วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ศรัทธา - คนรอด คือ คนทำตามคำสอนได้


คนมาหาศาสนากันทำไม ในเมื่อทั้งโลกเขาอยู่กันได้โดยไม่ต้องมีศาสนา มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง มีลัทธิความเชื่อของตนเอง

แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ศาสนาเป็นของนอกโลก มาอุบัติเพื่อคนอยากได้ เท่านั้นเอง

เรื่องของศาสนาจึงเป็นเรื่องของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มองพิจารณาตนแล้วเบื่อ เบื่อที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย มองโลกนี้แล้วไม่ว่าจะมีกรรมดี หรือกรรมชั่ว ย่อมมีทุกข์ จะหาหนทางพ้นทุกข์ ด้วยความเชื่อ ลัทธิที่ตนนับถือนั้น ไม่พบ

แม้นแต่ทุกข์สังขาร ด้วยโรคภัย ก็ยังหาหนีพ้นไม่ แรกๆก็หลอกตนได้ ยานี้กินแล้วดี หายปวด หายเจ็บ หมอนี้ดี พิธีกรรมนั้นดี สุดท้ายเมื่อสรุปกรรม อะไรที่เคยว่าดี ว่าหาย หยุดเจ็บ หยุดปวด ของตนไม่ได้เลย

ครั้นมาพบศาสนาของแม่ชีเมี้ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา ชี้ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ว่าทุกข์แบบไหน ล้วนแล้วมีที่มาจากนิสัยกรรมที่ตนมีตนทำนั่นแล จะมาแก้ทุกข์ ท่านอาสิชี้ว่า ต้องแก้ที่นิสัย ทิ้งนิสัยเดิม มาเรียนนิสัยพระภูมี สร้างให้เป็นนิสัยตน

ภาพที่ถูกฉายให้ดู เป็นความจริงของจักรวาล นั่นคือ “ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย จะทำสักฉันใด ไม่ตายเลย” ท่านอาสิย่อให้ฟัง “ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น”

ด้วยความจริงนี้ คนที่อยากสุข เบื่อทุกข์ เมื่อพานพบพระพุทธศาสนา จึงชวนกันมารับวินัยของพระภูมีไปปฏิบัติ เมื่อทำได้ ก็เห็นสุข เพราะกรรมใหม่ไม่สร้าง กรรมเก่าก็ยอมใช้ ด้วยเห็นความจริง เรื่องตัวกระทำนี้เอง “ศรัทธา” จึงเกิดมหาศาล

แม้นการฝืนนิสัยกรรมในวันนี้ อยากด่าคน อยากเบียดเบียนคน อยาก... ด้วยวินัยทุกข์นี้ ก็มุ่งมั่น เพราะเห็นสุขรอตนในวันข้างหน้า

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้พิจารณา เพราะเราไม่เชื่อ เราไม่รู้ว่าตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย เราจึงคิดพึ่งผู้อื่น หวังผู้อื่นจะให้สุขตนได้ ไปกราบไหว้สิ่งใด ถ้าตนได้ตามขอ ก็ว่าดี ถ้าไม่ได้ ก็ไปหาที่ขอใหม่ ไม่คิดจะพึ่งการกระทำของตน ยิ่งมาเจอศาสนาของพระอริยเจ้าที่เป็นศาสนาทำ จะขอสิ่งใดก็ไร้ผล ศรัทธาจึงยากจะเกิด สู้ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ยังไม่ได้ จะไปขอหวย ยังต้องหมอบคลาน ยิ่งถ้าขอแล้วถูก ก็ไม่แปลกที่เขาจะให้อมหัวแม่เท้าเหมือนในคลิป ก็ยอมทำกันมากมาย

เราจึงไม่สงสัย ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์บอกหายโรคง่ายนิดเดียว ก็โรคมาจากนิสัยเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป หายโรคก็แค่มาทำตนเป็นพระเวสสันดร เมื่อ กาย วาจา ใจ ทำให้เป็นโรค ก็กาย วาจา ใจ นี่แหละทำให้หายโรค แทนที่จะรอทานยาเขียว เราก็ปลูกดูแลต้นยาเขียว ไว้เพื่อตน เหลือนั้นทำทาน แทนที่จะรอทานยามะนาว เราก็ปลูกต้นมะนาวมาทำยา เหลือนั้นก็ทำทาน ปลูกด้วยกาย วาจา ใจ พร้อม โรคอะไรจะเหลือ เมื่อยังผล เห็นทางสุข ศรัทธาก็จะเกิด

นี่แค่วินัยกาย ยังสุขหายโรคได้ ถ้าเราทำวินัย วาจา ใจ เล่าจะให้สุขมหาศาลเพียงใด ยิ่งทำศรัทธายิ่งเกิด เพราะยิ่งทำได้ยิ่งมีความสุข สุขในนิสัยพระอริยเจ้า

แต่มันน่าแปลก คนมาบอกอยากสุข ท่านอาสิสอนให้ทำ นี่จะมาเอาแต่ไม่ทำ หรือ ทำแค่นี้พอแล้ว นี่แลศรัทธา มันจึงไม่เกิด เพราะสิ่งที่ตนหวัง มันไม่มีวันมาถึง หรือมาถึงหายแล้วก็เป็นอีก ไม่ดูเลย นี่หลักอะไร หลักพระภูมี คือ “หลักตนพึ่งตน”

อยากเห็นไปดูคนป่วยมะเร็ง ถามว่าทำไมมาบ้างไม่มาบ้าง บอก ไปรับยาหมอที่เขาแจก แต่เขาให้น้อย วันไหนเขาแจกก็ไปรับ ยาไม่พอกินก็มารับสมุนไพร แล้วก็นั่งๆนอนๆรอหาย แล้วบอกศรัทธา นับถือแม่ชีเมี้ยน ... นั่นเดินรอยใคร พอเป็นอะไร คนเห็นแต่มาทานสมุนไพร ไหนว่าสมุนไพรดี

ออกตัวไว้ก่อน หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า คนรอด คือ คนทำตามคำสอนได้ ไม่ใช่คนมาทานสมุนไพร หรือคนที่ไหว้แม่ชีเมี้ยน



วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เอาผล - ทั้งกาย วาจา ใจ


ในยุค 30 ที่หลวงพ่อนิพนธ์เปิดสำนัก “มนต์บาลี” พระที่บวชใหม่ มักจะถูกจัดสรรให้ทำงาน ภาพที่คนทั่วไปเห็น จึงมักเปื้อนดินเปื้อนฝุ่น

คำถามที่ผุดขึ้นมา ทำไมไม่ทำเหมือนพระทั่วไป ที่เน้นสวดมนต์ นั่งกรรมฐาน ภาวนา อฐิษฐานจิต

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ผลแห่งการกระทำที่สมบูรณ์ ขึ้นกับองค์สาม คือ กาย วาจา ใจ

หากแต่ การจะทำแล้วสมบูรณ์ ย่อมต้องผ่านการฝึกฝน มิใช่คิดเอาเองว่าทำได้ ผู้ปฏิบัติที่ข้ามขั้น จึงไม่มีทางสำเร็จได้

