เมื่อความเข้มข้นในการรักษามากขึ้น นั่นคือการเน้นพฤติกรรมของผู้ทาน ให้อยู่ในครรลองของพระภูมี เพื่อให้การทานสมุนไพรบรรลุผล ดั่งที่ต้องการ
ช่วงนี้ เราจึงเห็นหลวงพ่อนิพนธ์ให้ความสำคัญ ในการเข้าสวดมนต์ และการสงบนิ่ง ในการร่วมกิจกรรมนี้ ไม่ว่า คนไข้ทั่วไป หรือแม้กระทั่งกรรมการ
เราจึงนึกย้อนไปถึงคำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่เคยตรัสสอนไว้ว่า "เมื่อพบศาสนา ต้องลดกิริยา"
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การทานสมุนไพรให้ประสพผล นั่นคือการเปลี่ยนโรค จะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบกับการเปลี่ยนนิสัยด้วย
การกระทำใดขาดสติย่อมหวังผลได้ยาก
แม้แต่แม่ค้าหั่นผัก เพื่อทำอาหาร ยังต้องใช้สติไม่ให้บาดมือ ผักไม่เล็กไม่ใหญ่ และมีรูปร่างน่าทาน
หากแต่เมื่อเข้ามาทำกิจกรรมของชีวิต กลับไม่มีสติที่จะควบคุมนิสัยพฤติกรรม ปล่อยตามใจ ก็คงหวังผลอันใดไม่ได้เช่นกัน
พิจารณาแล้ว เรื่องของอาชีพยังมีสติในการทำมากกว่า เรื่องของชีวิต ผลที่ควรได้เพื่อใช้ไปกอบกู้ชีวิตจึงไม่มี การมาก็กลายเป็นเสียเวลาเปล่า
อย่าสร้างวิมาน โดยการฟังเขาเล่าว่า สมุนไพรดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แล้วเหมาเอา โดยไม่ศึกษารายละเอียด และทำให้ถูกต้อง
ดูหนัง ดูละคร ตาสว่าง เพราะกรรมมันส่งเสริม
แต่ยามเรามากอบกู้ชีวิต เริ่มนั่ง ก็เริ่มง่วง เริ่มคุย และเริ่มหลับ รอแต่เมื่อไหร่จะจบว่า เบื่อเต็มที
จึงต้องใช้สติ และเหตุผล เพื่อบังคับฝืนนิสัย และลดกิริยา กระตุ้นตัวเอง ให้ฟังเหตุและผล เอาไปพิจารณาเพื่อช่วยตน
เมื่อตกม้าตายตั้งแต่เริ่ม ผลสุดท้ายย่อมคาดคะเนได้ไม่ยาก
ไม่ต้องเรียนวิชาหมอดูก็ทายได้เลยว่า ยามที่เราเข้าห้องสวดมนต์แล้วมองดู หากเห็นคนที่ปล่อยตัวไปตามใจตน ทำตามนิสัยตนมากเท่าใด ก็หมายความว่า ผู้ประสพผลคงมีไม่มากอย่างแน่นอน
หากแต่ถ้าภาพของคนร้อยคนพัน ที่มารวมกันในศาลาแม่ชีเมี้ยน แต่ทำตนประดุจคนๆ เดียว นั่งสงบนิ่ง นั่นก็หมายความว่า คนร้อยคนพันนั้นเข้าใจ และเดินทางบนเส้นทางที่แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า "ศาสนาอุปมาเหมือนไม้ไผ่ลำเดียว" ย่อมประสพผลเหมือนกันทุกตัวคน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้นึกภาพ สาวกของพระภูมี ที่มารวมตัวกัน ฟังพระพุทธเจ้า ทรงสอน เสียงที่บังเกิดมีเพียงเสียงเดียว คือ เสียงของพระภูมี และสงฆ์สาวกที่นั่งกันมากมาย ทำตนสงบ นิ่ง และตั้งสติฟังคำสอน เงียบเหมือนพระภูมีพูดอยู่คนเดียว หามีสาวกนับร้อย นับพัน นั่งฟังอยู่ไม่
ก็หลักพระภูมีเขาเอา คนทำได้
คำตอบที่คนป่วยมักถามว่า รักษาได้ไหม จะหายไหม จึงปรากฎให้เห็นคำตอบอย่างเด่นชัด
เสียงคุยยิ่งดังมาก อาการหลุกหลิก ยิ่งเห็นเยอะ ก็อย่าไปหวังผล
หากภาพความเงียบสงบ ต่างคนต่างตั้งสติ ควบคุมลดกิริยาของตน และคอยฟังเหตุและผล เพื่อไปพิจารณาและปฏิบัติ เกิดขึ้นวันใด ผลของความสำเร็จของผู้มาย่อมมหาศาล
ก็เพราะหยุดกายมันง่ายที่สุด เป็นบทเริ่มต้นของการทำวินัยของพระภูมี หากยังทำไม่ได้ ก็คงยากที่จะไปทำใจให้ไปช่วยผู้อื่นอย่างแน่นอน
หลวงพ่อนิพนธ์มักให้สติว่า หากเสียงที่เราคุยนั้น ทำให้คนที่จะฟังแล้วรอดด้วยคำนี้ ประโยคนี้ แต่เขากลับไม่ได้ยิน ผลคือคนๆ นั้นตาย แล้วคนที่คุยจะปฏิเสธความรับผิดได้อย่างไร
ไม่ทำเพื่อช่วยตนก็แย่แล้ว แต่ยังทำกรรม "ฆ่าคนตายโดยเจตนา" เพิ่มอีก จะปฏิเสธก็คงหนีไม่พ้น
ก็ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่า ห้องสวดมนต์เขามีไว้ให้มาฟัง เพื่อนำไปช่วยตนให้รอด .... จะบอกไม่รู้ ไม่ได้ทำ ไม่ได้เจตนา สักฉันใด ก็คงฟังไม่ขึ้น