หลายต่อหลายคน ห่วงและอยากรู้ ในเรื่องของตนที่เป็นอยู่ และสงสัยว่า ทำไมหรือส่วนใหญ่ หลวงพ่อนิพนธ์ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของโรคและสมุนไพรเลย
คำถามที่ได้ยินคนไข้มักจะถามวิทยากร หรือเจ้าหน้าที่บ่อยๆ จึงมักเป็น สมุนไพรตัวนี้แก้โรคอะไร
ก็ด้วยเหตุที่พระภูมีตรัสรู้ และสอนถึงที่มาของโรค เกิดจาก "กรรม"
และชี้ให้เห็นว่า เมื่อเป็นมนุษย์ ทำได้แค่สองอย่าง นั่นคือ "บาป และ บุญ"
เมื่อโรคเป็นปลายเหตุ ดั่งเช่นตะกอนปากแม่น้ำ จะตักหรือทำสักฉันใดก็ไม่มีวันหมด หากไม่กำจัดตะกอนที่พัดมาจากต้นน้ำแล้วนั่นเอง
การพูดถึงโรคจึงไม่สามารถแก้เชือกที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงนี้ได้ เพราะแก้ตรงนี้ตรงนั้นโผล่
จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ และแก้ที่ต้นเหตุ เพื่อจบปัญหาในคราวเดียวอันเป็นการแก้ที่เบ็ดเสร็จ
เราท่านจึงต้องมาเรียนรู้ว่า หนทางบุญที่แท้จริงพระภูมีสอนว่าอย่างไร เพราะหนทางบุญที่เรารู้และทำอยู่ มันเป็นความรู้ที่ผิด ผลผิดมันจึงปรากฎ และไม่สามารถช่วยอะไรตัวของเราท่านได้เลยนั่นเอง
เราท่านจึงต้องมาฟัง และเริ่มเรียนตั้งแต่หนึ่งใหม่ เรียนรู้เขา คือ กรรม ว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเราที่แท้จริง และมีลักษณะเช่นไร และเรียนรู้ธรรม และนำมาปฏิบัติใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กับกรรมนั้น
เรื่องโรค จึงปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะเมื่อกินข้าว นานวันก็ต้องโต เฉกเช่นกัน เมื่อกินสมุนไพร เมื่อถึงเวลาก็ต้องออกผล หากแต่ต้นกำเนิดที่เราก่อเป็นบุปบาป คือ นิสัย อันนี้แหละต้องควรใส่ใจ
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน จึงเน้นว่า นิสัยใด เป็นบาป นิสัยใดที่เป็นบาปหนักทำไม่ได้เลย นิสัยใดเป็นบุญ
การยกพงศาวดาร เล่าเรื่องคนไข้ และอี่นๆ เพื่อชี้ให้เห็นในสิ่งเหล่านี้ อันก่อให้เกิดศรัทธา และความเชื่อมั่น เป็นเหตุเป็นผล
เพื่อสิ่งเดียว คือ ความขันติ และอดทน ในการปฏิบัตินิสัยใหม่ อันเป็นนิสัยบุญ โดยอาศัยธรรมของพระภูมีเป็นอำนาจนั่นเอง
การเรียนรู้เรื่องโรค จึงมีคำพูดว่า เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน เพราะทุกย่างก้าวของการเริ่ม จนเป็นโรค และทุกย่างก้าวของการหาย และกลายเป็นคนไม่มีโรค มีคนเดียวที่รู้คือตัวเราท่านผู้เป็นเท่านั้นเอง
ต่างคนต่างกรรมต่างวาระ รายละเอียดของโรคจึงไม่เหมือนกัน แม้เป็นโรคเดียวกัน ก็เอาเป็นมาตรฐานไม่ได้ การพูดถึงรายละเอียดเหล่านี้จึงเสียเวลาเปล่า
หากแต่กระบวนการที่ใช้ในการหายโรค นั่นคือ พฤติกรรม ความคิด และนิสัยที่พึงมี พึงทำ และใช้จนหายโรคนี้ต่างหาก ที่มีรูปแบบที่แน่นอน และเหมือนกัน
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสเปรียบเทียบให้ฟังว่า "ศาสนาอุปมาเหมือนไม้ไผ่ลำเดียว"
อันหมายถึง ผู้ที่จะประสพผลสำเร็จ จะเดินรอยอื่นไม่ได้เลย นอกจากรอยของพระภูมีที่ทำไว้นั่นเอง
การเรียนรู้ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน จึงชี้ให้เห็น อธิบายให้รู้ ว่ารอยนี้เป็นอย่างไร ทำอย่างไร เพื่อให้ปฏิบัติช่วยตนได้อย่างถูกต้อง
ส่วนเรื่องโรค เป็นปลายเหตุ อาการเกิดมันก็ต้องยอมรับ และใช้ อาศัยความขันติ และอดทน ด้วยความรู้ที่มี และเชื่อมั่นได้ว่า "เมื่อใช้ย่อมมีวันหมด"
นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวกับโรเบิร์ต ผู้ซึ่งหมอวินิจฉัยว่า นับวันถอยหลัง อยู่ได้ไม่เกินสามเดือนอย่างแน่นอน เพราะมะเร็งมันกระจายไปทั่วแล้วว่า "ทำตนเป็นพญาน้อยชมตลาด ยามปกติทำอะไร ก็ทำอย่างนั้น ไม่ต้องสนใจ และหมกหมุ่นคิดว่า เราเป็นโน่นเป็นนี่"
เมื่อเราเลือกเดินทางนี้ อย่างแรกคือ เรียนรู้วิธีการทานสมุนไพรที่ถูกต้อง และเรียนรู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อนำไปช่วยตน เป็นสำคัญ
ยกเว้นในกรณีช่วงวิกฤตเท่านั้น คือ เป็นตายได้ทุกขณะ ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์มักจะแนะนำว่าให้มาพักที่ชมรม สักช่วงระยะหนึ่ง เมื่อพ้นระยะนี้แล้ว ก็ดำเนินไปตามครรลอง รอวันเวลาของการออกผลเท่านั้นเอง
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์มักพูดเสมอ คือ ยืนระยะ ในการทาน และปฏิบัติธรรมคำสอนที่ถูกต้องของพระภูมี ผู้ใดทำได้ ก็รับรองได้ว่าผลย่อมเกิดอย่างแน่นอน