หลักของแม่ชีเมี้ยน จึงเริ่มที่การกระทำกายก่อน เพราะจะหวังผลจาก วาจา ใจ นั้นแม้ทำแล้วจะได้มากกว่า แต่ก็ยังทำให้สมบูรณ์ไม่ได้ ผลจึงน้อย จะเอามาเป็นหลักช่วยตน ในตอนเริ่ม คงยังไม่ได้ ด้วยหากวินัยกาย ยังทำไม่ได้ วินัย วาจา ใจ ย่อมไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทาง

ดังนั้นวินัยกาย จึงเป็นวินัยที่เด่นชัด แม้ให้ผลไม่มากเท่าแต่ทำได้ง่ายกว่า

จึงไม่แปลก ที่การช่วยของหลวงพ่อนิพนธ์จึงมักจะกำหนดสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ทำเป็นวินัย

ดูต้นมะพร้าวในมูลนิธิ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนดให้ ตาตอง ผู้ป่วยมะเร็งเนื้องอกในสมอง เป็นผู้ปลูก ท่านกล่าวว่า เราจะเอามะพร้าวนี้ให้คนป่วยทาน ถ้าต้นมะพร้าวทั้งหมดนี้รอด ตาตองก็รอด

ตาตอง จึงดูแล รดน้ำพรวนดิน จนอยู่มาทุกวันนี้ แลตาตองก็ได้อยู่จนวัย แปดสิบกว่า ทั้งที่มีห้าพี่น้อง แต่คนอื่นตายหมดไม่มีใครเกินหกสิบสักคน ด้วยกรรมพันธ์ุมะเร็งสมอง

บทสรุป ศาสนาของแม่ชีเมี้ยน แม้นจะสอนให้ทำนิสัยเป็นสำคัญ ถ้าทำได้ช่วยตนได้ หากแต่การจะทำได้ ต้องฝึก ต้องใช้เวลา เสมือนจะทำอาชีพ ต้องเรียน ต้องฝึก จนชำนาญ จึงหาเงินได้

คำถามคือ แล้วตอนที่ยังทำไม่ได้หล่ะ วินัยกายนี้แหละประทังได้

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้คนป่วยที่บ่อพลอย กล่าวว่า แผ่นดินนี้มีต้นยามากมาย ขาดแต่น้ำ แค่คนหนึ่งดูแลต้นหนึ่ง ทำให้เกิดผล มีใบไปทำยา ถ้าทำได้ การช่วยตนหายโรคของตน ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ส่วนวินัยวาจา แลใจ ก็แล้วแต่บุคคล จะทำหรือไม่ อยากได้ก็ไปขอพระ หากอยากได้มรรคผลที่ยิ่งขึ้นไป

ภาพในอดีตยุคนั้น คนที่มา เตรียมอุปกรณ์ เตรียมน้ำมาจากบ้าน บางคนนำน้ำมาเผื่อผู้อื่นอีกต่างหาก มาถึง ไปดูแลรดน้ำพรวนดิน ใส่กาบมะพร้าวคลุมโคนต้น ต้นของตน จึงไม่แปลก เฉพาะคนเป็นอัมพฤกษ์ ทิ้งไม้เท้ากองพะเนิน จนพระต้องเอามาเผาทิ้ง

ที่สำคัญ คนยุคนั้นมาเรือนหมื่น แต่ไม่เคยขาดยาเขียวเลยสักครั้ง ในแผ่นดินที่ร้อนที่สุด มีฝนน้อยที่สุด ของประเทศ แต่ต้นยาเขียว กลับเขียวสดชื่นตลอด

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

โหดหน้าเป็น


โดยปกติเป็นคนชอบดูหนังจีน เรื่องหนึ่งที่ชอบมาก นั่นคือ "คนตัดคน" พ่อพระเอก เกาจิ้ง ถูกตัวร้ายที่เป็นเพื่อนพ่อฆ่า แล้วเอามาเลี้ยง พี่เลี้ยงบอกกับเขาว่า คนร้ายโหดเหี้ยมมาก หน้ามันยิ้มให้เราตลอดเวลา ตอนดูก็ยังไม่รู้สึกเท่าไหร่ในความโหด

เมื่อมาทำงานในมูลนิธิ หลวงพ่อนิพนธ์เคยสอนเราว่า ในขณะที่ท่านพูด คำพูดของท่านเพียงแค่วลีเดียว การกระทำของเราแค่การไอ หรือพูดคุย ถ้าบังเอิญคนที่อยู่ใกล้ๆ ที่เมื่อฟังแล้วช่วยตนได้ ด้วยการพูด หรือไอ ของเราทำให้ไม่ได้ยิน ช่วยตนไม่ได้ เท่ากับฆ่าคน แม้ไม่เจตนา แต่ตัวกระทำมันมี เราฟังแล้วขนลุกกลัวมาจนทุกวันนี้

ดั่งที่ท่านอาสิชี้ ความสงบจึงเป็นเอกลักษณ์ เพราะตนแลผู้อื่นจะได้ทำสิ่งที่ช่วยตนได้ โดยเฉพาะบุญ แม้นเพียงน้อยเดียวสำหรับคนบางคนอาจหมายถึงชีวิต ความเป็นความตายเลย

แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสสอนสงฆ์เสมอว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงกลัว "กรรม" มาก ดังนั้นจะทำสิ่งไรพิจารณาแล้วพิจารณาอีก ว่าส่งผลแก่ผู้อื่นอย่างไร

แต่ดูคนที่มามากหลายไม่ว่าท่านอาสิจะพูดสอนสักฉันใด ให้มีที่เว้นโดยเฉพาะในช่วงพิธีกรรม แต่เขาเหล่านั้นไม่ยอมหยุด เห็นชัดตอนสวดมนต์ ตอนรับยา อันเป็นเวลาที่ทุกคนต้องสร้างบุญ ต้องสงบ คนที่มาด้วยกัน เป็นผัวเป็นเมีย เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จัก กลับชวนคนที่บอกว่ารักกันชอบกันคุย แทนที่จะชวนกันหยุด

นี่มันไม่ต่างกับหนังที่เราดูเลย ปากบอกรักกันชอบกัน พฤติกรรมฆ่ากันหน้าตายิ้มแย้ม รู้ทั้งรู้ว่า ต่างคนต้องการบุญเพื่อช่วยตน

บทสรุป แม่ชีเมี้ยนตรัสให้พิจารณา ว่า "ศาสนามานั่งทุกวันนี้ ไม่กลอกกลิ้ง พูดความจริงทุกอย่าง" ก็แล้วคนที่มา ปากบอกว่าช่วยด้วย คนสอนก็สอนชี้ แต่ทำสวนทาง นี่เรียกว่า "ท้ากรรม" แทนที่จะมาช่วยกันทำให้เป็นวัดเป็นแผ่นดินรอด กลับมาทำเป็นทำเป็นตลาด เล่นตามนิสัย แล้วตลาดที่ไหนช่วยให้รอด ที่สำคัญ คนที่ตาย เป็นคนที่ตนบอกรักบอกชอบ นี่มันโหดสัตว์เลย รึเปล่า

