งมาราธอน จะมีผู้ใดทำได้ ศีลที่รับมาทำไม่ได้ ย่อมย้อนมาเป็นหอกทิ่มแทงตน

แม่ชีเมี้ยนจึงให้เริ่มทำนิสัยของพระภูมีทีละน้อย ตัดนิสัยกรรมของตนทีละนิด แค่หนึ่งชั่วโมง ซึ่งพอทำได้ทุกตัวคน อาจจะไม่สมบูรณ์ ครบ กาย วาจา ใจ แต่หยุดได้บ้าง เช่น หยุดใจไม่โกรธ ยังไม่ได้ หยุดวาจา หยุดกายก็ยังดี ถ้าผู้ใดทำแล้ว ย่อมเกิดปัญญาที่จะต่อสู้ อาทิ แรกๆก็เดินหนี เก่งหน่อยก็ทนเอา ทำได้ก็วางได้ เขาทำเป็นของเขาตัวกระทำเขา เราทำเป็นของเราจะไปโกรธเขาทำไม ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น จากอารมณ์โกรธ กลายเป็นสงสารคนที่มาทำให้โกรธ เพราะเขาต้องรับกรรมที่ทำด้วยไม่รู้เรื่องศาสนา

ทีนี้เมื่อทำได้ ผลบุญเกิด ผลกรรมไม่มีเพิ่ม เท่ากับสองแรงบวก กรรมที่มีย่อมลดเร็ว เสมือนตักน้ำในตุ่ม แลไม่มีน้ำก๊อกมาเพิ่ม ตุ่มก็รั่วอยู่แล้วด้วยใช้กรรม โรคมันจึงหายเร็ว และหายแน่นอน ช้าเร็วน้ำก็หมดตุ่ม

นิสัยที่ไม่สร้างกรรม เปลี่ยนมาสร้างบุญ ย่อมหมายถึงสุขรอตนในวันข้างหน้า หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกถ้าหายจึงไม่กลับมาเป็นอีก

วิชาดีๆแบบนี้มีที่ไหนสอน และเมื่อทำทุกวันไปเรื่อยๆ ฝรั่งทำวิจัยมาแล้วว่า การกระทำใดที่ทำซ้ำไป ทุกวัน หากเกิน 63 วัน จะกลายเป็นนิสัย ถ้าเราทำตามแม่ชีเมี้ยน เราก็จะได้นิสัยใหม่เกิดกับตน

เมื่อ 1 ชั่วโมงทำได้ 2 ก็ทำได้ เมื่อสองทำได้ 4 ก็ทำได้ พิจารณาเอา ถ้าทำได้ 24 ชั่วโมง อะไรจะเกิด เพราะสิ่งที่ทำมีแต่สร้างบุญ ด้วยทีนิสัยธรรมนี้เอง

เมื่อไม่โกรธทำได้ นิสัยอื่นย่อมทำได้

ทำสะสมไปเรื่อยไป ย่อมเห็นชัดว่า ปรารถนา มรรคผล นิพพาน ด้วยวินัยนี้เป็นไปได้

บทสรุป ผู้ทำย่อมเป็นผู้รู้ด้วยตนเอง ว่าสิ่งที่ตนทำตนเชื่อ ทำแล้วลดกิเลสของตนลงได้หรือไม่ แลทำถูกผลถูกต้องเกิด นี่แลทำไมพระของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ไม่มีหรอกทำแล้วเป็นโรค เดินหลังตรง ธุดงค์จนตนตายทุกตัวคน

หมอชีวกพราหมณ์ นั่นจึงเป็นเรื่องโกหกที่แต่งขึ้นมา

เมื่อมีนิสัยธรรม ย่อมไม่สร้างกรรม จะเป็นโรคโดยวิธีใด ถ้าเป็นโรค แล้วจะบอกได้อย่างไร ว่าตนมีธรรม ธรรมที่มีนั้น คิดเอง เออเอง น่ะสิ

ปราชญ์ จึงรักแม่ชีเมี้ยนสุดหัวใจ จึงไม่แปลก ทำไมพระจึงก้มกราบตีนแม่ชีเมี้ยน ที่เป็นหญิง ก็สอนให้ไกลกิเลส ไกลตัวทะยานอยากของตน ทำให้ตนได้มีนิสัยพระภูมี เป็นที่พึ่งแห่งตน ทุกภพชาตินั้นเอง ที่สำคัญ ปรารถนา มรรคผล นิพพาน ของตน เป็นไปได้ ไม่ใช่พูดเป็นลมพ่น ไม่มีวันถึง

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2562

ทางตรง





การหายโรค สำหรับศาสนา ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าโรคอะไร เพราะรู้ว่าเหตุแห่งโรคที่แท้จริง คือ กรรม

การทานสมุนไพร แลปฏิบัติตามวินัยที่กำหนด เหมือนยาอ่อน เป็นทางอ้อม ต้องใช้เวลานาน คนที่จะใช้วิธีนี้ ต้องยืนระยะ และต้องใช้ขันติอดทนสูง

ด้วยเหตุที่เป็นการเตรียมตัวเพื่อรับกรรมนั่นเอง นั่นคือมีเท่าไหร่รับหมด ถ้าร่างกายทนได้ หมดกรรมก็หายโรค เหมือนนักกีฬา จะชนะก็ต้องฝึกมาดี

