เมื่่อเราฟังเขาพูด ดูภาพที่เห็น ก็คงอดคล้อยตามสิ่งเหล่านั้นไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะมันช่างน่าเชื่อถือเหลือเกิน
หากแต่สิ่งที่น่าคิด น่าสงสัย ว่า ศาสนาของพระภูมี เป็นศาสนาเดียวที่เดินขอเขากิน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ขอก็มีมือมีตีน มีสุขภาพที่ดีกว่าคนทั่วไปอีกด้วย
และผู้ขอ ก็ได้รับการยกย่อง ยอมรับ กันอย่างกว้างขวาง ว่าเป็นผู้มีบุญ
ประเด็นที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เราเห็นแลพิจารณา คือ ผู้มีบุญ มีลักษณะเช่นไร
หากเราท่านรู้และเข้าใจ เราจะรู้ได้ทันทีเลยว่า สิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เรายึดถือ เป็นของจริงแลของปลอม
เมื่อเป็นที่ยอมรับว่า พระอรหันต์ คือ ผู้มีบุญ นั่นย่อมแสดงว่า ภาพของพระอรหันต์ นั่นแลเป็นภาพของบุคคลที่ได้สัมผัสบุญนั่นเอง
วินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ ประการหนึ่ง คือ กิจธุดงค์ และสิ่งที่สงฆ์ของท่านหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การโปรดโยม
ในขณะที่อายุขัยของพระแต่ละองค์ สั้นยาวไม่เท่ากัน
ภาพที่สะท้อนออกมาให้เห็นคือ พระทุกรูป ต้องไม่มีโรค เดินหลังตรง ไม่พิกลพิการ อันทำให้เสียซึ่งกิจสงฆ์
เพราะถ้าปฏิบัติกิจไม่ได้ จะไปนิพพานได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ประโยชน์ประการแรก ของการนับถือพระพุทธเจ้า นั่นคือ ความไม่มีโรคนั่นเอง
หากที่ใดเป็นเนื้อนาบุญของพระพุทธศาสนา แลผู้ที่ทำตาม ย่อมได้สัมผัสซึ่งสิ่งนี้ ที่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น
จึงไม่น่าแปลก ที่จะไม่มีเรื่องเหล่านี้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็น ในตำราเล่มใด หรือ มีใครกล้าพูด เพราะถ้าเขียนไป ให้คนรู้ หรือ พูดให้คนได้ยิน สิ่งที่ตามมาก็คือ คนจะฉลาด และรู้ได้ว่า สิ่งที่ยึดถืออยู่มันของจริงหรือของปลอม
พระของพระพุทธเจ้า คงไม่มีใครเดินไม่ไหว ทำกิจธุดงค์ไม่ได้ พิกลพิการ ประคองสังขารไม่อยู่ แล้วไปนั่งโปรดโยม
เมื่อแม่ชีเมี้ยนให้หลวงพ่อนิพนธ์มาปลุกปั่นชาวประชา ย่อมต้องแสดงเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอันนี้ให้เห็นเด่นชัด
เราจึงเห็น คนที่เป็นโรคร้ายแรง เมื่อบวชปฏิบัติตามรอยพระภูมี จึงหายโรค
ตัวอย่างที่เห็นประจักษ์ แก่สมาชิกชมรม ก็เช่น คุณชา ผู้ซึ่งเส้นเลือดหัวใจตีบ และบายพาสไปแล้ว ๑ เส้น ก็สามารถกลับมาปกติได้หลังบวช และช่วยงาน เป็นหัวหน้าแผนกสมุนไพรได้
เราได้เห็นท่านตอง ผู้ซึ่งพี่น้องห้าคน ล้วนแล้วแต่เป็นมะเร็งสมอง แต่ท่านตอง เป็นคนเดียวที่รอด และหาย จนปัจจุบันกลับไปเป็นราษฎรอาวุโสของเขาค้อ มีหน้าที่สอนชาวบ้านทำจักรสาน
เนื้อนาบุญ จึงเป็นที่รวมของคนทุกข์ มาเพื่อปฏิบัติช่วยตนให้พ้นทุกข์
ไม่ใช่ตอนมาเดินมา เฮฮา อยู่ไป นึกจะตายก็ตาย นึกจะเป็นโรคก็เป็น ชีวิตผุพังง่ายเหลือเกิน
เราจึงไม่เห็นที่ใดเขียนถึง ที่ใดพูดถึง เพราะความจริงนี้ มันจะฟ้องว่า สิ่งที่ทำอยู่เก๊ มีแต่วิมานในอากาศ
คนที่เชื่อและเดินตามรอยของพระภูมีที่แท้จริง ชีวิตย่อมเหนียวแน่น อยู่ครบอายุขัย และมีชีวิตบนรากฐานสุขที่แท้จริง คือ ความไม่มีโรค
เห็นที่ไหนก็คุย ว่าเก่ง ว่าแจ๋ว เผลอนิดเดียวไปซะแล้ว เดี่ยงซะแล้ว " ศาสนาที่แท้จริงไม่เป็นเช่นนั้นดอก" แม่ชีเมี้ยนกล่าวไว้
ไม่เขียนให้รู้ก็พอทน ยังหลอกว่ามีหมอชีวิตมารักษาอีก พระพุทธเจ้าท่านเป็นพหูสูตร และบัญญัติธรรมหมวด "ตนพึ่งตน" แล้วตัวท่านจะไปพึ่งผู้อื่นได้อย่างไร
ผู้มีบุญ เขา นั่งเป็นสุข นอนเป็นสุข กินเป็นสุข ถึงอายุขัยก็บอกลา แล้วหลับไป .... เพราะเป็นเช่นนี้ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ มนุษย์แม้นไม่ชอบก็ต้องยอมรับ ว่านี่แหละบุญญาธิการ