อยากฆ่ากันไปที่อื่นดีกว่าไหม ? จะมาหลอกที่นี่ทำไมว่าอยากรอด แต่พฤติกรรมไม่ช่วยตนยังพอทน นั่นชีวิตตน กลับ ทำให้คนที่บอกรักบอกชอบตายไปด้วยหน้าตาเฉย

ใครมองอย่างไงไม่รู้ แต่เราบอกคนพวกนี้โหดสุดๆ ไม่หยุดตนก็หนักแล้ว คนที่เขาบอกให้หยุด เพราะเขารู้ ด่าเขาเสียอีก นี่แลขาดความรู้ ขาดพิจารณา เป็นพุทธเฉพาะในบัตรเท่านั้นเอง

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

พุทธบาท


เชื่อหรือไม่ พระพุทธเจ้าโคดม เสด็จจากอินเดีย มาประเทศไทย

แลเพื่อเป็นการระลึกถึง การเสด็จมาในครั้งนั้น สิ่งที่คนเลื่อมใสขอเพื่อเป็นที่ระลึก ในการเสด็จมา ที่ท่านให้คือ "รอยพุทธบาท" นั่นเอง

ความหมาย คือ ผู้ใดอยากพ้นทุกข์ ให้เดินตามรอยตัวกระทำ หรือรอยการกระทำของท่านนั่่นเอง

คำถามก็คือ รอยที่ว่าต้องทำอย่างไร มีใครรู้จริง หรือไม่

รู้แค่ว่า ทำแล้วเป็นบุญบารมี ทานบารมี ช่วยตนพ้นทุกข์ได้

ทุกที่ ทุกแห่งหนก็อ้างของตน เป็นแก่นศาสนาแน่แท้ บางคนอ้างตนเป็นอรหันต์เลยก็มี

ศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า หนทางที่ใช้ มีสัจจะเป็นเหตุ แล้วในชั่วโมงสัจจะนั้น อยู่ในกรรมฐาน สมาธิพิจารณา

พิจารณาอะไร พิจารณาว่า สิ่งที่ตนเชื่อ ตนทำอยู่นั้น เป็นสัจธรรมความจริง ทำเพื่อลดนิสัยกรรมให้น้อยลง หรือ ทำตามความเห็น ความเชื่อ ที่ผู้อื่นเขาว่าดี แล้วก็ทำตาม ถ้าเป็นความจริง ก็พยายามทำให้ได้

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติว่า ถ้าทำตามพระภูมี นิสัยกรรมย่อมน้อยลง ตนนั่นแลรู้สึกได้ กิริยาย่อมสงบลง นี่แลจึงเป็นเหตุให้คนทั่วไปเห็น ว่าความสงบคือเอกลักษณ์ของผู้มีธรรม

ดูแค่ความเจ็บป่วย เมื่อความเจ็บมาถึง ไม่โทษใคร รู้ว่า "นี่เราทำไว้แล้วเราจึงเจ็บ" ถ้าไม่อยากเจ็บแบบนี้อีก ก็ต้องลดนิสัยสร้างกรรม ถ้าเราไม่สงบ อารมณ์ไม่ดี โกรธว่าติเตียนผู้อื่น กรรมย่อมเพิ่มทวีคูณ หนทางหายย่อมเป็นไปไม่ได้

เมื่อยอมใช้ วันหนึ่งย่อมหมด หมดกรรม ก็หายโรค

คนที่บอกอยากหาย แต่เขาเหล่านั้นจะไปอย่างไร ถ้าไม่เดินตามรอยพระโคดมเลย ไม่ลดกิริยาบาป ไม่สร้างกิริยาบุญ

ถ้าถามว่าทำไมเขาไม่ทำ คำตอบง่ายนิดเดียว เขาไม่เชื่อกรรม ที่สำคัญ เขาไม่ปรารถนามรรคผล นิพพาน

คนเหล่านี้ครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้า ไม่ยุ่งด้วย ไม่เสียเวลา เพราะฝึกไม่ได้

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ต้องเป็นปราชญ์


ศาสนาของพระภูมี สอนให้คนเป็นปราชญ์

คำถามที่น่าคิด ทำไมต้องเป็นปราชญ์ด้วยเล่า ไม่ต้องพูดถึงนิพพาน ก็ที่มานี่หวังแค่หายโรค จะเป็นปราชญ์ไปทำไม

ดูที่อื่นเขาทำสิ จ่ายเงิน รับยา หรือทำพิธีกรรม แล้วกลับบ้าน ไม่เห็นต้องยุ่งยากเป็นปราชญ์ให้วุ่นวาย ปวดหัว ไปหาหมอ จ่ายตังค์ เอาพารามา จบแล้วหายปวดแล้ว

ทำไมที่นี่วุ่นวายจัง เห็นว่ากินแล้วหาย เล่นตัวจัง ต้องโน่นนี่นั่น บางคนก็เลยไปถึง ถ้าอยากได้เงิน ก็บอกราคามาเลย ไม่ต้องมากพิธี จะได้รีบจ่าย รีบกลับ เสียดายเวลา

ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ทำอยู่ในร่อง เหตุและผล จะทำสิ่งใดต้องพิจารณา

เพราะเหตุแห่งโรค คือ กรรม มาเพื่อสร้างทุกข์ แลโลกนี้ ไม่มีอะไรทำลายกรรมที่เราท่านทำไว้แล้วได้ เมื่อพิจารณาก็จะเห็นว่า การทานยา ไม่ใช่ดับเหตุ แต่เป็นเลี่ยงเหตุ เมื่อหมดฤทธิ์ยา เหตุจึงย้อนกลับมา คือเป็นอีก จึงเลิกทานไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น สร้างผลที่ร้ายแรงตามมา นั่นคือ ทำเสมือนทดน้ำ กั้นเขื่อน ทีนี้มาอีกทีเหมือนเขื่อนแตก ไม่ใช่ปวดหัว มาเป็นมะเร็งเลย มิหนำซ้ำ ผ่านไปตรงไหน ตรงนั้นพัง ได้โรคเพิ่ม

พูดฟังง่าย คือ ทำเอาง่าย มักง่าย คิดว่าจ่ายแล้วจบ แต่มันไม่จบ หนำซ้ำอาจร้ายแรงจนถึงต้องเสียชีวิต ก่อนพรหมลิขิต หรือ พรหมลิขิตหักกลาง ท่านจึงว่า นี่แลการทานยาเคมีจึงเพิ่มบาปหนัก คือ บาปที่ฆ่าตน นั่นเอง

แต่หลักปราชญ์ ท่านอาสิชี้ ควรแก้ที่เหตุ คือ "นิสัยกรรม" ด้วยเอานิสัยธรรมมานำตน เสมือนกองไฟ ทานยาเคมี เหมือนดูดควันหาย ไฟยังอยู่ เชื้อยังเติม หากตัดนิสัยกรรม เท่ากับทำลายเชื้อที่มาสุม ไฟที่ลุกย่อมค่อยๆมอด แลดับลงในที่สุด

