ท่านจึงมักสอนพระว่า เมื่อทำก็ควรใส่เจตสิกลงไปด้วย อันหมายถึงเจตนาในการทำ และพฤติกรรมขณะทำนั่นเอง
ดังนั้น ภาพในอดีตที่มักเห็นเวลาพระทำสมุนไพรมะพร้าว นั่นคือ การสวดมนต์ไปพร้อมกับตำยา และการพิจารณาผลของการตำยาอย่างพิถีพิถัน ว่าเนื้อยาละเอียดเข้ากันดีหรือยัง หากยังมีเส้นของขิง หรือเป็นเม็ดก็แสดงว่ายังใช้ไม่ได้
ด้านคนทาน ท่านก็จะสอนว่า ก็ให้ตั้งเจตนา ขอให้สมุนไพร ปรุงแต่งธาตุทั้งสี่ ให้สมดุลย์ เพื่อนำกำลังไปทำความดี ตามพุทธศาสนา
ต่างฝ่ายต่างยื่นมือ มาตบกัน เสียงจึงเกิด
หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด บิดเบี้ยว ทำให้มือทั้งสองไม่โดนกัน เสียงก็ไม่พึงบังเกิด
จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมพระ ๗ สำนัก ที่แตกออกไป ทำสมุนไพรไม่ได้ผล ก็เพราะผิดเจตนา คนที่ทาน แล้วไม่ได้ผล ก็เพราะไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัย เอากำลังที่ได้มาทำความดี ตามพระพุทธศาสนา นั่นเอง
เสียงจะดังกังวาน ก็ด้วยมือทั้งสองร่วมกัน
ผลของสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงคาดคะเนได้ จากมือทั้งสองนี้เอง
มันจึงเป็นเรื่องที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การทานสมุนไพรแล้วเอาผล ก็ต้องเปลี่ยนนิสัยด้วย ...
แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสสอนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไม่ต้องกลัวหรอก ที่จะมีใครทำแข่ง และไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแอบกินลักกิน และก็ทำใจว่า คนที่ประสพผลคงมีไม่มาก เพราะสมุนไพรเขามีวิญญาณ รับรู้ ทั้งคนทำ และคนกิน