แต่ศาสนามีทางที่ดีกว่า เป็นทางตรง มุ่งที่จะตัดต้นเหตุให้น้อยลงมากที่สุดเท่าที่ทำได้ นั่นคือการรับสัจจะ ทำนิสัยพระภูมี ทุกข์กับวินัย แทนทุกข์กับโรค

นั่นหมายความว่า วินัยที่ทำได้แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เงินบุญซื้อกรรมได้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงนิยมใช้หนทางนี้ เพราะให้ผลที่แน่นอน แลรวดเร็ว

บทสรุป งานรำลึกคุณของแม่ชีเมี้ยน ทำให้คนที่ไป ได้ฟัง ได้รู้ ว่าทางบุญของศาสนาทำอย่างไร ทำไมต้องใช้สัจจะ ยิ่งไปกว่านั้น ทำได้มิเพียงแต่ช่วยตน สามารถใช้หนี้บิดามารดา ผู้อุปถัมภ์ ผู้อุปการะ เจ้ากรรมนายเวร

แล้วมาดูกัน ทานมาตั้งนาน ผลอืดเป็นเรือเกลือ ลองมาใช้หนทางสัจจะของแม่ชีเมี้ยน แล้วดูผล

ดีใจที่มีคนมาลองแล้ว

แล้วดูผลจริงหรือไม่ ที่ทำแล้ว ใจสูง วิญญาณสูง แล้วกายจะสูงตาม หายโรคแบบปาฏิหาริย์

นี่แลทางตรง ที่หลวงพ่อนิพนธ์อยากให้ทำ ไม่เหนื่อยทั้งคนทำยา และคนทาน เสมือนน๊อตเกลียวเดียวกัน จับมือกันแน่น โรคอะไรก็ไม่เหลือ

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562

บอกอะไร


บทสวด "ยันทิกะ" เป็นบทสวดที่นับตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอกเริ่มก่อตั้ง พระจะสวดเป็นบทแรกเสมอ

เป็นบทสวดที่บอกเรื่องราวของพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ต้องมีครู

แลครูผู้สอนในทุกยุค คือ "โลกุตระ"

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า ศาสนา เป็นของนอกโลก เป็นองค์กรที่สาม มีธรรมเป็นอำนาจ ผู้ทำตาม ผลที่ได้ คือ "บุญบารมี ทานบารมี"

แปลความว่า บุญบารมี ทานบารมี นั้นมีเจ้าของ ไม่ใช่ที่ไหนก็มี ที่สำคัญ มีวันเวลา ผุดเกิด แลดับลง ไม่ใช่อยู่คู่โลก

ส่วนการกระทำใดในโลก เกิดผลแค่สองอย่าง คือ กรรมดี กรรมชั่ว อันนี้แลคู่โลก เป็นของโลกียะ

พระเคยถามว่า แล้วรู้ได้อย่างไร ว่าที่ใดเป็นศาสนาที่แท้จริง

หลวงพ่อนิพนธ์ตอบว่า พระพุทธเจ้าก่อนดับขันธ์ให้แว่นส่องจักรวาล เพื่อหาศาสนา เมื่อใดพบ "ความไม่มีโรค" ที่นั้นแลมีศาสนา

เพราะคนที่มีศาสนา จะได้เป็นของแถม

แล้วอย่างไรเรียกมีศาสนา

ท่านชี้ว่า บทยันทิกะ อธิบายว่า ด้วยการสร้างคุณสมบัติ คือ โพธิกิริยา หรือ นิสัยของพระพุทธเจ้า ให้เกิดกับตน นั่นเอง

ใครยิ่งมีมาก ผู้นั้นยิ่งสุขมาก

ผู้ที่จะบรรลุมรรคผล นิพพาน ก็คือ ผู้ที่ทำได้ ทุกเวลา นั่นเอง จึงไม่สร้างกรรม ไม่ว่า กรรมดี กรรมชั่ว ผลคือ ไม่มีตัวกรรมนำเกิดแล้ว จึงไม่ต้องเกิดอีก

ส่วนพวกที่ยังทำไม่ได้ทุกเวลานาที ก็จึงยังต้องเกิด เพราะยังสร้างกรรมอยู่นั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงว่า เราท่านมาพานพบ มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะเคยทำนิสัยดีๆนี้ไว้ จึงพามาพบ

คำถามก็คือ พบเพื่อตัด หรือเพื่อต่อ

ท่านจึงชี้ว่า ทำไมคนที่มาทานสมุนไพร ทุกตัวคนจึงดีขึ้น นั่นเพราะผลที่ทำไว้แล้วในอดีต นั่นเอง

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ของเดิมหมด ก็ต้องสร้างใหม่ หรือ สร้างเพิ่ม จึงไม่แปลก แรกไปกินดี ทานไปมีแต่ทรงกับทรุด

บทสรุป บทสวดนี้จึงชี้ว่า เราจึงควรมีปณิธาน ในการมุ่งหวัง มรรคผล นิพพาน และมีสัจจะ นับถือศาสนาพุทธ ตลอดชีวิต ชาติใดที่มาพานพบ ก็จะได้ทำในสิ่งที่ยังทำไม่ได้ หรือยังไม่ได้ทำ สะสมไปเรื่อยๆ ชาติหนึ่งชาติใด ก็จะได้บรรลุ ไปกับเขาได้ เมื่อปรารถนาจะบรรลุในยุคของพระภูมียุคนั้นๆ

