วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561

กูทำแล้วกูต้องได้


หลายคนเชื่อว่า เมื่อตนเองทำสิ่งใด ย่อมต้องได้ผลตอบแทน และที่ไปไกลกว่านั้นคือ ผลต้องเป็นตามที่ตนคิดตนหวังอย่างแน่นอน จึงไม่ต้องแปลกใจ ทุกแห่งทุกหน เช้าๆก็เห็นคนใส่บาตร กรวดน้ำ ไปไหนก็เห็นตู้บริจาค แลก็มีคนบริจาคกันมากมาย แล้วภาพชินตา ก็คือ จบแล้วจบอีก ขอนั่นขอนี่ และคิดว่าต้องได้ตามที่ตนทำ ตนหวัง

แต่ไม่เคยมีใครสงสัย มีใครถาม ว่าพ่อแม่เรา ปู่ย่าตายายเราที่ทำมาก่อนหน้านั้น หลายคนทำมาแต่เล็กแต่น้อย. แล้วทำไมวาระสุดท้ายที่เห็น ไม่น่าดูเลย อมทุกข์ อมโรค นานปี กว่าจะเสีย ช่างน่าขัดกับพฤติกรรมที่ทำนัก จนหลายคนอดคิดไม่ได้ว่าทำดีไม่ได้ดี

ย้อนยุคถ้ำกระบอก มีโยมคนหนึ่งนำข้าวสารมาถวาย 5 กระสอบ ท่านตรัสกับสงฆ์ว่า ท่านใดทำที่ปรารถนาของเจ้าของได้ก็นำไปทานได้ เมื่อถามว่าเจ้าของข้าวปรารถนาอะไร ท่านตอบว่า เขาขอรางวัลที่ 1 ข้าวเหล่านั้นจึงไม่มีองค์ไหนกล้านำไปทาน

แปลว่าอะไร หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณา ว่าผลของสิ่งที่ทำขึ้นกับผู้แปรไข หรือ ผู้ที่รับ เป็นสำคัญ ว่านำสิ่งนั้นไปทำอะไร เกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใด. อุปมา ข้าวของโยม บอกว่าถวายพระ แล้วผลที่จะได้ ถ้าพระนั้นฉันแล้วไปช่วยคน สอนธรรมให้คนเป็นคนดี ผลที่คืนมาก็มหาศาล หากฉันแล้ว ไปใบ้หวย ทำตะกรุดผ้ายันต์ หลอกคนทั่วไปคิดเอา ว่าผลที่ย้อนมาจะได้อะไร เพราะทำให้คนหลงงมงาย ในสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสาร

บทสรุป ฉะนั้น แม้นการกระทำแลเจตนาจะดี หากจะหวังผลต้องดูผลของการกระทำนั้นๆด้วย จึงต้องเลือกว่าจะทำกับใคร ไม่ใช่ใครก็ได้ แล้วเหมาเอาว่า ทำแล้วตนต้องได้ ก็ย้อนดูพุทธประวัติ พระภูมียังต้องเลือกบุรุษที่สามารถฝึกได้ มิฉะนั้นคำสอนของท่านก็จะเสียผลได้

ก็แล้วมูลนิธิเล่า จะเอ่ยอ้าง สมุนไพรดี ช่วยได้ทุกคน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ท่านอาสิ จึงชี้ว่า เฉพาะคนที่ฟัง พิจารณา เชื่อแล้วทำตาม ก็ถ้าคนมาแล้วไม่ทำ การชวนคนมาช่วยเก็บใบยา ทำยา เอามะกรูด มะนาว มะพร้าว จะหวังผลอะไรเป็นแก่นสาร หรือช่วยตน ย่อมไม่มีหรือมีน้อย

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ช่วยเขาแล้วเราตาย...กตัญญูมีบ้างไหม?


ศาสนาของพระภูมี ละเอียดอ่อน เป็นศาสนาพิจารณาแล้วทำ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่าทำไม จึงเริ่มที่ความกตัญญู แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เป็นศาสนาที่ต้องมีครู ไม่ใช่รู้เอง เพราะมีครูสอน จึงรู้ว่า ก ไก่ ข ไข่ เขียนอย่างไร เมื่อรู้แล้วต้องทำเอง เขียนเอง จึงเรียกตรัสรู้ นั่นคือ ทำจนรู้ ด้วยตนเอง สิ่งที่รู้จึงช่วยตนได้ ช่วยผู้อื่นที่เชื่อแล้วทำตามได้

จุดใหญ่ใจความของเนื้อหา จึงพูดแต่เรื่องกรรม เรียก “กรรมอุปาทาน” แล้วชี้ว่า “กรรมนี่แหละนำเกิด” วิชาที่เรียน จึงมุ่งไปที่ “นิสัย” ที่สร้างกรรมเป็นหัวใจ

ประเด็นก็คือ ตัวเรา เกิดเพราะมีกรรม จะมาบอกว่าตัวเราเป็นของเราโดยลำพังไม่ได้ เพราะไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ หากแต่ผูกกรรมกันมา สังขารตัวเรา ท่านชี้ว่า “กระดูกของพ่อ เลือดเนื้อของแม่” สิ่งที่เราท่านทำ ทุกสิ่งอย่างในศาสนา จึงส่งถึงพ่อแม่โดยอัติโนมัติจึงมีคำว่า เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นกว่าจะโตมา ย่อมต้องมีผู้อุปการะ ผู้อุปถัมภ์ มีเจ้ากรรมนายเวร อย่างแน่แท้ ที่การกระทำของเราท่านย่อมมีผลต่อคนเหล่านั้น

หลวงพ่อนิพนธ์แปลความให้ฟังว่า หมายความว่า ถ้าเราท่านมีความกตัญญู ย่อมต้องควบคุมพฤติกรรมเพื่อให้ผลที่ส่งไปแก่คนเหล่านั้นแลแก่ตน เป็นผลที่ดี นี่แลทำไมจึงต้องทำความดี แลตัวกระทำไม่ตาย เมื่อเราท่านเปลี่ยนสถานะเป็น พ่อแม่ ผู้อุปถัมภ์ ผู้อุปการะ เจ้ากรรมนายเวร ย่อมได้รับสิ่งเดียวกันกับที่ทำมาแล้วนั่นเอง

ครั้นวันนี้ มาหาศาสนาของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์มักพูดเสมอ ให้กราบไหว้ แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ให้คำสอนเราท่านมาช่วยตน ส่วนตัวท่านไม่จำเป็น แต่ฟ้าดินเขาถือสา เพราะเป็นตัวแทน ใครกราบไหว้ย่อมหมายถึงจิตกตัญญู เป็นตัวเริ่มในการพยายามทำความดีนั่นเอง พูดง่ายๆเป็นเครื่องเตือนใจตนให้ทำดีนั่นเอง

แล้วถ้าไม่ทำหล่ะ ไม่กตัญญูหล่ะ จะไปทางไหน นั่นก็หมายความว่า สิ่งที่ศาสนาหรือหลวงพ่อนิพนธ์ให้ ไม่ว่าคำสอนหรือสมุนไพร รับมาแล้วทำให้กลับมามีกำลัง เป็นปกติได้ หากแต่เอาสิ่งที่ได้ไปทำบาปอีก คนที่ถูกกระทำย่อมฟ้องฟ้าดิน ไปช่วยเขาทำไม ฉันจึงถูกทำร้าย

