หนึ่งในลูกศิษย์คนสนิท นั่นคือ ท่านเฉลียว มหาคุณ ซึ่งมีความคิดว่า อยากให้หลวงพ่อนิพนธ์และแม่ชีเมี้ยน ออกจากถ้ำกระบอกแล้วไปตั้งสำนักของตนเองขึ้นมาใหม่
ท่านเฉลียว จึงได้หอบเงินห้าแสน มาถวายหลวงพ่อนิพนธ์เพื่อการนี้
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "โยมจะมาทำลายพระกระนั้นหรือ" เพราะเงินเป็นสิ่งที่ก่อให้พระสามารถสนองกิเลสที่ตนมี หากเชื่อกันก็ขอให้นำกลับไป
ท่านเฉลี่ยว จึงกล่าวว่า ถ้ายังงั้นเงินจำนวนนี้จะนำไปฝากธนาคาร หากวันใดหลวงพ่อนิพนธ์ต้องการใช้ จะสั่งลูกหลานเอาไว้เพื่อเบิกมาให้
เพราะเงินนี่เองที่เป็นเครื่องมือ ทำให้กิเลสที่มีอยู่ สามารถบรรลุผล หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ถ้าพระคิดถึงโยมพ่อ โยมแม่ หากแต่อยู่ห่างกันร้อยกิโล มีเงินก็ขึ้นรถไปหา หากไม่มีเงินแล้วบอกว่า คิดถึงก็เดินไป แค่คิดว่าต้องเดินไปกลับสองร้อยกิโล กิเลสก็วิ่งป่าราบแล้ว
ข้อห้าม หรือ คำมั่นสัญญา ในการจะไม่นำสมุนไพรไปขาย จึงมีความสำคัญต่อคุณค่าสมุนไพรอย่างที่สุด
วันนี้ มีคนไข้จากสระแก้ว ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย หมอกล่าวแก่คนไข้และภรรยาว่า คงอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน หรืออย่างมากก็ไม่เกินห้าเดือน
คนไข้ท่านนี้ได้ข่าว ก็มาทานสมุนไพรที่ชมรมคนรักสุขภาพ จนปัจจุบัน ผ่านไปได้ปีกว่า สุขภาพแข็งแรงขึ้นจนทุกสัปดาห์นี้ สามารถขับรถมาเองได้
หากแต่ข่าวร้ายที่มาเยือนซ้ำ นั่นคือ ผลการตรวจของภรรยา ปรากฎว่าเป็นมะเร็งมดลูก
ด้วยความที่ประกอบธุรกิจ จึงไม่สามารถมาพร้อมกันทั้งสองคนได้
สามี จึงเดินทางมาคนเดียว และขอสมุนไพรไปให้ภรรยาทาน
จากผลที่ตัวเองได้รับ ก็อยากสนับสนุนกิจกรรมของชมรม จะซื้อสมุนไพร ตอนนี้หลวงพ่อนิพนธ์ก็ปิด จะบริจาคก็ทำไม่ได้
หากแต่เมื่อมีคนบอกว่า กำลังหาคนร่วมสมทบซื้อมะพร้าว
ด้วยความที่มีใจอยากช่วย จึงสมทบเงินไป จำนวน 500 ลูก
เขาทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การทำเช่นนั้นไม่ถูกต้อง เพราะคนที่ไปบอกแก่เขา เมื่อเขารับเงินไป ก็ไม่รู้ได้ว่าไปทำจริงหรือไม่
ถึงจะทำจริง ก็ไม่ถูกต้องตามครรลอง เพราะการจะทำใดๆ ท่านต้องเป็นผู้อนุญาต
การทำของคนไข้ท่านนี้ เริ่มจากความคิดที่ดี หากแต่การกระทำของเขาผิดมหันต์
สถานที่นี้มีคนหลายจำพวก เข้ามาด้วยความคิดต่างๆ กัน ซึ่งคงห้ามไม่ได้ บางคนอาจแฝงเข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์
การกระทำดังกล่าว จึงกลายเป็นช่องโหว่ ให้คนไม่ดีเหล่านี้ และในท้ายที่สุด ก็จะกลายเป็น การซื้อขายสมุนไพรในที่สุด
ผลที่ได้ กลายเป็นผู้ทำ เข้าข่ายเป็นผู้ทำลายสมุนไพร และผลจะย้อนทำให้สภาพของตัวเองและภรรยาแย่ลง กว่าจะรู้ว่าทำผิด ก็แก้ไขไม่ทันแล้ว
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะเตือนอยู่เสมอ ว่า ในสถานที่นี้ สงสัยอะไรให้ถาม สิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้ เมื่อไม่รู้จริง ควรถามให้แน่ใจ อย่าคิดว่าเราทำแล้ว แล้วต้องได้ โดยไม่ดูรายละเอียด หรือผลของการทำเลย
อุปมา เราไปใส่บาตรให้แก่พระที่มีข้าวจนล้น แล้วรอผล หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แล้วเราจะเอาผลได้อย่างไร เพราะข้าวของเราเขาปล่อยทิ้งจนเสียก็ยังไม่ถึงคิวฉันเลย เพราะเขามีจนล้น
ส่วนผู้ทำก็บอกว่าทำแล้ว แล้วรอผล รอสักฉันใดก็ไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำแล้วทำไมจึงช่วยตนของเราไม่ได้เลย
เรื่องของทางโลก ทุกท่านอาจจะเชี่ยวชาญ ช่ำชอง หากแต่เรื่องของศาสนาที่แท้จริงนั้น เราท่านยังเสมือนทารก จึงเป็นเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์บังคับให้มาฟัง เพื่อไปพิจารณา แล้วจึงนำไปปฏิบัติให้เกิดผลแก่ตนนั่นเอง