คำโบราณ ที่สอนกันมาว่าจะหาผล ย่อมต้องคบบัณฑิต
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า แล้วใครหล่ะคือบัณฑิต
พุทธศาสนา จึงกล่าวว่า บัณฑิต คือ ผู้ที่รู้ธรรมของพระพุทธเจ้า และเดินรอยตาม ปฏิบัติตามธรรมคำสอนนั้น นั่นเอง
ผลที่ได้ จึงไม่ได้หมายถึงความร่ำรวย อยู่ดีมีสุข มียศถาบรรดาศักดิ์
หากแต่ผลของการคบบัณฑิต อันเป็นผลของสมบัติของวิญญาณ อันทำให้วิญญาณเป็นสุข
และสุขพื้นฐานที่แต่ละคนสามารถแสวงหาได้ นั่นคือ ความไม่มีโรค ที่พระภูมีตรัสว่า "เป็นลาภอันประเสริฐ"
ลาภอันนี้ ถือเป็นสมบัติเพียงหนึ่งเดียว ที่สามารถติดวิญญาณของเราท่านไปทุกภพทุกชาติ
บทสรุปของความเจริญ จึงไม่ได้วัดกันที่ วัตถุ
ประเทศใดมีความศิวิไลซ์ จึงวัดกันที่ว่า คนในชาติของประเทศนั้นๆ มีคนที่มีวิญญาณ หรือ จิตใจสูง มากน้อยเท่าไรต่างหาก
คนอินเดียในสมัยพุทธกาล จึงทำให้ประเทศอินเดียเป็นแดนศิวิไลซ์ แม้จะไม่วัตถุ สิ่งก่อสร้างใดๆเลยก็ตาม
เมืองของคนศิวิไลซ์ จึงเป็นเมืองของบัณฑิต ที่มุ่งหมาย สร้างสุขให้ผู้อื่น เพื่อให้สุขนั้นย้อนมาหาตน
ภาพที่เห็นของบัณฑิต จึงแจ่มชัด ว่า
บัณฑิตที่ขายของในตลาด คงไม่กล้าเอาผักที่ตนขายไปแช่ฟอร์มาลีนให้คนกิน จนทำให้กัดกระเพาะคนกินจนทะลุเป็นแน่
บัณฑิต ที่ตั้งราคาของ คงไม่กล้าขายเกินกว่าความพอดี เพราะส่วนเกินของราคานั้น ย่อมก่อทุกข์ให้คนซื้อไม่มากก็น้อย เพราะส่วนที่เกินควรนั้น คนซื้อสามารถไปซื้อของอื่นมาได้อีก
เมื่อไม่มีธรรม ก็หาใช่บัณฑิต ย่อมจะหาผลจากการทำตามนั้นไม่ได้เลย
สติที่หลวงพ่อนิพนธ์ยกมาให้นี้ ทำให้ใครก็ตาม ที่จะทำตาม หมอดู หมอเดา เข้าทรง องค์เจ้า รวมถึงใครก็ตามที่อ้างเอ่ย ว่าช่วยเราท่านได้ ขออะไรได้หมด คนเหล่านั้น เข้าข่ายเป็นบัณฑิตหรือไม่ ด้วยเอาเหตุที่ว่าเขามีธรรม และประพฤติธรรม หรือไม่ อันจะเป็นแว่นที่ส่องให้เห็นว่า ผลของการทำตามคนเหล่านั้น จะเป็นเช่นไร
นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้เราไม่ประสพผล เพราะเราไปเชื่อคนพาลนั่นเอง ไม่ว่าเราจะหลอกตัวเองสักฉันใด ผลที่ปรากฎก็เป็นเครื่องยืนยัน
ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมั่นใจว่า ยาเคมี ไม่มีทางพาไปหาผล ก็เพราะคนทำมันไม่ใช่บัณฑิตนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น