ถ้ามีนิสัยธรรมด้วยแล้ว เสมือนมีน้ำดับช่วยดับ ยิ่งเร็วใหญ่

บทสรุป หลักปราชญ์ สอนให้ แก้ที่เหตุ ผลจึงเกิด ยิ่งไปกว่านั้น สอนให้ไม่สร้างอีก ไม่ทำอีก จะได้ไม่เป็นอีก

ถ้าไม่เป็นปราชญ์ สิ่งที่ทำนึกคิดเอง เออเอง นึกว่าทำถูก เอาง่าย อาทิ มะเร็ง แก้ไม่ได้ตัดเลย แล้วบอกหาย รู้อีกที ลามไปทั่วตัว ไม่มีเวลาแก้แล้ว

ที่สำคัญสุด คือ คิดแต่พึ่งผู้อื่น แต่หลักปราชญ์ชี้ อยากหายต้องพึ่งตนเอง


วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

พิมเสนแลกเกลือ


ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา สอนให้สร้างบุญบารมี ทานบารมี เพื่อหนีกรรมเวรที่ทำมา

สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนดให้ทำ จึงเป็นกิจกรรมที่ใช้สร้างเพื่อการช่วยตน แลท่านอาสิก็ชี้ชัดว่า อยากได้ต้องทำเอง

นั่นหมายความว่า ต้องอาศัยวันเวลา โดยเฉพาะการมาสัปดาห์ละครั้ง เวลาในการสร้างย่อมมีไม่มาก ประมาณ 8 ชั่วโมง เท่านั้นเอง

น่าเสียดายคนส่วนใหญ่ไม่เสียดายวันเวลาเหล่านี้ กลับใช้เวลานี้ไปอย่างไร้ค่า บางคนไม่มาเพราะธุรกิจ เงินแสน เงินล้าน บางคนเห็นแก่ของถูก หมดเวลาไปกับผักปลาราคาถูก บางคนมาเพื่อตั้งแก๊งค์ คุยสัพเพเหระ หรือธุรกิจ บางคนมาก็ไม่ทำอะไรเพื่อช่วยตน เล่นโทรศัพท์

แต่สิ่งที่ปรากฎ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาเสมอเป็นสติ เงินแสนเงินล้าน สิ่งของวัตถุใดๆ ช่วยแก้กรรม หรือลดกรรมไม่ได้เลย ถ้าเราท่านปวดท้อง สิ่งเหล่านั้นช่วยตนของเราไม่ได้เลย ลดปวดไม่ได้แม้แต่กระผีกเดียว ไม่ต้องพูดถึงโรค แพ้ตั้งแต่เริ่ม

แต่บุญบารมี ทานบารมี นั้นอย่าว่าแต่ปวดท้อง หายโรคยังทำได้ แล้วทำไมถึงเอาเวลาที่สร้างบุญที่มีน้อยไม่ทำตน ตามท่านอาสิ ไว้ช่วยตนเล่า

นี่แลเวลาบุญใช้หาพิมเสน กลับไปหาเงิน หาผัก หาปลา ที่เป็นเกลือ คุ้มกันหรือ เกลือนั้นหาที่ไหนตอนไหนก็ได้ แต่บุญทานบารมี มีแค่สัปดาห์ละ แปดชั่วโมง กลับไม่เน้น ไม่ให้ความสำคัญ

แค่เริ่มก็รู้แล้วว่า ผลจะลงเอยเช่นไร เพราะบางคนกรรมหนัก แค่แปดชั่วโมงที่ทำ ทำเต็มที่อาจยังไม่พอด้วยซ้ำ

บทสรุป พระพุทธเจ้าแลสาวก ท่านอาสิชี้ เขาสร้างกิริยาบุญ ตลอดเวลา จึงไปนิพพานได้ เราท่านจะมาพ้นโรค ต้องเรียนรู้ ทำอย่างไรจึงได้พิมเสน แลใช้เวลาที่มีเพื่อให้ได้พิมเสนมากเท่าที่ตนจะพึงทำได้ ให้เพียงพอช่วยตน

ถ้ามาแล้วเอาเกลือ ซึ่งหาที่ไหนก็ได้ การมาก็เสียเปล่า

เชื่อเถอะ สมุนไพรนี้มีวิญญาณ ต้องปลุกเสก ด้วยตนทำ ยิ่งทำนิสัยพระภูมีมาก ได้พิมเสนมาก สมุนไพรก็ยิ่งมีฤทธิ์มาก เกลือไปทำเอาตอนไหนก็ได้

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ทุกเวลานาทีในที่นี้จึงมีค่า คนเห็นค่า เวลาจากไปเหมือนจากคนรัก มักอาลัยอาวรณ์ อยากอยู่สร้างบุญทานบารมีเยอะๆ ยังทำไม่จุใจ ต้องกลับแล้ว

แต่เราเห็นแต่คนรับยารีบโกยอ้าว อย่างกับที่นี่เป็นนรกก็ปานนั้น เร่งแต่แจกเร็วๆ อยากไปเร็วๆ

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เล่นตัว


การเปิดมูลนิธิไทยกรุณาของหลวงพ่อนิพนธ์ นับว่าเป็นการให้โอกาสคนไทยอย่างมหาศาล ในการฟื้นฟูตน แลสัมผัสศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา

ย้อนยุคถ้ำกระบอก แม้นจะเปิดรับรักษายาเสพติดแก่คนทั่วไป แต่บทเริ่มของการรักษานั้น ทุกคนต้องรับกติกาคือรับสัจจะก่อน จึงจะรับรักษา ส่วนโรคอื่นๆ โดยเฉพาะโรคตาย จะรับก็ต่อเมื่อยอมบวชเท่านั้น

ถัดมาในยุคปี 30 เริ่มจากเปิดรับทั่วไปในตอนแรก แลปรับเป็นการรับรักษาโดยการบวช เป็นหลัก ถ้าคนผู้นั้นหวังผล

ภาพที่ปรากฎในวันนี้ จึงกลายเป็นว่า คนที่มาเล่นตัว เอานิสัยตน อยากมาก็มา ไม่ว่างก็ไม่มา ทำแต่สิ่งที่ตนชอบ

แม่ชีเมี้ยนนำศาสตร์สมุนไพรมาเชิญชวน ให้เข้ามาหาศาสนา แต่วันนี้หาคนเดินไปถึง ยากยิ่ง เพราะมาเอาแต่สมุนไพร

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ศาสนาเขาหยิ่งน่ะ วันนี้ท่านเล่นตัว วันหน้าเขาเล่นตัวบ้าง ย้อนยุคแม่ชีเมี้ยน ที่อยากหายต้องบวชสถานเดียว แล้วจะหนาว

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติเสมอว่า "ศาสนาขาดเราไม่เป็นไร แต่เราขาดศาสนานั่นแหละแย่ ขาดที่พึ่ง" วันนี้ใครจะเล่นตัวก็เล่นไป วันหน้าท่านอาสิเล่นบ้าง ไม่ต้องบวชหรอก แค่ใครไม่มาติดกันสามเดือน เริ่มใหม่ แต่รอปีหน้าค่อยมาเริ่ม แล้วจะรู้ว่า ที่ไหนช่วยได้


วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

รอเวลา - อยากหาย ก็เร่งทำบุญนะ


หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้พิจารณาว่า สิ่งที่สอนให้ทำ คือ บุญ แลทานนั้น ไม่สามารถเห็นได้ แต่วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เมื่อผลที่ตนทำนั้นปรากฏแก่ตน แลตนรู้ได้ เฉกเช่นเดียวกับปลูกต้นไม้ รดน้ำพรวนดิน ถึงวันเวลา ผลก็ออกดอกก็ผลิ จะเร่งสักฉันใด ไม่ได้เลย

การฟื้นฟูตนท่านอาสิก็ชี้ว่าเป็นเช่นเดียวกัน อยากหายในเร็ววัน เร่งสักฉันใด ก็ไม่สมปรารถนา ทันใจ สนองความอยากของตนเลยแม้นแต่น้อย

บางคนคิดเลยไปว่า ถ้าทานสมุนไพรเยอะๆแล้วจะหายเร็ว นั่นคิดเองเออเอง ใช้กับศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาไม่ได้

หลายคนเลยเอาทางลัด ไปหาที่ใหม่ที่เขาให้สมความอยาก จึงไม่แปลก กลุ่มคนทำยาและคนไข้ที่ถูกชักชวน พากันออกไปทำยากันเอง แจกกันเอง อยากได้เท่าไหร่หยิบเอาเอง แต่ศาสตร์นี้มีเจ้าของ คนที่ไปทำเช่นนั้น ท่านไม่เห็นหรือ ท่านเจริญ ท่านจรูญ ยังไม่กล้าทำ แล้วไปเชื่อพระเหล่านั้น คิดหรือว่าทานแล้วจะยังผล ที่สำคัญกว่านั้นคือ การทำตนเป็นพระเวสสันดรที่มูลนิธินั้นมีผลคุ้มครองตนรอดปลอดภัย แต่ทำด้วยความอยากแห่งตน มันจะเป็นหอกย้อนมาทิ่มตน

วันเวลาผ่านไป จึงไม่แปลก ที่ในวันนี้ คนกลุ่มนั้น โดยเฉพาะหัวหน้ากลุ่มที่ชวนกันไปทำ จึงเจอตอ ไม่รู้จะเอาตัวรอดไหม

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวเสมอว่า ถ้าสถานที่นี้ช่วยไม่ได้ ก็ไม่มีที่ไหนช่วยได้ สมุนไพรเขามีเจ้าของไม่กลัวคนขโมยหรอก เพราะฟ้าดินเขาใช้คุณสมบัติ ไม่ใช่ทานเยอะ การเรียนรู้ในการสร้างคุณสมบัติเพื่อปลุกเสกต่างหาก นั่นแลที่ยังผล ยิ่งทำได้มากสมุนไพรยิ่งมีฤทธิ์มาก

ก็ได้แต่หวังว่าคนเหล่านั้นยังมีโอกาสทำตนใหม่ ให้ถูกร่องที่ท่านอาสิชี้ พรหมลิขิตไม่หักเสียก่อน กลับตัวกลับใจ ถ้าไม่อยากทำตน ไปใช้ยาหมอเลยดีกว่า

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ชาติหน้ามีไหม


เฮ้ย ! ไปทำบุญกัน เผื่อไว้ชาติหน้าจะได้ไม่ลำบาก

เพื่อนตอบกลับมาว่า มึงมันบ้า ชาติหน้าไม่มีหรอก ตายก็จบ

คนมากหลายมีความคิดเช่นเดียวกับเพื่อน จึงใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ตามที่ตนชอบ ตามที่ตนอยาก เมื่อไม่มีชาติหน้า ก็ไม่มีเวร ไม่มีกรรม ชอบแบบไหน เล่นกันเต็มที่

ยิ่งคุยถึงการรักษา ที่แม่เราและเขาล้วนเป็นมะเร็ง ต่างกันก็เพียง แม่เราตายแล้ว แต่แม่เพื่อน กำลังทรุด เพราะมะเร็งเริ่มลามไปส่วนต่างไป แลมักกล่าวว่า วิทยาการทางการแพทย์สมัยนี้ทันสมัย ไม่มีทางใช้สมุนไพรแบบเรา เห็นไหม บอกสมุนไพรดี แล้วทำไมแม่เอ็งตาย

คนทั่วไปเห็นแต่แม่เราตายทั้งที่ทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน หากแต่คนทั้งหลายไม่รู้ว่า ตอนที่พบ แม่อายุประมาณ 80 ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล ตรวจพบ ก็เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ขั้น 4 กระจายไปทั้งตัว แม่จึงเริ่มทานสมุนไพร ไม่เคยไปรักษากับหมอ ไม่เคยทานยาอื่นใด ตอนแม่จากไป น้ำเหลืองเป็นพิษ ถูกรีดไปที่แขนข้างหนึ่ง แล้วเป็นฝีตรงหัวไหล่ กั้นเอาไว้ วันสุดท้ายที่แม่ตาย แม่บอกให้เปิดซีดีเพลง ของชมรมที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ทำขึ้น นอนร้องเพลง จนจบแผ่น บอกเราให้เปิดอีกครั้ง แล้วก็นอนหลับจากไปอย่างสงบ

นี่เป็นความต่าง คนเป็นมะเร็งจุดจบ หนีไม่พ้นมอร์ฟีน เพราะปวดจนตาย แต่แม่ไม่เคยแม้นแต่ยาแก้ปวด

หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ว่า เพราะมีชาติหน้า ถ้าชาตินี้เราใช้กรรม ยอมเจ็บ ใช้จนหมด คือไม่ตายด้วยโรค เช่นเป็นมะเร็ง ไม่ตายด้วยความปวด นั่นก็แปลว่าตายเพราะหมดอายุขัย ชาติหน้าก็ไม่มีกรรมพันธุ์มะเร็งติดวิญญาณตามไป นี่แลความหมายประการหนึ่งในการทานสมุนไพร

แล้วรู้ได้ไงว่ามีชาติหน้า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ถ้าตายแล้วสูญ ไม่ต้องเกิด แล้วเราท่านมีเป็ดไก่กินไม่รู้จบรู้สิ้น เอาวิญญาณที่ไหนมาเกิด

บทสรุป เพราะตัวกระทำนำเกิด ทำอย่างไรได้อย่างนั้น โลกนี้จึงยุติธรรม มิฉะนั้นคนที่เกิดมาไม่สมประกอบ เป็นโรค ตั้งแต่เกิด ย่อมฟ้องฟ้าดินไม่ยุติธรรม แท้จริงแล้ว ชาติที่แล้วทำไว้นั่นเอง

