หลายคนอาจได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์พูดเล่าให้ฟังหลายครั้ง แต่อาจไม่คิดอะไร หรือ ไม่อยากเชื่อ
นั่นก็คือ ภาพอดีตที่การทานสมุนไพรสูตรพระภูมี ของแม่ชีเมี้ยน เมื่อครั้งถ้ำกระบอก ที่เมื่อครั้งพระยังคงเคร่งในวินัยธรรมของพระภูมี เป็นเนื้อนาบุญให้พึ่งได้อยู่นั้น เขาทานกัน ๕ แก้วก็จบแล้ว ไม่ว่าโรคอะไร
หากแต่ก่อนทานสมุนไพร พระจะต้องสอนให้ทุกคนที่จะทานสมุนไพร สร้างคุณสมบัติตามบทบัญญัติของพระภูมี ให้ได้เสียก่อน เมื่อสร้างได้แล้วจึงให้ทานสมุนไพร
ในยุคนั้น จึงเรียกได้ว่า กว่าจะได้ทานสมุนไพรนั้นยาก แต่หากได้ทานแล้ว รับรองไม่ว่าโรคอะไร หายแน่
วันนี้ เราท่าน กำลังจะได้พบเนื้อนาบุญอีกครั้ง สิ่งที่เราอยากเห็นภาพดั่งเช่นในอดีต อาจจะกลับมาให้เห็นอีก
นั่นคือ สายตรงที่ตรึงตราตรึงใจ มนุษย์นับหมื่น นับแสนคน ในอดีต อันทำให้แม้แต่สฤษด์ ยังต้องยอมฉีกคำสั่งยิงเป้าทิ้ง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงอยากให้เราท่าน สร้างคุณสมบัติขึ้น และเมื่อถึงวันนั้น จักได้เห็นฤทธิ์ของสมุนไพร ว่าเป็นดั่งที่เล่าลือในอดีต จริงหรือไม่ หรือแค่คำคุย...
คำแซวเล็กน้อย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า เมื่อถึงวันนั้น ภาพอดีต ที่ทุกคนที่มา ต้องพกสมบัติติดตัวมาด้วย นั่นคือ กระโถน เสื่อ หมอน และก็ถังน้ำพร้อมขัน ...
ใครจะลอง ก็ควรต้้งใจฟังคำสอนหลวงพ่อนิพนธ์ ว่าคุณสมบัติที่ว่า เขาทำกันอย่างไร ... จึงจะเป็นใบหยก ที่รอกิ่งทองของศาสนา มาแตะ
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ต้องเหนือกว่า
ด้วยการได้เห็นบุญญาธิการของศาสนา ที่ตราตรึงในใจของมนุษย์ ทำให้บรรพบุรุษของเราท่านยอมรับ และสอนลูกสอนหลาน สืบพงศาวดารกันมายาวนานกว่าสองพันปี
มนุษย์ไม่ว่า จะเลวร้ายสักปานใด หากแต่เมื่อเปลื้องผ้า โกนหัว ห่มผ้าเหลือง กลายเป็นพระแล้วไซร้ ทุกผู้ทุกนาม ก็ยอมให้ ต้องก้มกราบ
ทั้งๆที่ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า พระรูปนี้ ยังถูกขนานนามว่า ไอ้มหาโจร .... เป็นที่น่ารังเกียจ อยู่ก็ตาม
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้ชี้ว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์แล้ว มนุษย์ผู้นั้น ได้กระทำตนเหนือมนุษย์แล้วนั่นเอง
การกราบไหว้ จึงเกิดจากการกระทำที่เหนือมนุษย์ ตามบัญญัติของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับการอภัย และยอมกราบไหว้
อะไรหล่ะที่เหนือมนุษย์ ก็คือ การมีธรรมนั่นเอง เมื่อเดินตามแนวของพระภูมี ก็เริ่มจากสละสมบัติ สละครอบครัว มาจนสละเสื้อผ้าอาภรณ์ ผม และกลายมาเป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียนใครจนเกินไป คือ การฉันมื้อเดียว และพึ่งตนเอง ไปไหนก็เดิน
ดังนั้น บุคคลที่ทำตนเหนือมนุษย์ มีธรรมวินัย จึงยอมกราบไหว้ได้อย่างเต็มใจ
หากบุคคลห่มผ้าเหลืองแล้วไซร้ ไม่ทำตนเหนือมนุษย์ทั่่วไป ก็ยังถือเงิน นั่งรถ ไม่ต้องปฏิบัติธรรมวินัย เบียดเบียนผู้อื่น เรียกร้องวัตถุสิ่งของ และที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ การแปรเปลี่ยนจุดประสงค์ของพระภูมี จากการบวชมาเพื่อสร้างปูชณียบุคคล เป็นการสร้างวัตถุ ปูชนียสถานแทน
พระเหล่านี้ หาสมควรกราบไหว้ไม่ เพราะนั่นไม่ใช่หนทางบุญที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า เอกลักษณ์ของพระ ของพระพุทธเจ้า เดินหลังตรง หูตาไม่ฝ้าฟาง สามารถทำกิจกรรมได้จนตลอดอายุขัย ไม่มีมาเป็นโรคนั้น โรคนี้ ก็บุญของพระภูมี มันเหนือกรรม จะพ่ายแพ้แก่โรคที่เป็นตัวแทนของกรรมได้อย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเน้นให้เห็นว่า สิ่งที่เราท่าน ทำแล้วคิดว่าเป็นบุญ แท้จริงแล้วหาใช่ไม่ บุญที่ทำจึงไม่มีจริง ที่จักย้อนกลับมาช่วยตนของเราได้
นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมต้องมีศาสนา ต้องมีพระพุทธเจ้า ก็เพื่อมาสังคายนา ให้เห็นว่าบุญที่แท้จริงเป็นอย่างไร หลังจากห่างเหินศาสนามานาน จนถูกกลบดินไปหมด พวกนอกรีตก็อ้างบุญ ให้มนุษย์หลงเชื่อ เพื่อหากิน
ภาพแรกที่จักเห็น เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติ นั่นคือ การสังคายนา พระ ... เมื่อของจริงปรากฎ อ้ายพวกนอกรีตเหล่านี้ มันก็จักหากินโดยการห่มผ้าเหลืองไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้ เหลือบเหล่านี้ก็จะหลุดออกไปจากศาสนา
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนว่า หากจะกราบพระ จึงควรพิจารณา ว่าการกระทำของพระรูปนั้น เหนือเราหรือไม่ มีธรรมเป็นวินัย หรือ เดินสวนพุทธประวัติ ที่พระโคดมทิ้งเวียงวัง มานอนกลางดิน กินกลางทราย หรือไม่ .. เป็นเครื่องชี้วัดให้เห็นเด่นชัด
ประเภททิ้งคันไถ มานั่งเบ็นซ์ ทานช้อนทอง มีสำรับ หนีให้ไกล ... พวกนี้ หากไม่มีผ้าเหลือง มันก็มนุษย์ดีๆ ขี้เหม็น เหมือนเราทุกอย่าง ...ไม่ใช่เนื้อนาบุญ ให้พึ่งพิงอย่างแน่นอน
หากวันใดได้พบ พระที่ถือธรรมวินัย เป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริง ขอเพียงข้าวทัพพีเดียว แกงถ้วยหนึ่ง เท่านั้นแหละ ... บุญมารอที่หัวกระได กลับมาทานสมุนไพร ... อยากรู้นัก โรคอะไรมันจะเหลือ
ด้วยผลอันนี้ ประจักษ์แก่ตาของบรรพบุรุษ ทุกผู้นาม แม้นไม่ชอบ ไม่ศรัทธา ก็ต้องยอมรับ ในบุญญาธิการของพระพุทธเจ้า
จะติดอยู่ก็แต่ คนที่ไม่เพียงยอมรับ แต่ยังศรัทธา และทำตาม มันมีน้อย เพราะหลักของพระภูมี มันต้องทำเอง ซ้ำยังทำยาก ต้องใช้ขันติอดทนมหาศาล
พระของพระพุทธเจ้า จึงได้ถูกขนานนามว่า "ขันติสงฆ์" ส่วนพวกเหลือบที่ห่มผ้าเหลือง โบราณเขาเรียกพวกนั้นว่า "สมมุติสงฆ์"
มนุษย์ไม่ว่า จะเลวร้ายสักปานใด หากแต่เมื่อเปลื้องผ้า โกนหัว ห่มผ้าเหลือง กลายเป็นพระแล้วไซร้ ทุกผู้ทุกนาม ก็ยอมให้ ต้องก้มกราบ
ทั้งๆที่ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า พระรูปนี้ ยังถูกขนานนามว่า ไอ้มหาโจร .... เป็นที่น่ารังเกียจ อยู่ก็ตาม
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้ชี้ว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์แล้ว มนุษย์ผู้นั้น ได้กระทำตนเหนือมนุษย์แล้วนั่นเอง
การกราบไหว้ จึงเกิดจากการกระทำที่เหนือมนุษย์ ตามบัญญัติของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับการอภัย และยอมกราบไหว้
อะไรหล่ะที่เหนือมนุษย์ ก็คือ การมีธรรมนั่นเอง เมื่อเดินตามแนวของพระภูมี ก็เริ่มจากสละสมบัติ สละครอบครัว มาจนสละเสื้อผ้าอาภรณ์ ผม และกลายมาเป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียนใครจนเกินไป คือ การฉันมื้อเดียว และพึ่งตนเอง ไปไหนก็เดิน
ดังนั้น บุคคลที่ทำตนเหนือมนุษย์ มีธรรมวินัย จึงยอมกราบไหว้ได้อย่างเต็มใจ
หากบุคคลห่มผ้าเหลืองแล้วไซร้ ไม่ทำตนเหนือมนุษย์ทั่่วไป ก็ยังถือเงิน นั่งรถ ไม่ต้องปฏิบัติธรรมวินัย เบียดเบียนผู้อื่น เรียกร้องวัตถุสิ่งของ และที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ การแปรเปลี่ยนจุดประสงค์ของพระภูมี จากการบวชมาเพื่อสร้างปูชณียบุคคล เป็นการสร้างวัตถุ ปูชนียสถานแทน
พระเหล่านี้ หาสมควรกราบไหว้ไม่ เพราะนั่นไม่ใช่หนทางบุญที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า เอกลักษณ์ของพระ ของพระพุทธเจ้า เดินหลังตรง หูตาไม่ฝ้าฟาง สามารถทำกิจกรรมได้จนตลอดอายุขัย ไม่มีมาเป็นโรคนั้น โรคนี้ ก็บุญของพระภูมี มันเหนือกรรม จะพ่ายแพ้แก่โรคที่เป็นตัวแทนของกรรมได้อย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเน้นให้เห็นว่า สิ่งที่เราท่าน ทำแล้วคิดว่าเป็นบุญ แท้จริงแล้วหาใช่ไม่ บุญที่ทำจึงไม่มีจริง ที่จักย้อนกลับมาช่วยตนของเราได้
นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมต้องมีศาสนา ต้องมีพระพุทธเจ้า ก็เพื่อมาสังคายนา ให้เห็นว่าบุญที่แท้จริงเป็นอย่างไร หลังจากห่างเหินศาสนามานาน จนถูกกลบดินไปหมด พวกนอกรีตก็อ้างบุญ ให้มนุษย์หลงเชื่อ เพื่อหากิน
ภาพแรกที่จักเห็น เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติ นั่นคือ การสังคายนา พระ ... เมื่อของจริงปรากฎ อ้ายพวกนอกรีตเหล่านี้ มันก็จักหากินโดยการห่มผ้าเหลืองไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้ เหลือบเหล่านี้ก็จะหลุดออกไปจากศาสนา
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนว่า หากจะกราบพระ จึงควรพิจารณา ว่าการกระทำของพระรูปนั้น เหนือเราหรือไม่ มีธรรมเป็นวินัย หรือ เดินสวนพุทธประวัติ ที่พระโคดมทิ้งเวียงวัง มานอนกลางดิน กินกลางทราย หรือไม่ .. เป็นเครื่องชี้วัดให้เห็นเด่นชัด
ประเภททิ้งคันไถ มานั่งเบ็นซ์ ทานช้อนทอง มีสำรับ หนีให้ไกล ... พวกนี้ หากไม่มีผ้าเหลือง มันก็มนุษย์ดีๆ ขี้เหม็น เหมือนเราทุกอย่าง ...ไม่ใช่เนื้อนาบุญ ให้พึ่งพิงอย่างแน่นอน
หากวันใดได้พบ พระที่ถือธรรมวินัย เป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริง ขอเพียงข้าวทัพพีเดียว แกงถ้วยหนึ่ง เท่านั้นแหละ ... บุญมารอที่หัวกระได กลับมาทานสมุนไพร ... อยากรู้นัก โรคอะไรมันจะเหลือ
ด้วยผลอันนี้ ประจักษ์แก่ตาของบรรพบุรุษ ทุกผู้นาม แม้นไม่ชอบ ไม่ศรัทธา ก็ต้องยอมรับ ในบุญญาธิการของพระพุทธเจ้า
จะติดอยู่ก็แต่ คนที่ไม่เพียงยอมรับ แต่ยังศรัทธา และทำตาม มันมีน้อย เพราะหลักของพระภูมี มันต้องทำเอง ซ้ำยังทำยาก ต้องใช้ขันติอดทนมหาศาล
พระของพระพุทธเจ้า จึงได้ถูกขนานนามว่า "ขันติสงฆ์" ส่วนพวกเหลือบที่ห่มผ้าเหลือง โบราณเขาเรียกพวกนั้นว่า "สมมุติสงฆ์"
เชื่อตามากกว่าลมปาก
หลังจากคณะของแม่ทัพน้อย ทั้งสามเหล่าทัพกลับไป การไปเยือนพม่า ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ทั้งจากฝ่ายทหาร และฝ่ายบริหาร
หากแต่เพียงคำพูดของหลวงพ่อนิพนธ์ และแม่ทัพน้อย ก็ไม่เพียงพอสำหรับฝ่ายบริหาร ที่เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ก็อยากมาเห็นด้วยตาตนเอง เพื่อให้การตัดสินใจไม่ผิดพลาด
วันพฤหัสที่ผ่านมา ชมรมคนรักสุขภาพ จึงได้มีโอกาสต้อนรับ ท่าน ส.ว. ของพม่า ที่จัดสรรเวลา มาเยี่ยมชม ให้เห็นของจริง ว่า เป็นดั่งคำเล่าลือหรือไม่
การเยี่ยมชมครั้งนี้ ก็ทำให้ ท่าน ส.ว. และนายอำเภอ พอใจอย่างยิ่ง ในการที่จะให้ความร่วมมือ และอำนวยความสะดวก ต่อกิจกรรมของชมรม
หลังการเยี่ยมชม ท่าน ส.ว. จึงกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า จะให้สิทธิพิเศษแก่ชมรมคนรักสุขภาพ ในการนำเหล่าสมาชิก เพื่อไปทำบุญ ตักบาตร และถวายของแก่พระภิกษุ ในพม่า ตามต้องการ ทั้งนี้ตัวท่านเองมีโรงแรมที่ทวาย ก็จะคิดราคาพิเศษเฉพาะสมาชิก เป็นการตอบแทนน้ำใจของชาวชมรมคนรักสุขภาพ
นี่อาจเรียกว่า วันฟ้าเปิด ที่จะทำให้เราท่าน ได้มีโอกาสสัมผัสเนื้อนาบุญของศาสนา คือ พระที่ปฏิบัติ ตามหลักพุทธการ ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ และถือธุดงค์เป็นวัตร
และจากการข่าวของทหารพม่า แจ้งให้ทราบว่า ปัจจุบัน พระที่ปฏิบัติเช่นนี้ มีกระจายอยู่ ๗ วัด รวมแล้วประมาณ สองพันรูป
และเมื่อฟ้าเขาเปิดให้ เราท่านก็จะได้ลองสูตรเต็มๆ ของพระภูมี นั่นคือ การไปทำบุญกับเนื้อนาบุญ ของศาสนา โดยตรง ไม่ต้องทำอ้อมๆ ด้วยการสวดมนต์ แล้วกลับมาทานสมุนไพร ... ดูซิว่า โรคอะไรมันจะเหลือ
หากวงจรนี้เกิดขึ้น เราท่านจะได้เห็นบุญญาธิการของศาสนา นั่นคือ เนื้อนาบุญ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เฝ้าถวิลหา เป็นที่พึ่ง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร
และเมื่อ สิ่งเหล่านี้ประจักษ์ มนุษย์ทั้งโลกจักยอมรับในบุญญาธิการของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่อุบัติขึ้น นั่นคือ การสิ้นยุคของพระโคดม และเริ่มนับพุทธศักราชของพระพุทธเจ้าองค์นี้ นั่นคือ การกลับไปใช้ พ.ศ. ที่ ๑ อีกครั้ง
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556
อุปสรรคใหญ่
คนไข้ส่วนใหญ่ มักจะพิจารณาความหนักเบาของโรคที่เป็น จากผลการวินิจฉัยของหมอ จากห้องแลป แล้วก็ตัดสินความยากง่ายในการรักษาตน ตามนั้น
หากแต่ในแนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หาเป็นเช่นนั้นไม่ ด้วยมุมมองที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในความหนักเบาของโรคที่เป็น
หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเสมอว่า พระภูมีทรงตรัสว่า โรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ จึงไม่ใช่โรค แต่เป็นกรรมของบุคคลนั้นๆ นั่นเอง
และด้วยกรรมนี้เอง ทำให้เป็นกำแพงสร้างอุปสรรค ในการเข้าถึงเหตุและผล เพราะมันฝังลึกกลายเป็นนิสัย สันดาน ที่แก้ได้ยาก โดยเฉพาะ ความเชื่อของแต่ละบุคคล ที่ยึดถือกันมาอย่างแนบแน่นยาวนาน
สิ่งเหล่านี้ ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เสียหายร้ายแรง ดังคำโบราณที่ว่า กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา
คำแนะนำที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ นั่นคือ ควรจักวางความคิด ความเชื่อ ในสิ่งต่างๆ ลง แม้นเพียงชั่วคราวก็ยังดี ในระหว่างรักษาฟื้นฟูตน เมื่อหายดีแล้วจักกลับไปทำ ไปเชื่อแบบเดิมก็ไม่ว่ากัน
ตัวอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มักยกมาให้ฟังเสมอ อาทิเช่น พ่อเลี้ยงเชียงใหม่ ที่นอนในเตียงห้องไอซียู ร.พ.สวนดอก ภรรยาทราบข่าว ก็นำสมุนไพรไปกรอก จนฟื้น และออกจาก ร.พ. มาฟื้นฟูตน จนแข็งแรง แล้วขอลาไป บอกว่าจะไปทำธุระด่วน
พฤติกรรมที่หลวงพ่อนิพนธ์เห็นเสมอ นั่นคือ เมื่อทานสมุนไพรก็หันไปหาสิ่งที่ตนเคารพ ทางเหนือ จวบจนสามเดือนที่ขอกลับบ้านไป ภรรยามารายงานว่า สามีกลับไปนอนที่เตียงเดิมของ ร.พ.สวนดอก แล้ว อยากจะขอสมุนไพรไปทานอีกครั้ง
แล้วเรียนว่า ธุระที่ขอไปทำ คือการไปแก้บน ในวัดที่สามีเคารพ นับถือ ด้วยคิดว่า เป็นสิ่งที่ทำให้สามีหายนั่นเอง
บทสรุป ของคำสอน จึงเน้นพฤติกรรม ว่าสิ่งใดไม่ควรทำ สิ่งใดควรทำ และเป็นปัจจัยหลัก ที่จักชี้ผลในการทานสมุนไพรว่าจะไปถึงฝั่งหรือไม่ หาใช่อาการที่เป็นไม่
นี่จึงเป็นมูลเหตุว่า เราท่านมาฟังอะไรจากหลวงพ่อนิพนธ์ ก็มาฟังเรื่องกรรม เรื่องบุญ ว่ามันเกิดจากพฤติกรรมอะไรของเรา ที่มี หรือ ขาด ไปนั่นเอง เพื่อเปลี่ยนให้เข้าร่องเข้ารอยของพระภููมีนั่นเอง
เมื่อหยุดทำสิ่งผิด มาทำสิ่งถูก กรรมใหม่ไม่มี สร้างบุญมาล้างกรรมเก่า แล้วทานสมุนไพร อยากรู้นัก โรคอะไรมันจะเหลือ
กลัวก็แต่ พูดสักเท่าไร มันก็ไม่เปลี่ยน ให้หัดความสงบ ก็จะคุย จะแชท จะอ่านหนังสือพิมพ์ ให้สร้างพฤติกรรมช่วยหรือให้สุขผู้อื่น ก็ไม่เอา แต่เก็บรักษานิสัย ไม่สนใคร ขอข้าก่อน เบียดเสียดแย่งชิง เข้าแถวไม่เป็น รอไม่ได้ เสียอย่างอื่นเสียได้ เสียเงินซื้อพริกไทยให้คนอื่นทาน ไม่เคยคิดในสมอง เจอคนอย่างนี้เข้า แม้นโรคจะไม่สาหัส อย่าว่าแต่หลวงพ่อนิพนธ์เลย แม้นพระภูมีมาเอง ก็ต้องส่ายหน้ายอมแพ้ ... แม้นธรรมจะสูงส่ง สมุนไพรจะดีเลิศ ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ..