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ท่านเป็นตัวอย่างให้ฟังว่าทำไมจึงต้องถูกตัดขา มิใช่กรรมของท่าน หากแต่คนที่ท่านช่วยเป็นเบาหวาน กำลังถูกตัดขา ท่านเมตตาช่วยเขา หวังว่าช่วยแล้วคงสามารถสอนให้กลับมาเป็นคนดีได้ ครั้นคนผู้นั้นหายเบาหวานไม่ต้องตัดขา มีสุขภาพดี แข็งแรง กลับเอาแรงที่ได้ไปปลุกปล้ำผู้หญิง ผลจึงย้อนมาหาท่านนั่นเอง

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า คนทั้งหลายที่มา มาเพื่อให้ช่วย หากแต่ช่วยแล้ว ผลย่อมตกกับผู้ช่วยเป็นแน่แท้ กระไดกตัญญูจึงสำคัญยิ่ง หากคนผู้นั้นไม่มี ช่วยแล้วไปทำแบบชายที่เป็นเบาหวาน ช่วยแล้วเอาแรงที่ได้ไปให้ทุกข์ผู้อื่น ไปด่าเขา ไปเอารัดเอาเปรียบเขา ไปเบียดเบียนเขา ผลย่อมย้อนมาหาผู้ช่วยเช่นกัน

ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าช่วยแล้ว คนผู้นั้นเกิดกตัญญู ก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมแห่งตน ให้เป็นคนดีตามคำสอน เพื่อให้ผลดีย้อนกลับไปหาผู้ช่วยเพื่อตอบแทน

จึงอย่าแปลกใจเลย คนที่กตัญญูจึงมักเริ่มที่การกราบไหว้ แล้วก็มุ่งมั่นดำรงวินัย ตั้งปณิธานจะเป็นคนดี คนผู้นั้นจึงสงบเงียบ ปฏิบัตตามคำสอน มุ่งให้สุขแก่ผู้อื่น จากแรงที่ได้มาตามที่ตนพอทำได้

ภาพที่ปรากฎ เราท่านจึงสูญเสียหลวงพ่อนิพนธ์ไป เพราะคนส่วนใหญ่ หายแล้วก็กลับไปสร้างกรรมเหมือนเดิม ท่านจึงพูดว่าเข้าตำรา “ช่วยเขาแล้วเราตาย” วันนี้ ก็ยังคงเป็นแบบเดิม คนส่วนใหญ่ ไม่เชื่อกรรม ไม่คิดจะทำตนเป็นคนดี ไม่แม้นจะหยุดสักชั่วโมงนาที แสดงกตัญญู หยุดว่าร้าย หยุดนิสัยตน ชั่วครู่ชั่วยามไม่มีเลย

เราจึงสงสัยว่า ไม่ต้องท่านอาสิ เอาแค่คนที่เขามาช่วย ทำยา เก็บใบยา เอามะพร้าวมา เอามะกรูดมา มุ่งหวังช่วยคน ให้พ้นโรค ให้เป็นคนดี หวังว่าผลแห่งการกระทำของเขาจะได้ผลบุญผลกรรมดีมาช่วยตน แต่ความเป็นจริงสงสัยจะได้ตัดขาแบบหลวงพ่อนิพนธ์ซะมากกว่า เพราะคนที่ช่วยเขาไม่กลัวกรรม ไม่คิดจะเป็นคนดี ลานบุญของแม่ชีเมี้ยน ที่ควรจะเห็นรอยอดีตครั้งพุทธกาล ที่คนลดกิริยา สงบ ไม่มีเสียงพูด มีแต่เสียงสวดมนต์ มีแต่เสียงธรรมคำสอน มันจึงกลายเป็นเสียงตลาดแตก คนทั้งหลายมาบรรเลงแต่นิสัยตน ติคนนั้น ว่าคนนี้

คำถามก็คือ ควรที่จะทำต่อ หรือทำไปทำไม ...

บังเอิญท่านอาสิมีเมตตา ให้โอกาส แต่เราเห็นว่า วันหนึ่งก็ต้องเปลี่ยน. เลือกเฉพาะคนที่อยากได้ ทำได้ ดีกว่าไหม คนที่มาอาสา มาช่วย เอามะกรูด มาให้ เขาจะได้รับผลจากผู้กตัญญูทั้งหลาย ที่รับแล้วทำตนเป็นคนดี หรือจะรอให้เสียท่านอาสิไปอีกคน ฤา สถานที่แห่งนี้ต้องปิดเพราะไม่มีคนทำ ไม่มีคนอยากเป็นคนดี ไม่มีคนกตัญญูรู้คุณ แล้วจะทำไปทำไม ปิดให้ท่านอาสิ ยังคงอยู่ ไปทำสำนักสงฆ์อย่างเดียวดีกว่า ย้อนรอยแม่ชีเมี้ยนดีกว่า ใครอยากหายโรค บวชได้ไหม ไม่ได้ก็กลับบ้านไป บ้านใครบ้านมัน

ไม่ใช่ใจร้าย ขาดเมตตาแต่เพราะคนทั้งหลายไม่เชื่อว่า “โรคเกิดจากกรรม เปลี่ยนโรคต้องเปลี่ยนนิสัย” และบทเริ่ม คือความกตัญญู

ก็ทางโลกเขายังว่า กตัญญูพ่อแม่ “ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” เลย นี่ศาสนา นี่พระพุทธน่ะ ถ้าไม่เอา ไม่ทำ ก็บ้านใครบ้านมัน ถ้าไม่คิดจะให้สุขย้อนไปยังครูบาอาจารย์ ก็ไม่ควรให้กรรมของตนย้อนไปให้ท่าน

คนเขามา เห็นพฤติกรรม เขาไม่ว่าเราท่าน แต่เขาจะว่าเจ้าอาวาส นี่หรือคนที่ท่านอยากช่วย ถามสักนิด ช่วยคนอกตัญญูทำไม ให้มีแรงไปสร้างบาปสร้างกรรม ปล่อยมันตายไปดีกว่าไหม

แลมองเลยไปข้างบน แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ ก็ย่อมน้ำตานอง นี่หรือคนที่ท่านช่วย

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561

รู้หรือจำ


ประวัติศาสตร์จีนบันทึกการรบตอนหนึ่ง อันเป็นที่มาของคำกล่าวว่า “แม่ทัพบนกระดานหมาก”

อันหมายถึง คนผู้หนึ่งที่รู้กลศึก สามารถโต้ตอบแก้ไขได้อย่างยอดเยี่ยม จนหาผู้ใดเปรียบได้ นั่นคือ บนกระดานหมากล้อมสามารถอ่านทะลุปรุโปร่ง แลมิเคยพ่ายแพ้ผู้ใด หากแต่มิเคยทำการรบแม้นแต่ครั้งเดียว ครั้นถูกแต่งตั้งด้วยคำร่ำลือที่ชมเชยกันทั่วหน้าให้เป็นแม่ทัพใหญ่ กลับกลายเป็นผู้ที่ทำให้อาณาจักรของตนล่มสลาย ด้วยพ่ายศึกยับเยิน

ฉันใดก็ฉันนั้น นี่คือสิ่งที่คนทั้งหลายเดินรอยตามในวันนี้ เรียนรู้ ฟังสรรพสิ่งมากมาย ถามมา ตอบไป ยิ่งกว่าอับดุล ไม่ว่าทางโลก ทางธรรม รู้ไปหมด ถ้าไม่รู้บอกรอเดี๋ยวถามอากู๋ในโทรศัพท์แป๊บ แล้วก็มาตอบเป็นฉากๆ ล้วนแล้วจำมารู้ทั้งสิ้น