การทานสมุนไพร จึงมีความหมาย คือ ลาภอันประเสริฐ ที่ไม่มีโรค ติดวิญญาณ ไม่ใช่แค่หายโรคในชาตินี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า การทานสมุนไพร แล้วประสพผล จึงไม่จำเป็นต้องรอด เพราะถ้าถึงพรหมลิขิต ทุกคนต้องตาย แต่ตายแบบใช้กรรมหมด ไม่ใช่ตายด้วยโรค ที่บีบคั้นวิญญาณจนตาย เฉกเช่นคนเป็นมะเร็งที่อวัยวะถูกทำลาย เกินกว่าจะฟื้นฟู คนเหล่านี้ตายแน่นอน แต่ก็ตายสบาย ไม่ปวดจนตาย ไม่ต้องพึ่งมอร์ฟีน แต่เพราะอายุขัย นี่แหละตายดี

ตัวอย่างที่เราเห็นชัด ก็หลานสาวสังฆราชองค์ก่อน ที่หมอทิ้ง ได้มาทานสมุนไพรในบั้นปลาย หลวงพ่อนิพนธ์บอก หายคงเป็นไปไม่ได้ แต่ตายดีน่ะพอมีวันเวลาทำได้ จำได้ว่า วันที่เธอจะตาย โทรมาลาหลวงพ่อนิพนธ์ บอกว่าทานสมุนไพรตามที่สั่งแล้ว แล้วเธอก็นอนหลับจากไปง่ายๆ

ถ้าไม่เชื่อกรรมมีจริง ชาติหน้ามีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ไม่เชื่อคำสอน นั่นทำแบบคนทั้งโลก มีใครหายโรคให้เห็นบ้าง มีใครเป็นมะเร็ง ไม่ปวดจนตายบ้าง

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เชื่อไร - ทำไมยิ่งรักษาโรคยิ่งเพิ่ม


ศาสตร์ต่างๆในโลก การที่คนจะไปใช้บริการ ย่อมต้องเห็นต้องพิสูจน์ได้ยินได้ฟัง ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ จึงวางใจไปให้ทำ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใด เรื่องกิน เรื่องอยู่ คนทั้งหลายล้วนพิถีพิถัน สรรหาเลือก สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเสมอ

เรื่องที่สำคัญที่สุด คือชีวิต กลับเป็นเรื่องแปลก ที่มนุษย์ทั้งหลายทำตรงข้าม ยิ่งไปกว่านั้น กลับให้ความไว้วางใจยิ่ง ไม่พิจารณาเลยว่ามันเสี่ยง เพราะคนวินิจฉัยไม่ได้ทำยาเอง คนทำยาไม่ใช่คนวินิจฉัย แล้วเชื่อได้อย่างไร ว่ายานั้นเหมาะสมกับตน

มันจึงตกในสภาวะ หนูทดลองยา อย่างหนีไม่พ้น ตัวนี้ไม่ได้ เปลี่ยนเป็นตัวนั้น และที่เกิดกับคนไทยมาก็คือ การทานยาเกินความจำเป็น จึงไม่แปลก ที่ทำไมยิ่งรักษาโรคยิ่งเพิ่ม

แต่ทีกับสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนนำมา เห็นกันอยู่ สิ่งที่ทานล้วนแล้วเป็นของธรรมชาติ ทานกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กลับสงสัย คลางแคลง ตั้งเงื่อนไข

บทสรุป ถามจังสมุนไพรใส่อะไรบ้าง คนทานผ่านมาเป็นล้านคน คนหายมีเป็นหมื่น แก้สงสัยไม่ได้เลย แต่ยาเม็ดที่กำในมือ ไม่เคยสงสัย ไม่เคยถาม มันมีอะไรบ้าง ทั้งๆที่ข้างกล่องเขียน ตัวยามีปริมาณ กระจิ๋วเดียว ที่เหลือหล่ะมันคืออะไร ไม่เคยถาม แต่เชื่อสนิทใจ ใส่ปากยิ้มแย้ม ทั้งที่ช่วยแค่ดับควัน ทานสมุนไพรหน้าเบ้ ทั้งที่ช่วยดับไฟ

นี่แลทำไมศาสนาที่แท้จริง จึงต้องมาฟัง มาเอาเหตุเอาผล พิจารณา เพื่อให้จิตที่ผูกติด ความเชื่อ ผิดไป ได้เดินให้ถูกร่อง ทำตนเป็นน๊อตเกลียวเดียวกันอย่างที่ท่านอาสิบอก

แค่ทานยาเม็ดทำอย่างไรก็ได้ แต่ทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ต้องมีพฤติกรรมสอดคล้อง ไม่ยอมคิดพิจารณา พูดสักฉันใด ก็เงียบสงบไม่ได้ จะชนะกรรม ชนะโรคโดยวิธีใด ที่สำคัญ มาทำไม แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง

หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติเสมอ ตอนทำกรรม มันพร้อม กาย วาจา ใจ ตอนจะมาแก้ เอาแต่ยา ชนะได้ก็หนึ่งในพัน นั่นของเก่าเขามีเยอะ

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ศาสนาคืออะไร


คนเราเมื่อทุกข์ไม่ว่าชนชาติเชื้อชาติใด มักหวนนึกถึงศาสนา ที่ซึ่งตนคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยตนของตนได้

ศาสนาลัทธิความเชื่อต่างๆ ที่ตนเคยร้องขอแล้วได้นั้น แท้จริงเป็นผลกรรมดีที่ทำมาแล้วต่างหาก แต่วันนี้ผลกรรมชั่วมาอุบัติจะร้องขอสักฉันใดก็ไร้ผล

แม้นแต่เรื่องโรคก็เฉกเช่นเดียวกัน ทำไมวันนั้น หมอนี้ เคยช่วยเราท่านได้ มาวันนี้กลับช่วยไม่ได้ นั่นที่ช่วยได้ มันเป็นกรรมผ่าน มันมาแล้วก็ไป แต่เมื่อเจอของจริงคือ กรรมพัก ที่มาเป็นโรคตาย ท่านอาสิบอกทำสักฉันใดช่วยตนไม่ได้เลย ยิ่งดิ้นยิ่งเข้าตำรา “ดินพอกหางหมู” จากหนึ่งกลายเป็นสองสามสี่โรค ยิ่งทำยิ่งเพิ่มโรค

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา ก็เพราะสิ่งที่ตนยึดถือ ไม่มีตัวมีตน คนสร้างขึ้นมาเอง ไม่ว่าความเชื่อ หรือยา ก็ล้วนแต่ใช้ปัญญามนุษย์ หรือปัญญากรรม สร้างขึ้นมา มันจึงแก้ผลกรรมไม่ได้

ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เป็นปัญญาเหนือโลก สิ่งที่ทำมันจึงให้ผลเหนือกรรมที่ทำมาได้

ความต่างของปัญญาทั้งสองนี้ ที่เด่นชัด หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา คือ ปัญญาโลก มิว่าศาสนาลัทธิความเชื่อใด อยากได้ให้ร้องขอ ส่วนปัญญาของพระพุทธเจ้านั้นอยากได้ ต้องทำเอง