หากแต่ในแนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หาเป็นเช่นนั้นไม่ ด้วยมุมมองที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในความหนักเบาของโรคที่เป็น
หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเสมอว่า พระภูมีทรงตรัสว่า โรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ จึงไม่ใช่โรค แต่เป็นกรรมของบุคคลนั้นๆ นั่นเอง
และด้วยกรรมนี้เอง ทำให้เป็นกำแพงสร้างอุปสรรค ในการเข้าถึงเหตุและผล เพราะมันฝังลึกกลายเป็นนิสัย สันดาน ที่แก้ได้ยาก โดยเฉพาะ ความเชื่อของแต่ละบุคคล ที่ยึดถือกันมาอย่างแนบแน่นยาวนาน
สิ่งเหล่านี้ ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เสียหายร้ายแรง ดังคำโบราณที่ว่า กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา
คำแนะนำที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ นั่นคือ ควรจักวางความคิด ความเชื่อ ในสิ่งต่างๆ ลง แม้นเพียงชั่วคราวก็ยังดี ในระหว่างรักษาฟื้นฟูตน เมื่อหายดีแล้วจักกลับไปทำ ไปเชื่อแบบเดิมก็ไม่ว่ากัน
ตัวอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มักยกมาให้ฟังเสมอ อาทิเช่น พ่อเลี้ยงเชียงใหม่ ที่นอนในเตียงห้องไอซียู ร.พ.สวนดอก ภรรยาทราบข่าว ก็นำสมุนไพรไปกรอก จนฟื้น และออกจาก ร.พ. มาฟื้นฟูตน จนแข็งแรง แล้วขอลาไป บอกว่าจะไปทำธุระด่วน
พฤติกรรมที่หลวงพ่อนิพนธ์เห็นเสมอ นั่นคือ เมื่อทานสมุนไพรก็หันไปหาสิ่งที่ตนเคารพ ทางเหนือ จวบจนสามเดือนที่ขอกลับบ้านไป ภรรยามารายงานว่า สามีกลับไปนอนที่เตียงเดิมของ ร.พ.สวนดอก แล้ว อยากจะขอสมุนไพรไปทานอีกครั้ง
แล้วเรียนว่า ธุระที่ขอไปทำ คือการไปแก้บน ในวัดที่สามีเคารพ นับถือ ด้วยคิดว่า เป็นสิ่งที่ทำให้สามีหายนั่นเอง
บทสรุป ของคำสอน จึงเน้นพฤติกรรม ว่าสิ่งใดไม่ควรทำ สิ่งใดควรทำ และเป็นปัจจัยหลัก ที่จักชี้ผลในการทานสมุนไพรว่าจะไปถึงฝั่งหรือไม่ หาใช่อาการที่เป็นไม่
นี่จึงเป็นมูลเหตุว่า เราท่านมาฟังอะไรจากหลวงพ่อนิพนธ์ ก็มาฟังเรื่องกรรม เรื่องบุญ ว่ามันเกิดจากพฤติกรรมอะไรของเรา ที่มี หรือ ขาด ไปนั่นเอง เพื่อเปลี่ยนให้เข้าร่องเข้ารอยของพระภููมีนั่นเอง
เมื่อหยุดทำสิ่งผิด มาทำสิ่งถูก กรรมใหม่ไม่มี สร้างบุญมาล้างกรรมเก่า แล้วทานสมุนไพร อยากรู้นัก โรคอะไรมันจะเหลือ
กลัวก็แต่ พูดสักเท่าไร มันก็ไม่เปลี่ยน ให้หัดความสงบ ก็จะคุย จะแชท จะอ่านหนังสือพิมพ์ ให้สร้างพฤติกรรมช่วยหรือให้สุขผู้อื่น ก็ไม่เอา แต่เก็บรักษานิสัย ไม่สนใคร ขอข้าก่อน เบียดเสียดแย่งชิง เข้าแถวไม่เป็น รอไม่ได้ เสียอย่างอื่นเสียได้ เสียเงินซื้อพริกไทยให้คนอื่นทาน ไม่เคยคิดในสมอง เจอคนอย่างนี้เข้า แม้นโรคจะไม่สาหัส อย่าว่าแต่หลวงพ่อนิพนธ์เลย แม้นพระภูมีมาเอง ก็ต้องส่ายหน้ายอมแพ้ ... แม้นธรรมจะสูงส่ง สมุนไพรจะดีเลิศ ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ..
เรื่องเล่า
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด มักจักเห็นได้ว่า เป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ หากแต่ว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนมีความหมาย ต่อชีวิต
อันคุณค่าที่เกิดจากการทำสิ่งเล็กๆน้อยๆนั้น เมื่อสืบสานพงศาวดารไป ก็จักเข้าใจได้เลยว่า ทำไมมันจึงมีผลกับชีวิตผู้ทำ ก็ด้วยเหตุ ที่สิ่งที่ทำนั้นให้สุขแก่ผู้อื่นนั่นเอง
จิตอาสาท่านหนึ่ง มาเล่าเรื่องที่ในที่ทำงานให้ฟังว่า เพื่อนที่ทำงานสองคน วัยพอๆ กับเขา คือประมาณ ๔๐ ทั้งสองตรวจพบเจอมะเร็ง และก็เตรียมตัวเข้าคอร์สในระยะที่ใกล้เคียงกัน
สิ่งที่เพื่อนในที่ทำงานรวมทั้งจิตอาสาออกอาการเป็นห่วง เพราะคนหนึ่งนั้น มักป่วยกระเสาะกระแสะ ร่างกายไม่แข็งแรงมาโดยตลอด ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นร่างกายแข็งแรง ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลย เพื่อนที่ทำงานจึงคาดกันว่า หลังจากเข้าคอร์สของแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว คนแรก น่าจะมีอาการย่ำแย่กว่าเดิม
ผลของการคีโมครั้งแรกผ่านไป ทั้งสองคน กลับกลายเป็นว่า คนที่มีสภาพแข็งแรง ดูท่าทางจะแย่ และไปไม่รอด เนื่องจากร่างกายสู้คีโมไม่ไหว ในขณะคนที่ปกติดูแย่ กลับผ่านได้สบายๆ
จิตอาสา จึงสงสัยและถามว่า พฤติกรรมของเพื่อนคนแรก ที่เห็นจิตอาสาชอบเก็บขวดน้ำดื่ม จึงถามว่า เก็บไปทำอะไร คำตอบที่ได้คือ นำไปล้างทำความสะอาด เพื่อใส่สมุนไพรให้คนไข้ เมื่อเธอทราบดังนั้น ทุกสัปดาห์ เพื่อนคนแรกจะมีถุงขวดน้ำขนาดใหญ่ฝากจิตอาสามาตลอด
ความตั้งใจในการเก็บขวดน้ำ ทำความสะอาดอย่างดี แล้วฝากมา คือน้ำเลี้ยงที่ทำให้เพื่อนคนแรก ผ่านคีโมด้วยดี ใช่หรือไม่ คงไม่มีใครตอบได้ หากแต่ผลที่เกิดนี้ ก็ทำให้จิตอาสา เห็นแล้วทึ่ง ในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์บอก
ใครจักมองว่าอย่างไรก็ตามแต่ จะเป็นก็แค่ขวดไร้คุณค่า หรือ จะเป็นเชือกเส้นบางๆ ที่ร้อยชีวิตให้เหนียวแน่น ก็ว่ากันไป
เมื่อทำถูก ผลถูกย่อมสนอง ....
อันคุณค่าที่เกิดจากการทำสิ่งเล็กๆน้อยๆนั้น เมื่อสืบสานพงศาวดารไป ก็จักเข้าใจได้เลยว่า ทำไมมันจึงมีผลกับชีวิตผู้ทำ ก็ด้วยเหตุ ที่สิ่งที่ทำนั้นให้สุขแก่ผู้อื่นนั่นเอง
จิตอาสาท่านหนึ่ง มาเล่าเรื่องที่ในที่ทำงานให้ฟังว่า เพื่อนที่ทำงานสองคน วัยพอๆ กับเขา คือประมาณ ๔๐ ทั้งสองตรวจพบเจอมะเร็ง และก็เตรียมตัวเข้าคอร์สในระยะที่ใกล้เคียงกัน
สิ่งที่เพื่อนในที่ทำงานรวมทั้งจิตอาสาออกอาการเป็นห่วง เพราะคนหนึ่งนั้น มักป่วยกระเสาะกระแสะ ร่างกายไม่แข็งแรงมาโดยตลอด ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นร่างกายแข็งแรง ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลย เพื่อนที่ทำงานจึงคาดกันว่า หลังจากเข้าคอร์สของแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว คนแรก น่าจะมีอาการย่ำแย่กว่าเดิม
ผลของการคีโมครั้งแรกผ่านไป ทั้งสองคน กลับกลายเป็นว่า คนที่มีสภาพแข็งแรง ดูท่าทางจะแย่ และไปไม่รอด เนื่องจากร่างกายสู้คีโมไม่ไหว ในขณะคนที่ปกติดูแย่ กลับผ่านได้สบายๆ
จิตอาสา จึงสงสัยและถามว่า พฤติกรรมของเพื่อนคนแรก ที่เห็นจิตอาสาชอบเก็บขวดน้ำดื่ม จึงถามว่า เก็บไปทำอะไร คำตอบที่ได้คือ นำไปล้างทำความสะอาด เพื่อใส่สมุนไพรให้คนไข้ เมื่อเธอทราบดังนั้น ทุกสัปดาห์ เพื่อนคนแรกจะมีถุงขวดน้ำขนาดใหญ่ฝากจิตอาสามาตลอด
ความตั้งใจในการเก็บขวดน้ำ ทำความสะอาดอย่างดี แล้วฝากมา คือน้ำเลี้ยงที่ทำให้เพื่อนคนแรก ผ่านคีโมด้วยดี ใช่หรือไม่ คงไม่มีใครตอบได้ หากแต่ผลที่เกิดนี้ ก็ทำให้จิตอาสา เห็นแล้วทึ่ง ในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์บอก
ใครจักมองว่าอย่างไรก็ตามแต่ จะเป็นก็แค่ขวดไร้คุณค่า หรือ จะเป็นเชือกเส้นบางๆ ที่ร้อยชีวิตให้เหนียวแน่น ก็ว่ากันไป
เมื่อทำถูก ผลถูกย่อมสนอง ....
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เกร็ดศาสนา
คำโบราณ รักวัว ให้ผูก รักลูกให้ตี นั่นคือ อยากให้เขาได้ดี ต้องใจแข็ง ไม่ตามใจ ฉันใดก็ฉันนั้น
พระดี คือ พระที่ดำรงวินัยธรรม ก็ต้องไม่ถูกส่งเสริมจากพุทธบริษัท ไปในทางที่ก่อเกิดกิเลส หรือสนองความอยาก เราท่านจึงจักมีพระดีไว้กราบไหว้
เงินคือไฟประลัยกัลป์ ที่จักตอบสนองกิเลส ความอยาก พระของพระภูมี จึงต้องไม่รับเงิน
แต่ที่ทำกันวันนี้ เข้าโบสถ์ จะห่มผ้าเหลือง ก็ให้เหลือแต่ตัว ผมก็ยังเก็บไว้ไม่ได้ ตัดโลกให้หมด แต่พอห่มจีวรออกมาจากโบสถ์ ก็แห่กันใส่เงินในย่ามกันวุ่นวาย .... ฉิบหายไหม แทนที่พระบวชใหม่ จะได้ปฏิบัติวินัย กลับต้องนั่งคิด มีเงินแล้ว ทำอะไรดี พระองค์นั้น
ไม่มีเงิน อาจได้กราบไหว้เณรคำ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หากแต่ถวายเงิน ถวายเจ็ท เณรก็ทิ้งกูฏิ นั่งเจ็ทแล้ว ...
พระดี คือ พระที่ดำรงวินัยธรรม ก็ต้องไม่ถูกส่งเสริมจากพุทธบริษัท ไปในทางที่ก่อเกิดกิเลส หรือสนองความอยาก เราท่านจึงจักมีพระดีไว้กราบไหว้
เงินคือไฟประลัยกัลป์ ที่จักตอบสนองกิเลส ความอยาก พระของพระภูมี จึงต้องไม่รับเงิน
แต่ที่ทำกันวันนี้ เข้าโบสถ์ จะห่มผ้าเหลือง ก็ให้เหลือแต่ตัว ผมก็ยังเก็บไว้ไม่ได้ ตัดโลกให้หมด แต่พอห่มจีวรออกมาจากโบสถ์ ก็แห่กันใส่เงินในย่ามกันวุ่นวาย .... ฉิบหายไหม แทนที่พระบวชใหม่ จะได้ปฏิบัติวินัย กลับต้องนั่งคิด มีเงินแล้ว ทำอะไรดี พระองค์นั้น
ไม่มีเงิน อาจได้กราบไหว้เณรคำ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หากแต่ถวายเงิน ถวายเจ็ท เณรก็ทิ้งกูฏิ นั่งเจ็ทแล้ว ...
วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ของขวัญ
การไปเยือนพม่าในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อดูแหล่งสมุนไพรนั้น สร้างความยินดีแก่นายอำเภอของฝ่ายพม่ายิ่งนัก
ด้วยเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่คนของเขาอย่างยิ่ง ความรู้สึกอย่างหนึ่งจึงบังเกิดขึ้นในใจ นั่นคือ อยากให้ของขวัญเป็นสิ่งตอบแทนในน้ำใจของหลวงพ่อนิพนธ์
หากแต่เมื่อมองไป สภาพของตัวอำเภอเอง ยังเป็นบ้านไม้หลังคามุงจากอยู่เลย ก็ไม่รู้ว่าจักให้สิ่งใดดี
จนในที่สุด จึงจัดน้ำผึ้งมาให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยเหตุที่ว่า ปกติยามใดที่ทหารว่าง นายอำเภอก็อนุญาติให้เหล่าทหารไปหาของป่า ตีผึ้ง เพื่อเป็นรายได้ของทหารเหล่านั้น
สิ่งของที่ดูธรรมดา จนนายอำเภอหวั่นใจว่าจะดูไร้ค่าสำหรับหลวงพ่อนิพนธ์ หากแต่เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์รับมา แล้วเปิดทดสอบดู กลับยิ้มด้วยความดีใจ เพราะมันเป็นน้ำผึ้งแท้ๆ ที่มีคุณค่ากับการนำมาทำสมุนไพรอย่างยิ่ง หาในประเทศไทยไม่ได้แล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวกับนายอำเภอว่า ให้แจ้งแก่ทหารว่า น้ำผึ้งทั้งหมดที่หามาได้ ไม่จำเป็นต้องนำไปขายที่ไหน เพราะท่านจักรับซื้อไว้ทั้งหมด
ของขวัญเล็กๆ จึงกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ในอนาคต ยาลูกกลอนน้ำผึ้ง ก็จักได้น้ำผึ้งแท้ เดือน ๕ ที่มีสรรพคุณเต็มที่ มาเป็นส่วนผสม สำหรับเราท่านชาวไทยกรุณา
มองแล้วสะท้อน ผู้บริหาร ของพม่า ที่ถูกมองว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน กุลีกุจอ ตื่นเต้น ที่ได้ทำให้คนของเขา อยู่ดีกินดี แม้นแต่เขตทหารพม่า และทหารกะเหรี่ยง ยังยอมตกลงกัน ในกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนพ์ ... หันกลับมามองบ้านเราเมืองเรา ... ไม่รู้จักแบ่งพวก แบ่งสี กันไปถึงไหน ...