แต่ครั้นให้ไปรบจริง ผลที่ปรากฎ นั่นคือ พ่ายศึกยับเยิน ชีวิตต้องเผชิญทุกข์แสนสาหัส ด้วยโรคนี้โรคนั้น บางคนก็ต้องย่อยยับถึงชีวิต ก็มากมาย คำถามคือ แล้วสิ่งที่รู้มา มีประโยชน์อันใด ช่วยตนไม่ได้เลย เพราะไม่ได้รู้ด้วยทำมา

แม่ชีเมี้ยนสอนขันติสงฆ์ของท่านว่า การเรียนรู้ หรือจำเขามารู้ มันเลยไม่รู้ว่าใช้ได้หรือไม่ ศาสนาจึงไม่มีพระไตรปิฏก แต่สอนให้ทำ ชี้ให้พิจารณา เมื่อทำเอง ทำได้ จึงรู้ สิ่งที่รู้จึงเอาไปช่วยตนได้ การไปท่องตำรา เสียเวลาช้าไปเปล่าๆ ต้องเปรียญเก้าประโยค นักธรรมโน่นนี่นั่น ถามสิ ปวดท้องทำอย่างไร แก้ไม่ได้ ปากไปโน่น สอนนิพพาน เต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย คนทั้งหลายที่มา จะเอาหายโรค หายทุกข์ หลวงพ่อนิพนธ์ก็สอนให้ทำ หลายคนไม่อยากทำ ไม่อยากรู้ จะเอาแต่สมุนไพร ทำให้หายโรค ผลก็คือ บางคนโชคดีได้หายโรค แต่หายแล้วไม่รู้เลย ตนหายด้วยวิธีใด จึงไม่แปลก ในไม่ช้าก็เกิดโรคหวน หรือเป็นโรคอื่น ถ้าทำแล้วรู้ ว่าสิ่งที่ตนทำมีความหมายเช่นไรกับตน เมื่อหาย ก็เหมือนเรียนจบหมอด้วยตนเองทำมา ความรู้ที่ได้มิเพียงช่วยตนช่วยผู้อื่นที่ตนรักก็ได้ด้วย อุปมาพระมาลัยโปรดสัตว์ นั่นเอง

วันนี้ไม่มีหลวงพ่อนิพนธ์มาชี้ให้ทำโน่นนี่นั่นแล้ว จะทำแบบเดิมก็ไม่ได้ จะเอามรรคผล ก็ไม่รู้อันไหนบุญ อันไหนทาน อันไหนกรรมดี เพราะไม่ได้ทำเองมาแต่ต้น ไม่ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนทำ เขาว่ามาก็ทำ

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า การหายโรค ต้องเอาธรรมนำหน้า สมุนไพรเดินตาม คำถามก็คือ ทำอะไรแล้วเป็นธรรมช่วยตน ทำไมสิ่งที่เขาทำกันทั้งเมือง ดูก็คล้ายกัน บางทีเคร่งกว่าด้วย ทำแล้วไม่ช่วยตน นั่นคือสิ่งที่เรามาเรียน แล้วทำให้รู้ เพื่อหายโรคแล้วจะได้ไม่เป็นอีก ความรู้นี้ช่วยตนได้ก็ช่วยผู้อื่นได้ นี่สิรู้จริง พูดบอกใครก็ไม่กลัวผิดเพราะทำมาเอง รู้จากสิ่งที่ทำจนรู้ ว่าสิ่งใดทำแล้วเป็นผล สิ่งใดทำแล้วเป็นลม มิใช่ไปบอกคนจากเรื่องที่จำเขามา กินนี่สิ ช่วยโรคนี้นั้นได้ ทานนี่สิ เขาว่าดี ไม่รู้ว่าเขานั้นคือใคร เที่ยวบอกเที่ยวสอนชักชวนให้เขาทำ ถ้าผิดเขาถึงกับชีวิตจะปฏิเสธได้อย่างไร ไม่รู้นี่ก็เขาบอกมา เสมือนใบอะไรที่กำลังฮิต ชวนกันกิน บางคนกินจนชาปาก เกิดอาการ รู้หรือไม่มันเป็นใบไม้ที่มีพิษ

ก็ดูเอา บอกสวดมนต์ ตอบว่า ฉันอยู่บ้านสวดทุกวัน สวดเป็นชั่วโมงเลย ไปสวดที่วัดเป็นประจำ มิสงสัยบ้างหรือ ทำไมสวดที่นี่มันช่วยหายโรค ไอ้ที่สวดมาแต่อ้อนแต่ออกมากมาย ยิ่งสวดยิ่งเป็นโรค นี่แลจำเขามา เขาว่าสวดมนต์ดีโน่นนี่นั่น แล้วทำ ผลจึงไม่เกิด ก็แล้วมาสวดที่มูลนิธิ ที่สถานปฏิบัติธรรม ก็ไม่เรียนรู้ว่าสวดแล้วมีผลเพราะอะไร จะสวดให้เกิดผลต้องสวดแบบไหนจึงไม่ต้องแปลกใจ ที่คนส่วนใหญ่เขาจะไปสวดออกพรรษา บอกบุญใหญ่ ทั้งที่สวดมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งสวดยิ่งเป็นโรค สวดที่มูลนิธิเขาบอกว่ากระจอก ไม่ได้บุญ ก็แล้วมันมีผลให้คนอื่นหายโรคโดยวิธีใด

ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ไม่เหลือที่ให้น้ำของศาสนาเลย อะไรก็รู้แล้ว รู้มากกว่า ทั้งๆที่สิ่งที่รู้ ช่วยตนไม่ได้ ก็ไม่สงสัย ก็รู้หมด ที่นี่จะไปช่วยอะไรได้ เพราะเปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าพฤติกรรม ความเห็น ความเชื่อ

มันวิปริตไหม ชวนไปรุมโทรมสาว พากันไปเป็นสิบ หน้าชื่นตาบาน ทำแล้วทำอีก นั่นทำแล้วกรรมรออยู่น่ะ ชวนไปปิดฝาขวดยาเขียว หายากยิ่งกว่างมเข็ม นั่นทำแล้วให้สุขตนน่ะ

แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสชี้ว่า ไม่แปลก เมื่อเขาไม่เห็นค่าในสิ่งที่ตนทำ เขาก็ไม่ซึ้ง ไม่ศรัทธา ไม่อยากทำ เขาจะเอาแต่หายโรค ไม่รู้ไม่สนว่านั่นกรรมเราทำมา เจ้ากรรมนายเวรเขารออยู่ แล้วมีอะไรให้เขา ใช้เขา ให้หายโรค มีแต่ลม ไม่มีตัวกระทำใดทำใช้เลย มันจะหายโดยวิธีใด

นี่แลยุค เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นดอกบัวเป็นกงจักร ศาสนาทำ ไม่มีใครแล ศาสนาขอ เจริญรุ่งเรือง หายโรคที่ว่าง่ายมันจึงเป็นเรื่องยาก

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ละลายน้ำ


ข่าวที่มักถูกประโคม โหมกระแสแลให้ดูว่าจะเป็นไปได้ในไม่ช้า นั่นก็คือการคิดค้นแนวทางที่อาจเป็นไปได้ที่จะใช้ในการรักษาโรค โดยเฉพาะโรคร้ายแรง ที่คร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมาก หากแต่เมื่อวันเวลาผ่านไป มันก็ยังคงเป็นความหวัง ที่ยังไม่เคยเป็นจริงแม้สักครั้ง พูดง่ายๆ โหมเพื่อหางบนั่นเอง