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า หากไม่มีแม่ชีเมี้ยน เราท่านก็ไม่รู้เรื่องศาสนา ถูกคนโลภหลอกลวง อ้างตนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำสิ่งใดสักฉันใด ก็ไร้ผลช่วยตนไม่ได้ กลายเป็นปราชญ์ รู้หนทางบุญบารมี ทานบารมี ทำช่วยตนได้ ด้วยการลดนิสัยกรรม สร้างนิสัยธรรม ไม่คิดหวังพึ่งผู้อื่น แลแม้ไม่บวช การกระทำก็เป็นพระได้ คือ พระมาลัยโปรดสัตว์ ทำให้คนอื่นเห็นแล้วทำตาม เพื่อช่วยตน

คุณของแม่ชีเมี้ยนจึงมหาศาล คนที่รู้คุณ แม้นจากไปยังที่แห่งตน ก็ต้องมาสักการะให้ได้ ทุกปีเราท่านจึงอาจเห็นที่คนผู้นั้น ไม่เคยเดินในมูลนิธิเลย แต่มากราบ

ในพุทธประวัติ เขาบอกมาฆะบูชา สงฆ์มาประชุมมิได้นัดหมาย แท้จริงแล้วทุกองค์รู้ว่า นี่คือวันที่พีะพุทธเจ้าระลึกคุณการลาสังขารของโลกุตระ จึงมาพร้อมเพรียง

จึงไม่แปลกที่พระที่แยกไปตั้งตนเป็นเกจิ ล้วนไม่มีใครนำบทสวดนี้ไปด้วย เพราะมันฟ้อง มันข้ามโลกุตระ จะตัั้งตัวเป็นอาจารย์นั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า การมารวมกันในวันลาสังขารของแม่ชีเมี้ยน ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า มีคนเชื่อ แลทำตนอยู่ดูศาสนา สิ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้ ยังมีคนทำ ยังมีคนร้องขออยากได้ แลถ้าแม่ชีเมี้ยนยังให้ ก็เป็นเพียงปีต่อปี เหมือนข้อสอบนั้นแล

แต่ถ้าไม่ให้ ก็ตัวใครตัวมัน รอรับกรรมของตน สมุนไพรก็ไร้ความหมาย เหมือนถ้ำกระบอก ที่เป็นเพียงมัมมี่ ไม่มีวิญญาณ ช่วยใครไม่ได้ ที่นี้ก็ต้องปิดลง

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562

บวชแล้วได้อะไร


กิจกรรมอย่างหนึ่งของชาวพุทธที่ควรจะต้องทำ นั่นคือ "การบวช"

คำถามคือ บวชทำไม บวชแล้วได้อะไร

การบวชคือการเรียนรู้หนทางเดินไปสู่มรรคผลนิพพาน แล้วพิจารณานำมาปฏิบัติในส่วนที่เหมาะแก่ตน

ธรรมของพระโคดมมี แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า นั่นแปลว่า ต่างคนต่างกรรม ต่างวาระ ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกัน หากแต่จุดมุ่งหมายเหมือนกันคือ ตัดกิเลสนิสัยสันดานกรรมของตนให้หมดลง สร้างนิสัยพระภูมีให้เกิดแก่ตน อันเป็นกิริยาบุญ ช่วยตนบรรลุมรรคผลนิพพาน

สำหรับผู้ที่ยังไม่คิดไป การบวช จึงมุุ่งหมายขอนิสัย บางสิ่งบางอย่าง ทำเพื่อเป็นที่พึ่งแห่งตน

ดังนั้น แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ว่า ผู้มาบวชเพื่อขอนิสัย จึงมาเพื่อเรียนรู้ว่า พระภูมีลดสันดานกรรมโดยวิธีใด สร้างบุญโดยวิธีใด และรู้ว่าบุญทานบารมี เป็นอย่างไร

เมื่อพบแล้ว สัมผัสแล้ว ก็ตั้งคำถามกับตน ว่าจะเอาไหม วินัยเดินหนีกรรมอันนี้ หรือ จะอยู่รอกรรมมาอุบัติ

บทสรุป การบวช สามวัน เจ็ดวัน จะมีความหมายไม่ใช่ผลจากสามวันเจ็ดวันที่ได้ทำ นั่นกินแป๊บเดียวก็หมด แต่เป็นการเรียนรู้หนทางช่วยตน ได้สัมผัสบุญญาธิการ แล้วบอกกับตน ให้เดินหนีกรรม โดยเอาวินัยมาทำช่วยตน ตามแต่ที่พอทำได้ จะเป็นวินัย กาย วาจา ใจ อันใดก็ตามแต่

แลพึงรู้ว่า ผลที่ได้ ทำสิ่งใด ได้สิ่งนั้น หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า วินัยกายทำง่าย ส่วน วาจา ใจ นั้นยาก ครั้งถ้ำกระบอกจึงมักเริ่มโดยให้ทำวินัยกาย โดยการมาอาทิตย์ละครั้ง บ่ายเสาร์มา เช้าอาทิตย์กลับ เมื่ออยู่ในที่สงบ การทำวินัยวาจา และใจ ก็ง่ายขึ้น