ด้วยเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่คนของเขาอย่างยิ่ง ความรู้สึกอย่างหนึ่งจึงบังเกิดขึ้นในใจ นั่นคือ อยากให้ของขวัญเป็นสิ่งตอบแทนในน้ำใจของหลวงพ่อนิพนธ์
หากแต่เมื่อมองไป สภาพของตัวอำเภอเอง ยังเป็นบ้านไม้หลังคามุงจากอยู่เลย ก็ไม่รู้ว่าจักให้สิ่งใดดี
จนในที่สุด จึงจัดน้ำผึ้งมาให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยเหตุที่ว่า ปกติยามใดที่ทหารว่าง นายอำเภอก็อนุญาติให้เหล่าทหารไปหาของป่า ตีผึ้ง เพื่อเป็นรายได้ของทหารเหล่านั้น
สิ่งของที่ดูธรรมดา จนนายอำเภอหวั่นใจว่าจะดูไร้ค่าสำหรับหลวงพ่อนิพนธ์ หากแต่เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์รับมา แล้วเปิดทดสอบดู กลับยิ้มด้วยความดีใจ เพราะมันเป็นน้ำผึ้งแท้ๆ ที่มีคุณค่ากับการนำมาทำสมุนไพรอย่างยิ่ง หาในประเทศไทยไม่ได้แล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวกับนายอำเภอว่า ให้แจ้งแก่ทหารว่า น้ำผึ้งทั้งหมดที่หามาได้ ไม่จำเป็นต้องนำไปขายที่ไหน เพราะท่านจักรับซื้อไว้ทั้งหมด
ของขวัญเล็กๆ จึงกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ในอนาคต ยาลูกกลอนน้ำผึ้ง ก็จักได้น้ำผึ้งแท้ เดือน ๕ ที่มีสรรพคุณเต็มที่ มาเป็นส่วนผสม สำหรับเราท่านชาวไทยกรุณา
มองแล้วสะท้อน ผู้บริหาร ของพม่า ที่ถูกมองว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน กุลีกุจอ ตื่นเต้น ที่ได้ทำให้คนของเขา อยู่ดีกินดี แม้นแต่เขตทหารพม่า และทหารกะเหรี่ยง ยังยอมตกลงกัน ในกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนพ์ ... หันกลับมามองบ้านเราเมืองเรา ... ไม่รู้จักแบ่งพวก แบ่งสี กันไปถึงไหน ...
ทำตนเป็นใบหยก
ความจริงก็คือความจริง เมื่อพูดความจริง จึงต้องบอกต้องเล่า ต้องกระตุ้น ให้เหตุและผล หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเน้นเสมอว่า ไม่ได้คิดว่าคนทั้งหมดจะฟัง จะปฏิบัติ หากแต่ก็คงมีบางคน ที่ฟังแล้วชอบอยากปฏิบัติ อยากทำตาม
แล้วทำไปทำไม ในเมื่อสอนเสมอว่าคนเราอยู่ได้ด้วยพรหมลิขิต และที่สำคัญ แต่ก่อนแต่ไรอยู่มา ก็ไม่เคยมีสิ่งนี้ในชีวิต ก็อยู่กันมาได้
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กำลังพูดสอนให้ปฏิบัติ ก็คงต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ อาจจะเรียกว่า ศาสน์ ก็ได้ หากแต่ศาสน์อันนี้ เป็นของพระภูมีทุกพระองค์ ที่ทุ่มเทชีวิต ศึกษาเรียนรู้ แล้วทำให้เห็นว่า ใครก็ตามที่ทำตาม สามารถเดินหลีกหนีกรรมที่ทำมาได้
ดังนั้น ศาสน์นี้จึงมีประโยชน์ กับผู้ที่เบื่อหน่ายกับวัฐจักรของกรรม คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เท่านั้นเอง ส่วนคนที่ยังชอบในวัฐจักรเดิม ไม่สนที่จะก้าวให้พ้น ศาสน์อันนี้ก็หาประโยชน์อันใดแก่คนผู้นั้นไม่
พูดง่ายๆ แค่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เริ่มสอน คนเหล่านั้นก็กล่าวว่า สิ่งที่พวกเขานับถือ มีอยู่ นั้นดีแล้ว พึ่งได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาทำตามคำสอนอันนี้เลย ที่สำคัญทำยากเสียด้วย
การทานสมุนไพรและปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงหนีไม่พ้น เพราะเป็นแนวทางของพระภูมี ดังนั้น ไม่ว่าสมุนไพร ก็ทานยาก การปฏิบัติตน ก็ทำยาก
ก็แล้วให้ทำไปเพื่ออะไร เพื่อหายจากโรคที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้นหรือ .... อันนี้มันของแถม หาใช่สาระสำคัญไม่
สิ่งที่สำคัญกว่า ก็คือ การสร้างคุณสมบัติ เพื่อให้สอดคล้องรองรับ กับการอุบัติของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ต่างหาก เพราะเมื่อวันนั้นมาถึง ข้อปฏิบัติที่เข้มข้น เพื่อให้สามารถต่อกรกับกรรมที่เข้มแข็ง และเกิดผลอันมหาศาล และรวดเร็ว ก็จักไม่เป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัส เพราะได้ฝึกไว้บ้างแล้วนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า การดำรงอยู่ของที่นี้ จึงทำเพื่อให้คนที่เชื่อแล้วทำตาม ได้ทำตนอุปมาเป็นใบหยก รอรับกิ่งทองของพระพุทธเจ้านั่นเอง
และเมื่อบังเกิดพระพุทธเจ้า อาศัยซึ่งแนวทางการช่วยตน ที่พระโคดมทรงตรัส นั่นคือ "บุญล้างบาป สมุนไพรล้างโรค" ก็จะเห็นผลได้ไว เพราะมีเนื้อนาบุญที่แท้จริงให้ทำแล้ว และก็ผลจากการฝึกในวันนี้ การทำบุญตามแนวพระภูมี ก็คุ้นเคย ผลก็จักเกิดมหาศาล รวดเร็ว
หากแต่วันนี้ ยังไม่มีเนื้อนาบุญให้พึ่ง ก็ต้องพึ่งตน จึงจำเป็นต้องสวดมนต์ นั่งกรรมฐานวิปัสนา โดยการฟัง ฝึกความขันติอดทน และการยั่วยวนจากกิเลส ที่พึงเกิดในขณะฟัง สิ่งนี้แหละหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า คือ กรรมฐานวิปัสนาของพระภูมี ของจริง
กรรมฐานเยี่ยงนี้ จักเห็นจากสงฆ์สาวก นั่งฟังเทศนาของพระภูมี ก็นิ่งเงียบ สงฆ์นับพัน นับหมื่น หาเสียงไม่มีเลย หากิริยาไม่สงบไม่มีเลย ทุกองค์ล้วนแล้วนั่งสงบ อยู่ในกรรมฐาน ฟังคำเทศนา แล้วนำไปปฏิบัติ จนหลุดพ้นกันทั้งหมดทั้งสิ้น หาใช่นั่งหลับตาแล้วรู้ไม่ แม่ชีเมี้ยนจึงมักกล่าวเสมอ เมื่อครั้งในอดีตถ้ำกระบอกไว้ว่า นั่งหลับตาก็เห็นแต่ความมืด หากเห็นสิ่งอื่นใด นั่นแหละคนบ้าโรคจิต ผิดปกติ
หากแต่สมาชิกทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เขาไม่เชื่อในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่เน้นย้ำเสมอว่า โรคหรือกรรม มันกลัวธรรม คือความสงบ เพราะกรรมมันทำให้เราเป็นทุกข์ หากแต่เมื่อเรียนรู้ธรรม ความสงบ ก็ทำให้ทุกข์ที่เกิด ก็เป็นเพียงแค่ทุกข์สังขาร ทำให้เราทุกข์ใจทุกข์วิญญาณไม่ได้เลย
เพราะพระภูมี สอนให้เราท่านทุกข์กับวินัยธรรมก่อนเสียแล้ว และสุขที่มีธรรม ยอมรับกรรมที่ทำมา ทุกข์ที่เกิดกับสังขาร ก็ย่อมทำร้ายใจ ทำร้ายวิญญาณเราท่านไม่ได้ ไม่สามารถก่อให้เกิดกรรมต่อไปในอนาคตอีก
ความสำคัญของศาสน์ ก็คือตรงนี้แหละ ที่ทำให้เราท่านตัดวงจรกรรมที่จักซ้ำเดิมในอนาคตออกไป โดยการเขียนพรหมลิขิตใหม่ ที่ไม่มีโรคมะเร็ง โรคอัมพฤกต์ อัมพาต ... ในภพหน้า และภพต่อๆ ไป
หากแต่คนใดปฏิเสธ ไม่สน ไม่ทำ แม้นจักปฏิเสธสักฉันใดว่าตายแล้ว ก็จบ หากแต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ อันจักเห็นได้ว่า ทำไมคนนั้นเกิดมาเป็นอย่างนั้น คนนี้เกิดมาเป็นเช่นนี้ ... ก็เกิดมายังไม่ได้ทำอะไรเลย กรรมมันก็เล่นงานเสียแล้ว และก็อ้างว่า ฟ้าไม่ยุติธรรม ... ทั้งที่ความเป็นจริง นั่นแหละเราท่านเขียนไว้ในอดีต ปัจจุบันมันมาแล้ว จะปฏิเสธสักฉันใด หาอะไรป้องกัน ก็ทำไม่ได้ หนีไม่พ้น
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่ไม่ว่า คำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์จะสอนนั้น นับวันก็ยิ่งเข้มข้น เน้นยิ่งขึ้น ผลที่ได้สำหรับคนที่นำไปปฏิบัติ ก็จักเห็นความเปลี่ยนแปลงของสมุนไพร ที่แม้นจะทานเหมือนเดิม แต่ผลมันไม่เหมือนเดิม นับวันยิ่งออกฤทธิ์รุนแรงมหาศาล ตามการกระทำของผู้ทานนั้นเอง
และวันหนึ่ง เมื่อใบหยกอันนี้พร้อม และได้ไปผูกติดกับกิ่งทองของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ วันใด แม้นจักดูว่าน้อยนิด อาทิเช่น การตักบาตรเพียงทัพดีเดียว ก็ตามแต่ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า โรคก็หนีป่าราบแล้ว เพราะนั่นคือ ต้นอำนาจ ไม่ต้องมานั่งสวดมนต์เหมือนทุกวันนี้หรอก
ใครจักเห็นว่า การเข้าสวดมนต์ และฝึกกรรมฐานวิปัสนา ลดกิริยา อยู่ในความสงบ ฟัง แล้วไปปฏิบัติ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนดให้ทำอยู่นี้ เป็นเรื่องไร้สาระ ก็ตามแต่ ... หากแต่เราอยากบอกแก่คนที่สำนึกตนว่า อาการของตนสาหัส ลองทำให้สมบูรณ์ แล้วอธิษฐานใช้แก่เจ้ากรรมนายเวร ทานสมุนไพร ตามหลวงพ่อนิพนธ์สอน แม้นจักเป็นทางอ้อม แต่ก็เชื่อได้ว่า ได้สัมผัสปาฏิหารย์อย่างแน่นอน เพราะนี่คือของจริง เรื่องจริง ใครทำ ใครได้
ผลจากการปฏิบัติ จักทำให้เกิดความเหนียวแน่น นั่นจึงเกินเลยจาก คำเรียก การตายจากโรคที่ว่า ตายห่า หากแต่รวมไปถึง การตายจากอุบัติเหตุ ที่เรียกกันว่า ตายโหง นี่แหละจึงเรียกว่า ชีวิตปลอดภัยอย่างแท้จริง
ส่วนพวกที่หายจากโรคนี้ได้ก็ดีใจ แต่ไปตายด้วยโรคอื่น หรือ เจออุบัติเหตุตาย ก็ถือว่าตายทั้งสิ้น หลวงพ่อนิพนธ์จัดว่า คนเหล่านี้ไม่ประสพความสำเร็จในเส้นทางนี้
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เกร็ดศาสนา
เรื่องของชีวิต สิ่งที่คู่กันมาก็คือ อายุขัย
นั่นหมายถึงการแตกดับ แล้วอุบัติใหม่ อันหมายถึง การสิ้นสุดของของเก่า
ศาสน์ ก็เช่นกัน เป็นเช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
หมดยุคของพระกัสปะ อำนาจก็ถ่ายเทไปยัง พระโคดม มาวันนี้ เรียกได้ว่า สิ้นยุคพระโคดมแล้ว อำนาจธรรม ก็ถ่ายเทไปยังพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่อุบัติขึ้นมา
ตำนานของพระโคดม ก็เหลือแต่เพียงคำเล่าขาน ใครจักแห่แหนกันไปอินเดียสักฉันใด ก็หาบุญมาเลี้ยงตนไม่ได้เลย เพราะมันไม่เหลืออะไรแล้ว
อ้ายที่บอกไปแสวงบุญ กลับมาโรคก็ยังอยู่เหมือนเดิม ได้แต่อิ่มอก อิ่มใจ หลอกตนเองว่าได้บุญ หากแต่เมื่อมองความจริง กรรมก็ยังเกาะกินตัวอยู่ไม่จางลงไปเลยแม้สักกะผีก
เตรียมตัวเตรียมใจ วันใดที่พระพุทธเจ้าท่านประกาศตัว ได้ไปตักบาตรสักทัพพี กราบสักหน รับธรรมมาปฏิบัติสักหมวด แล้วจักได้รู้ว่า บุญ แท้จริงเป็นเยี่ยงไร
เจอของจริง แล้วทำได้ โรคที่ว่าร้ายแรง เผ่นแนบแทบไม่ทัน นี่แหละบุญของจริง
นั่นหมายถึงการแตกดับ แล้วอุบัติใหม่ อันหมายถึง การสิ้นสุดของของเก่า
ศาสน์ ก็เช่นกัน เป็นเช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
หมดยุคของพระกัสปะ อำนาจก็ถ่ายเทไปยัง พระโคดม มาวันนี้ เรียกได้ว่า สิ้นยุคพระโคดมแล้ว อำนาจธรรม ก็ถ่ายเทไปยังพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่อุบัติขึ้นมา
ตำนานของพระโคดม ก็เหลือแต่เพียงคำเล่าขาน ใครจักแห่แหนกันไปอินเดียสักฉันใด ก็หาบุญมาเลี้ยงตนไม่ได้เลย เพราะมันไม่เหลืออะไรแล้ว
อ้ายที่บอกไปแสวงบุญ กลับมาโรคก็ยังอยู่เหมือนเดิม ได้แต่อิ่มอก อิ่มใจ หลอกตนเองว่าได้บุญ หากแต่เมื่อมองความจริง กรรมก็ยังเกาะกินตัวอยู่ไม่จางลงไปเลยแม้สักกะผีก
เตรียมตัวเตรียมใจ วันใดที่พระพุทธเจ้าท่านประกาศตัว ได้ไปตักบาตรสักทัพพี กราบสักหน รับธรรมมาปฏิบัติสักหมวด แล้วจักได้รู้ว่า บุญ แท้จริงเป็นเยี่ยงไร
เจอของจริง แล้วทำได้ โรคที่ว่าร้ายแรง เผ่นแนบแทบไม่ทัน นี่แหละบุญของจริง
เหนือวิทยาศาสตร์
เพราะความเก่งของวิทยาศาสตร์ในยุคนี้ ที่ฝรั่งภาคภูมิในนักหนา หรือ ชาติใหญ่ๆ ที่เรียกว่า ประเทศพัฒนาแล้ว ต่างก็กล่าวว่าตนมีความสามารถ อันจักเห็นได้ว่า ไม่ว่าสิ่งใดๆ ที่เกิดใหม่ขึ้นมา ย่อมสามารถตามทันและผลิตออกมาแข่งกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว
หากแต่สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ผ่านห้องทดลองมานับไม่ถ้วน ย้อนนับตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอก ที่ ๕ ประเทศชั้นนำของโลก ส่งรถโมบายที่เป็นห้องทดลองเคลื่อนที่ ที่ดีที่สุดสองคัน มาทดสอบสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ทุกแง่ทุกมุม
ผลที่ได้คือ การยอมรับในสรรพคุณสมุนไพร หากแต่การทำลอกเลียนแบบ กลับทำไม่ได้
ทั้งๆ ที่ ไม่ว่าสิ่งใดในโลก ก็สามารถวิเคราะห์แยกแยะ แล้วทำเทียมได้ แต่ท้ายสุด คำบันทึกในบทวิเคราะห์ ที่กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ในยุคถ้ำกระบอก ก็มีเพียง เป็นสารธรรมชาติ ที่มีฤทธิ์ให้ผลทางการรักษาอันเป็นที่ต้องการ แต่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ และก็ยังคงทำไม่ได้มาตราบทุกวันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นั่นคือสิ่งที่โลก หรือนักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่า โลกนี้มีอำนาจที่อยู่คู่มากับโลก ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และสอน นั่นคือ อำนาจกรรม และอำนาจธรรม
อำนาจทั้งสองสิ่งนี้ เหนือมนุษย์ มีสภาพเหมือนปาฏิหารย์ ใครทำใครได้ ไม่ต้องเชิญ ถึงเวลาก็มาเอง
และเมื่อวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่า โรค เป็นบริวารของกรรม จึงคิดให้หัวระเบิด ก็ไม่มีวันพบยารักษาโรค และท้ายที่สุด ก็ใช้วิธีการหลอกล่อ ทำยาระงับมา แล้วโฆษณาว่าเป็นยารักษาโรค หลอกคนที่ไม่รู้ ...
คำสอนที่แม่ชีเมี้ยน ให้หลวงพ่อนิพนธ์มาบอกกล่าวพี่น้องคนไทย เพื่อพิจารณา เหตุและผล ที่เราท่านมักได้ยินเสมอ นั่นคือ ความจริงที่พระภูมีทรงตรัสว่า โรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม และเมื่อเป็นดังนี้แล้ว จักเอาเงินไปซื้อโรคให้หายได้โดยวิธีใด มันจึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
และบุคคลเดียวที่เรียนรู้วิธีเอาชนะกรรมได้ คือ พระพุทธเจ้า ดังนั้น เมื่อชนะกรรมได้ ก็ชนะโรคได้ ...
