ในอดีต เราปล่อยตัวไปตาม "กรรมลิขิต" ก็ไม่เคยมีอะไรที่เรียกได้ว่า ฝืนความรู้สึกเลย เพราะเป็นไปตามนิสัยความชอบของเราท่านทั้งหมด ทั้งมวล
อยู่มาวันหนึ่ง ได้รับความรู้ของพระภูมี ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ จึงได้รู้ว่า สิ่งที่เราทำในอดีต เดินตามกรรมลิขิต ทำให้เราท่านในวันนี้ ทุกข์มันเกาะกินตนแล้ว
เมื่อเราท่านพิจาารณา เหตุและผล แล้วเชื่อในคำสอนของพระภูมี ก็ตัดสินใจ ประกาศตนว่า จะไม่เดินตามกรรมลิขิต จะขอใช้ "ธรรมลิขิต"
แค่นั้นแหละ ชีวิตเปลี่ยน เพราะสิ่งที่จะต้องทำ ต้องเดิน หลังจากวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่เคย นั่นคือ ต้องฝืนนิสัยเดิม ก็พอทน แต่สิ่งที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือ ต้องเผชิญเหตุให้ได้ผล
ไหนจะเหตุจากความคิด ที่ตีกันเอง จากเสียงมากมายที่เข้ามา หลวงพ่อนิพนธ์ยกมาให้ฟัง อาทิเช่น เสียงหมอ ที่มีน้ำหนัก และความเชื่อดั่งเดิม อันมหาศาล เสียงของคนรอบข้าง ของสังคม นั่นก็ว่าใหญ่แล้ว แต่ที่ใหญ่กว่าใหญ่อีก นั่นคือ เหตุที่จะมากระทบกระทั่ง โดยอาศัยอะไรก็ได้เป็นเหตุ ให้เกิดเห็นผิด เบื่อหน่าย แล้วทิ้งความคิดที่จะใช้ "ธรรมลิขิต" นั้นเสีย
เราท่าน จึงต้องพบเหตุ จากเจ้าหน้าที่ จากรสชาดของสมุนไพร จากการต้องใช้ขันติอดทน ทำในสิ่งที่อาจจะถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ รวมไปถึง อดทนกับอาการที่จะพึงเกิด ในขั้นตอนสุดท้ายของสมุนไพร ก่อนจะหายขาด นั่นคือ "การลงแดง"
ความลำบากกับเหตุเหล่านี้ ก็จะมลายไปทันที ที่เราท่านละทิ้ง คำประกาศตน กลับไปใช้กรรมลิขิตเช่นเดิม
และสิ่งที่กลับมาเช่นกัน นั่นก็คือ สภาพชีวิตเช่นเดิม ที่ต้องผจญกับโรคภัย และดำรงอยู่ด้วยเคมีลิขิต แล้วตายไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ถ้าคิดจะประกาศตน ว่าเราท่านจะใช้ "ธรรมลิขิต" ก็หมายถึง การยอมรับที่จะต้องเผชิญเหตุนั่นเอง หากแต่จะเดินทางนี้โดยปฏิเสธเหตุ อันเป็นผลจากการทำของเราท่านในอดีต ย่อมเป็นไปไม่ได้ ปฏิเสธเหตุ ก็ไม่มีผล
แม่ชีเมี้ยนจึงมักให้สติสงฆ์ว่า "ทำอนาคตให้ดี ใช้อดีตให้หมดไป" นั่นคือสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า เมื่อยอมใช้ย่อมมีวันหมด และสิ่งที่คนไม่ยอมใช้ไม่รู้ นั่นคือ "กรรมมันมีดอกเบี้ย" เชื่อหรือไม่