หากผู้ใดเห็นว่าดี ก็ควรตั้งปณิธาน ทำให้บรรลุ มรรคผล นิพพาน ไม่ว่าจะชาติไหน แต่จะทำเช่นนั้นได้ ย่อมต้องเจอศาสนาเป็นปฐมบท ดังนั้นผู้ปรารถนาจึงต้องให้สัจจะ "นับถือศาสนาพุทธ ตลอดชีวิต" อันเป็นหางเสือพาวิญญาณไปพบพระพุทธศาสนาทุกชาติไป

แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนว่า ธรรมของพระภูมี ยิ่งทำ ยิ่งลดนิสัยสันดานกรรม ยิ่งลดมาก และสร้างนิสัยธรรมได้มาก ยิ่งถึงสุขมาก

หากผู้ใดทำแล้วไม่ลด นั่นเป็นผู้บดหรือทำลายศาสนา

จึงไม่แปลก ทำไมไปทำบุญที่วัด โรคไม่หาย ก็กลับบ้านมายังด่าเหมือนเดิม ยังว่าเขา ยังเบียดเบียนเขาเหมือนเดิม นั่นเอง

คนจะหายโรค กรรมต้องลด กรรมจะลดได้นิสัยสร้างกรรมต้องลด

นี่แลทำไมธรรมแม่ชีเมี้ยน ใครบวชแล้วหายโรคทุกตัวคน ก็ดูวินัยที่บัญญัติสิ ใช่หลักลดหรือไม่ ผู้ทำนั่นแลรู้ดี

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2562

ตามใคร


เขตพัทธสีมาของศาสนา คนโบราณให้ความสำคัญนัก โดยเฉพาะประเทศไทย ถึงขนาดที่ว่า แม้แต่อาญาแผ่นดินยังยกเว้น หากคนผู้นั้นหนีเข้าเขตนี้ได้

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คนโบราณเห็นอะไรในพุทธศาสนาครั้งพุทธกาล จนบอกลูกสอนหลานให้ทำเช่นนั้น

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เพราะเป็นเขตที่คนทั้งหลายทิ้งนิสัยสันดานตนไว้ด้านนอก แล้วมาใช้นิสัยพระพุทธเจ้านั่นเอง

เมื่อไม่ใช้นิสัยตน แม้นแต่กรรมยังจำไม่ได้ อาญาแผ่นดินจึงต้องยอมเว้น ด้วยคนผู้นั้นในแผ่นดินนี้สร้างสุขให้ผู้อื่นเป็นอุปนิสัยแล้ว ไม่มีพิษมีภัยกับผู้ใดอีก

แล้วนิสัยที่ว่ามาจากไหน ทำอย่างไร เดินตามใคร ครั้งถ้ำกระบอก พระก็เดินตามแม่ชีเมี้ยน ดูแม่ชีเมี้ยน ฟังคำสอนแล้วทำ อันเป็นที่มาพระกรรมกร ก็ขนาดแม่ชีเมี้ยน อดีตพระเล่าให้ฟัง ท่านทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ชุดท่านเปื้อนฝุ่น มือไม้มีร่องรอยเต็มไปหมดทุกวัน

ครั้นมายุคหลวงพ่อนิพนธ์ ภาพที่เราเห็นบ่อย คือท่านยืนรดน้ำต้นไม้ ครั้งละหลายชั่วโมง ครั้งหนึ่งเมื่อซื้อที่บริเวณมูลนิธิใหม่ๆอันเป็นที่นา ท่านก็ดำริให้ขุดบ่อ ซื้อแมคโครมา โดยที่มีคนป่วยที่ขับได้เป็นคนขับ เราก็เห็นท่านมาขับเองบ้างบางครั้ง

เราถามท่านว่า ทำไมต้องมาขับเอง ท่านตอบว่า ก็จะได้มีรอยมือรอยตีน มีน้ำเหงื่อของท่านบ้างในแผ่นดินนี้ จะได้ไม่เป็นหนี้ใคร เวลามาใช้กิน ใช้นอน มาหิ้วปูน เวลาเข้าส้วม นั่งจะได้ไม่เอาเปรียบใคร

บทสรุป เราดูคนที่มาทุกวันนี้ เข้ามาในเขตพัทธสีมา เขาเดินตามใครน่าฉงน กรรมตนก็อุบัติมาเป็นโรคแล้วในวันนี้ เข้ามาก็หวังสุข แล้วเขาเดินตามใคร ไม่กลัวเป็นหนี้หรือ จึงมาทำตนแบบนั้น

นึกเองว่า ขนาดแม่ชีเมี้ยน ขนาดหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ซึ่งมีบุญญาธิการมากโข ท่านยังทำเลย กลัวเป็นหนี้

คนที่ไม่มีบุญแม้นแต่เก๊เดียว กลับทำตนเสมือนรวยบุญ ให้คนอื่นเขาทำให้ทุกสิ่งอย่าง

จริงน่ะแม่ชีเมี้ยนตรัสสอนสงฆ์เรื่องหนี้กรรม แม้นแต่มุ้งนอนสี่หู ผัวเมียยังต้องช่วยกันกางคนละสองหูเลย