เมื่อคนทั้งหลาย ปากบอกเป็นพุทธ แต่ไม่เชื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นั่นหมายถึง โรคก็เช่นกัน เป็นกรรมที่เรา ท่านทำมามาอุบัติ ให้ทุกข์ จะมีอะไรมาทำลายไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่ศักดิ์สิทธ์ที่สุดในโลกนี้ก็คือกรรมนั่นเอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณาว่า โรคตายเหล่านี้ ไม่มียารักษาโรค เพราะมนุษย์จะชนะกรรมเป็นไปไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าแก้ผิด ยิ่งกลายเป็นดินพอกหางหมู จากโรคหนึ่งเป็นสองเป็นสามสี่... มีแต่เพิ่มไม่มีลด

ความเสียหายของประเทศ อันเนื่องจากความโลภ แลทิฐิของคนบางกลุ่ม ประเทศจึงต้องเสียงบประมาณมากมาย แถมยังเสียทรัพยากรดีๆมีความสามารถ ไปก่อนเวลาอันควรมากมาย

ถ้าประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยจริง ต้องฟังเสียงข้างน้อยที่โดดเดี่ยวแต่พูดความจริง พิสูจน์ให้เห็นมาก็มากหลาย นั่นคือเสียงของแม่ชีเมี้ยน พิจารณาเอาเถิด โลกนี้เขามีหมอไว้ทำไม เพื่อรักษาโรคร้ายด้วยวิทยาการหรือ ไม่ใช่ หากแต่มีไว้เพื่อโรคกรรมผ่านพอไหว แลอุบัติภัย เฉพาะหน้าต่างหาก หรือเพื่อศัลยกรรม แต่ถ้าจะรักษาโรคตายไม่มีทาง ไม่ต้องอื่นไกลหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา ดูแต่กระดูกเถอะ ถ้าแตกหัก หมอดามหรือตัดแต่งให้ได้ แต่ไม่มียาเคมีตัวไหนจะทำให้กระดูกติดกันได้เลย นอกจากร่างกายของเราเท่านั้นที่จะทำได้ จริงหรือไม่

วันหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจบีบคั้น รีดเลือดกับปูเป็นค่ารักษาไม่ได้แล้ว หนี้ท่วมประเทศ ที่ซึ่งตอนนี้ก็ปาเข้าไป 6.6 ล้านล้านบาทแล้ว สมุนไพรแม่ชีเมี้ยนจะเป็นทางเลือก ที่มิเพียงแต่ต้นทุนต่ำ ยังสามารถประสพผลหายโรคได้ วันนั้นแหละ คำพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยน ที่ตรัสแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า สิ่งที่ฉันทิ้งไว้ให้ เพื่อทดแทนคุณแผ่นดินเกิด

บทสรุป วันนี้ยังมีจ่าย จะเลือกทางไหนก็ตามชอบ วันใดที่ขาดแคลน สมุนไพรแม่ชีเมี้ยนจะเสนอตัว เงินจะได้มีเหลือไปพัฒนาประเทศ น่าเสียดายว่าทำไมต้องรอถึงวันนั้นก่อน คำตอบง่ายนิดเดียว ก็คนมันโลภ มันเห็นแก่ตัว ยุคนั้น คนดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ จึงมีค่ามหาศาล เขาจะเห็นค่าในสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้

วันนั้น หมอจะได้ไม่ต้องมีงานล้นมือ ประสานกัน ไปแบบชิวๆ คนป่วยก็ได้หาย หมอก็เรียนมาแล้วช่วยคนได้ ไม่ต้องไปเรียนผิดหลงทาง เรียนมาแล้วช่วยใครไม่ได้ ดั่งที่หมออำนาจ ผอ โรงพยาบาลใหญ่ต้นๆของประเทศเพื่อนหลวงพ่อนิพนธ์ ผู้ที่ตั้งฉายาให้ว่า หมอผี ในวันที่ท่านได้เรียนหมอ แต่หลวงพ่อนิพนธ์ ได้เรียนสมุนไพร แลพูดในวันที่เจอกันในวัยเกษียณว่า หมอผีมันช่วยคนได้ แต่เรากลับช่วยคนไม่ได้เลยแม้นแต่คนเดียวให้หายโรค หลวงพ่อนิพนธ์ที่ถูกเพื่อนๆที่สอบหมอได้ทั้งกลุ่มในวันนั้นหัวเราะกับฉายาหมอผี จึงแซวว่า หัวเราะทีหลังดังกว่าโว้ย

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

อยากได้อะไรแน่


แม่ชีเมี้ยนมักชี้ให้เห็นนิสัยของมนุษย์ที่มักจะตัดสินสิ่งใด เอาที่ชอบเป็นที่ตั้ง ไม่เอาเหตุเอาผลมาพิจารณา ผลที่เกิดจึงสร้างศรัทธาความเชื่อกับศาสนาไม่ได้ ทั้งๆที่ตนบอกว่าอยากเจอ อยากได้ อยากพบสิ่งศักดิ์สิทธ์

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา ว่าการมาของเราท่านเพื่อสิ่งใด เพื่อมาเรียนรู้ ฟัง พิจารณา ในสิ่งที่เอาไปช่วยตนของตนได้ ใช่หรือไม่ ก็แล้วในเมื่อมาเพื่อฟัง จะไปให้ความสำคัญกับผู้พูดทำไม อุปมาเสมือน อยากฟังเพลงเพราะ เครื่องเสียงดีๆ ใสกังวาน แล้วจะไปสนทำไมว่า วิทยุที่เปิด มันเก่า คร่ำครึรูปลักษณ์ไม่ถูกใจ ไม่น่ามอง ทั้งๆที่ให้เสียงที่ดี แต่กลับติโน่นนี่นั่น ในขณะเครื่องที่ดูดี ถูกใจ ราคาแพง เสียงหมาไม่แดก ฟังแล้วแสบแก้วหู ยิ่งฟังยิ่งทุกข์ ทำลายตนกลับชอบ

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า นี่แหละกรรม ทำให้เราตำหนิ พูดเรื่องธรรมได้อย่างไร ยังนุ่งกางเกงอยู่เลย หัวก็ไม่โล้น ที่สำคัญ จะมีธรรมได้อย่างไร ติโน่นนี่นั่น สร้างศรัทธาให้เกิด กราบไหว้ไม่ได้ ทั้งๆสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟังช่วยตนได้ มีคนเดินตามก่อนหน้า แลประสพผล

บทสรุป จึงไม่แปลก ที่เมื่อวันใดสภาพดีขึ้น ฟังเสียงเครื่องที่ตนชอบ ก็หันเหไปเป็นธรรมดา ทั้งที่เครื่องนั้นที่ตนชอบ เคยฟังมาแล้ว เคยทำตามมาแล้ว และชีวิตก็อับปางมาแล้วก็ตามที นี่แหละขาดพิจารณา ขาดปัญญา