แล้วทำไมพี่น้องคนไทย ที่เรียกตนว่าชาวพุทธ จึงหลงใหล และไปเชื่อฝรั่งว่า ยาของพวกเขา จะช่วยรักษาโรคได้ อันหมายถึงชนะกรรมที่ทำมาของเราท่านได้ ... นี่แหละพระภูมีจึงตรัสว่า กรรมมันบังตา บังใจ ...
ผลก็คือ เมื่อเห็นยาฝรั่ง ที่เป็นกงจักร กลายเป็นดอกบัว หลงเดินเข้าไป รายแล้วรายเล่า นิ้วขาด แขนขาด อวัยวะขาด แล้วก็ถูกกงจักรฆ่าตายไปรายแล้วรายเล่า
ไม่เคยเลยที่จักมี นิติเวช คนไหน หรือ หมอคนไหน ที่กล้ามาบอกเลยว่า คนส่วนใหญ่ที่ตายไป หาใช่ตายด้วยอาการของโรคไม่ หากแต่แท้จริงแล้ว ตายเพราะยาเคมีของฝรั่ง ที่ทานเข้าไป จนร่างกายรับไม่ไหวต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า มนุษย์สมัยนี้ จึงเดินไปไม่ถึงพรหมลิขิต เพราะโดนเคมีลิขิต ทำให้เกิดกรรม ทำร้ายตนเอง หรือ ฆ่าตนเอง จนตายไปก่อนพรหมลิขิตเสียแล้ว
วันนี้ มีคนดี อาสามาเป็นหัวขบวน ปลุกปั่นชาวประชา ให้เลิกเสียซึ่งเคมีลิขิต ... เราจึงอยากรู้ และรอดูว่า ประเทศที่มีคนบอกว่า ให้สนับสนุนคนดี ทำกันอย่างไร... เอามือซุกกระเป๋า เอาตัวรอด ปล่อยให้คนดี โดนกฎหมายรังแก โดนบีบจนแทบไม่มีที่ยืน ... หรือ จักกระโดดมาเป็นแนวร่วม เพื่อสนับสนุนคนดี เหมือนที่พูด
ภาพในอนาคต ของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่เราเฝ้าลุ้นด้วยใจจิตใจจ่อ นั่นคือ จบไปกับตำนานสมุนไพร เพราะแม่ชีเมี้ยนเห็นแล้วว่า คนไทยเขาไม่เอา ไปเกิดใหม่ตามพระภูมีองค์ใหม่ในพม่า หรือ จักเป็นผู้สืบสานตำนานสมุนไพร ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน ว่าครั้งหนึ่ง ประเทศไทยถือได้ว่า เคยรุ่งเรืองด้วยวิธีการฟื้นฟูตน ด้วยหลักสมุนไพรของพระภุมี ทำในสิ่งที่ฝรั่ง หรือชาติที่เจริญแล้วทั้งหลาย ต้องยอมรับ
เต็มที่
ฝ่ายทหารได้อำนวยความสะดวกในการเดินทาง ตลอดระยะทางมีทหารจากส่วนพื้นที่ต่างๆ มาให้การต้อนรับ และพาชมพื้นที่ที่เห็นว่ามีความเหมาะสม ในการปลูกสมุนไพร รวมทั้งพื้นที่ที่มีสมุนไพรจากป่า ให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้พิจารณาจัดสรรตามความเหมาะสม
และที่น่ายินดี ได้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร คือ นายอำเภอ และ ส.ว. ที่มีอำนาจอนุมัติการให้เช่าพื้นที่ในเขตความรับผิดชอบ มาให้ความร่วมมืออย่างดี พร้อมกับสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนของเขา มีรายได้ และที่สำคัญ คือ ได้มีศูนย์ที่ให้การฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อบริการชาวพม่า ที่เป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง
จึงน่าจะคาดการณ์ได้ว่า หากกิจกรรมยังคงดำเนินอยู่ ในปีหน้านี้ เราท่านคงจะได้เห็นสมุนไพร ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ นั่นคือ มีทานกันอย่างเต็มที่ และที่สำคัญ สามารถจัดตั้งศูนย์ตามส่วนต่างๆ ของประเทศ เพื่อเสนอตนเป็นทางเลือกให้แก่คนไทย ได้มีโอกาสฟื้นฟูตน ตามหลักของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
ความหวังลึกๆ นั่นคือ เมื่อสมุนไพรและหลักปฏิบัติของพระภูมี ได้รับการยอมรับมากขึ้น อันมีความหมายว่า คนไทยที่จะกลายเป็นคนดี ตามรอยพระภูมี อันเป็นคนที่กลัวกรรม ไม่กล้าทำบาป และมีนิสัยให้สุขแก่ผู้อื่น ย่อมมากขึ้น สังคมที่เดือดพล่านอยู่ทุกวันนี้ ก็น่าจะลดดีกรีลง กลับไปอยู่ในร่องรอยที่ควรเป็น
เห็นเค้าลางอันนี้ จึงย้อนนึกถึงคำตรัสของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอในช่วงแรกๆ ว่า คุณค่าของสมุนไพร ไม่ใช่จบแค่ที่คนคนเดียว หากแต่แผ่ออกไป ไม่ว่า เกษตรกรผู้ปลูก คนรอบข้าง และหากมีพลังมากพอ สมุนไพรนี้แหละจักเป็นตัว กอบกู้ประเทศ มันคงใกล้ความจริง...
ภาพที่พอมองเห็น นั่นคือ รัฐบาลไม่ต้องเสียงบปราบปรามยาเสพติด เหมือนยุคสฤษด์ ที่คนสูบฝิ่นหายหมด จนวันนี้เรียกว่าแทบไม่เหลือแล้ว ไม่ต้องเสียงบประมาณค่าเวชภัณฑ์ หลายแสนล้านต่อปี ประชาชนมีคุณภาพ มีร่างกายและจิตใจที่ดี ... แค่นี้ประเทศก็มีเงินเหลือไปพัฒนาประเทศได้มากหลายแล้ว
และสิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจคิดไม่ถึง นั่นคือ ประเทศไทยจะเป็นเมืองหน้าด่าน ที่ผู้คนจะหลั่งไหลมา ผ่านเข้าประเทศพม่า เพื่อชมบุญญาธิการของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่กำลังจะอุบัติ
ทำไมลือ ก็เพราะการเดินทางเข้าไปทางด่านพุน้ำร้อน สะดวกกว่าเส้นทางไหนๆ นั่นเอง
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556
สายตรง
ตำราสมุนไพร เป็นเอกสิทธิ์ของพระภูมี อันบ่งบอกว่า เมื่อพระภูมีอุบัติ อำนาจทั้งหมดก็จักกลับไปอยู่ที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่นั้นเอง
และแนวทาง สมุนไพรล้างโรค และบุญล้างกรรม ที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ กำหนดให้ทำนั้น ย่อมมีฤทธิ์อันมหาศาล เห็นผลเร็วยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นทางสายตรง ที่เมื่อทำถูกก็ให้ผลมหาศาล รวดเร็ว
ทางสายน้อยที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้นี้ มาวันนี้ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า เมื่อตัวจริงเขามาแล้ว จักเลิกเสียเมื่อไหรก็ได้
และด้วยกรรมที่มีส่วนร่วมในการล่มสลายของถ้ำกระบอก ที่แม้นจักไม่มีเจตนา แต่ก็ปฏิเสธส่วนร่วมอันนั้นไม่ได้ สิ่งที่ทำผ่านมา ก็ถือได้ว่าได้ใช้กรรมอันนั้นหมดสิ้นแล้ว
นั่นหมายความว่า คนที่อยากหายโรค ก็ต้องดั้นด้นไปพม่า ไปขอยาเขียว ยาไพร ยาลูกกลอนน้ำผึ้ง จากพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ กันเอาเอง ซึ่งเมื่อไปถึง ก็ต้องเข้าคิวรอเป็นกิโล เพื่อทานยาเขียวแก้วเดียว แต่ก็มีผลมหาศาล
เส้นทางสายน้อยเส้นนี้ จึงได้ถูกหลวงพ่อนิพนธ์ร้องขอ ให้ดำรงอยู่ ในการตอบแทนคุณแผ่นดิน ที่ครั้งหนึ่งแม่ชีเมี้ยนได้มาอุบัตินั้นเอง
แต่ก็ต้องยอมรับว่า เส้นทางนี้ไม่ใช่สายตรง ถึงกระนั้น แม้นจักเดินอ้อมบ้าง แต่ก็ให้ผลเช่นกัน
คำเตือน ที่ดูเหมือนจักเป็นทีเล่นทีจริง นั่นคือ หากวันใดแม่ชีเมี้ยน เล็งเห็นว่า สิ่งที่ทิ้งไว้ให้นี้ ไม่มีค่ากับผู้ใด หลวงพ่อนิพนธ์ทำไปก็เหนื่อยเปล่า เราท่านอาจได้เห็นหลวงพ่อนิพนธ์นั่งอยู่เฉยๆ ก็จากไป
นั่นหมายถึงว่า แม่ชีเมี้ยนพาวิญญาณไปเกิดใหม่ในพม่า ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์มักพูดเล่นๆ เสมอว่า ไม่ใช่ตายด้วยโรค
คนที่มีโอกาสได้มาทาน ก็รีบทานเพื่อช่วยตนซะ อย่าทานเล่น เพราะอะไรมันก็ไม่แน่นอน
วันนี้คนอื่นอาจจะเฮฮา สนุกสุดเหวี่ยง กับโลกที่ว่ากันว่าล้ำยุค ล้ำสมัย จนเพลินในการสร้างกรรม เห็นสมุนไพรและธรรม เป็นสิ่งไร้ค่า ไม่แม้แต่ชายตามอง แต่กงล้อธรรมจักรทุกยุคทุกสมัย มหันตภัยจากกรรมที่มนุษย์ร่วมกันทำมา จักบังเกิดอย่างมหาศาล รวมตัวกันถล่มมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง เพื่อรอให้พระพุทธเจ้ามาดับยุคเข็ญ
โรคภัยจักทวีความรุนแรงหาประมาณมิได้ คนที่อยู่รอดได้อย่างปลอดภัย ก็คือคนที่มีภูมิจากสมุนไพร และภูมิจากการปฏิบัติธรรมคำสอน นั้นเอง .... วันนั้นแหละ พระภูมีจึงตรัสว่า "หัวเราะที่หลังดังกว่า"
และแนวทาง สมุนไพรล้างโรค และบุญล้างกรรม ที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ กำหนดให้ทำนั้น ย่อมมีฤทธิ์อันมหาศาล เห็นผลเร็วยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นทางสายตรง ที่เมื่อทำถูกก็ให้ผลมหาศาล รวดเร็ว
ทางสายน้อยที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้นี้ มาวันนี้ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า เมื่อตัวจริงเขามาแล้ว จักเลิกเสียเมื่อไหรก็ได้
และด้วยกรรมที่มีส่วนร่วมในการล่มสลายของถ้ำกระบอก ที่แม้นจักไม่มีเจตนา แต่ก็ปฏิเสธส่วนร่วมอันนั้นไม่ได้ สิ่งที่ทำผ่านมา ก็ถือได้ว่าได้ใช้กรรมอันนั้นหมดสิ้นแล้ว
นั่นหมายความว่า คนที่อยากหายโรค ก็ต้องดั้นด้นไปพม่า ไปขอยาเขียว ยาไพร ยาลูกกลอนน้ำผึ้ง จากพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ กันเอาเอง ซึ่งเมื่อไปถึง ก็ต้องเข้าคิวรอเป็นกิโล เพื่อทานยาเขียวแก้วเดียว แต่ก็มีผลมหาศาล
เส้นทางสายน้อยเส้นนี้ จึงได้ถูกหลวงพ่อนิพนธ์ร้องขอ ให้ดำรงอยู่ ในการตอบแทนคุณแผ่นดิน ที่ครั้งหนึ่งแม่ชีเมี้ยนได้มาอุบัตินั้นเอง
แต่ก็ต้องยอมรับว่า เส้นทางนี้ไม่ใช่สายตรง ถึงกระนั้น แม้นจักเดินอ้อมบ้าง แต่ก็ให้ผลเช่นกัน
คำเตือน ที่ดูเหมือนจักเป็นทีเล่นทีจริง นั่นคือ หากวันใดแม่ชีเมี้ยน เล็งเห็นว่า สิ่งที่ทิ้งไว้ให้นี้ ไม่มีค่ากับผู้ใด หลวงพ่อนิพนธ์ทำไปก็เหนื่อยเปล่า เราท่านอาจได้เห็นหลวงพ่อนิพนธ์นั่งอยู่เฉยๆ ก็จากไป
นั่นหมายถึงว่า แม่ชีเมี้ยนพาวิญญาณไปเกิดใหม่ในพม่า ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์มักพูดเล่นๆ เสมอว่า ไม่ใช่ตายด้วยโรค
คนที่มีโอกาสได้มาทาน ก็รีบทานเพื่อช่วยตนซะ อย่าทานเล่น เพราะอะไรมันก็ไม่แน่นอน
วันนี้คนอื่นอาจจะเฮฮา สนุกสุดเหวี่ยง กับโลกที่ว่ากันว่าล้ำยุค ล้ำสมัย จนเพลินในการสร้างกรรม เห็นสมุนไพรและธรรม เป็นสิ่งไร้ค่า ไม่แม้แต่ชายตามอง แต่กงล้อธรรมจักรทุกยุคทุกสมัย มหันตภัยจากกรรมที่มนุษย์ร่วมกันทำมา จักบังเกิดอย่างมหาศาล รวมตัวกันถล่มมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง เพื่อรอให้พระพุทธเจ้ามาดับยุคเข็ญ
โรคภัยจักทวีความรุนแรงหาประมาณมิได้ คนที่อยู่รอดได้อย่างปลอดภัย ก็คือคนที่มีภูมิจากสมุนไพร และภูมิจากการปฏิบัติธรรมคำสอน นั้นเอง .... วันนั้นแหละ พระภูมีจึงตรัสว่า "หัวเราะที่หลังดังกว่า"
ไม่อนุญาต
หลายต่อหลายครั้ง ที่เห็นคนไข้ อยากที่จะถ่ายรูปหลวงพ่อนิพนธ์ หรือ อยากได้รูปแม่ชีเมี้ยน
ความอยากอันนี้ไม่ว่าด้วยเจตนาอันใด เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ทราบก็มักจักไม่อนุญาต
แม้นแต่ในหนังสือ ที่มูลนิธิพิมพ์แจกเองก็ตามแต่ หลวงพ่อนิพนธ์ยังไม่อยากให้มีรูปของแม่ชีเมี้ยน หรือ รูปท่าน อยู่ในหนังสือเลย
จึงน่าสงสัยว่าทำไม ....
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ก็นิสัยมนุษย์นั่นเอง ที่มักจักนำของสูงไปบรรเลงจนฉิบหาย
อุปมาดั่งรูป พระ รูปพระเจ้าแผ่นดิน ที่พิมพ์กันออกมาให้เกลื่อน ตอนพิมพ์ก็อ้างไว้ให้คนได้บูชา เคารพ กราบไหว้ เป็นที่สักการะ
หากแต่ความเป็นจริงที่เห็นกันดาษดื่น วันหนึ่ง มันก็ถูกไปกองทิ้ง อยู่ในส้วมบ้าง ห่อขนมใส่ของบ้าง ไม่รู้ว่าใช้เช็ดก้นหรือเปล่า
ใครไม่ซึ้งไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่หลวงพ่อนิพนธ์พบเจอ มักจักชี้ให้เห็น และกล่าวด้วยความเศร้าสร้อยเสมอว่า สิ่งสูงค่าเหล่านี้ เมื่อเจอนิสัยมนุษย์ กลับถูกเหยียบย่ำ กองวางทิ้ง ไร้ค่าประดามี ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก เพราะมันเกิดกับเมืองที่คนทั้งหลายทั้งปวง พูดกันเซ่งแซ่ว่า ฉันเป็นชาวพุทธ
ทุกครั้งที่เห็น ไม่ว่ารูปเหมือน หรือพระพุทธรูป ถูกวางไว้แบกะดิน หรือ เร่ขาย หรือทิ้งในกองขยะ ใต้ต้นไม้ ก็ยิ่งสะเทือนใจยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้เอง การที่จักนำรูปแม่ชีเมี้ยนไป หรือ รูปตัวท่านไป ก็จึงกลัวนิสัยมนุษย์ยิ่งนัก กลัวว่าวันหนึ่งเดินไป เห็นรูปแม่ชีเมี้ยน กลายเป็นกระดาษห่อขนม แล้วถูกโยนทิ้ง คนเดินเหยียบไปมา ...
มนุษย์สมัยนี้ มันไม่รู้ ว่านี่เป็นกรรมอันมหาศาล ก็ได้แต่นึกว่าตัวเองทำดีอย่างนี้ อย่างนั้น แล้วทำไมจึงมาเป็นโรค ได้รับทุกข์เวทนาเยี่ยงนี้ได้
ย้อนยุคถ้ำกระบอก หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักแนะนำให้ลูกศิษย์ เลือกเฉพาะที่ชอบเก็บไว้ เพียงองค์เดียว แล้วให้ทำที่เหลือมาถวาย หลังจากนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ก็จักนำไปใส่ไว้ตามช่อง ตามโพรงของถ้ำแล้วโบกปูนปิด
คำกล่าวเล่นๆ จึงมักถูกกระเซ้าในยามนี้ว่า อยากรวยน่ะหรือ ก็พระสมเด็จมากมาย ที่ลูกศิษย์นำมาถวาย แล้ว ใส่ในช่องโพรงเหล่านั้นไง แต่... ฉิบหายแน่
ยิ่งวันใดที่พระพุทธเจ้าเขาเปิดตัว ใครมีพฤติกรรมเช่นนี้ อาจจะได้สัมผัสกรรมทันตาให้ดูกันจะจะ ดังนั้น สัจจะข้อหนึ่งที่พระสมัยถ้ำกระบอก ให้แก่ญาติโยม จึงกล่าวว่า "ไม่ซื้อ ไม่ขาย พระ โดยเด็ดขาด"
รูปรอยครั้งพุทธกาล จึงไม่ปรากฎรูปเหมือน ไม่ว่าพระพุทธ หรือพระสงฆ์ องค์ใดให้ปรากฎ นั่นเอง ...