คำสอนแม่ชีเมี้ยนสอนสงฆ์ "กรรมน่ะ จำไว้ให้ดี เรามีทุกข์มีโรค เพราะเรามีกรรม กรรมอันนี้เราทำไว้แล้ว เราเป็นผู้ทำ จะร้องให้ใครช่วยไม่ได้ผล เราต้องเป็นผู้แก้เอง"


วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2562

ผุดมาจากดิน


โลกร้อนช่วยปลุก “ซอมบี้ไวรัส” ให้ตื่นขึ้น หลังอยู่ใต้น้ำแข็งมานานกว่า 75 ปี

กวางเรนเดียร์ ที่ไซบีเรีย กว่า 2,349 ตัวพร้อมใจกันตายในชั่วพริบตา เพราะพวกมันได้รับไวรัสแอนแทร็กซ์ ที่อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งมานานกว่า 75 ปี แต่ที่มันพึ่งโผล่ขึ้นมาเป็นเพราะว่า โลกร้อนนั่นเอง นอกจากกวางเรนเดียร์ การคืนชีพของแอนแทร็กซ์ครั้งนี้ทำให้มีคนตายแล้วสองคน ขณะที่เด็ก 41 คน และผู้ใหญ่อีก 31 คน อยู่ในภาวะติดเชื้อ

ข้อมูลระบุว่าแอนแทร็กซ์ที่อยู่ในฝูงของกวางเรนเดียร์ทางตะวันตกของไซบีเรีย มีลักษณะคล้ายกับเชื้อที่พบในอวัยวะภายในของกวางเรนเดียร์ที่ตายเมื่อ 75 ปีก่อน ซึ่งศพเหล่านี้ถูกแช่แข็งไว้ใต้ดินเรื่อยมา

การผุดขึ้นมาจากดินของแอนแทร็กซ์อาจเกิดจากภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนอัตราการละลายของพื้นน้ำแข็งบนภาคพื้นทวีปในฤดูร้อนเปลี่ยนแปลงจาก 30 เซนติเมตรเป็น 1 เมตร ลึกพอที่จะถึงบริเวณหลุมฝังศพ และมันก็ลอยฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง (ผมจึงตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ไวรัสซอมบี้ คงไม่เกินจริงนะครับ เพราะมันตายไม่เป็นนั่นเอง

นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด เพราะ Bacillus anthracis แบคทีเรียที่เป็นตัวการของโรคแอนแทร็กซ์จะผุดขึ้นมาจากดินในไซบีเรีย มันสามารถมีชีวิตอยู่ในดินได้เกือบศตวรรษ ทันทีที่น้ำแข็งละลาย สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่อยู่ในนั้นก็จะหลุดออกมาจากภาวะจำศีล

และที่น่ากลัวมากกว่าเจ้าแอนแทร๊กซ์ก็คงจะเป็นโรคฝีดาษ ถ้าฝีดาษฟื้นขึ้นมาจากการจำศีล 120 ปี อะไรจะเกิดขึ้น เพราะหลายๆ เมืองของรัสเซียมีศพจำนวนมากที่เสียชีวิตในยุคฝีดาษระบาดถูกฝังไว้ เอาจริงๆคิดไม่ถึงเหมือนกันนะว่า ปัญหาโลกร้อนจะส่งผลได้เป็นวงกว้างได้

นี่แค่บทเริ่ม หลวงพ่อนิพนธ์พยากรณ์ว่า เชื้อที่ผุดมานี้ ตัวที่ร้ายแรงสามารถแพร่ไปในอากาศ ผู้คนจะล้มตายมากมาย นั่นแลยุคผู้ดีเดินตรอก ขี้คลอกเดินถนนแท้จริง

ไม่เชื่อตน


กับดักที่สำคัญประการหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกตัวคนมีอยู่แล้ว เป็นอำนาจปกป้องคุ้มครองตน ที่เรียกกันว่า "พรหมลิขิต" อันเป็นสิ่งที่ผู้ใดหรือใครจะมาทำลายไม่ได้เลย นอกเสียจากตัวของเราเอง

เมื่อไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อพรหมลิขิต ที่ตนทำไว้แล้ว ไม่มีศาสนา คนทั้งหลายจึงเดินสวนทางกับหลักพระภูมี ที่สอนให้พึ่งตนเอง พึ่งการกระทำที่ตนทำได้

ทุกวันนี้ คนจึงไปร้องขอพร เดินในวินัย พึ่งผู้อื่นตลอดเวลา แลตกเป็นเหยื่อของความโลภ ของผู้มีสติปัญญาเหนือกว่า แต่อ้างคำเดียว ไม่ทำตาม ไม่ตาย ก็ต้องวิบัติ ฉิบหาย

ดูสิเริ่มแค่ความดัน คนโลภก็ชี้เลยว่า ตาย ตาย ตาย คนฟังขาดสติ เสมือนภาษิต "กระต่ายตื่นตูม" วิ่งไปร้องไป มิเพียงตนไม่รอด ผู้อื่นพาฉิบหายไปด้วย

