ข่าวเล่าลือ และคุยกันขรมในหมู่คนไข้ของชมรม
คนที่ไม่รู้ก็แห่กันไป ก็เห็นคนพูดมันดีขึ้น หรือหายกะตา ไม่เชื่อได้ไง
หากแต่ความเป็นจริง คนที่ไปนั้นมาทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน แล้วอาการดีขึ้น ในขณะที่รอ เขามีเวลาว่าง ก็ไปใช้บริการอาบน้ำแร่ เพราะอาบแล้วเลือดลมเดินดี สบายตัว
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เรื่องมันโอละพ่อ แทนที่จิตจะรับรู้ว่า การดีขึ้นของอาการที่ตนเป็นอยู่ มาจากสมุนไพร และการปฏิบัติ ตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน จิตกลับโยนผลอันนี้ไปให้น้ำแร่วัดวังขนาย และชักชวนผู้คนไปยังที่แห่งนั้น
นี่แหละเป็นเรื่องอันตราย วันใดที่เขาประสพเหตุ และไขว่ขว้าหาสิ่งที่จักช่วยตน เขาจะเจอแต่ลม เพราะเขาทิ้งเสียสิ่งที่เป็นตนที่ช่วยเขาไปเสียแล้วนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์มักเล่าเรื่องพลตำรวจเอกท่านหนึ่งให้ฟัง หลายต่อหลายครั้ง ที่ภรรยามาขอความช่วยเหลือ ในขณะที่สามี นอนอยู่ในห้องไอซียู ของโรงพยาบาลตำรวจ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ให้นำสมุนไพรเขียวไปลองทานดู เผื่อมีวาสนา และเมื่อหลังจากทานเพียงสองวัน สามีก็สามารถลุกขึ้นจากเตียงและออกจากโรงพยาบาลได้
ผ่านการฟื้นฟูด้วยสมุนไพรอีก ๖ เดือน นายพลท่านนั้น กลับมามีสภาพปกติ ขับรถได้ ทำงานได้ตามปกติ และมาขอลาหลวงพ่อนิพนธ์สามเดือน โดยกล่าวว่า มีธุระด่วนต้องไปทำ
หายไปสามเดือน นายพลตำรวจไม่ได้กลับมา หากแต่เป็นภรรยาที่กลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้สามีกลับไปนอนที่เตียงเก่าอีกครั้ง
แล้วเล่าว่า อันที่จริงธุระด่วนที่สามีกล่าว นั่นคือ การไปแก้บน ที่ทำเอาไว้ ว่าหากหาย จักไปทำบุญ ๙ วัด เมื่อหายกลับมา จึงเดินทางไปแก้บนที่ทำไว้นั่นเอง
และในวันที่ไปทำบุญวัดที่เก้านั้้นเอง ก็เกิดอาการปัจจุบันทันด่วน ทำให้ต้องนำตัวท่านนายพล กลับไปยังโรงพยาบาลตำรวจ และก็ได้กลับไปนอนเตียงเดิม
ภรรยาจึงร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ช่วยอีกครั้ง หากแต่คำตอบที่ได้ คือ เขาไม่มีคุณสมบัติ โอกาสของเขาหมดลงแล้ว และแม้นว่าจะทานสมุนไพรอีกสักฉันใด อาการของท่านนายพล ก็ไม่ดีขึ้นและเสียชีวิตในที่สุด
ประวัติศาสตร์เช่นนี้ ไม่ควรที่จะเกิดซ้ำรอยแล้วรอยเล่า หากแต่คนที่มาได้นำสิ่งที่ฟัง ไปพิจารณา เสียดายที่การฟังของคนเหล่านั้น ฟังเพียงเพื่ออยากให้จบ ให้ผ่านไป ไม่เก็บไปพิจารณาอันใดเลย ในไม่ช้า ภาพประวัติศาสตร์ก็จักซ้ำรอยอีกครั้ง
คนที่อุ้มผีลุก ปลุกผีนั่ง กลับมองไม่เห็นค่า อ้ายคนที่นั่งเฉยๆ กลับได้กินหมู กินไก่
จึงเป็นเรื่องขำขัน ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักพูดให้ฟังเสมอ ถึงคนไข้ท่านหนึ่ง ที่มีฐานะ มาทุกครั้ง มักจะเล่าจะคุยให้คนโน้นคนนี้ฟังว่า ตัวเขาเองไปรักษาที่นั่น ที่โน่น หมดไปเท่าโน้นล้าน เท่านี้ล้าน ทำบุญวัดโน้นเท่านี้ วันนั้นเท่าโน้น โอ๊ยเยอะแยะไปหมด
พร้อมกับมักจะตบท้าย ด้วยคำถามที่มีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ตัวเขาก็ทานสมุนไพรมานานพอควร อาการก็ดีขึ้น แต่ทำไมไม่หายสักที .... คำตอบที่ก้องในใจหลวงพ่อนิพนธ์ก็คือ ก็แม้แต่มะกรูดสักลูก พริกไทยสักขีด เอ็งยังไม่เคยให้คนอื่นได้สุขเลย ดีแต่ไปทำในสิ่งที่ช่วยตนไม่ได้ เสียหายอย่างอื่นมากหลาย ไม่เสียดาย แต่เหนียวกับสิ่งที่ช่วยตนได้ โรคมันจึงเหนียวไง
ใครคิดว่าการฟังไม่มีประโยชน์ คิดผิดคิดใหม่ได้ การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ย่อมทำให้เราท่าน ไม่เดินผิดพลาดเช่นคนก่อนๆ นั่นเอง... เพราะทางที่เดิน หลงไปแล้ว กลับยาก