ก็ขนาดพระคาถาบาลีที่ท่องกันอยู่ ในสมัยก่อน ใช้การจด การเขียน หากเขียนผิด ห้ามลบ ห้ามขีดฆ่า ต้องแช่น้ำทานให้หมด ทิ้งก็ไม่ได้ ...
นี่จึงเรียกว่า กรรม อันเกิดจากความไม่รู้ เมื่อรู้แล้ว อย่าทำ....
ความอยากอันนี้ไม่ว่าด้วยเจตนาอันใด เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ทราบก็มักจักไม่อนุญาต
แม้นแต่ในหนังสือ ที่มูลนิธิพิมพ์แจกเองก็ตามแต่ หลวงพ่อนิพนธ์ยังไม่อยากให้มีรูปของแม่ชีเมี้ยน หรือ รูปท่าน อยู่ในหนังสือเลย
จึงน่าสงสัยว่าทำไม ....
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ก็นิสัยมนุษย์นั่นเอง ที่มักจักนำของสูงไปบรรเลงจนฉิบหาย
อุปมาดั่งรูป พระ รูปพระเจ้าแผ่นดิน ที่พิมพ์กันออกมาให้เกลื่อน ตอนพิมพ์ก็อ้างไว้ให้คนได้บูชา เคารพ กราบไหว้ เป็นที่สักการะ
หากแต่ความเป็นจริงที่เห็นกันดาษดื่น วันหนึ่ง มันก็ถูกไปกองทิ้ง อยู่ในส้วมบ้าง ห่อขนมใส่ของบ้าง ไม่รู้ว่าใช้เช็ดก้นหรือเปล่า
ใครไม่ซึ้งไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่หลวงพ่อนิพนธ์พบเจอ มักจักชี้ให้เห็น และกล่าวด้วยความเศร้าสร้อยเสมอว่า สิ่งสูงค่าเหล่านี้ เมื่อเจอนิสัยมนุษย์ กลับถูกเหยียบย่ำ กองวางทิ้ง ไร้ค่าประดามี ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก เพราะมันเกิดกับเมืองที่คนทั้งหลายทั้งปวง พูดกันเซ่งแซ่ว่า ฉันเป็นชาวพุทธ
ทุกครั้งที่เห็น ไม่ว่ารูปเหมือน หรือพระพุทธรูป ถูกวางไว้แบกะดิน หรือ เร่ขาย หรือทิ้งในกองขยะ ใต้ต้นไม้ ก็ยิ่งสะเทือนใจยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้เอง การที่จักนำรูปแม่ชีเมี้ยนไป หรือ รูปตัวท่านไป ก็จึงกลัวนิสัยมนุษย์ยิ่งนัก กลัวว่าวันหนึ่งเดินไป เห็นรูปแม่ชีเมี้ยน กลายเป็นกระดาษห่อขนม แล้วถูกโยนทิ้ง คนเดินเหยียบไปมา ...
มนุษย์สมัยนี้ มันไม่รู้ ว่านี่เป็นกรรมอันมหาศาล ก็ได้แต่นึกว่าตัวเองทำดีอย่างนี้ อย่างนั้น แล้วทำไมจึงมาเป็นโรค ได้รับทุกข์เวทนาเยี่ยงนี้ได้
ย้อนยุคถ้ำกระบอก หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักแนะนำให้ลูกศิษย์ เลือกเฉพาะที่ชอบเก็บไว้ เพียงองค์เดียว แล้วให้ทำที่เหลือมาถวาย หลังจากนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ก็จักนำไปใส่ไว้ตามช่อง ตามโพรงของถ้ำแล้วโบกปูนปิด
คำกล่าวเล่นๆ จึงมักถูกกระเซ้าในยามนี้ว่า อยากรวยน่ะหรือ ก็พระสมเด็จมากมาย ที่ลูกศิษย์นำมาถวาย แล้ว ใส่ในช่องโพรงเหล่านั้นไง แต่... ฉิบหายแน่
ยิ่งวันใดที่พระพุทธเจ้าเขาเปิดตัว ใครมีพฤติกรรมเช่นนี้ อาจจะได้สัมผัสกรรมทันตาให้ดูกันจะจะ ดังนั้น สัจจะข้อหนึ่งที่พระสมัยถ้ำกระบอก ให้แก่ญาติโยม จึงกล่าวว่า "ไม่ซื้อ ไม่ขาย พระ โดยเด็ดขาด"
รูปรอยครั้งพุทธกาล จึงไม่ปรากฎรูปเหมือน ไม่ว่าพระพุทธ หรือพระสงฆ์ องค์ใดให้ปรากฎ นั่นเอง ...
ก็ขนาดพระคาถาบาลีที่ท่องกันอยู่ ในสมัยก่อน ใช้การจด การเขียน หากเขียนผิด ห้ามลบ ห้ามขีดฆ่า ต้องแช่น้ำทานให้หมด ทิ้งก็ไม่ได้ ...
นี่จึงเรียกว่า กรรม อันเกิดจากความไม่รู้ เมื่อรู้แล้ว อย่าทำ....
วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เรื่องเล่า
เมื่อครั้งพระถ้ำกระบอก ทำกิจประจำปี นั่นคือการเดินธุดงค์เป็นวัตร เพื่อฝึกตน
หลังจากปักกลด ก็มีชาวบ้านนำน้ำแข็ง น้ำอัดลม รวมทั้งซองใส่เงิน มาถวายหลวงพ่อนิพนธ์
แม่ชีเมี้ยนจึงสอนให้หลวงพ่อนิพนธ์ ไปกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า พระเป็นพระของพระภูมี รับสิ่งของนั้นไม่ได้หรอก เพราะผิดวินัย
ชาวบ้านที่มา ต่างกล่าวว่า ของเหล่านี้ นำมาด้วยจิตใจอันเลื่อมใสศรัทธา จึงนำมาถวาย หากไม่รับก็ถือว่าเป็นการทำร้ายจิตใจ และปิดกั้นเจตนาดี
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวคำที่แม่ชีเมี้ยนสอนให้แก่คนเหล่านั้นฟังว่า โยมที่มาต้องการไหว้พระแบบไหน พระมีความสุข ที่ได้ถือวินัยของพระภูมี หากแต่พระยังมีกิเลส เมื่อพระต้องถนอมจิตใจเจตนาของโยม ก็เท่ากับว่าต้องทำลายวินัยของพระภูมีลงเสีย
ผลที่ตามมา หากพระเปลี่ยนเจตนาจากเงินที่ได้มา ขึ้นรถไปเสียแล้วไม่อยากเดิน โยมไม่คิดถึงจิตใจของพระภูมีบ้างเลยหรือ ที่อยากได้พระดีๆ ดำรงวินัย เป็นเนื้อนาบุญ ให้คนได้กราบไหว้พึ่งพา
หากโยมจักสนับสนุนพระให้เป็นพระที่ดี ก็ควรให้พระได้ดำรงซึ่งวินัย ได้เป็นขันติสงฆ์ ที่อดทนต่อกิเลส และปฏิเสธที่จักรับของนอกเวลาฉัน ไม่รับเงินรับทอง ทำตนเป็นพระที่ดี จักได้กราบไหว้ได้อย่างสบายใจ เป็นที่พึ่งได้ ไม่ดีกว่าหรือ
บทสรุปของเรื่อง จึงเห็นได้ว่า อยากมีพระดีๆ ไว้กราบไหว้ อย่าได้ถวายเงินให้เด็ดขาด เพราะมันคือไฟประลัยกัลป์ ที่เผาพระมามากมายนักหนาแล้ว และเมื่อไม่ถวายเงิน ก็จักไม่มารหรือเหลือบของศาสนา เอาศาสนาบังหน้าหากิน ...
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำบุญมาตั้งแต่เกิด หมดไปเป็นแสนเป็นล้าน แล้วทำไมไม่มีบุญมาเลี้ยงตนให้พ้นจากโรคได้เลย ... ก็มันเป็นบุญนึกเอาเอง เพราะผลมันฟ้องว่า พฤติกรรมที่ทำมันผิด ผลผิดมันจึงเกิด และหามีบุญอันใดมาเลี้ยงตนไม่นั่นเอง
หลังจากปักกลด ก็มีชาวบ้านนำน้ำแข็ง น้ำอัดลม รวมทั้งซองใส่เงิน มาถวายหลวงพ่อนิพนธ์
แม่ชีเมี้ยนจึงสอนให้หลวงพ่อนิพนธ์ ไปกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า พระเป็นพระของพระภูมี รับสิ่งของนั้นไม่ได้หรอก เพราะผิดวินัย
ชาวบ้านที่มา ต่างกล่าวว่า ของเหล่านี้ นำมาด้วยจิตใจอันเลื่อมใสศรัทธา จึงนำมาถวาย หากไม่รับก็ถือว่าเป็นการทำร้ายจิตใจ และปิดกั้นเจตนาดี
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวคำที่แม่ชีเมี้ยนสอนให้แก่คนเหล่านั้นฟังว่า โยมที่มาต้องการไหว้พระแบบไหน พระมีความสุข ที่ได้ถือวินัยของพระภูมี หากแต่พระยังมีกิเลส เมื่อพระต้องถนอมจิตใจเจตนาของโยม ก็เท่ากับว่าต้องทำลายวินัยของพระภูมีลงเสีย
ผลที่ตามมา หากพระเปลี่ยนเจตนาจากเงินที่ได้มา ขึ้นรถไปเสียแล้วไม่อยากเดิน โยมไม่คิดถึงจิตใจของพระภูมีบ้างเลยหรือ ที่อยากได้พระดีๆ ดำรงวินัย เป็นเนื้อนาบุญ ให้คนได้กราบไหว้พึ่งพา
หากโยมจักสนับสนุนพระให้เป็นพระที่ดี ก็ควรให้พระได้ดำรงซึ่งวินัย ได้เป็นขันติสงฆ์ ที่อดทนต่อกิเลส และปฏิเสธที่จักรับของนอกเวลาฉัน ไม่รับเงินรับทอง ทำตนเป็นพระที่ดี จักได้กราบไหว้ได้อย่างสบายใจ เป็นที่พึ่งได้ ไม่ดีกว่าหรือ
บทสรุปของเรื่อง จึงเห็นได้ว่า อยากมีพระดีๆ ไว้กราบไหว้ อย่าได้ถวายเงินให้เด็ดขาด เพราะมันคือไฟประลัยกัลป์ ที่เผาพระมามากมายนักหนาแล้ว และเมื่อไม่ถวายเงิน ก็จักไม่มารหรือเหลือบของศาสนา เอาศาสนาบังหน้าหากิน ...
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำบุญมาตั้งแต่เกิด หมดไปเป็นแสนเป็นล้าน แล้วทำไมไม่มีบุญมาเลี้ยงตนให้พ้นจากโรคได้เลย ... ก็มันเป็นบุญนึกเอาเอง เพราะผลมันฟ้องว่า พฤติกรรมที่ทำมันผิด ผลผิดมันจึงเกิด และหามีบุญอันใดมาเลี้ยงตนไม่นั่นเอง
แขกพิเศษ
ใครเขาว่ากันว่า ประเทศพม่ายังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ฟังดูแล้วช่างน่ากลัวเสียยิ่งกระไร
หากแต่ในความคิดเรา บ้านเราต่างหากที่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่่อน เพราะเมื่อมองความจริงแล้ว จักเห็นว่า ผู้ปกครองแทบจักทุกระดับ ไม่ได้มองมายังคนทุกข์ยาก และให้ความสำคัญในการแก้ไขความทุกข์ยากอันใดเลย
หากแต่เห็นการยุยง ให้แตกแยก สร้างม๊อบ แย่งชิแหลงอำนาจเพื่อกลุ่มตน ที่สำคัญ เมืองแห่งนี้ยังอ้างตนว่าเป็นเมืองพุทธ ก็สาวกของพระภูมีมีที่ไหนเล่า จักสร้างทุกข์ให้ผู้อื่น ประเทศนี้พะยี่ห้อ ไปก่อม๊อบทั้งผ้าเหลือง แล้วก็มีคนเฮโลไปสนับสนุน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า โรคใหม่ที่มาแรงและน่ากลัว จึงกลายมาเป็นโรคเกลียดชัง วันใดมันถึงจุด ก็จักการเข่นฆ่ากันตาย ทั้งๆที่คนที่ตายกับคนที่ฆ่า ไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่เคยพบ ไม่เคยมีอะไรต่อกันเลย
และที่สำคัญที่เราเห็น นั่นคือ สิ่งดีๆ ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ คนกลุ่มนี้เห็นแล้วก็เมิน ไม่เคยคิดดิ้นรน เพื่อช่วยพี่น้องชาวไทย ให้ได้มีโอกาส มีทางเลือกแต่อย่างใด มิหนำซ้ำ จ้องจะนำกฎหมายมาเล่นงานเสียอีก
ย้อนกลับไปดูชนที่ถูกกล่าวว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน น่ากลัว หลังจากที่หลานนายกพม่า ทราบข่าวและสนใจ ในกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนธ์ ก็เสนอตนเพื่อช่วย นั่นก็หมายถึง ช่วยคนของเขาชาวพม่าด้วยกันในขณะเดียวกัน
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาจึงเชิญแม่ทัพน้อยของพม่า ทั้งสามเหล่าทัพ ที่หลังจากพูดคุยกัน และอยากเห็นกับตาว่า คนมาทานสมุนไพร มันจักมากมายดังที่คุยไว้หรือเปล่า
คณะของเขา จึงได้มายังชมรมคนรักสุขภาพ พบปะคนไข้ และเยี่ยมชมแผนกต่างๆ โดยได้ไกด์ คือ คุณแชมเปญ เอ็กซ์ เป็นผู้บรรยาย ให้ฟัง ตลอดการเยี่ยมชม
แม่ทัพน้อย ทั้งสามท่าน ต้องเอ่ยปากด้วยความประหลายใจว่า ไม่น่าเชื่อว่า จักมีคนมากมายขนาดนี้ แล้วกล่าวว่า ในตอนแรกที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราว ยังเกรงว่า จักเป็นการนำสมุนไพรบังหน้า เพื่อขนถ่ายยุทธปัจจัย จึงอยากมาดูด้วยตนเอง เพราะไม่คิดว่า จักมีใครที่ใช้สมุนไพรมากมายปานนี้
หลังจากเยี่ยมชมในตอนเช้า ได้สั่งการไปยังทหารใต้บังคับบัญชา ให้จัดขบวนพิเศษ เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้เข้าไปยังจุดต่างๆที่ต้องการ ตลอดแนวเส้นทางบ้านพุน้ำร้อน จนถึงทวาย และให้ทหารตรวจดูว่า หมู่บ้านใดมีสมุนไพรและมีความพร้อม โดยเฉพาะในส่วนที่มีการทำไร่เลือนลอย เพื่อจักทำให้มีอาชีพ มีรายได้ และอยู่เป็นหลักแหล่ง
ได้ยินแม่ทัพน้อยทั้งสามท่านสั่งการ แล้วให้นึกสงสารคนไทย ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่ผู้มีอำนาจวาสนาบารมีของคนไทย คนใด ที่ผ่านมา หรือพบเห็น ของดีที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ แล้วตื่นเต้น รีบสั่งการ เช่นนี้เลย
หากแต่เรื่องนี้ก็เป็นที่น่ายินดี ที่ต่อไปในอนาคตอันใกล้ คนไข้ทุกคน ก็จักได้มีสมุนไพรทานกันอย่างเต็มที่ทุกคน ไม่ต้องมาแบ่งกันปนแย่งกันดังเช่นทุกวันนี้
และก็อยากฝากให้ คนที่เรียกตนว่ามีอำนาจ วาสนา บารมีของคนไทย ด้วยคำของหลวงพ่อนิพนธ์ว่า หากคิดไปรอคนเหล่านี้มาช่วยคนไทยน่ะหรือ ชาติหน้า ...