หลวงพ่อนิพนธ์เคยอรรถาธิบายเมื่ครั้งประชุมสงฆ์ เมื่อพระถามท่านว่า ทำไมไม่เคยเห็นท่านลุกเข้าห้องน้ำเลยสักครั้ง ท่านตอบว่า นี่แลความวิเศษของร่างกาย สามารถแก้ไขความวิกฤติที่เกิดกับร่างกาย เพื่อมีชีวิตให้ครบพรหมลิขิตนั่นเอง เมื่อร่างกายมีน้ำเกินต้องถ่าย ถ้าเราไม่เข้าห้องน้ำ ร่างกายก็ต้องขับออกโดยวิธีอื่น

ความเชื่อนี้คนทั้งหลายมิใช่ไม่เชื่อ หากแต่ความกลัว ทำให้คนทั้งหลายไม่กล้าเดิน ยิ่งพอคนโลภกรอกหู ตาย ตาย ตาย ด้วยแล้ว รีบวิ่งไปให้เขาช่วย ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากปวด ด้วยความกลัวตายนั้นเอง

ท่านจึงมักยกอดีตที่เปิดสำนักปี 30 ให้ฟัง เมื่อครั้งท่านบวชเปิดหลักธรรมของแม่ชีเมี้ยนอีกครั้ง วันหนึ่งท่านมีอาการ ไส้ติ่ง ปวดท้องมาก ลูกศิษย์ที่เป็นหมอแลคนใกล้ชิด ต่างลงความเห็นว่า ต้องพาท่านไปผ่าตัดด่วน มิฉะนั้นตายแน่ แม่ชีนงค์ที่เป็นพี่สาว จึงวางแผนใส่ยานอนหลับให้ท่านทาน เพราะท่านไม่ยอมไป ด้วยรู้ทัน ท่านจึงเข้าห้องล็อคประตูหน้าต่าง แล้วบอกว่า ท่านไม่ตายหรอก ท่านนอนทนปวดในห้อง 48 ชั่วโมง ในที่สุด ถ่ายไส้ติ่งออกมา แล้วก็หายปวด

สิ่งที่ได้จากการทนปวดครั้งนั้นนั่นคือ ท่านได้ภูมิกลับมาจึงไม่เคยมีอาการปวดท้องอีกเลยนับแต่นั้น

บทสรุป เมื่อคนไม่รู้เรื่องศาสนา ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อบุญ จึงไม่เชื่อพรหมลิขิต ท้ายที่สุด เขาจึงไม่เชื่อตน ว่าตนของตนทำได้ แลตนของตนเท่านั้นที่ช่วยตนได้ ก็พาตนไปพึ่งผู้อื่น ไปร้องขอพร วิ่งหายาดี สุดท้าย ไม่ต่างอะไรกับภาษิต กระต่ายวิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้ตายด้วยโรค ตกเหวอุบัติภัยตาย ตายก่อนพรหมลิขิต เห็นกันมากมาย

แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ให้เห็นว่า สงฆ์ของพระภูมี ไม่มีหรอกที่เป็นโรคตาย เดินธุดงค์หลังตรงจนวันตาย คนโลภมันหลอกกิน มันจึงต้องเขียนว่ามีชีวกพราหม์ มาทำยาให้พระพุทธเจ้า ถ้าต้องพึ่งผู้อื่น ย่อมเป็นหนี้ จะไปนิพพานโดยวิธีใด ทั้งที่มีหนี้

คนที่มาทุกวันนี้ ปวดนิดปวดหน่อยว่าจะตาย ไม่เอาปวด ร้องหายา แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ... ก็แล้วกรรมที่ทำมาหล่ะจะเอาไปไว้ไหน จะร้องให้ใครช่วย ไม่ได้ผล

เชื่อกรรม เชื่อธรรม จึงต้องพึ่งตน เชื่อตน ช่วยตน ด้วยเดินในวินัยธรรม เท่าที่ตนพอทำได้ ด้วยขันติอดทน เดินตามรอยพระภูมี จึงจักมีโอกาสช่วยตนได้

ถ้าพึ่งผู้อื่นแล้วช่วยตนได้ โลกนี้ไม่ต้องมีศาสนาหรอก

ดูไอ้พวกคนเก่ง มันท้ากรรม เดี๋ยวก็พายุ เดี๋ยวก็ไฟป่า น้ำท่วม แผ่นดินไหว มันจะเก่งสักฉันใด สู้กรรมได้หรือ เหล็กที่ว่าใหญ่ แค่เขย่านิดเดียวเหมือนหยวกกล้วยเลย ทำยาเก่งนัก นี่ล่าสุด เจอ "ซอมบี้กวาง" ผวาทั้งเมือง

จึงไม่แปลก ลมชัก มาทำให้ทรมาน วิตกจริต ไม่ตายหรอก แต่วิ่งหายากันชัก ยิ่งกินยิ่งชัก แล้วก็พาลเป็นโรคอื่นตามมา นี่แลพึ่งผู้อื่น ไม่รับกรรม แล้วมีใครหาย พระรุ่นเรา วันหนึ่งชักหลายหน ทุกวันนี้ไปเป็น ปลัด อบต ที่นครปฐม ผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว ไม่เห็นเขาชักอีกเลย


วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2562

ไม่กลัว...กรรม


แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้ให้เห็น สิ่งเดียวที่พระภูมีทุกยุคทุกสมัยสอนสาวก คือ "กรรม"