ดูรุ่นพี่ เศรษฐีต้นๆของเมืองไทย นอนโรงพยาบาลดัง จนอยู่ icu หมอบอกรอตาย บังเอิญลูกชายมีเพื่อนรู้จักหลวงพ่อนิพนธ์ เลยมาปรึกษา ท่านให้ยาเขียวไปลองกรอกให้พ่อทาน เหมือนปาฏิหาริย์ สองวันออกจาก icu ได้ ลูกพามาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านก็ให้พักฟื้น ผ่านไปครึ่งปี ดีวันดีคืน กลับมาขับรถได้ วันหนึ่งเพื่อเศรษฐีเจ้าของโรงเหล้าใหญ่ บอกนี่เลย อาจารย์ของอาจารย์หมอ อยู่เยอรมัน บอกมียาดี เข็มละล้าน คอร์สหนึ่งสามสิบเข็ม หายชัวร์ รีบมาขอหลวงพ่อไปทำ ท้ายที่สุดก็ตายคาเข็มที่สามสิบ ที่น่าแปลก หลวงพ่อนิพนธ์ช่วยแทบตาย กราบไหว้ไม่ได้ บอกไม่ดี แต่เจอหมอกราบแทบติดตีน แล้วก็ตายไป

ถามจริง อยากได้อะไรแน่ ความสุขทางตา สบายตา สบายใจ หรือความสุขที่หายโรคกันแน่ นี่แหละแม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า เรื่องศาสนาต้องใช้ปัญญา จึงจะเห็น ถ้าไหว้หลวงพ่อนิพนธ์ไม่ได้ ไหว้ท่านอาสิไม่ได้ นั่นเพราะไม่เห็นค่า พิจารณาค่าของคนด้วยตานั่นเอง

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2561

จบแน่หรือ


ภาพที่เห็นจนชินตา นั่นคือ การมาของผู้คนที่ทุกข์ด้วยโรค และผ่านการรักษาของหมอมาจนสุดทาง เรียกว่า สถานะคือ ทรงกับทรุด ดังนั้น การมาฟื้นฟูตน ด้วยศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา นับตั้งแต่ยุคของหลวงพ่อนิพนธ์ คนเหล่านี้ มักจะมีวันเวลา ทุ่มเท ยิ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ก็ยิ่งมุ่งมั่น และก็ประสพความสำเร็จ

สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา นั่นคือ การหายในวันนี้ มันจบแล้วจริงหรือ ในขณะที่หลายคนคิดว่า ฉันหายแล้ว ฉันจึงไม่จำเป็นต้องมา ไม่จำเป็นต้องทำแบบเดิม สามารถกลับไปใช้ชีวิต ทำตามสิ่งที่ตนชอบเหมือนเดิม คนเหล่านั้นจึงค่อยๆลดการกระทำของตนในที่นี้ลง แลท้ายที่สุด ก็หายไป

แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า มันแค่ผ่านปล้องกรรมนี้ไปเท่านั้นเอง หากแต่เชื่อได้อย่างไรว่า ปล้องกรรมข้างหน้าเราท่านจะไม่มีอีก เชื่อหรือว่า หายโรคนี้ เราจะไม่เป็นโรคอะไรอีก หรือ โรคที่เป็นจะไม่ย้อนกลับมาอีก

ท่านจึงมักกล่าวว่า ถ้าทำแล้วดี ก็ควรทำต่อไป แม้นในอดีตทำเพื่อหายโรค แต่เมื่อหายโรค ก็ทำเพื่อเป็นเสบียงในภายภาคหน้า เสมือนเป็นคลังเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น แม้นจะไม่ต้องเน้นเหมือนเดิม แต่ก็ควรจะทำ เพราะทำกันไว้ ดีกว่าเป็นแล้วมาแก้

เสียดาย คนทั้งหลายไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อว่า โรคเกิดจากกรรม ดังนั้น จึงคิดว่า หายโรคนี้แล้ว ก็จะไม่เป็นอีก เมื่อไม่เชื่อว่าเราท่านมีกรรม เมื่อดีแล้ว ก็ประมาท คิดว่า ทางเดินของตนก็ย่อมจะปลอดโปร่งแล้ว เพราะหายโรคแล้ว เฉกเช่นคนหนุ่มสาว ที่ร่างกายดี ยังไม่มีโรคหนักสาหัส ก็ใช้ชีวิต โดยไม่สนการกระทำที่ช่วยตน เอาแต่การกระทำที่ตนอยากทำ ใช้ชีวิตแบบสุดๆ

บทสรุป เราท่านไม่เชื่อหรือว่า เราท่านไม่ได้มีปล้องกรรมเพียงปล้องเดียว หลายคนจึงมีการกระทำ หายแล้ว เหมือนซ่อมเรือตนเรียบร้อยแล้ว ออกไปผจญคลื่นได้แล้ว ถีบท่าทิ้งเลย แลแม้นแต่คนที่เป็นอยู่ เมื่อมีหนทางได้ ก็ทิ้งการกระทำของตน ไม่รู้เลยว่า ได้ไม่คุ้มเสีย มักคิดว่า หยุดสักสัปดาห์ หยุดสักเดือนไม่เป็นไร ความเป็นจริง โรคหรือกรรม มันไม่มีวันหยุด มันทำลายตัวของเรา ทุกเวลานาที แค่ทิ้งช่วงนิดเดียว อาจเป็นช่องทำลายตน แล้วเงินที่ได้ ช่วยอะไรตนได้

คำถามที่เราท่านควรจะคิด หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า หายโรคยังไม่จบ แต่ทำไงจึงจะไม่เป็นโรคอีก นั่นคือ ได้ลาภอันประเสริฐ นี่แหละ ควรจะเรียนรู้ แล้วทำให้เป็นของตน

การหายแล้วถีบท่าทิ้ง ... วันหนึ่งเมื่อกลับมาเป็นโรคอีก จะเอาท่าที่ไหน

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เค้าลาง...ความพินาศ


สิ่งที่ทุกรัฐบาลของชาติต่างๆดำเนิน นั่นย่อมมุ่งเน้นเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพราะมันถึงปากท้องของชนในชาติ ที่จะสุขหรือทุกข์ แลเป็นเงื่อนไขการดำรงอยู่ของรัฐบาล

การค้าต่างประเทศ คือเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของทุกประเทศ

รัฐบาลจีนนั้นได้ถูกยอมรับว่ามีอิทธิพลมากในปัจจุบัน เสมือนแผ่อำนาจการค้าของตนไปมีบทบาททั่วโลก มาวันนี้ กำลังถึงจุดหักเห ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง ว่ามันอาจจะเป็นจุดเริ่มของวิกฤติเศรษฐกิจโลกในไม่ช้า ทั้งที่ปรัชญาคนจีน ที่สอนลูกสอนหลาน ของยุคจีนโพ้นทะเลในไทย นั่นคือ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน

การลดต้นทุนของฝากฝั่งยุโรปและอเมริกา ที่หันเหมาผลิตในจีน กำลังถูกประเมินใหม่ จากผลพวงจากการตรวจพบว่า ชิปประมวลผลที่สั่งทำในจีน ถูกบริษัทจีน แอบฝังชิฟที่มุ่งหมายเพื่อโจรกรรมไว้ อันหมายความว่า ประเทศใดที่นำชิพนี้ไปใช้ จีนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้หมด

ผลที่ตามมาคือ สหรัฐ แลยุโรป อาทิเยอรมัน ต้องรีบย้ายฐาน และยกเลิกการให้บริษัทต่างประเทศผลิตชิปที่มุ่งหวังลดต้นทุน ด้วยผลแห่งความมั่นคง บริษัทจีนถูกห้ามจำหน่ายอุปกรณ์ที่เข้าถึงข้อมูล อาทิ หัวเว่ยในสหรัฐ

