ส่วนแรกนั้นคือ การเจริญเติบโต อันจักต้องพึ่งการทาน และการย่อยของกระเพาะอาหาร และวัตถุดิบที่ต้องการนั่นคือ อาหาร ๕ หมู่
การไม่ทานหรืองดอาหารหมู่หนึ่งหมู่ใด ย่อมเป็นการทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น ผลที่ปรากฎอาจจักไม่เกิดในเร็ววัน แต่ร่างกายต้องอาศัยการแปรรูปจากอาหารหมู่อื่นมาชดเชย ซึ่งมักจักขาดแคลน จนในท้ายที่สุด ก็จักเกิดเป็นวิกฤต โดยเฉพาะเมื่อร่างกายเกิดโรค และต้องการอาหารหมู่นั้นๆ เพื่อแก้ไข
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ความเป็นปกติของมนุษย์นั่นคือ อาหาร ๕ หมู่ ดังนั้น เมื่อใช้แนวทางการระงับยับยั้ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า วิธีของยาเคมี หรือแนวทางอื่นใด มักจักต้องให้งดอาหารสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยเฉพาะที่เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงเฉียบพลัน
มองผิวเผิน ย่อมเป็นที่สมปรารถนาของคนไข้ เพราะทำให้ไม่เกิดอาการ เนื่องจากการแพ้นั้นๆ และฤทธิ์ของยาที่ทาน ก็ทำให้อาการที่ไม่พึงประสงค์ หายไปในทันที
หากแต่ความเป็นจริงสภาพอาการของโรค ยังดำรงอยู่ และเจริญเติบโต นั่นคือรุนแรงขึ้น ผลก็คือ อาการแพ้ยิ่งรุนแรง และปริมาณการทานยาเพื่อการระงับต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด ก็ไม่สามารถหยุดอาการได้ นั่นคือวัน นรกแตก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การแก้ไขที่แท้จริง นั่นคือ การทานสมุนไพร เพื่อสร้างภูมิ และเสริมสร้างอวัยวะให้แข็งแกร่ง แล้วทานอาหารให้ครบหมู่ การทำเช่นนี้ร่างกายจึงจักมีวัตถุดิบ ที่ใช้ในการฟื้นฟูตัว
การทานอาหารที่มีคุณสมบัติก่อให้เกิดอาการแพ้ ในทางการแพทย์ถือว่าต้องหลีกเลี่ยง แต่ในทางสมุนไพรสูตรพระภูมี กลับถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะอาหารเหล่านี้ นั่นก็คือพาหะที่จักนำสมุนไพร เข้าไปถึงยังแหล่งของต้นตอ นั่นคือโรคได้อย่างแม่นยำ
คุณประโยชน์จากวิกฤตที่พึงเกิดจากอาหารเหล่านี้ นั่นคือ ทำให้สมองได้รับรู้ว่า ร่างกายเกิดวิกฤต แล้วสั่งการเพื่อแก้ไขซึ่งวิกฤตนั้นให้หายไป โดยอาศัยวัตถุดิบสองส่วน นั่นคืออาหารที่ครบหมู่ และสมุนไพร
วิทยากร คือ ท่าน อ.อร่าม จึงมักแนะนำ ให้คนไข้ใหม่ หลังจากทานสมุนไพรได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ให้เริ่มทานอาหารที่เรียกว่า หมอห้าม นั่นคือ สิ่งใดห้าม สิ่งใดแพ้ ทานก่อนเลย
ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นโรคเบาหวาน ก็ให้เริ่มทานของหวาน คนเป็นเก๊าต์ ก็ให้เริ่มทานไก่
วันใดที่เราท่านสามารถกลับมาทานอาหารทุกอย่างได้อย่างเป็นปกติสุข นั่นแหละคือการหายโรค
จนอาจกล่าวได้ว่า ความสุขจากการไม่มีโรคอย่างหนึ่ง นั่นคือ การอยากทานอะไรแล้วทานได้อย่างมีความสุขนั่นเอง
ถ้าห้ามทานโน่นทานนี่ แล้วจักเรียกว่ารักษาหายได้อย่างไร เพราะเดิมของมนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อไม่เหมือนเดิม แล้วจักเรียกว่ารักษาได้อย่างไร หลอกตัวเองเท่านั้นเอง
หากแต่ก่อนจักถึงวันนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักให้คาถา เมื่อเกิดวิกฤต และรอจนร่างกายเคลียร์ได้ ว่า ไม่ผ่านประตูนรก จักถึงประตูสวรรค์ได้อย่างไร
และที่สำคัญ เมื่อถึงวิกฤตที่สาหัสสากรรจ์วันใด ... นั่นจึงหมายความว่า หลังพายุลูกนี้ จักถึงประตูสวรรค์แล้วนั่้นเอง ดูจากคนไข้สาวที่เป็นมะเร็งลำไส้ ก็อาศัยสตินี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ ทนนอนร้อง และทานสมุนไพร ผ่านวันคืน จนร่างกายเคลียร์ ความปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายกลับมาแข็งแรง มีกำลัง และมีท่าว่าจะอยู่ยาว จนหลวงพ่อนิพนธ์แซวว่า อนาคตอาจต้องบ่นว่าเมื่อไหร่จะไปกับเขาสักที เพราะรุ่นเดียวกันมันไปหมดแล้ว
ด้วยความจริงข้อนี้เอง จึงทำให้เราท่านได้รู้ว่า ชีวิตเราท่านต้องอาศัยชีวิตมาต่อ นั่นคือ อาหารที่มีชีวิต แล้วผ่านกระบวนการทานและย่อยของท้อง สิ่งที่ไม่ใช้ก็ขับเป็นกาก ร่างกายจึงจักยอมรับ สารสกัด ไม่ว่าชนิดไหน หรือสารพัดวิตามิน ที่ผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์ จึงไม่อยู่ในกฏเกณฑ์ ที่ให้คุณ
อันหมายความว่า ใช้ได้ในระยะสั้นที่ร่างกายขาดเท่านั้น หากทานนานเกินไป ย่อมทำให้เซลล์ที่มีหน้าที่สร้างสารเหล่านั้น ง่อยเปลี้ย ไม่ทำงาน และท้ายที่สุด ร่างกายจะขาดสารนั้น แม้จักทานเพิ่มเข้าไปสักฉันใด ร่างกายก็ไม่รับ เพราะไม่ใช่ของมัน คือไม่ผ่านการย่อยนั่นเอง
ความจริงข้อนี้ ได้ถูกพิสูจน์จากรางวัลโนเบลของนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง ในปี ค.ศ.๑๙๙๙ ที่กล่าวว่า อาหารที่ถูกย่อยโดยร่างกาย ร่างกายจักสร้างรหัสขึ้นมาว่า อาหารดังกล่าวจักถูกส่งไปยังที่ใดของร่างกาย หากแต่อาหารสกัดหรือเคมี จักไม่มีรหัสดังกล่าวนี้ ผลก็คือ จักกลายเป็นขยะตกค้างในร่างกาย อุปมาเหมือนจดหมายที่ไม่จ่าหน้านั่นเอง
บทสรุป ของการรักษาตน จึงมีความจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบหมู่ ชอบไม่ชอบต้องทาน เพื่อเป็นวัตถุดิบในการฟื้นฟูตน ...โดยเฉพาะอันไหนหมอห้าม ให้รีบทานก่อนเลย