เพราะบทเรียนจากถ้ำกระบอกก็แสดงให้เห็นอยู่แล้ว ปอกเปลือกออกมา คนไทยนั้นจะทำก็ต่อเมื่อได้หน้าเท่านั้นเอง ต้องมีทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ มาล่อ... การอยู่รอดจึงต้องพึ่งกันเองระหว่างผู้ทำกับผู้ทาน ขืนรอคนเหล่านั้น ... ตายก่อนหมด
คำทิ้งท้ายของหลวงพ่อนิพนธ์ มักจักกล่าวเสมอว่า อันที่จริงคนเหล่านั้นไม่ต้องกลัวหรอกว่าจักเสียรายได้มหาศาล เพราะความจริง แม้นแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จักเป็นที่นิยมและยอมรับ คนที่จะมาเดินแนวทางนี้ ก็มีเพียงหยิบมือ เพราะมันทำยาก... ดั่งสาวกของพระโคดม ที่คนนับร้อยล้านในอินเดีย ที่มานิยมแล้วทำตาม ยังไม่ถึงแสนคนเลยนั่นเอง
หากแต่ในความคิดเรา บ้านเราต่างหากที่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่่อน เพราะเมื่อมองความจริงแล้ว จักเห็นว่า ผู้ปกครองแทบจักทุกระดับ ไม่ได้มองมายังคนทุกข์ยาก และให้ความสำคัญในการแก้ไขความทุกข์ยากอันใดเลย
หากแต่เห็นการยุยง ให้แตกแยก สร้างม๊อบ แย่งชิแหลงอำนาจเพื่อกลุ่มตน ที่สำคัญ เมืองแห่งนี้ยังอ้างตนว่าเป็นเมืองพุทธ ก็สาวกของพระภูมีมีที่ไหนเล่า จักสร้างทุกข์ให้ผู้อื่น ประเทศนี้พะยี่ห้อ ไปก่อม๊อบทั้งผ้าเหลือง แล้วก็มีคนเฮโลไปสนับสนุน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า โรคใหม่ที่มาแรงและน่ากลัว จึงกลายมาเป็นโรคเกลียดชัง วันใดมันถึงจุด ก็จักการเข่นฆ่ากันตาย ทั้งๆที่คนที่ตายกับคนที่ฆ่า ไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่เคยพบ ไม่เคยมีอะไรต่อกันเลย
และที่สำคัญที่เราเห็น นั่นคือ สิ่งดีๆ ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ คนกลุ่มนี้เห็นแล้วก็เมิน ไม่เคยคิดดิ้นรน เพื่อช่วยพี่น้องชาวไทย ให้ได้มีโอกาส มีทางเลือกแต่อย่างใด มิหนำซ้ำ จ้องจะนำกฎหมายมาเล่นงานเสียอีก
ย้อนกลับไปดูชนที่ถูกกล่าวว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน น่ากลัว หลังจากที่หลานนายกพม่า ทราบข่าวและสนใจ ในกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนธ์ ก็เสนอตนเพื่อช่วย นั่นก็หมายถึง ช่วยคนของเขาชาวพม่าด้วยกันในขณะเดียวกัน
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาจึงเชิญแม่ทัพน้อยของพม่า ทั้งสามเหล่าทัพ ที่หลังจากพูดคุยกัน และอยากเห็นกับตาว่า คนมาทานสมุนไพร มันจักมากมายดังที่คุยไว้หรือเปล่า
คณะของเขา จึงได้มายังชมรมคนรักสุขภาพ พบปะคนไข้ และเยี่ยมชมแผนกต่างๆ โดยได้ไกด์ คือ คุณแชมเปญ เอ็กซ์ เป็นผู้บรรยาย ให้ฟัง ตลอดการเยี่ยมชม
แม่ทัพน้อย ทั้งสามท่าน ต้องเอ่ยปากด้วยความประหลายใจว่า ไม่น่าเชื่อว่า จักมีคนมากมายขนาดนี้ แล้วกล่าวว่า ในตอนแรกที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราว ยังเกรงว่า จักเป็นการนำสมุนไพรบังหน้า เพื่อขนถ่ายยุทธปัจจัย จึงอยากมาดูด้วยตนเอง เพราะไม่คิดว่า จักมีใครที่ใช้สมุนไพรมากมายปานนี้
หลังจากเยี่ยมชมในตอนเช้า ได้สั่งการไปยังทหารใต้บังคับบัญชา ให้จัดขบวนพิเศษ เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้เข้าไปยังจุดต่างๆที่ต้องการ ตลอดแนวเส้นทางบ้านพุน้ำร้อน จนถึงทวาย และให้ทหารตรวจดูว่า หมู่บ้านใดมีสมุนไพรและมีความพร้อม โดยเฉพาะในส่วนที่มีการทำไร่เลือนลอย เพื่อจักทำให้มีอาชีพ มีรายได้ และอยู่เป็นหลักแหล่ง
ได้ยินแม่ทัพน้อยทั้งสามท่านสั่งการ แล้วให้นึกสงสารคนไทย ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่ผู้มีอำนาจวาสนาบารมีของคนไทย คนใด ที่ผ่านมา หรือพบเห็น ของดีที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ แล้วตื่นเต้น รีบสั่งการ เช่นนี้เลย
หากแต่เรื่องนี้ก็เป็นที่น่ายินดี ที่ต่อไปในอนาคตอันใกล้ คนไข้ทุกคน ก็จักได้มีสมุนไพรทานกันอย่างเต็มที่ทุกคน ไม่ต้องมาแบ่งกันปนแย่งกันดังเช่นทุกวันนี้
และก็อยากฝากให้ คนที่เรียกตนว่ามีอำนาจ วาสนา บารมีของคนไทย ด้วยคำของหลวงพ่อนิพนธ์ว่า หากคิดไปรอคนเหล่านี้มาช่วยคนไทยน่ะหรือ ชาติหน้า ...
เพราะบทเรียนจากถ้ำกระบอกก็แสดงให้เห็นอยู่แล้ว ปอกเปลือกออกมา คนไทยนั้นจะทำก็ต่อเมื่อได้หน้าเท่านั้นเอง ต้องมีทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ มาล่อ... การอยู่รอดจึงต้องพึ่งกันเองระหว่างผู้ทำกับผู้ทาน ขืนรอคนเหล่านั้น ... ตายก่อนหมด
คำทิ้งท้ายของหลวงพ่อนิพนธ์ มักจักกล่าวเสมอว่า อันที่จริงคนเหล่านั้นไม่ต้องกลัวหรอกว่าจักเสียรายได้มหาศาล เพราะความจริง แม้นแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จักเป็นที่นิยมและยอมรับ คนที่จะมาเดินแนวทางนี้ ก็มีเพียงหยิบมือ เพราะมันทำยาก... ดั่งสาวกของพระโคดม ที่คนนับร้อยล้านในอินเดีย ที่มานิยมแล้วทำตาม ยังไม่ถึงแสนคนเลยนั่นเอง
ห้ามทานอะไร
หลวงพ่อนิพนธ์ได้แยกความจริงของชีวิตมนุษย์ให้เห็นว่า ประกอบด้วยความจริงสองส่วน ที่ล้วนแล้วแต่ใช้หลักการเดียวกัน นั่นคือ หลักตนพึ่งตน
ส่วนแรกนั้นคือ การเจริญเติบโต อันจักต้องพึ่งการทาน และการย่อยของกระเพาะอาหาร และวัตถุดิบที่ต้องการนั่นคือ อาหาร ๕ หมู่
การไม่ทานหรืองดอาหารหมู่หนึ่งหมู่ใด ย่อมเป็นการทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น ผลที่ปรากฎอาจจักไม่เกิดในเร็ววัน แต่ร่างกายต้องอาศัยการแปรรูปจากอาหารหมู่อื่นมาชดเชย ซึ่งมักจักขาดแคลน จนในท้ายที่สุด ก็จักเกิดเป็นวิกฤต โดยเฉพาะเมื่อร่างกายเกิดโรค และต้องการอาหารหมู่นั้นๆ เพื่อแก้ไข
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ความเป็นปกติของมนุษย์นั่นคือ อาหาร ๕ หมู่ ดังนั้น เมื่อใช้แนวทางการระงับยับยั้ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า วิธีของยาเคมี หรือแนวทางอื่นใด มักจักต้องให้งดอาหารสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยเฉพาะที่เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงเฉียบพลัน
มองผิวเผิน ย่อมเป็นที่สมปรารถนาของคนไข้ เพราะทำให้ไม่เกิดอาการ เนื่องจากการแพ้นั้นๆ และฤทธิ์ของยาที่ทาน ก็ทำให้อาการที่ไม่พึงประสงค์ หายไปในทันที
หากแต่ความเป็นจริงสภาพอาการของโรค ยังดำรงอยู่ และเจริญเติบโต นั่นคือรุนแรงขึ้น ผลก็คือ อาการแพ้ยิ่งรุนแรง และปริมาณการทานยาเพื่อการระงับต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด ก็ไม่สามารถหยุดอาการได้ นั่นคือวัน นรกแตก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การแก้ไขที่แท้จริง นั่นคือ การทานสมุนไพร เพื่อสร้างภูมิ และเสริมสร้างอวัยวะให้แข็งแกร่ง แล้วทานอาหารให้ครบหมู่ การทำเช่นนี้ร่างกายจึงจักมีวัตถุดิบ ที่ใช้ในการฟื้นฟูตัว
การทานอาหารที่มีคุณสมบัติก่อให้เกิดอาการแพ้ ในทางการแพทย์ถือว่าต้องหลีกเลี่ยง แต่ในทางสมุนไพรสูตรพระภูมี กลับถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะอาหารเหล่านี้ นั่นก็คือพาหะที่จักนำสมุนไพร เข้าไปถึงยังแหล่งของต้นตอ นั่นคือโรคได้อย่างแม่นยำ
คุณประโยชน์จากวิกฤตที่พึงเกิดจากอาหารเหล่านี้ นั่นคือ ทำให้สมองได้รับรู้ว่า ร่างกายเกิดวิกฤต แล้วสั่งการเพื่อแก้ไขซึ่งวิกฤตนั้นให้หายไป โดยอาศัยวัตถุดิบสองส่วน นั่นคืออาหารที่ครบหมู่ และสมุนไพร
วิทยากร คือ ท่าน อ.อร่าม จึงมักแนะนำ ให้คนไข้ใหม่ หลังจากทานสมุนไพรได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ให้เริ่มทานอาหารที่เรียกว่า หมอห้าม นั่นคือ สิ่งใดห้าม สิ่งใดแพ้ ทานก่อนเลย
ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นโรคเบาหวาน ก็ให้เริ่มทานของหวาน คนเป็นเก๊าต์ ก็ให้เริ่มทานไก่
วันใดที่เราท่านสามารถกลับมาทานอาหารทุกอย่างได้อย่างเป็นปกติสุข นั่นแหละคือการหายโรค
จนอาจกล่าวได้ว่า ความสุขจากการไม่มีโรคอย่างหนึ่ง นั่นคือ การอยากทานอะไรแล้วทานได้อย่างมีความสุขนั่นเอง
ถ้าห้ามทานโน่นทานนี่ แล้วจักเรียกว่ารักษาหายได้อย่างไร เพราะเดิมของมนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อไม่เหมือนเดิม แล้วจักเรียกว่ารักษาได้อย่างไร หลอกตัวเองเท่านั้นเอง
หากแต่ก่อนจักถึงวันนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักให้คาถา เมื่อเกิดวิกฤต และรอจนร่างกายเคลียร์ได้ ว่า ไม่ผ่านประตูนรก จักถึงประตูสวรรค์ได้อย่างไร
และที่สำคัญ เมื่อถึงวิกฤตที่สาหัสสากรรจ์วันใด ... นั่นจึงหมายความว่า หลังพายุลูกนี้ จักถึงประตูสวรรค์แล้วนั่้นเอง ดูจากคนไข้สาวที่เป็นมะเร็งลำไส้ ก็อาศัยสตินี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ ทนนอนร้อง และทานสมุนไพร ผ่านวันคืน จนร่างกายเคลียร์ ความปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายกลับมาแข็งแรง มีกำลัง และมีท่าว่าจะอยู่ยาว จนหลวงพ่อนิพนธ์แซวว่า อนาคตอาจต้องบ่นว่าเมื่อไหร่จะไปกับเขาสักที เพราะรุ่นเดียวกันมันไปหมดแล้ว
ด้วยความจริงข้อนี้เอง จึงทำให้เราท่านได้รู้ว่า ชีวิตเราท่านต้องอาศัยชีวิตมาต่อ นั่นคือ อาหารที่มีชีวิต แล้วผ่านกระบวนการทานและย่อยของท้อง สิ่งที่ไม่ใช้ก็ขับเป็นกาก ร่างกายจึงจักยอมรับ สารสกัด ไม่ว่าชนิดไหน หรือสารพัดวิตามิน ที่ผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์ จึงไม่อยู่ในกฏเกณฑ์ ที่ให้คุณ
อันหมายความว่า ใช้ได้ในระยะสั้นที่ร่างกายขาดเท่านั้น หากทานนานเกินไป ย่อมทำให้เซลล์ที่มีหน้าที่สร้างสารเหล่านั้น ง่อยเปลี้ย ไม่ทำงาน และท้ายที่สุด ร่างกายจะขาดสารนั้น แม้จักทานเพิ่มเข้าไปสักฉันใด ร่างกายก็ไม่รับ เพราะไม่ใช่ของมัน คือไม่ผ่านการย่อยนั่นเอง
ความจริงข้อนี้ ได้ถูกพิสูจน์จากรางวัลโนเบลของนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง ในปี ค.ศ.๑๙๙๙ ที่กล่าวว่า อาหารที่ถูกย่อยโดยร่างกาย ร่างกายจักสร้างรหัสขึ้นมาว่า อาหารดังกล่าวจักถูกส่งไปยังที่ใดของร่างกาย หากแต่อาหารสกัดหรือเคมี จักไม่มีรหัสดังกล่าวนี้ ผลก็คือ จักกลายเป็นขยะตกค้างในร่างกาย อุปมาเหมือนจดหมายที่ไม่จ่าหน้านั่นเอง
บทสรุป ของการรักษาตน จึงมีความจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบหมู่ ชอบไม่ชอบต้องทาน เพื่อเป็นวัตถุดิบในการฟื้นฟูตน ...โดยเฉพาะอันไหนหมอห้าม ให้รีบทานก่อนเลย
ส่วนแรกนั้นคือ การเจริญเติบโต อันจักต้องพึ่งการทาน และการย่อยของกระเพาะอาหาร และวัตถุดิบที่ต้องการนั่นคือ อาหาร ๕ หมู่
การไม่ทานหรืองดอาหารหมู่หนึ่งหมู่ใด ย่อมเป็นการทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น ผลที่ปรากฎอาจจักไม่เกิดในเร็ววัน แต่ร่างกายต้องอาศัยการแปรรูปจากอาหารหมู่อื่นมาชดเชย ซึ่งมักจักขาดแคลน จนในท้ายที่สุด ก็จักเกิดเป็นวิกฤต โดยเฉพาะเมื่อร่างกายเกิดโรค และต้องการอาหารหมู่นั้นๆ เพื่อแก้ไข
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ความเป็นปกติของมนุษย์นั่นคือ อาหาร ๕ หมู่ ดังนั้น เมื่อใช้แนวทางการระงับยับยั้ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า วิธีของยาเคมี หรือแนวทางอื่นใด มักจักต้องให้งดอาหารสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยเฉพาะที่เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงเฉียบพลัน
มองผิวเผิน ย่อมเป็นที่สมปรารถนาของคนไข้ เพราะทำให้ไม่เกิดอาการ เนื่องจากการแพ้นั้นๆ และฤทธิ์ของยาที่ทาน ก็ทำให้อาการที่ไม่พึงประสงค์ หายไปในทันที
หากแต่ความเป็นจริงสภาพอาการของโรค ยังดำรงอยู่ และเจริญเติบโต นั่นคือรุนแรงขึ้น ผลก็คือ อาการแพ้ยิ่งรุนแรง และปริมาณการทานยาเพื่อการระงับต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด ก็ไม่สามารถหยุดอาการได้ นั่นคือวัน นรกแตก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การแก้ไขที่แท้จริง นั่นคือ การทานสมุนไพร เพื่อสร้างภูมิ และเสริมสร้างอวัยวะให้แข็งแกร่ง แล้วทานอาหารให้ครบหมู่ การทำเช่นนี้ร่างกายจึงจักมีวัตถุดิบ ที่ใช้ในการฟื้นฟูตัว
การทานอาหารที่มีคุณสมบัติก่อให้เกิดอาการแพ้ ในทางการแพทย์ถือว่าต้องหลีกเลี่ยง แต่ในทางสมุนไพรสูตรพระภูมี กลับถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะอาหารเหล่านี้ นั่นก็คือพาหะที่จักนำสมุนไพร เข้าไปถึงยังแหล่งของต้นตอ นั่นคือโรคได้อย่างแม่นยำ
คุณประโยชน์จากวิกฤตที่พึงเกิดจากอาหารเหล่านี้ นั่นคือ ทำให้สมองได้รับรู้ว่า ร่างกายเกิดวิกฤต แล้วสั่งการเพื่อแก้ไขซึ่งวิกฤตนั้นให้หายไป โดยอาศัยวัตถุดิบสองส่วน นั่นคืออาหารที่ครบหมู่ และสมุนไพร