ที่สำคัญ ความเชื่อมั่น ในความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ที่คนจีนมีมานาน ถูกสั่นคลอนและกำลังถูกทำลาย นั่นคือ นับแต่นี้ประเทศที่ผลิตสินค้าเทคโนโลยี ที่กำลังก้าวเข้าสู่ ศัพท์ใหม่ คือ IOT นั่นคือ สินค้าทุกชนิดจะสามารถถูกควบคุมได้ขอเพียงมีอินเทอร์เน็ต จะไม่สามารถผลิตในต่างประเทศได้ ซ้ำร้าย อาจจะวางขายในต่างประเทศไม่ได้เลย เช่น หัวเว่ย

ถ้าทุกประเทศไม่สามารถวางใจกันได้ ระบบการค้าย่อมมีผลกระทบร้ายแรง เศรษฐกิจโลกย่อมพินาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลวงพ่อนิพนธ์ เล่าพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยน ที่กล่าวถึงยุคก่อนพระพุทธเจ้าจะอุบัติว่า สิ่งที่จะมีค่าและสำคัญต่อมนุษย์ที่สุด นั่นคือ “ความซื่อสัตย์” เพราะหาได้ยาก ด้วยนิสัยคนโลภ อยากได้ไม่สิ้นสุด คนซื่อสัตย์จึงเป็นบุคคลากรที่คนทั้งหลายต้องการ หาใช่คนมีความรู้ ความสามารถสูง เฉกเช่นปัจจุบัน

บทสรุป คนทุกวันนี้ อยากให้ลูกเรียนสูงๆ เรียนเก่ง หากแต่พฤติกรรมห่างไกลจากธรรมคำสอนมากนัก วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ผู้ใดมีนิสัยของพระภูมี ยิ่งมาก ยิ่งมีคุณค่า

แค่ความซื่อสัตย์ ประการเดียว หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา “เสมือนน้ำซึมบ่อทราย กินไม่มีวันหมด”

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เอาอะไรมาใช้


แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้ว่า หลักของพระภูมีทรงค้นพบ ความจริงของจักรวาล คือ “ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ทำสักฉันใดไม่ตายเลย”

หลวงพ่อนิพนธ์อธิบายว่า นั่นหมายความว่า สิ่งที่เราท่านทำในวันนี้ จะเป็นเหตุ แลส่งผลรอเราท่านอยู่วันข้างหน้า

เมื่อถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทานเนื้อสัตว์ ไม่บาปหรือ

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า สัตว์ก็มนุษย์นั่นแหละ ถ้าเป็นมนุษย์มีหัวใจธรรม ตายไปก็เกิดเป็นมนุษย์อีก ถ้าไม่มีก็ตกในร่องกรรมตายไปก็เป็นสัตว์ จึงเห็นได้ว่า เมื่อเป็นมนุษย์เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป เมื่อกลายเป็นสัตว์ก็ต้องมาใช้

คำถาม คือ เอาอะไรมาใช้เมื่อเป็นสัตว์ ท่านก็ชี้ว่า ทำอย่างไรได้อย่างนั้น เป็นวัวเป็นควาย ก็เอาแรง เอาเนื้อมาใช้เขา เป็นหมู เป็นเป็ด เป็นไก่ ก็เอาเนื้อมาใช้เขา นี่แหละ แม่ชีเมี้ยนชี้ว่า ไม่สงสัยหรือ ทำไมเราท่านจึงมีสัตว์กิน ไม่รู้จบรู้สิ้น เอาวิญญาณที่ไหนมาเกิดให้เราท่านกิน

คนไม่รู้ก็บอก ตายแล้วขึ้นสวรรค์ ตายแล้วสูญ ไปสุขคติ แล้วสิ่งที่ทำไว้เล่า นั่นแลสร้างตัวเกิด สร้างสังขารรอเราท่านอยู่วันข้างหน้า

หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนสงฆ์ว่า เมื่อเราทานก็พึงทานให้หมด เมื่อเราฆ่าเอามาเลี้ยงตน ก็ควรแต่พอดี มิใช่กินปลาสามตัว ฆ่ามาห้าเหลือทิ้ง สามตัวที่เลี้ยงชีวิต นั่นมีบาปก็แต่น้อย แต่สองตัวที่เหลือ นั่นเบียดเบียนสัตว์จนเกินไป แทนที่เนื้อเขาจะได้ใช้กรรมที่ทำมา ก็ไม่ได้ ไปเกิดเป็นปลามาใช้เนื้ออีก นี่เราท่านต้องรับ

บทสรุป นี่แลกรรมเราทำไว้ อย่าคิดเชียวหนา ตราบใดที่ยังมีกิเลสมีนิสัย วาดฝันตายแล้วได้ไปสวรรค์ ดูเป็ด ดูไก่ ไว้ วิญญาณใครมาเกิด จึงไม่แปลก หลวงพ่อนิพนธ์บอก เมื่อเราเจอศาสนา เราก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ คนที่เรารัก ต้องเกิดเป็นสัตว์หรือไม่ เราจึงปรารถนาว่า ถ้าพวกเขาเกิดเป็นสัตว์ก็ขอให้เกิดในเขตอภัยทานของศาสนา เราท่านก็มาเลี้ยง ให้อยู่ครบอายุขัย หมดกรรมจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ต้องถูกใครจับใครฆ่า

จะพึงทำสิ่งใด แม่ชีเมี้ยนจึงให้สติเตือนใจขันติสงฆ์เสมอว่า “พิจารณาน่ะ กรรม กรรมจำไว้ให้ดี” แม้นแต่ทุกข์ของเราท่านในวันนี้ คือโรค นั่นเราทำไว้แล้ว จะปฏิเสธสักฉันใด ย่อมไม่พ้น นี่แหละหลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า โลกนี้ไม่มียารักษาโรค จะมารักษาโรค ไม่เอาเจ็บ ไม่เอาปวด หายแบบเดินบนกลีบกุหลาบ ที่นี่ไม่มีให้ คนที่จะหายต้องเป็นคนจริง ยอมรับในสิ่งที่ตนได้ทำ แม้นไม่รู้ว่าทำมาเมื่อไหร่ แต่เมื่อผลมาถึง นั่นย่อมเป็นของเราทำไว้ ไม่ใช่ฟ้ากลั่นแกล้งแน่นอน

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2561

มันอยู่ที่ใจ


หลายคนมักจะกล่าวอ้าง ในการทำความดี โดยเฉพาะการเดินตามรอยพระภูมี ด้วยวลีอมตะ “มันอยู่ที่ใจ” อาทิเช่น การมีวัตรปฏิบัติในวันพระ ก็บอกไม่จำเป็น ขอแต่เพียงเรามีใจ ยึดมั่นในคำสอน กราบไหว้พระพุทธก็เพียงพอแล้ว

หลายคน ก็ใช้วิธีการฝาก.ฝากไปทำบุญ ฝากไปใส่บาตร แล้วก็บอกตนว่า ได้ทำแล้ว

จึงไม่แปลก ที่การนั่ง ทำจิตทำใจ จึงเป็นที่นิยม โดยเฉพาะนั่งสมาธิ หลายคนก็เรียกได้ว่า เซียน นั่งได้เป็นวัน เป็นคืน