มันจึงไม่แปลกที่มีเพียงชาวพุทธ ที่พูดถึงกรรม

ครั้นพอห่างศาสนามานาน โลกโลกียะ ก็หลอกล่อเราท่านทั้งหลาย จนลืมเลือนเป็นธรรมดา จนบางคนกล่าวว่า ไม่กลัวกรรม ก็มี

คำถามหนึ่งที่พระเคยถามหลวงพ่อนิพนธ์ ว่าทำไมมนุษย์จึงไม่กลัวกรรม ท่านอรรถาอธิบายให้ฟังว่า นั่นเพราะลักษณะของกรรม หรือ ตัวกระทำที่ทำนั้น "ทำวันนี้ ผลจะไปรอเราอยู่วันข้างหน้า ไม่ว่ากรรมดี หรือกรรมชั่ว" นั่นเอง

ถ้าทำแล้วผลมันเกิดทันที อาทิ ตีเขาปุ๊บ เขาเจ็บเท่าไร ตนจะเจ็บเท่านั้น ถามเถอะใครจะกล้าทำชั่ว

เมื่อผลกรรมที่ทำมันทำแล้วไม่ได้เลย ในทางกลับกัน เมื่อผลกรรมมาอุบัติในวันนี้ หลายคนมักอ้างว่า วันนี้ของตนทำดี แล้วไม่ได้ดี นั่นผลของอดีต มาอุบัติ ส่วนที่ทำวันนี้มันไปรอเราในวันหน้า

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณา โรคที่เกิด จึงเป็นผลที่ทำไว้แล้วในอดีต จะมาทำดีในวันนี้ หรือกรรมดี สักฉันใด มันจึงแก้โรคไม่ได้ เพราะผลกรรมดีวันนี้ มันต้องไปรอให้ผลวันหน้า ที่ซึ่งจะเห็นว่า ถึงวันนั้นคนผู้นั้นจะชั่วช้าสักฉันใด มีคนแช่งสักฉันใด ก็มีแต่เจริญ ดูจากพวกเจ้าพ่อทั้งหลายนั่นไง พวกโกงบ้านโกงเมือง อายุยืน ตายยาก แข็งแรง

บทสรุป ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า จะแก้ทุกข์ในวันนี้ คนจึงต้องไปหาศาสนา ต้องพึ่งบุญ ที่ซึ่งแม่ชีเมี้ยนอุปมาว่า เหมือนแสงอาทิตย์ ที่เมื่อกระทบปุ๊บ รู้สึกปั๊บ บุญก็ทำปุ๊บ หลวงพ่อนิพนธ์บอกไปรอที่หัวกระไดบ้านปั๊บ เป็นเสมือนเงาตามตัวเรา

ปัญหาก็คือ หลายคนบอกตนทำบุญมากหลายทำไมจึงทุกข์เพียงนี้ นั่นเพราะบุญที่ทำ คิดเอง เออเอง เขาว่าดีก็ไปทำนั่นเอง หาใช่บุญที่พระพุทธเจ้ากำหนดไม่

ใครอยากรู้ว่าทำเช่นไร จึงต้องไปหาผู้ปฏิบัติ แล้วดูผล

บุญจึงเป็นสัญลักษณ์ของสุข ทำปุ๊บเห็นผลปั๊บ แลสุขของมนุษย์คือ "กินได้ นอนหลับ" จึงไม่แปลกถ้าทำถูก คนป่วยที่ทำได้ ผลดี ผลสุขแห่งบุญอย่างแรกที่ตนจะได้รับ คือ "กินได้ นอนหลับ"

ใครว่าแผ่นดินแม่ชีเมี้ยนเป็นแผ่นดินบุญหรือไม่ ก็ดูผลที่ผู้นำชี้ให้ทำ ทำแล้วผลเป็นอย่างไร นี่แลเป็นเหตุว่า ทำไมที่นี่มีคนหายโรค


วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2562

กูไม่เกี่ยว กูไม่ได้ทำ


เมื่อโรคมาอุบัติ คนมักอ้างเอ่ย ตนเองเป็นคนดี ไม่เคยทำบาป ไม่เคยฆ่าสัตว์ ตั้งแต่จำความได้ช่วยเหลือคนและสังคมมาตลอดชีวิต ไม่เคยโกงใคร ไม่เคยเอาเปรียบใคร แล้วทำไมจึงมาเป็นโรค ไม่ยุติธรรม

คำที่เราได้ยินเสมอเวลาไปงานศพ นั่นคือ ผู้ตายเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ

คำถามคือ แล้วทำไมคนดีเหล่านั้น จึงป่วยจนตายคนแล้วคนเล่า จนบางคนบอกว่า ทำไมฟ้าจึงเอาคนดีๆไปหมด คนชั่วๆไม่เอาไป นั่นดีตนคิดเอา ไม่ใช่ของฟ้าดิน

เราได้ฟังอดีตพระถ้ำกระบอกท่านหนึ่งเล่าตัวกระทำในยุคนั้นให้ฟังว่า ท่านก่อไฟไว้แล้วพอตกเย็นทำกิจกรรมเสร็จ ก็ดับไฟแล้วไปทำวัตรเยย็น แต่ไม่ได้ตรวจดูให้ดี ผลคือไฟกองนั้นมันดับไม่สนิท เมื่อมีลมมากลับปะทุขึ้น แล้วลามไหม้ขึ้นบนเขา ไฟติดอยู่สามวันสามคืน