วิทยากร คือ ท่าน อ.อร่าม จึงมักแนะนำ ให้คนไข้ใหม่ หลังจากทานสมุนไพรได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ให้เริ่มทานอาหารที่เรียกว่า หมอห้าม นั่นคือ สิ่งใดห้าม สิ่งใดแพ้ ทานก่อนเลย
ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นโรคเบาหวาน ก็ให้เริ่มทานของหวาน คนเป็นเก๊าต์ ก็ให้เริ่มทานไก่
วันใดที่เราท่านสามารถกลับมาทานอาหารทุกอย่างได้อย่างเป็นปกติสุข นั่นแหละคือการหายโรค
จนอาจกล่าวได้ว่า ความสุขจากการไม่มีโรคอย่างหนึ่ง นั่นคือ การอยากทานอะไรแล้วทานได้อย่างมีความสุขนั่นเอง
ถ้าห้ามทานโน่นทานนี่ แล้วจักเรียกว่ารักษาหายได้อย่างไร เพราะเดิมของมนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อไม่เหมือนเดิม แล้วจักเรียกว่ารักษาได้อย่างไร หลอกตัวเองเท่านั้นเอง
หากแต่ก่อนจักถึงวันนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักให้คาถา เมื่อเกิดวิกฤต และรอจนร่างกายเคลียร์ได้ ว่า ไม่ผ่านประตูนรก จักถึงประตูสวรรค์ได้อย่างไร
และที่สำคัญ เมื่อถึงวิกฤตที่สาหัสสากรรจ์วันใด ... นั่นจึงหมายความว่า หลังพายุลูกนี้ จักถึงประตูสวรรค์แล้วนั่้นเอง ดูจากคนไข้สาวที่เป็นมะเร็งลำไส้ ก็อาศัยสตินี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ ทนนอนร้อง และทานสมุนไพร ผ่านวันคืน จนร่างกายเคลียร์ ความปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายกลับมาแข็งแรง มีกำลัง และมีท่าว่าจะอยู่ยาว จนหลวงพ่อนิพนธ์แซวว่า อนาคตอาจต้องบ่นว่าเมื่อไหร่จะไปกับเขาสักที เพราะรุ่นเดียวกันมันไปหมดแล้ว
ด้วยความจริงข้อนี้เอง จึงทำให้เราท่านได้รู้ว่า ชีวิตเราท่านต้องอาศัยชีวิตมาต่อ นั่นคือ อาหารที่มีชีวิต แล้วผ่านกระบวนการทานและย่อยของท้อง สิ่งที่ไม่ใช้ก็ขับเป็นกาก ร่างกายจึงจักยอมรับ สารสกัด ไม่ว่าชนิดไหน หรือสารพัดวิตามิน ที่ผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์ จึงไม่อยู่ในกฏเกณฑ์ ที่ให้คุณ
อันหมายความว่า ใช้ได้ในระยะสั้นที่ร่างกายขาดเท่านั้น หากทานนานเกินไป ย่อมทำให้เซลล์ที่มีหน้าที่สร้างสารเหล่านั้น ง่อยเปลี้ย ไม่ทำงาน และท้ายที่สุด ร่างกายจะขาดสารนั้น แม้จักทานเพิ่มเข้าไปสักฉันใด ร่างกายก็ไม่รับ เพราะไม่ใช่ของมัน คือไม่ผ่านการย่อยนั่นเอง
ความจริงข้อนี้ ได้ถูกพิสูจน์จากรางวัลโนเบลของนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง ในปี ค.ศ.๑๙๙๙ ที่กล่าวว่า อาหารที่ถูกย่อยโดยร่างกาย ร่างกายจักสร้างรหัสขึ้นมาว่า อาหารดังกล่าวจักถูกส่งไปยังที่ใดของร่างกาย หากแต่อาหารสกัดหรือเคมี จักไม่มีรหัสดังกล่าวนี้ ผลก็คือ จักกลายเป็นขยะตกค้างในร่างกาย อุปมาเหมือนจดหมายที่ไม่จ่าหน้านั่นเอง
บทสรุป ของการรักษาตน จึงมีความจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบหมู่ ชอบไม่ชอบต้องทาน เพื่อเป็นวัตถุดิบในการฟื้นฟูตน ...โดยเฉพาะอันไหนหมอห้าม ให้รีบทานก่อนเลย
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ประกาศขนมเข่ง ขนมเทียน
เทศการสารทจีนปีนี้ ชมรมคนรักสุขภาพ ก็ทำขนมเทียนขายเช่นทุกปี หากแต่ปีนี้อาจจะน้อยหน่อย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทำเพื่อให้เป็นประเพณี ในการมีส่วนร่วมสมทบเป็นกองกลาง จัดซื้อสมุนไพร
วันพฤหัส ได้รับการตอบรับจากสมาชิกอย่างดี ชมรมแจ้งว่า จะมีขายอีกวันคือวันอาทิตย์เท่านั้น ใครต้องการร่วมกองทุนประเพณีนี้ ก็ห้ามพลาดเด็ดขาด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นี่คือขนมมงคล ทานแล้วเป็นมงคล เพราะเกิดจากการทำให้ ไม่ว่าแรงงาน ใบตอง ล้วนแต่เกิดจากการให้ เหลือแต่เพียงวัตถุดิบเท่านั้น
วันพฤหัส ได้รับการตอบรับจากสมาชิกอย่างดี ชมรมแจ้งว่า จะมีขายอีกวันคือวันอาทิตย์เท่านั้น ใครต้องการร่วมกองทุนประเพณีนี้ ก็ห้ามพลาดเด็ดขาด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นี่คือขนมมงคล ทานแล้วเป็นมงคล เพราะเกิดจากการทำให้ ไม่ว่าแรงงาน ใบตอง ล้วนแต่เกิดจากการให้ เหลือแต่เพียงวัตถุดิบเท่านั้น
แผ่นดินเดียวกัน
แม้นปัจจุบันพม่าจะเปิดพรมแดนด้านพุน้ำร้อน จ.กาญฯแล้วก็ตาม หากแต่การผ่านเข้าไปในดินแดนพม่า ก็ยังมีขีดจำกัด ด้วยแต่ละพื้นที่ ยังไม่มีการควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จนั่นเอง
การจุดประกายในการเข้าพม่า เพื่อจัดหาวัตถุดิบ เริ่มเปิด เมื่อผู้บริหารของบริษัท อิตัลไทย ที่เป็นกรรมการของมูลนิธิไทยกรุณา ได้อนุญาตให้ใช้เส้นทางที่บริษัทกำลังก่อสร้าง เพื่อเดินทางเข้าออกได้
หากแต่ มีคำขอ คือ ห้ามเดินทางออกนอกเส้นทางของบริษัท ด้วยเกรงว่าอาจจะไม่ปลอดภัย
มาวันนี้ จู่ๆ ก็มีนักธุรกิจ เป็นคนสองสัญชาติ คือ ไทยพม่า ด้วยพื้นฐานดั่งเดิม บรรพบุรุษเป็นคนพม่า แล้วย้ายมาตั้งรกรากในประเทศไทยได้ระยะหนึ่ง ได้รับรู้เรื่องราวของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเกิดความศรัทธา และให้การสนับสนุน
เขาจึงขอพบ และแสดงตน ว่าตัวเป็นหลานของนายกรัฐมนตรีพม่า มีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่านายทหาร และข้าราชการของพม่า สามารถร้องขอ เพื่อเข้าพื้นที่ต่างๆที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องการได้
และได้ทำการคุยกับฝ่ายทหาร ซึ่งทั้งหมดก็เห็นด้วยกับแนวความคิดของหลวงพ่อนิพนธ์
ไม่ต้องเข้าไปไกลจากชายแดนไทยนัก เพราะมีพื้นที่หนึ่ง ที่ใกล้กับชายแดนไทย เข้าไปประมาณ ๑๑ กิโลเมตร มีหมู่บ้านหนึ่ง ที่มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์มาก หากแต่ประชากรยังไม่มีรายได้ที่แน่นอน หากชมรมจะจัดพันธ์ไม้ที่ต้องการไปให้ แล้วให้ชาวบ้านปลูก เพื่อนำกลับมาขายแก่ชมรม น่าจะเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
วันพฤหัสที่ผ่านมา คุณปรียานุช จึงอาสาเป็นตัวแทน เข้าไปดูพื้นที่
และยังเสนอหมู่บ้านอีกหลายแห่ง ที่มีวัตถุดิบที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องการ รวมทั้งสิ่งที่หายากในประเทศไทย นั่นคือ น้ำผึ้งเดือนห้า แท้ๆ นั่นเอง
จากผืนแผ่นดินที่ติดกัน หากแต่ยังมีกำแพงขวางกั้น ไปมาลำบาก เมื่อฟ้าเปิด ก็ส่งคนมาทลายกำแพง ทำให้เดินไปมาหาสู่กัน เกื้อกูลกัน
อนาคต ก็คงใกล้เข้าครรลอง ของความเป็นมงคลมากเข้าทุกที นั่นคือ วัตถุดิบที่เป็นมงคล ไม่ผ่านความโลภของพ่อค้า คนทำเป็นมงคล ทำให้ และ เจ้าของสูตรคือพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้เป็นมงคล ผลของสมุนไพรก็จักบังเกิดมหาศาล
วันใดเมื่อมีความพร้อม ในด้านเครื่องจักรและวัตถุดิบ ที่สามารถทำเก็บได้ เราท่านก็จักเห็นสมุนไพร แตกตัวไปอยู่ตามที่ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่า ชุมพร เชียงใหม่ ขอนแก่น ตาก ที่ซึ่งตอนนี้เจ้าของพื้นที่ได้เตรียมตัวตั้งตารอแล้ว
ใครบอกว่าที่มูลนิธิคนมาเยอะ หลายพันคน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นี่แค่โหมโรง ยังไม่เปิดฉากเลย ...
การจุดประกายในการเข้าพม่า เพื่อจัดหาวัตถุดิบ เริ่มเปิด เมื่อผู้บริหารของบริษัท อิตัลไทย ที่เป็นกรรมการของมูลนิธิไทยกรุณา ได้อนุญาตให้ใช้เส้นทางที่บริษัทกำลังก่อสร้าง เพื่อเดินทางเข้าออกได้
หากแต่ มีคำขอ คือ ห้ามเดินทางออกนอกเส้นทางของบริษัท ด้วยเกรงว่าอาจจะไม่ปลอดภัย
มาวันนี้ จู่ๆ ก็มีนักธุรกิจ เป็นคนสองสัญชาติ คือ ไทยพม่า ด้วยพื้นฐานดั่งเดิม บรรพบุรุษเป็นคนพม่า แล้วย้ายมาตั้งรกรากในประเทศไทยได้ระยะหนึ่ง ได้รับรู้เรื่องราวของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเกิดความศรัทธา และให้การสนับสนุน
เขาจึงขอพบ และแสดงตน ว่าตัวเป็นหลานของนายกรัฐมนตรีพม่า มีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่านายทหาร และข้าราชการของพม่า สามารถร้องขอ เพื่อเข้าพื้นที่ต่างๆที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องการได้
และได้ทำการคุยกับฝ่ายทหาร ซึ่งทั้งหมดก็เห็นด้วยกับแนวความคิดของหลวงพ่อนิพนธ์
ไม่ต้องเข้าไปไกลจากชายแดนไทยนัก เพราะมีพื้นที่หนึ่ง ที่ใกล้กับชายแดนไทย เข้าไปประมาณ ๑๑ กิโลเมตร มีหมู่บ้านหนึ่ง ที่มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์มาก หากแต่ประชากรยังไม่มีรายได้ที่แน่นอน หากชมรมจะจัดพันธ์ไม้ที่ต้องการไปให้ แล้วให้ชาวบ้านปลูก เพื่อนำกลับมาขายแก่ชมรม น่าจะเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
วันพฤหัสที่ผ่านมา คุณปรียานุช จึงอาสาเป็นตัวแทน เข้าไปดูพื้นที่
และยังเสนอหมู่บ้านอีกหลายแห่ง ที่มีวัตถุดิบที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องการ รวมทั้งสิ่งที่หายากในประเทศไทย นั่นคือ น้ำผึ้งเดือนห้า แท้ๆ นั่นเอง
จากผืนแผ่นดินที่ติดกัน หากแต่ยังมีกำแพงขวางกั้น ไปมาลำบาก เมื่อฟ้าเปิด ก็ส่งคนมาทลายกำแพง ทำให้เดินไปมาหาสู่กัน เกื้อกูลกัน
อนาคต ก็คงใกล้เข้าครรลอง ของความเป็นมงคลมากเข้าทุกที นั่นคือ วัตถุดิบที่เป็นมงคล ไม่ผ่านความโลภของพ่อค้า คนทำเป็นมงคล ทำให้ และ เจ้าของสูตรคือพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้เป็นมงคล ผลของสมุนไพรก็จักบังเกิดมหาศาล
วันใดเมื่อมีความพร้อม ในด้านเครื่องจักรและวัตถุดิบ ที่สามารถทำเก็บได้ เราท่านก็จักเห็นสมุนไพร แตกตัวไปอยู่ตามที่ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่า ชุมพร เชียงใหม่ ขอนแก่น ตาก ที่ซึ่งตอนนี้เจ้าของพื้นที่ได้เตรียมตัวตั้งตารอแล้ว
ใครบอกว่าที่มูลนิธิคนมาเยอะ หลายพันคน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นี่แค่โหมโรง ยังไม่เปิดฉากเลย ...
นักสู้
สาววัย ๒๗ ปี หน้าตาสดใส จะเรียกว่าสวยก็คงไม่ผิด
หากแต่ใครพบเห็นเธอเมื่อปีที่แล้ว ด้วยสภาพที่ถูกหมอทิ้ง หลังจากเข้าคอร์สรักษา และกล่าววาจาอมตะแก่เธอว่า "น่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามเดือน"
เธอพาสภาพที่บอบช้ำของร่างกาย ผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เดินแทบไม่ไหว และตัวดำทั้งตัว มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมสายตาที่แข็งกร้าว อยากจะมีชีวิตอยู่ เพื่อเลี้ยงลูกน้อยสองคน
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ด้วยสภาพของเธอ ในคราวแรกที่พบ ก็ไม่อยากจะรับไว้ หากแต่ด้วยสายตาของนักสู้ ที่พร้อมจะสู้นี้เอง ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ ถามเธอว่า พร้อมจะตายไหม หากถึงที่ตาย เพราะอายุขัย อย่างไรมันก็ต้องตาย หากแต่ถ้ายังมีพรหมลิขิต สู้ด้วยสมุนไพร และความอดทนต่ออาการที่จะพึงเกิดในอนาคต ก็ทิ้งยาเคมีและหมอไว้ข้างหลัง แล้วมาลอง
คำตอบของเธอ คือ พร้อมจะสู้ เป็นตายไม่ว่ากัน และที่สำคัญและถือว่าเป็นโชคของเธอนั่นคือ การที่ไม่มีเงินที่จะสู้ในแนวทางของหมอแล้วนั่นเอง
การทานสมุนไพรผ่านวัน ผ่านเดือน สภาพของเธอเริ่มดีขึ้น พอช่วยตัวเองไหว ก็มาเป็นจิตอาสา หากแต่สภาพอาการของเธอ ก็อยู่ในช่วง สามวันดี สี่วันไข้ อาศัยความอดทน ใจสู้ และยืนหยัดทานสมุนไพร
บางระยะ ด้วยอาการมะเร็งลำไส้ของเธอ ก็ทำให้ไม่ถ่ายเป็นเวลาหลายเดือน
จนเดือนที่แล้ว อาการของเธอก็พุ่งขึ้นขีดสูงสุด นั่นคือ อาการลงแดง ด้วยลำไส้ที่บวมเป่ง บิดระบบทางเดินอาหาร สร้างความทรมาน จนเรียกว่านอนไม่ได้เลย ต้องร้องออกมา
หลวงพ่อนิพนธ์เห็นจึงให้เธอเข้ามาพักที่ชมรมหนึ่งสัปดาห์ แล้วให้ใช้ความอดทน นอนร้องไปด้วยความปวด พร้อมกับกล่าวว่า ถ้าทนปวดได้ ก็ให้ทานสมุนไพรเขียวทุกสามชั่วโมง ครั้งละขวด หากทนปวดไม่ไหว ก็กลับไปหาหมอฉีดยาแก้ปวด
เธอนอนปวดอยู่หนึ่งวันเต็ม วันรุ่งขึ้น ตอนเช้าอาการปวดก็ทวีความรุนแรงขึ้น และมีความรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ เธอจึงเข้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ถึงที่ เธอปวดมาก จึงนำกระโถนมารองไว้ก่อน ปรากฎว่าถ่ายออกมาเป็นเลือดและน้ำเหลือง ประมาณชามโคม
หลังจากนั้นเธอก็หายปวดเป็นปลิดทิ้ง จนทุกวันนี้ พร้อมกับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วของร่างกาย จนกลับมาเป็นสภาพดังที่เห็น
ใจสู้อย่างเธอหรือเปล่า จะมาเดินทางนี้ ... หากทำได้ เธอเป็นตัวอย่างที่เดินนำหน้า และประสพผล
หากแต่ใช่เธอคนเดียว คนไข้รุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ เป็นมะเร็งเช่นกัน จับกลุ่มคุยกัน ปรึกษาและให้กำลังใจ ล้วนแล้วแต่ผ่านวิกฤตคล้ายคลึงกัน เราท่านจึงอาจพบเห็นคนกลุ่มนี้ ในหมู่มวลจิตอาสาที่พบเจอ
นี่คือความเป็นไปได้ ถึงแม้นไม่รอดทุกตัวคน หากแต่ก็มีคนรอดมาเดินให้เห็น...