หากแต่ความเป็นจริง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า หากเราหิวข้าว ก็ลองนั่งทำใจดู อาจจะหลอกตนได้ เพลาหนึ่ง วันหนึ่ง แต่ท้ายที่สุด ความจริงก็ปรากฎ ทำให้หายหิวไม่ได้เลย อยากจะหายหิว ก็เดินไปหยิบหม้อ ซาวข้าว ตั้งไฟ เดี๋ยวก็ได้กิน ได้หายหิว

แม่ชีเมี้ยนจึงทรงตรัสว่า ศาสนา คือ “เราทำ”

หลายคนอ้างเอ่ย นับถือ กราบไหว้ ระลึกคุณ หากแต่คำสอนของแม่ชีเมี้ยน ตรัสสอนสงฆ์ 7 รูป ที่เชื่อท่าน ในธุดงค์สุดท้าย ทรงกล่าวว่า การกระทำเยี่ยงนั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลย ถ้านับถือ ระลึกคุณ ก็ให้ทรงวินัยของพระภูมีไว้ นั่นแหละ

วันพระ จึงเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่จะแสดงตน ว่า เราเป็นชาวพุทธ เราจึงพากายไปวัด ทิ้งบ้าน ทำเสมือนพระโคดม ตัดขาดทางโลก ไปปฏิบัติตน ลดกิเลส ลดนิสัย

ก็แล้วไม่ไปจะเป็นไร นั่งทำใจอยู่ที่บ้านก็ได้ ... หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า กายเป็นของหยาบ ยังบังคับไม่ได้เลย จะไปบังคับวาจา บังคับใจ ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ถ้าทำได้ พระโคดม ก็ไม่ต้องออกจากวังแล้ว

บทสรุป คนสมัยนี้ ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อตัวกระทำ แต่กรรมที่เราท่านสร้าง มิใช่ใช้ใจทำน่ะ อยากฆ่าคน เอาใจไปฆ่า โลกยังบอกไม่ผิด แต่ที่ทำทั้งหมดทั้งมวล ล้วนด้วยมือทำ วาจากล่าวทั้งสิ้น ครั้นมาทำธรรม บอก มันอยู่ที่ใจ แล้วจะเอาผล ที่ไหนมาช่วยตน

ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ปากบอกทำใจได้ แต่ยังตัดบ้าน ตัดโลก พากายไปวัด ไม่ได้ ... หลอกได้แต่ตนเอง ตัวกระทำมันฟ้อง

ที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า วันหนึ่ง ที่อาจจะต้องทำเพื่อช่วยตน เมื่อกรรมสาหัสสากรรจ์มาถึง ต้องเอาธรรมมาช่วยตน ไม่เคยฝึก ไม่เคยทิ้งบ้าน ทิ้งโลก ก็เลยทำไม่ได้ อาทิ คนป่วยมะเร็ง จะไปบวชช่วยตน ก็บอกไม่ได้ ไม่มีเวลา ทิ้งบ้านไม่ได้ จะเอาแต่ยา เอาแบบที่ตนชอบ ไม่รู้เลย เราท่านไม่ได้สู้กับโรค หากแต่สู้กับกรรม คนทั้งหลายจึงพ่ายแพ้ ต่อให้หมอดี ยาดี ช่วยตนไม่ได้เลย

ศาสนาสอนให้เป็นปราชญ์ จึงไม่ให้ดำรงตนในความประมาท พระภูมีจึงทรงกำหนดให้มีวันพระ ทำกาย ทำวาจาไว้ก่อน เป็นทุน ส่วนใจนั้นค่อยๆตามมา อย่างน้อยก็มีรอย ที่มือและวาจาทำไว้ ตุนไว้ช่วยตน ถึงเวลากรรมมาหลบเข้าวัด ก็ทำได้

ฤาษี นั้นเป็นยอดนักสมาธิ หากแต่มีฤาษีที่ไหน รักษาโรคได้ ... จะมีก็แต่กรรมดี ที่ไม่เบียดเบียนไม่ทำร้ายใครเท่านั้นเอง แต่กรรมดี ชยะกรรมชั่ว ชนะโรคไม่ได้หนา

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เพื่อ??


แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้ว่า การมีกายเป็นมนุษย์ เพื่อสร้างกรรม การมีกายเป็นสัตว์ เพื่อใช้กรรม

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณาว่า ดังนั้น ในความเป็นจริง สัตว์ทั้งหลายจึงกลัวมนุษย์ เพราะกลัวนิสัยนั่นเอง การที่จะมีความคิด เจตนา ทำร้าย หรือฆ่ามนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลย

หากแต่มนุษย์ ที่โดนสัตว์ทำร้าย หรือฆ่า นั่นย่อมด้วยกรรมของมนุษย์เองต่างหาก ที่กรรมใช้สัตว์ทำให้เกิด

วาทกรรมของมนุษย์ ที่ว่าสัตว์ดุร้าย จึงเป็นมนุษย์สร้างขึ้น เพื่อมีข้ออ้างเท่านั้นเอง

หน้าที่ของสัตว์จึงมีเพื่อใช้กรรมให้ครบวาระ ถ้าตายก่อนก็ต้องเกิดใหม่มาใช้จนครบ

ด้วยความจริงนี้ มนุษย์ฆ่าสัตว์จึงบาป แต่สัตว์ฆ่ามนุษย์ไม่บาป เชื่อหรือไม่

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้โทษของความโกรธ ว่าทำให้เราทำบาปได้โดยง่ายดาย ยุงกัดเรา นั่นกรรมของเรา เราโกรธที่มันมากัดเราฆ่ามันตาย ฉีดยาให้มันตาย นั่นกรรมที่เราทำ จะอ้างว่าเพื่อไม่ให้มันกัด ไม่ได้เลย

แลที่สำคัญที่สุด การฆ่ามนุษย์ย่อมยิ่งบาปมหันต์ และยิ่งทวีคูณถ้าชีวิตนั้นเป็นของตน

อย่าคิดว่าตนของเราเป็นของเราเพียงผู้เดียว แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า กระดูกเป็นของพ่อ เลือดเนื้อเป็นของแม่ ไม่ใช่ลอยมา หรือออกจากกระบอกไม้ไผ่ การกระทำของเราจึงมีผลต่อผู้มีคุณทั้งสอง ถ้าทำดี ทำชั่ว ผลย่อมถึง จึงไม่แปลกทำไมศาสนาจึงมีคำว่า เกาะชายผ้าเหลือง การฆ่าตน จึงถูกทวีคูณด้วยการอกตัญญูคุณพ่อแม่นั่นเอง แลหากเอากายนี้ไปทำนิสัยธรรมสร้างบุญบารมี ก็ย่อมส่งผลต่อพ่อแม่ นั่นแลทำไมกระไดขั้นแรกของศาสนาจึงเริ่มที่กตัญญู เพราะทำแล้วมีผลต่อพ่อและแม่นั่นเอง ยิ่งทำมาก ยิ่งมีธรรมมาก ยิ่งได้ชื่อว่ากตัญญู ยิ่งกว่าเลี้ยงบิดามารดาเสียอีก เพราะนั่นให้สุขสังขาร แต่บุญที่เราท่านทำได้ ให้สุขถึงวิญญาณอยู่ที่ไหนก็ยังคงได้นั่นเอง

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สุขที่แท้


หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา ว่าสุขที่แท้จริงของมนุษย์ นั้นอยู่ตรงไหน

ถ้าจะพิจารณาสุขของมนุษย์ คงยากยิ่ง เพราะมีมากมาย จนงง ด้วยความอยากมีมากมายนั่นเอง ต่างไปคนละแบบ ดังนั้นท่านจึงชี้ว่าให้พิจารณาสัตว์ ที่ซึ่งความอยากมากหลายจะหายไป เหลือเพียงแต่อยากกิน แลอยากนอน เท่านั้นเอง