แม่ชีเมี้ยนชี้ให้พิจารณาว่าสรรพสัตว์ต้องตายมากมาย จะปฏิเสธสักฉันใดไม่ได้เลย นี่แลผลแห่งตัวกระทำ ต้องพิจารณาให้ดี และรอบครอบ ว่าผลเกิดกับใครอย่างไร แล้วจึงทำ

ดูทางโลก คนที่เป็นดาวยั่ว ทำไมจึงมีบั้นปลายที่ดียาก ทั้งที่บางทีนิสัยมิได้เลวร้าย ก็ผลแห่งการทำแม้นเป็นอาชีพสุจริต แต่คนดูแล้วมีผลกับผู้คนมากมายเกิดอารมณ์ควบคุมตนไม่ได้ ไปทำลายผู้อื่น แล้วจะปฏิเสธสักฉันใดก็ไม่พ้น ว่าไม่ได้เกิดจากตน

บทสรุป การมาหาศาสนา เมื่อผลเกิด ศาสนาของพระภูมีจึงให้สาว พิจารณาไปให้เห็นว่าเกิดจากนิสัยอะไร การกระทำใดของตน แล้วเลิกเสีย น้อมนำนิสัยพระภูมีมาใช้แทน

คนโบราณดูเขาทำสิ ปู่ยาตายายเข้าวัดแต่งตัวแบบไหน เพราะกลัวเป็นเหตุโดยเฉพาะยิ่งทำให้พระร้อนด้วยตนแล้ว ฉิบหายใหญ่ ประเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องอื่นไกล แค่ถ้ำกระบอก มันนุ่งมินิเสกิตมาเลย นี่แล คนไทยจึงตกเป็นจำเลย ทำลายศาสนา ไม่เอาศาสนา เอาหนัง เอาเพลง เข้าวัด เห็นกันมากมาย

ใครว่ากูจะคุย จะเล่นโทรศัพท์ เรื่องของกู ทำอะไรเรื่องของกู ไม่เกี่ยวกับใคร หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า คนมาก่อนคือแบบพิมพ์ ที่ให้คนมาหลังทำตาม ก็คนมาก่อนมันคุย คนมาหลังนึกว่าคุยได้ ถึงคุยก็รอด แต่ผลคือไม่รอด รายแล้วรายเล่า คนที่สองสามดูคนแรก สิบคนดูต่อ ร้อยคนเดินตาม เป็นเสมือนแชร์ลูกโซ่ ผลคือตายหมด เหมือนกองไฟที่พระดับไม่หมดนั่นแล สรรพสัตว์ตายทั้งเขา

กลับกันถ้าคนแรกเงียบ คนตามมาก็เดินตาม รอดกันมากมาย คนมาหลังเดินตามรอดทุกตัวคน

พิจารณาเอา ผลที่ตนทำมันน้อยหรือมาก เกี่ยวกับตนไหม ตัวเงียบสงบของตน หรือ คุย มันมีผลใหญ่เพียงไหน

นี่แลการกระทำในแผ่นดินศาสนา จึงให้ผลมหาศาล ช่วยตนได้ถ้าทำถูก เหมือนพระมาลัย แม้นจะดูว่าสิ่งที่ทำมันน้อยนิด แต่ถ้าไม่ทำเหมือนทำตนเยี่ยงเทวทัต ผลผิดก็มหาศาล มาทำไม ไปในสิ่งที่ตนชอบดีกว่า หลวงพ่อนิพนธ์บอก กรรมก็แค่เฉพาะตัว

แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ว่า สิ่งที่ศาสนาสอน คือ "จับตน ค้นตน" หานิสัยที่สร้างกรรมของตนให้เจอ แล้วแก้ไข ไม่สร้างกรรมอีก แล้วสร้างนิสัยใหม่ คือนิสัยพระพุทธเจ้า ใครทำได้ โรคอะไรก็ไม่เหลือ ช่วยตนได้

ถ้าหาไม่เจอ ก็ถามคนใกล้ตัว พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ก็รู้ได้

แผ่นดินนี้ ทุกการกระทำจึงไม่ธรรมดา ทำแล้วมันจึงมีผลช่วยตนได้ถ้าทำถูก เพราะมันเกี่ยวกับชีวิตสรรพสัตว์มากมายที่จะเวียนว่ายมา

จะมาเป็นพระมาลัย หรือเทวทัตก็เลือกเอา จะว่าเรื่องของกู ก็ทำไป ผลอุบัติอย่าบอกน่ะ ไม่ยุติธรรม ฟ้าดินยุติธรรมเสมอ ทำอย่างไรได้อย่างนั้น คนที่พูดเพราะมันไม่ใช่คนจริง ทำแล้วบอกไม่ได้ทำ ทำแล้วไม่ยอมรับ โทษฟ้าโทษดิน นั่นตนทำเอง

ท่านอาสิจึงชี้ ให้วางนิสัยตนไว้ก่อน เข้ามาในเขตพัทธสีมา ใช้นิสัยของพระพุทธเจ้า

ใครเชื่อ มาร้อยคน ทำตามร้อยคนก็รอดทั้งร้อยคน แต่มาแล้วเอานิสัยตนมาบรรเลง กินสมุนไพรหมดเป็นถัง ตายทั้งที่กินนั่นแล

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44