หลังจากเกิดโรคไต เมื่อทานยาเคมีไปสักพัก หมอก็จะเริ่มให้ฟอก ครั้นฟอกไปสักพัก หมอก็จะบอกว่าไตวาย ให้เปลี่ยนไต
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ให้เห็นคือ กระบวนการให้โอกาสร่างกายได้ฟื้นตัว
ด้วยความโลภ ทำให้เมื่อเกิดอาการ ซึ่งอาจเกิดขึ้นชั่วขณะ เพราะร่างกายกำลังทำงานเพื่อแก้ไข เช่น ความดันขึ้น หรือไขมันในเลือดเพิ่มสูงกว่าปกติ ไตอักเสบนิดหน่อย ก็จะถูกสั่งให้ใช้เคมีทันที ไม่ให้โอกาสร่างกายต่อสู้เลย
ผลที่ตามมา ก็เลยกลายเป็นว่า จากที่ควรจะเป็นอาการชั่วคราวแล้วหายไป กลับกลายเป็นอาการถาวรไปเลย
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้เน้นย้ำก็คือ การวินิจฉัยที่ผิดพลาด พูดเกินจริง เน้นให้เกิดความกลัว ด้วยสร้างภาวะกังวลทางจิตว่า อาการที่เกิด อาจทำให้ตายได้
ตัวอย่างก็อาทิเช่น ลูกชายของ พ.อ.ณรงค์ กิติขจร ที่ถูกพามาด้วยสภาพตัวบวม และรายงานทางการแพทย์ว่า สภาพไตเหลือไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถฟอกไตได้แล้ว ต้องเปลี่ยนอย่างเดียว
ก็ถ้าไตวาย หรือตายไปจริงแล้ว ของที่ตายแล้วก็ต้องเน่าเสีย จะคงอยู่ในร่างกายได้อย่างไร
ความเป็นจริงคือ ไตนั้นถูกสารเคมีน็อคจนสลบไป ไม่สามารถทำงานได้ต่างหาก
ดังนั้น เมื่อทานสมุนไพร แล้วร่างกายมีอาการตอบรับ ก็จะฟื้นฟูไตที่สลบอยู่ให้กลับมาทำงานได้
หมายความว่า เมื่อเราเริ่มทานสมุนไพรไปได้ระยะหนึ่ง เราต้องให้โอกาสร่างกายได้ทำงาน นั่นคือ ให้ลองยืดระยะเวลาในการฟอกไตออกไป เช่น เดิมฟอกทุกสองวัน ก็ลองดูว่า สามวันไหวไหม มีอาการบวมไหม ถ้าไม่มี ก็สี่วัน ห้าวัน หากผ่านไปเป็นสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ แล้ว ยังไม่มีอาการของการบวมน้ำ ก็แสดงว่าร่างกายเราทำงานช่วยตัวเองได้แล้ว ก็หยุดการฟอกไตได้
การทำเช่นนี้ใช้ได้กับยาเคมีทั่วไปด้วย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ต้องพยายามลดการพึ่งพาสิ่งอื่น และให้ร่างกายของตัวเองทำงาน
ในกรณีของลูกชาย พ.อ. ณรงค์ ท่านจึงบอกว่า ในระยะแรก หากถึงวันนัดฟอกไต ก็ไปฟอกก่อน หลังจากนั้น ก็ให้ยืดระยะให้นานที่สุด จากสองวันครั้ง กลายเป็นว่า ฟอกครั้งแรก ก็ยืดได้เป็นอาทิตย์ ครั้งที่สอง ก็สามารถหยุดฟอกได้
ผ่านไปสามเดือน สภาพไตฟื้นมากว่าครึ่ง สามารถเดินได้เอง ไม่มีอาการบวม
สรุปง่ายๆ คือ ยืดระยะออกไป ให้ยาวที่สุด ให้โอกาสร่างกายได้ทำงานและฟื้นฟู และในท้ายที่สุด ก็เลิกฟอกไป