ความแตกต่างของคำว่าขั้นสุดท้าย ของหมอ กับหลวงพ่อนิพนธ์ นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หมอวินัจฉัย หมายถึงอาการที่ปรากฎมันหนักเกินกว่าหมอจะช่วยได้ จึงเรียกว่า ขั้นสุดท้าย
หลวงพ่อนิพนธ์ วินิจฉัย หมายถึง คนที่พรหมลิขิตมาถึงแล้ว นั่นจึงเป็นขั้นสุดท้าย
ดังนั้นหลักของสมุนไพร ตราบใดที่ยังไม่ครบพรหมลิขิต นั่นคือวันเวลา นั่นคือโอกาส
ดังนั้นโรคที่เรียกว่าโรคทรมาน คนกลุ่มนี้มักมีพรหมลิขิตอีกยาว เพราะโดยลักษณะต้องทรมานกับโรคอีกนาน อาทิเช่น อัมพฤกต์ อัมพาต คนกลุ่มนี้จึงไม่ค่อยน่าห่วง เพราะมีเวลาให้ฟื้นฟู ถึงไม่หายขาด อย่างน้อยก็กลับมาช่วยตนเองได้
คนที่ถึงพรหมลิขิต จึงไม่ขึ้นกับอายุ ว่ามากน้อย การทำให้จากไปโดยไม่ทรมานก็ถือว่าประสพผลแล้ว
สำหรับอาการหนักหรือไม่หนักของหลวงพ่อนิพนธ์ ไม่ได้ดูตามอาการที่ปรากฎ หากแต่เป็นผลตอบรับของร่างกายที่มีต่อสมุนไพรต่างหากเป็นเครื่องชี้
ตัวอย่างที่เด่นชัด อาทิโรเบิร์ต ที่เป็นมะเร็ง หมอบอกอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ผ่าตัดหลายครั้งจนหมอบอกว่า ไม่สามารถผ่าได้อีกแล้ว และยาแก้ปวดใดๆ ก็ใช้ไม่ได้แล้ว ต้องพึ่งมอร์ฟีนน้ำเพียงอย่างเดียว ในการระงับอาการปวด
แต่ผลตอบรับของร่างกายเขาที่มีต่อสมุนไพรนั้นดีมาก ทำให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูได้ในระยะเวลาอันสั้น
หากแต่บางคน อาการที่ปรากฎก็ยังไม่ร้ายแรง แต่ร่างกายไม่รับสมุนไพรเลย นี่แหละน่าห่วง อาทิเช่น คนไข้หญิงท่านหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งตับ ระยะแรกๆ มุ่งหวังที่จะทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ไม่ทำกิจกรรมใดๆ เลย แม้เธอจะทานสมุนไพรได้ง่าย และมาก เพราะมีญาติเป็นกรรมการ แต่ร่างกายเธอก็ไม่ตอบรับสมุนไพร ในไม่นาน ก็เริ่มอาการท้องโต และเสียไปด้วยวัยไม่ถึง ๕๐ นั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผลสำเร็จขึ้นอยู่กับตัวผู้ทาน ว่ามีพฤติกรรม และความเชื่ออย่างไร เป็นตัวแปรที่สำคัญ อาการที่ปรากฎหนักเบาไม่ใช่ปัจจัยหลัก
เราจึงมักได้ยินว่า มีผู้ป่วยที่นอนห้อง ไอซียู รอวัน หลายต่อหลายราย ที่เมื่อญาตินำยาเขียวไปลองให้ทาน ก็กลับฟื้นลุกออกจากห้องไอซียูมาได้ จนหมองง อย่างมากมาย
ส่วนความเห็นเรา อาการหนัก ก็คือคนไข้ประเภทที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า "ผู้ดีตีนแดง" นั่นเอง ไม่ยอมทน ไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตนเลย อันนี้แหละ อาการหนักจริง เพราะสมุนไพรเขามีวิญญาณรับรู้ได้
ตราบใดยังไม่ถึงวันของพรหมลิขิต ทุกคนจึงยังมีโอกาสทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนได้ทุกตัวคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น