จึงไม่ต้องแปลกใจ สิ่งที่คนทั้งหลายเชื่อ จึงไม่ต้องตั้งอยู่บนเหตุและผล ที่สำคัญ ไม่รู้หนทางว่าต้องเดินต้องทำอย่างไรเล่นกันเอง คิดเอาเอง คิดต่างก็แยกเป็นลัทธิใหม่ นิกายใหม่

หากแต่ศาสตร์ของพระภูมี เป็นความจริงแท้ มีตัวมีตน จึงตั้งอยู่บนเหตุและผล แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนสงฆ์ถึงหนทางในการเดิน ว่าจุดมุ่งหมายที่คนอยากได้ศาสนามาช่วยตน ควรที่จะทำตนไปให้ถึง นั่นคือ มรรคผล นิพพาน ในภายภาคหน้า จะใกล้หรือไกล ไม่เป็นไรตามแต่ตนทำได้

ดังนั้นหนทางที่จะไป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า เมื่อมีวาสนามาพานพบ จึงต้องตั้งปณิธาน ประกาศตนเป็นสัจจะให้แก่ตนเพื่อเดินไปให้ถึง หากจะไปในเวลาอันใกล้ ก็บวชอยูในหลักธรรมโลกุตระตลอดชีวิต หากแต่ยังไม่อยากไปในภพนี้ชาตินี้ ก็วางสัจจะนับถือศาสนาพุทธตลอดชีวิต เพื่อเป็นสัญญาจะได้เวียนมาพบพระพุทธศาสนาอีกในวันหน้า จะได้ทำตนเมื่ออยากไป

ส่วนหนทางที่จะกระทำเพื่อให้ได้ นั่นก็ด้วยการเดินตามรอยตัวกระทำของพระภูมี ทุกพระองค์ จะทำโดยวิธีใด ก็ไปเรียนรู้จากผู้ปฏิบัติที่สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา

คำถามที่อดสงสัยไม่ได้ ต้องถามหลวงพ่อนิพนธ์เมื่อครั้งบวช “แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าทำถูก” คำตอบที่ท่านให้ คือ เป็นเรื่องง่ายรู้ได้เฉพาะตน นั่นคือ ความเชื่อที่ถูก ทำถูก ยิ่งทำนิสัยยิ่งลด ความสงบก็ยิ่งบังเกิด ความสุขก็ตามมา

พรปีใหม่ของแม่ชีเมี้ยนตอนหนึ่ง จึงกล่าวว่า “สุขจะบังเกิดมากน้อย ก็ตามแต่นิสัยของพระภูมี ที่เรามี เราทำได้นั่นแล” ยิ่งเราทำได้ เราท่านก็จะยิ่งสุข เพราะเดินตามปณิธานได้ ผลหรือจุดหมายคือมรรคผลนิพพาน ย่อมอยู่ไม่ไกล

บทสรุป วันนี้เป็นปีใหม่จีน คนทั้งหลายอวยพรให้มีความสุข หากแต่เป็นความอยาก เป็นคำขอ อันจะเกิดขึ้นจริงตามคำนั้น คงไม่ได้ แม่ชีเมี้ยนชี้ อยากสุข ก็ขอให้สุข อยู่กับตัวกระทำนำตนเป็นคนดี ให้สุขผู้อื่นเป็นอุปนิสัย สุขอยู่บนวิถีพุทธศาสตร์ทุกชาติไป

การมาทานสมุนไพรนั่นแค่ปลอดโรค แต่ไม่แน่ว่าจะปลอดภัย แลไม่แน่ว่าจะถึงสุข เพราะสมุนไพร เขาทำหน้าที่ให้โอกาสเราท่าน ได้มาเจอศาสนา เรียนรู้ แล้วทำสร้างสุขให้แก่ตน ถ้ายังไม่คิดไป อย่างน้อยก็ไปรับสัจจะน้อมนำนิสัยบางสิ่งบางอย่างที่พอทำได้ มาลดนิสัยตนลง ตามที่ท่านอาสิชี้

แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสชี้ว่า ความหมายของศาสนา คือ “เราทำ ทำอะไร ทำนิสัยของพระพุทธเจ้านั่นเอง” ใครฟัง เชื่อ พิจารณา แล้วทำตาม ถึงสุขแน่นอน หายโรคนั้นแถมให้

ศาสนาสอนสร้างวัตถุ นั้นเดินสวนทางรอยพระภูมีแล้ว ทำสักฉันใด แก้ปวดท้องยังไม่ได้เลย จะถึงสุขโดยวิธีใด


วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เป็นตรงไหน


หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้เหตุว่า ทำไมคนทำดีไม่ได้ดี นั่นเพราะ "ทำไม่ถูกต้องในร่องธรรม"

นั่นหมายความว่า ความดีที่ทำ นั้นคิดเอาเองว่าดี เขาว่าดี หรือดีเพราะสอดคล้องกับความคิดตน ไม่ใช่ดีของศาสนา

เมื่อย้อนกลับมาในความเป็นพุทธของคนไทย ตัวเลขชี้ว่า คนส่วนใหญ่ เป็นชาวพุทธ แต่ความเป็นจริง มีคนพุทธสักกี่คนแน่

ความเป็นพุทธ หรือเป็นนั่นนี่ เขาดูตรงไหน วันนี้มีงานเผาสรีระพระชื่อดัง ทีวีวิทยุบอกมีลูกศิษย์นับแสนนับล้าน หลั่งมา และแสดงความเสียใจ ถามหน่อยเถอะ ดูตรงไหนว่าเป็นศิษย์ มากราบไหว้ก็เป็นแล้ว หรือ ศิษย์ตถาคต ยังมีแค่แปดหมื่นกว่า

ที่นี้เป็นพุทธ แค่กราบไหว้ เข้าวัด เป็นพุทธแล้วหรือ หรือไปกราบไหว้พระสงฆ์ที่ตนชอบ นับถือ ทำตามคำสอนเขา นั่นเป็นแล้วใช่หรือเปล่า

แต่ไม่ดูเลยว่า พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร แล้วทำตาม ผลก็คือ สิ่งที่ทำที่คิดว่าเป็นความดี เป็นบุญ ยามทุกข์มาอุบัติเป็นโรค จึงช่วยตนไม่ได้เลย โดยเฉพาะ การสร้างวัตถุ ที่ดูพุทธประวัติตรงไหน ไม่มีสอนเลย แล้วที่ทำไปจะหวังผลอะไรได้

แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า สิ่งที่พระพุทธทำ คือ พูดจริง แล้วทำจริง ประกาศฟ้าดินเป็นพยาน ถ้าเราท่านจะเป็นพุทธ จึงมิใช่แค่คิดว่าตนเป็น หรือเขียนในใบเกิดแล้วก็เป็น

บทสรุป เมื่อการเป็นแค่คิด การทำก็เชื่อเอาเอง หรือเขาว่า ชอบก็ทำ ไม่ชอบก็ไม่ทำ มีเวลาก็ทำ ไม่มีก็ไม่ทำ หาความเที่ยงไม่ได้เลย จึงไม่แปลกที่ทำแล้วช่วยตนไม่ได้ คำแม่ชีเมี้ยนตรัสสอนที่ท่านอาสิมักยกมาให้ฟัง คือ "การบูชาพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ลดกิริยา ก็หาบูชาไม่"

