สองสิ่งเป็นธรรมชาติ ดังนั้น จึงต้องอาศัยคุณสมบัติของธรรมชาติมนุษย์ เฉกเช่นเดียวกัน เพื่อเอาประโยชน์ นั่นคือ "การกินแล้วย่อยด้วยท้อง"
หลังจากนั้น ก็จะแยกแร่แปรธาตุ ไปใช้ตามส่วนต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ
หากแต่คุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดของทั้งสองสิ่งนั่นคือ อาหาร ทานแล้วร่างกายนำไปหล่อเลี้ยงชีวิต และฟื้นฟูร่างกายส่วนที่สึกหรอเสียหายไป
ในขณะที่สมุนไพร เมื่อทานแล้ว ไม่ช่วยในการเจริญเติบโตแต่อันใดเลย หากแต่ มีคุณสมบัติ เพื่อปรับธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้สมดุลย์อีกคร้้ง
อันหมายความว่า ประโยชน์ของการทานสมุนไพร เป็นไปเพื่อฟื้นฟูสภาพอวัยวะ ๓๒ ของตัวเราเท่านั้นเอง
สมุนไพรจึงไม่ใช่ยารักษาโรค และไม่สามารถรักษาโรคอันใดได้ จึงไม่เป็นเฉกเช่นยาเคมี ที่ต้องระบุว่า เป็นยาเพื่อโรคอะไร อาการอะไร
และคุณสมบัติที่เหมือนกัน ของอาหารและสมุนไพร ที่ไม่มีใครรู้หรือตอบได้ว่า สิ่งที่ทานแล้วนั้น จักไปเป็นอะไร ในองคาพยพทั้ง ๓๒ ของตัวเรา
ฤาใครจะบอกได้ว่า ข้าวช้อนนี้ จะไปสร้างกระดูกซี่ไหน ข้าวช้อนนั้น จะไปเป็นมือข้างใด ... ทำไม่ได้ ... ร่างกายรับรู้เอง และทำเอง
และก็เช่นเดียวกับอาหาร เมื่อจะใช้งานก็ต้องดูตามอาการของตนที่พึงเกิด ขาดหวาน ก็ทานของหวาน ขาดสารอาหาร ก็ทานเนื้อสัตว์ ... เช่นกัน ร่างกายมีน้ำเกิน ก็ต้องทานสมุนไพรมะพร้าว เข้าไปวิดน้ำออก ดินเสีย ก็เห็นจากเนื้อที่เน่าเปื่อยแล้วแผลไม่ยอมหาย ก็ต้องทานสมุนไพรที่มีคุณสมบัติไปแก้ตามอาการนั้นๆ ที่ปรากฎ
บทสรุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักเน้นย้ำ เรื่องภายในกาย ธรรมชาติสร้าง ย่อมต้องอาศัยธรรมชาติ เพื่อการแก้ไข ยามมีปัญหา ....
ดังนั้น ยาเคมีทั้งหลาย ... ถอยไป ... อย่าเสือก
หากหยิบฉวย ก็ไม่แคล้ว ฉิบหายแน่ ... ผลที่ประจักษ์ นั่นคือ จากโรคหนึ่ง ไม่มีลด มีแต่กลายเป็น สอง สาม ...