นี่แหละ คือ พื้นฐานความสุขของวิญญาณ อันได้แก่ กินเป็นสุข นอนเป็นสุข มีเท่านี้เอง

ดังนั้น ทุกข์ที่พึงมี คือโรคาพยาธิ มาเบียดเบียน ให้กินไม่สุข นอนไม่สุข จึงเป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ การไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ

แปลความว่า ถ้าจะหาสุข ก็คงเพียงแค่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อาศัยนอน เหมาะกับตนก็พอแล้ว ส่วนที่แสวงหากันมากมายเกินตัว จึงง่ายที่จะตกไปในร่อง ที่ท่านอาสิชี้ คือเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป กลายเป็นกรรม

คำสอนที่แม่ชีเมี้ยนเคยให้พระ ท่านชี้ว่า แม้จะกางมุ้งนอน ผัวเมียก็ควรกางคนละสองหู จะได้ไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน

บทสรุป ทำไมศาสนาจึงต้องมีวันพระ เพราะความอยาก ความไม่รู้ ทำให้เราก่อกรรมก่อเวร แม้แต่ในอาชีพ ท่านก็ว่ามีบาปทุกอาชีพ ทำมาหกวัน ก็ใช้วันหนึ่งไปสร้างกุศลผลบุญ ใช้เจ้ากรรมนายเวร เหลือก็เก็บไว้ภายภาคหน้า ไปทำนิสัยของพระภูมีให้ยิ่งขึ้นไป จะได้มีนิสัยสร้างกรรมน้อยลง เวลาใช้ก็ไม่ต้องลำบากมาก ไม่ทุกข์มาก

แต่วันนี้ของคนทั้งหลาย บอกอยากสุข มีแต่วันสร้างทุกข์ ไม่มีวันใช้ มีแต่สั่งสมนิสัยสร้างกรรมที่ง่ายขึ้นใหญ่ขึ้น ไม่มีการฝึกให้ลดน้อยถอยลง เอานิสัยพระภูมีมานำตน สุขที่หวังจึงมีแต่ลม ขอพรสักฉันใดไม่มีผล

พิจารณาน่ะ วันพระมีไว้ทำไม ฤาจบแค่ควักเงิน ซื้อของใส่บาตร จะสู้กับกรรมเวรวิธีนี้ ถ้าได้ เจ้าชายไม่ต้องออกจากวัง มาเป็นพระโคดมหรอก

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561

จบจริงหรือ


หลายคนมักกล่าวว่า ตายไปก็จบ สิ้นเวรสิ้นกรรม ไปสบายแล้ว

หลายคนก็ภาวนา ให้คนตายไปสู่สุขคติ ได้อยู่สวรรค์ชั้นฟ้า

หากแต่พระภูมี ชี้ให้พิจารณาว่า ตราบใดที่ยังไม่หมดนิสัย หมดกิเลส นั่นคือสร้างกรรมในวันนี้อยู่ ก็คือสร้างตัวเกิดรอเราอยู่วันข้างหน้า เมื่อตายก็ต้องไปเกิด ตามตัวกระทำของตน

แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสชี้ว่า ทำดีก็เกิดเป็นมนุษย์อีก ทำชั่วก็เกิดเป็นสัตว์

แปลความว่า สัตว์ทั้งหลายก็คือมนุษย์นั่นแหละ เชื่อหรือไม่ ไม่ต้องสอนภาษามนุษย์หรอก เพราะเขารู้แต่พูดไม่ได้เท่านั้นเอง

ท่านจึงสอนขันติสงฆ์เสมอว่า อย่าเมตตาแต่มนุษย์ ควรเมตตาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายถ้าทำได้

หลวงพ่อนิพนธ์เล่าครั้งอดีต ก่อนจะมาเป็นถ้ำกระบอก แม่ชีเมี้ยนให้พระไปพักที่วัดคลองเม่า ก่อนปี 2500 แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการทำบางสิ่ง เพื่อแลกเปลี่ยน เป็นข้อตกลงกับเจ้าอาวาส นั่นคือ ต้องหาเงินเพื่อสร้างพระประธานให้แก่วัด

แม่ชีเมี้ยนจึงออกบิณฑบาตที่สวนพลู เขตสาทร เมื่อถึงบ้านหนึ่ง ทรงตรัสกับเจ้าของบ้านว่า แมวที่เกิดใหม่ ควรเลี้ยงดูให้ดี นั่นคือแม่ของคุณกลับมาเกิด เป็นจุดเริ่มของคำเล่าลือ จนโจษจันไปทั่ว ทำให้มีผู้บริจาคทองเหลืองให้มากมายจนสามารถสร้างพระประธานได้สำเร็จ

เราเคยถามหลวงพ่อนิพนธ์เมื่อหลายคนบอกว่า ท่านหลงใหลสัตว์ เอามาเลี้ยงมากมาย ท่านอธิบายว่า หนึ่งอาจเป็นบุพการีของเรามาเกิด หนึ่งคือผู้คล้องกรรม ทั้งของเราและคนในหมู่เรา ที่เลี้ยงเพราะจะได้อยู่ไม่ลำบากจนเกินไป มีที่กิน มีที่อยู่ปลอดภัย จนครบอายุขัย หากไม่ถูกคนฆ่าหรือจับกิน ก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์จนครบกำหนด แลที่ลำบากที่สุดก็ตอนเล็กๆ ต้องหนีการถูกไล่ล่าถูกกิน นี่แลเราจึงเห็นท่านเลี้ยงสัตว์มากมายแลกล่าวเสมอ เลี้ยงแล้วหมดตัวเจ๊งเป็นไปไม่ได้

ท่านทั้งหลายจึงเห็นกรงสัตว์ เห็นบ่อปลา เสียดายคนทั้งหลายไม่รู้ ไม่สน กลับบอกเป็นเรื่องสิ้นเปลือง

บทสรุป ตราบใดยังมีกิเลส ก็ยังต้องเกิด ยังต้องเจ็บ ไม่เชื่อหรือ วันหนึ่งเดินไป โดนหมาเห่า นั่นพ่อแม่เราเห็นเรา จึงเรียกเรา เราไม่รู้ก็ไล่ตี ไล่เตะ ไม่เห็นหรือทำไมสัตว์ที่เราท่านเลี้ยง รักเราคลอเคลียเรา เขาเป็นใคร

วันนี้ของประเทศไทยกำลังกำจัดนกพิราบ ... กำลังกำจัดสุนัข ... ไม่แปลกเพราะเขาไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อว่านั่นคือมนุษย์ เฉกเช่นคนทั้งหลายไม่เชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ จึงไม่มีใครเลี้ยงปลาในสระ ให้มีชีวิตอยู่จนครบอายุขัยไม่หิวโหย เพื่อจะกลับเป็นมนุษย์ใหม่ แล้วฝันว่า คนที่เขารัก อยู่บนสวรรค์ ทั้งๆที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่เอง กลับไม่สน ไม่เมตตา

หากยังมีนิสัยมนุษย์ นิสัยกรรม ไม่มีหรอกตายไปอยู่สวรรค์ เพ้อฝัน ตายแล้วต้องเกิด นี่แลเรื่องจริง จะเป็นคนหรือสัตว์เท่านั้นเอง ตามแต่สิ่งที่ได้ทำมา

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44