พิจารณาเอาเถิด ยุคพุทธกาล มีแต่คนบอกว่า หลักพระโคดมดีแต่ไม่อยากทำ แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้ว่า เพราะสอนให้ทำ สิ่งที่เราท่านไม่ชอบ คือถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ

คนทำเรือนแสน คนไม่ทำเป็นพันล้าน
ถามหน่อยเถอะ ที่บอกว่าเป็นพุทธ ไปวัด "หาอะไร"

พุทธของพระโคดม อย่าว่าแต่หายโรคเลย ไปนิพพานยังได้ พุทธในวันนี้ ลองเอาโรคไปถวายสิ เจ้าอาวาสว่าไง ... ถ้าสิ่งที่สอนเป็นบุญจริง ต้องแก้ได้ ใช่หรือไม่ แค่ทุกข์เฉพาะหน้ายังแก้ไม่ได้ เชื่อหรือจะให้สุข มีสวรรค์รอตนในวันหน้า ... นี่แหละเรียก สิ่งที่ทำไม่มีจริง ไม่ถูกต้องในร่องธรรม สิ่งที่ทำจึงหาผลไม่ได้ ผลที่รอ มีแต่ลม ไม่มีทางเป็นจริง

ไม่ต้องพูดถึง ลัทธิ ความเชื่อ ที่ทำ ผลที่ได้ นั่นกรรมดี ไม่ใช่ด้วยการทำ ยามใดกรรมชั่วมา จะทำสักฉันใด ช่วยตนไม่ได้เลย

ทีนี้จะมาหายโรค ด้วยศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ไม่ทำตนเป็นพุทธมามกะ ไม่ลดกิริยา ไม่กลัวกรรม ไม่ทำตนให้มีนิสัยพระภูมีให้เกิดแก่ตน จะเอาบุญ เอาทาน บารมีที่ไหนมาช่วยตน ปลุกเสกสมุนไพรที่ตนทานให้มีฤทธิ์ ช่วยตนได้

ถ้าไม่ทำ ไม่เชื่อ หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ว่า ออกไปดูคนอยากทำเขาทำช่วยตนก่อน ดีกว่าไหม เพราะเขตพัทธสีมา หาใช่มีแต่คุณมหาศาล ถ้าทำผิดผลผิดก็มหาศาลเช่นกัน


แมงโม้


การยกตนเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทำกันทั้งโลก

วันนี้จีนบอกไปปลูกพืชที่ดวงจันทร์ ด้านมืดที่ไม่มีใครเคยไป อเมริกาเกทับ ข้าไปดาวอังคารแล้ว

วันนี้มีคนบอกว่า สายตนนั้นเคร่ง วัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส ถูกต้องตามธรรมวินัยอย่างแท้จริง อีกองค์บอกฉันแน่กว่า ประกาศตนเลยว่าเป็นอรหันต์ ลงยูทูปเลย

วันนี้ หลายที่หลายแห่งอวดอ้างสรรพคุณ ยาของตนดี เต็มทีวี รักษาโรคได้ เจอที่แน่กว่า อมหัวแม่เท้ากูแล้วหายทุกโรค

สิ่งที่กล่าวอ้างมีคนหลงเชื่อมากมาย จนน่าตกใจ ถ้าเป็นคนไม่มีศาสนาก็ว่าไป แต่คนที่บอกเป็นพุทธ เชื่อพระพุทธเจ้า ไหว้พระพุทธ แต่ไม่เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน มาพิจารณา ไม่เอาเหตุเอาผล

สิ่งต่างๆเหล่านั้นที่เขากล่าวอ้าง ล้วนเป็นไปไม่ได้เลย เพราะโลกใบนี้ โลกียะเป็นเจ้า มีกรรมเป็นอำนาจปกครอง ไม่มีใครเหนือ แล้วจะเอาปัญญากรรมไปชนะโดยวิธีใด

มาวันนี้ของประเทศไทย แค่วิกฤติฝุ่น ก็แก้ไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ไม่มีวิธีแก้ แต่ไม่ยอมแก้ มัวแต่ไปดับไฟที่ปลายเหตุ ส่วนต้นเหตุคือ "นิสัยความเห็นแก่ตัว" ไม่ยอมแก้

วิกฤตนี้ มาในยุครัฐมีอำนาจล้นเหลือ ควรที่จะเป็นโอกาส ปฏิรูป ระเบียบวินัย ความเห็นแก่ตัวของทุกภาคส่วน ที่เป็นต้นเหตุ แก้นิสัยคนไทย สะท้อนปัญหา ว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อผู้อื่น ต่อตน ต่อส่วนรวม ต่อประเทศ แม้นจะดูว่าเล็กน้อยก็ตาม

ศาสตร์พระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่าเป็นพหูสูต แก้ได้ทุกปัญหา นั่นคือ แก้ "นิสัย"

การจะฟื้นฟูประเทศ ไม่ว่านโยบายจะเลิศหรู ก็ไม่ต่างกับแมงโม้อื่นๆ ที่จะเดินไปไปไม่ได้เลย หากไร้คุณธรรม นำตน ยิ่งผู้นำเอาประโยชน์ตน ยิ่งห่างไกลความสำเร็จ ดั่งที่มีคนกล่าวถึงทฤษฎี ไอติมแท่งนั่นแล เลียคนละแพล่บสองแพล่บ กว่าจะถึงชาวบ้าน แทบจะเหลือแต่ไม้

บทสรุป ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ หรือปัญหาใดในโลก ที่มาของต้นเหตุคือ "นิสัย" ความเห็นแก่ตัว เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป ให้ทุกข์แก่เขา ทุกข์จึงย้อนมาหาตน

นี่เป็นสูตรสำเร็จที่แม่ชีเมี้ยนให้ สู้กับวิกฤต ไม่ว่าเรื่องโรค หรือเรื่องทางโลก มันต้องเริ่มที่ "นิสัย" ก่อน แล้วเราท่านจะมาแก้โรค ไม่เอาธรรมของพระโคดมเลย เอาแต่สมุนไพร หรือรอยาดี รอไปเถอะ

กรรมสร้างมากับมือ ทำเอง ถึงเวลาเป็นโรค จะมาให้คนอื่นแก้ ไอ้คนที่บอกแก้ได้ นั่นมัน "แมงโม้" เอาชีวิตมนุษย์มาหลอกขายกินเท่านั้นแล

ดูสิ คนเขาแย่ แทนที่จะเห็นใจ ขายหน้ากาก ฉวยขึ้นราคาซะงั้น 

ดูสิ กทม บอกมีเงินเหลือเยอะ แจกโบนัส แต่ไม่มีเงินซื้อหน้ากาก แจกคนป่วย แลเด็กเล็ก กลุ่มเสี่ยง นี่มันเมืองพุทธจริงป่ะ

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44