ใครเดินในชมรม อาจจะพบเจอเธอสวมใส่ชุดพม่า เป็นจิตอาสาทำหน้าที่ต้อนรับ และอำนวยความสะดวก ... ลองทักทายและถามไถ่วีรกรรม เพื่อเป็นกำลังใจแก่ตนเองก็ได้
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เกร็ดศาสนา
พระภูมีทรงบัญญัติว่า บุญบาป ล้วนเกิดจากมนุษย์และสัตว์ ที่มาเจอกัน และมีตัวกระทำต่อกัน
ให้สุขแก่เขา ก็เป็นบุญ ให้ทุกข์แก่เขา ก็เป็นบาป
เมื่อเนื้อนาบุญเกิดขึ้น ณ แผ่นดินใด จึงมีสัญญลักษณ์ที่เด่นชัด นั่นคือ เป็นแหล่งรวมของคนทุกข์ นั่นเอง
แผ่นดินนั้นจึงเป็นที่ที่ทำแล้วได้บุญมหาศาล เพราะมีคนทุกข์มาก
พระท่านถือวินัยธรรม แลมีทุกข์จากขาดโภชนาการ เราท่านไปตักบาตร จึงเป็นบุญ เมื่อพระองค์นั้นฉันแล้ว ทำความดีปฏิบัติธรรมของพระภูมี
คนป่วย มีทุกข์จากโรคภัย ขวดที่ดูเล็กน้อยไร้ค่า สมุนไพร มะกรูดสักลูก พริกไทยสักขีด เมื่อกลายเป็นสมุนไพรบรรเทาทุกข์แก่คนป่วย จึงย้อนมาเป็นบุญให้แก่ผู้นำมา
อย่าไปมองบุญบนฟ้า หรือขีดวงว่า บุญต้องทำที่วัด ทำกับพระเท่านั้น พระภูมีไม่ทรงบัญญัติเช่นนั้นแน่
หากแต่สิ่งที่ทำจักเป็นบุญ ก็ต้องสืบสาวพงศาวดารไปให้สุด ว่าสิ่งที่ให้ไปนั้น ให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ หรือไม่ มิเช่นนั้นแล้ว ก็เป็นแต่บุญลมๆ แล้งๆ เหมือนข้าวรอฝน หามีผลกลับมาตอบแทนไม่
ให้สุขแก่เขา ก็เป็นบุญ ให้ทุกข์แก่เขา ก็เป็นบาป
เมื่อเนื้อนาบุญเกิดขึ้น ณ แผ่นดินใด จึงมีสัญญลักษณ์ที่เด่นชัด นั่นคือ เป็นแหล่งรวมของคนทุกข์ นั่นเอง
แผ่นดินนั้นจึงเป็นที่ที่ทำแล้วได้บุญมหาศาล เพราะมีคนทุกข์มาก
พระท่านถือวินัยธรรม แลมีทุกข์จากขาดโภชนาการ เราท่านไปตักบาตร จึงเป็นบุญ เมื่อพระองค์นั้นฉันแล้ว ทำความดีปฏิบัติธรรมของพระภูมี
คนป่วย มีทุกข์จากโรคภัย ขวดที่ดูเล็กน้อยไร้ค่า สมุนไพร มะกรูดสักลูก พริกไทยสักขีด เมื่อกลายเป็นสมุนไพรบรรเทาทุกข์แก่คนป่วย จึงย้อนมาเป็นบุญให้แก่ผู้นำมา
อย่าไปมองบุญบนฟ้า หรือขีดวงว่า บุญต้องทำที่วัด ทำกับพระเท่านั้น พระภูมีไม่ทรงบัญญัติเช่นนั้นแน่
หากแต่สิ่งที่ทำจักเป็นบุญ ก็ต้องสืบสาวพงศาวดารไปให้สุด ว่าสิ่งที่ให้ไปนั้น ให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ หรือไม่ มิเช่นนั้นแล้ว ก็เป็นแต่บุญลมๆ แล้งๆ เหมือนข้าวรอฝน หามีผลกลับมาตอบแทนไม่
ชำแหละมนุษย์
ศาสตร์แห่งร่างกายมนุษย์ของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา สอนให้เราท่านได้รู้ว่า ร่างกายของเราประกอบด้วยกลุ่มเซลล์สองกลุ่ม
กลุ่มเซลล์ชนิดแรก หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า เซลล์สาธารณสุข มีหน้าที่ในการแยกย่อยอาหาร แล้วนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อซ่อมแซม และการเจริญเติบโต รวมไปถึงให้พละกำลัง เซลล์กลุ่มนี้ต้องการวัตถุดิบ คือ อาหาร
ดังนั้น การจักให้เซลล์กลุ่มนี้ทำงานได้เต็มที่ จึงต้องทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่
หลายคนจึงมักได้ยิน ท่าน อ.อร่าม วิทยากรหลัก จักกล่าวแนะนำคนไข้มะเร็งเสมอว่า โดยทั่วไปแพทย์มักห้ามคนเป็นมะเร็งทานเนื้อสัตว์ หากแต่ความต้องการของมนุษย์ ต้องการเนื้อสัตว์ ยิ่งในสภาวะที่ถูกกลุ่มเซลล์มะเร็งแย่งอาหารและเลือดด้วยแล้ว ร่างกายยิ่งต้องการมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทานเนื้อสัตว์อย่างยิ่ง
ผลของการไม่ทาน อาจไม่ตายด้วยโรคมะเร็ง หากแต่ร่างกายจะขาดสารอาหารจนตายก่อน อันจักเห็นได้ว่า คนเป็นมะเร็งจะผ่ายผอมน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
เซลล์กลุ่มที่สอง เรียกว่า เซลล์หมอ ที่ทำหน้าที่รักษาอาการที่ผิดปกติ
เซลล์กลุ่มนี้จักทำงานได้ ก็ต่อเมื่อร่างกายเกิดวิกฤต แล้วส่งสัญญาณให้สมอง เพื่อสั่งการ
ความสามารถในการฟื้นฟูตนของเซลล์กลุ่มนี้ จักมีความสามารถสูง หากได้รับวัตถุดิบ คือ สมุนไพร
ดังนั้น การฟื้นฟูตน จึงต้องการทั้งอาหารและสมุนไพรควบคู่กันไป
โดยเฉพาะอาหารที่หมอห้าม วิทยากรมักจะแนะนำให้หลังจากทานสมุนไพรได้ระยะหนึ่ง ต้องเริ่มทานอาหารเหล่านั้น
ด้วยคุณสมบัติในการวิ่งไปหาจุดเกิดเหตุที่ดี ของอาหารเหล่านั้น ร่างกายก็จักใช้อาหารนี้พาสมุนไพร ไปยังที่เกิดเพื่อฟื้นฟู
ดังนั้น จึงไม่มีข้อห้ามในอาหารชนิดใด ซ้ำยังยุยงให้ทาน เพื่อให้ร่างกายเกิดวิกฤต แล้วรับรู้ จึงแก้ไข เมื่อร่างกายสามารถแก้ไขจนอาการหมดไป นั่นคือ การหายโรค
การทานอาหารเสริม วิตามิน หรือ ฉีดสารเทียม เช่น อินซูลิน ไขมันเทียม สิ่งต่างๆเหล่านี้ จักเป็นตัวหลอกร่างกาย ว่า ร่างกายไม่ขาดแคลน ไม่มีปัญหา
นั่นหมายความว่า เราท่านกำลังหลอกเซลล์ของร่างกาย ไม่ให้ทำงาน จนเมื่ออาการนั้น เข้าขั้นวิกฤต สาหัส ร่างกายรับไม่ไหว สิ่งเหล่านั้นช่วยไม่ได้ ก็สายเกินกว่าที่เซลล์เหล่านี้ จักฟื้นฟูทันเสียแล้ว
ดังนั้น การทานหรือใช้ สารสกัด เคมี เหล่านี้ จึงเหมือนระเบิดเวลา ที่รอวันปะทุ เป็นการระงับ เพื่อให้สุขวันนี้ และรอทุกข์อันมหันต์ในวันข้างหน้า หาใช่การช่วยหรือรักษาสุขภาพของเราท่านไม่
ดังนั้น สมุนไพร จึงไม่ได้ทานเพื่อการเติบโต ไม่ได้มีไว้รักษาโรคใดๆ หากแต่เป็นวัตถุดิบ ที่ร่างกายเลือกนำไปใช้ในการฟื้นฟูตน ตามแต่วิกฤตที่เกิด
แม่ชีเมี้ยนจึงสอนหลวงพ่อนิพนธ์เสมอว่า อย่าอวดอุตริ อ้างตนว่ารักษาโรคให้คนอื่นได้ หรือ มีสมุนไพรรักษาโรคนั้น โรคนี้ เพราะมันไม่มี หากทำเช่นนั้น ท้ายที่สุดก็จักเข้าตำรา หมองูตายเพราะงู นั่นคือ คนที่อ้างก็จักเป็นโรคตายนั่นเอง
สภาวะความดันสูง น้ำตาลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมันสูง จึงเป็นสภาวะที่เกิดเป็นปกติ ชั่วครั้งชั่วคราวของร่างกายอยู่แล้ว ไม่มีไม่ได้ เพื่อตรวจสอบระบบของร่างกายนั่นเอง
กลุ่มเซลล์ชนิดแรก หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า เซลล์สาธารณสุข มีหน้าที่ในการแยกย่อยอาหาร แล้วนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อซ่อมแซม และการเจริญเติบโต รวมไปถึงให้พละกำลัง เซลล์กลุ่มนี้ต้องการวัตถุดิบ คือ อาหาร
ดังนั้น การจักให้เซลล์กลุ่มนี้ทำงานได้เต็มที่ จึงต้องทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่
หลายคนจึงมักได้ยิน ท่าน อ.อร่าม วิทยากรหลัก จักกล่าวแนะนำคนไข้มะเร็งเสมอว่า โดยทั่วไปแพทย์มักห้ามคนเป็นมะเร็งทานเนื้อสัตว์ หากแต่ความต้องการของมนุษย์ ต้องการเนื้อสัตว์ ยิ่งในสภาวะที่ถูกกลุ่มเซลล์มะเร็งแย่งอาหารและเลือดด้วยแล้ว ร่างกายยิ่งต้องการมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทานเนื้อสัตว์อย่างยิ่ง
ผลของการไม่ทาน อาจไม่ตายด้วยโรคมะเร็ง หากแต่ร่างกายจะขาดสารอาหารจนตายก่อน อันจักเห็นได้ว่า คนเป็นมะเร็งจะผ่ายผอมน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
เซลล์กลุ่มที่สอง เรียกว่า เซลล์หมอ ที่ทำหน้าที่รักษาอาการที่ผิดปกติ
เซลล์กลุ่มนี้จักทำงานได้ ก็ต่อเมื่อร่างกายเกิดวิกฤต แล้วส่งสัญญาณให้สมอง เพื่อสั่งการ
ความสามารถในการฟื้นฟูตนของเซลล์กลุ่มนี้ จักมีความสามารถสูง หากได้รับวัตถุดิบ คือ สมุนไพร
ดังนั้น การฟื้นฟูตน จึงต้องการทั้งอาหารและสมุนไพรควบคู่กันไป
โดยเฉพาะอาหารที่หมอห้าม วิทยากรมักจะแนะนำให้หลังจากทานสมุนไพรได้ระยะหนึ่ง ต้องเริ่มทานอาหารเหล่านั้น
ด้วยคุณสมบัติในการวิ่งไปหาจุดเกิดเหตุที่ดี ของอาหารเหล่านั้น ร่างกายก็จักใช้อาหารนี้พาสมุนไพร ไปยังที่เกิดเพื่อฟื้นฟู
ดังนั้น จึงไม่มีข้อห้ามในอาหารชนิดใด ซ้ำยังยุยงให้ทาน เพื่อให้ร่างกายเกิดวิกฤต แล้วรับรู้ จึงแก้ไข เมื่อร่างกายสามารถแก้ไขจนอาการหมดไป นั่นคือ การหายโรค
การทานอาหารเสริม วิตามิน หรือ ฉีดสารเทียม เช่น อินซูลิน ไขมันเทียม สิ่งต่างๆเหล่านี้ จักเป็นตัวหลอกร่างกาย ว่า ร่างกายไม่ขาดแคลน ไม่มีปัญหา
นั่นหมายความว่า เราท่านกำลังหลอกเซลล์ของร่างกาย ไม่ให้ทำงาน จนเมื่ออาการนั้น เข้าขั้นวิกฤต สาหัส ร่างกายรับไม่ไหว สิ่งเหล่านั้นช่วยไม่ได้ ก็สายเกินกว่าที่เซลล์เหล่านี้ จักฟื้นฟูทันเสียแล้ว
ดังนั้น การทานหรือใช้ สารสกัด เคมี เหล่านี้ จึงเหมือนระเบิดเวลา ที่รอวันปะทุ เป็นการระงับ เพื่อให้สุขวันนี้ และรอทุกข์อันมหันต์ในวันข้างหน้า หาใช่การช่วยหรือรักษาสุขภาพของเราท่านไม่
ดังนั้น สมุนไพร จึงไม่ได้ทานเพื่อการเติบโต ไม่ได้มีไว้รักษาโรคใดๆ หากแต่เป็นวัตถุดิบ ที่ร่างกายเลือกนำไปใช้ในการฟื้นฟูตน ตามแต่วิกฤตที่เกิด
แม่ชีเมี้ยนจึงสอนหลวงพ่อนิพนธ์เสมอว่า อย่าอวดอุตริ อ้างตนว่ารักษาโรคให้คนอื่นได้ หรือ มีสมุนไพรรักษาโรคนั้น โรคนี้ เพราะมันไม่มี หากทำเช่นนั้น ท้ายที่สุดก็จักเข้าตำรา หมองูตายเพราะงู นั่นคือ คนที่อ้างก็จักเป็นโรคตายนั่นเอง
สภาวะความดันสูง น้ำตาลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมันสูง จึงเป็นสภาวะที่เกิดเป็นปกติ ชั่วครั้งชั่วคราวของร่างกายอยู่แล้ว ไม่มีไม่ได้ เพื่อตรวจสอบระบบของร่างกายนั่นเอง
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ฝัน
นับแต่ช่วงแรกๆ ที่ได้มาสัมผัสกับหลวงพ่อนิพนธ์ ผ่านไปสองสามปี ได้เห็นคนป่วยจำนวนมาก หลากหลายโรค ที่แวะเวียนมาฟื้นฟูตน ประสพผลสำเร็จก็มากมาย
ความคิดหนึ่งที่ฝังสมองอันจักเรียกได้ว่าเป็นความฝันของตนเอง ก็คืออยากเห็นคนไทย หันมามองแล้วใช้สิ่งพิเศษสุดที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้นี้พัฒนาประเทศ
อันทำให้เราเข้าใจความหมายที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอว่า สิ่งที่ทิ้งไว้ให้นี้เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน
เราจึงนึกฝันเสมอว่า วันหนึ่งคงมีบริษัท เจ้าของกิจการ ที่ได้สัมผัส และเห็นค่าในสิ่งนี้ แล้วร้องป่าวชักชวนคน ให้มาร่วมทำสิ่งดีๆ
นั่นคือ เปลี่ยนนโยบายบริษัท กลับมารับคนที่สังคมเห็นว่าไร้ค่า จากการเป็นโรคต่างๆ ที่สังคมเขาบอกว่าร้ายแรง ไม่ว่า มะเร็ง เอดส์ ยาเสพติด ฯลฯ ให้โอกาสคนเหล่านั้น ได้ทำงาน และชี้ทางเขาให้มาฟื้นฟูตน และจิตใจ ในแผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน
ความคิดของเรา คนประเภทนี้ มักจะหมดไฟในความทะยานอยากดีอยากเด่น หากแต่ไม่ไร้ค่า มีความรู้ และสามารถกลับมาเป็นกำลังที่ดีของสังคม
ความฝันที่จะเห็นบริษัท ที่ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร ลงมาถึงระดับล่าง มีความคิดที่จะให้สุขผู้อื่น ซื่อสัตย์ เป็นคนดี ไม่เห็นแก่ตัว หรือโลภ จนเกินควร ในความฝันของเราน่าจะเกิดขึ้นได้
หากแม้นบริษัทแบบนี้เกิดขึ้น และขยายตัวในสังคมไทย เชื่อว่าในไม่ช้าปัญหาของสังคมจะลดน้อยลง และประเทศจะเจริญไปในทางที่ดีได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีม๊อบ ไม่มีการค้ากำไรเกินควร ไม่มีคอร์รับชั่น
และบริษัทเหล่านี้ จะมีสุขทั้งเจ้าของ ผู้บริหาร ลงมายังพนักงาน ที่จักมีความมั่นคงทั้งทางสังคม ร่างกายและจิตใจ
เรียกได้ว่าเราเห็นเงินทองที่แต่ละบริษัทต้องสูญเสีย เพื่อรักษาพนักงาน แล้วเสียดาย เห็นคนที่สังคมมองว่าอันตราย ก็แค่โรคเอดส์ ยาเสพติด ที่เมื่อเจอสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน และปฏิบัติตามคำสอนพระภูมี เหมือนงูเจอเชือกกล้วย มันน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่จะทำขยะสังคม ให้กลับมามีคุณค่าอีกครั้ง ดีแต่รีไซเคิลขยะมูลฝอย แล้วคุยโว ว่ารักษ์โลก
หากใครจะถามเราว่า บริษัทเขามีนโยบายช่วยเหลือที่นี่อย่างไรดี เราจึงอยากบอกว่า ก็ส่งเสริมให้พนักงาน ได้ทานสมุนไพร ฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งกายและใจ เปลี่ยนงบรักษา มาเป็นงบพาพนักงานมาฟื้นฟู พร้อมกับสนับสนุนวัตถุดิบ บริษัทก็จักได้พนักงานที่แข็งแรง ปลอดยาเสพติด เป็นบริษัทสีขาว ที่จักทำประโยชน์ให้แก่ ตน และประเทศชาติอย่างแท้จริง
อย่างน้อยสิ่งที่บริษัทจักได้ ก็คือบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นคนดี มีสังคมที่ดีทั้งที่บ้าน ที่บริษัท ไม่เป็นโรคจิต ต้องระแวดระวัง คนนั้นป่วย คนนั้นโกง คนนั้นตายไปแล้ว ปัจจุบันทันด่วน เป็นหัวใจของโครงการบริษัท ...
ก็ได้แต่ฝัน ยังไม่เห็นเป็นตัวเป็นตน สงสัยจะฝันเกินไปไกล ขนาดคนเป็นเอดส์ มีตัวอย่างเดินให้เห็นในชมรมกันมากมาย คนเหล่านี้ยังไม่กล้าทิ้งยาหมอ มาใช้ภูมิปัญญาพระภูมีเลย ...
ประตูสวรรค์อยู่แค่เอื้อม แต่กรรมบังตา มองไม่เห็น ซะงั้น ... เลยต้องเดินตามก้นฝรั่ง ทั้งที่ฝรั่งเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ...ตัวเลขคนตายของเขามันฟ้องอยู่ทนโท่
เกร็ดศาสนา
ครั้งหนึ่งในการเดินบิณฑบาตร ขณะเดินทางกลับมีคนทำหนังสือพิมพ์ตก หลวงพ่อนิพนธ์จึงหยิบแล้วนำพากลับวัด
ขณะจักเข้าวัด แม่ชีเมี้ยนได้มายืนดักรอ แล้วตรัสว่า ควรหรือที่ท่านจักนำไฟเข้ามา
หน้าที่ของสงฆ์ มีประการเดียวคือ เรียนรู้ธรรม แล้วปฏิบัติ นอกจากนี้แล้ว ไม่ควรจักไปรับรู้อะไรเลย เพราะมันจักทำให้กิเลสเพิ่มพูน
จึงไม่แปลก หากวันหน้า เราจักเห็นพระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวก ที่ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น ไม่ฉันน้ำปา
นะ ไม่ดูหนังสือพิมพ์ ทีวี .... ที่สำคัญ ไม่รับเงิน ...
ไทยนี้รักสงบ
โดยเฉพาะ ที่โพสต์โดยสาวกของหมอดังท่านหนึ่ง ที่กำลังโด่งดังด้วยการรักษาโรคมะเร็ง โดยกล่าวหาว่า "ของฟรีไม่มีในโลก"" และอื่นๆ...
ตบท้ายของการคุย สมาชิกท่านนั้น กล่าวด้วยความโมโหว่า แถวบ้านผม ไปรักษาที่โน่น ตายไปสอง ภรรยาผมมาที่นี่ ตอนนี้ดีวันดีคือ เดี๋ยวรอให้ภรรยาหายก่อน จะไปโพสต์ด่ามัน
เราจึงอยากจะกล่าวว่า คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่เน้นย้ำ นั่นคือ เดินตามรอยพระภูมี ให้สุขแก่ผู้อื่น และไม่มีผู้ใดทำลายเราได้นอกจากตัวเราเอง
จึงเน้นให้เกิดความรักสามัคคี นั่นจึงควรมองกลับกันว่า คนเหล่านั้น ช่างน่าสงสาร เพราะกรรมบังตา ความโลภบังใจ ทำให้มองเห็นว่า เงินที่ได้ มีค่ามากกว่า โดยยอมทำลายชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์อยู่แล้ว ซ้ำเข้าไปอีก
จึงควรปล่อยให้เขาว่าไป ทางใครทางมัน ใช้อุเบกขา และแผ่เมตตาให้เขา ได้พบความจริงว่า ทำกินอะไรก็ทำไปเถอะ อย่าใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเครื่องมือเลย เพราะมันได้ไม่คุ้มเสีย
ความจริงมันมีเวลา ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ก็ต้องปรากฎ
จึงใคร่ขอให้หลายท่านที่อาจมีความคิดเช่นนี้ ก็วางอุเบกขา เพราะสิ่งนี้มันต้องมีไว้ ให้สำหรับพวกที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไม่ว่ายุคไหนๆ ก็มี
ที่นี่จึงเสนอตนเป็นทางเลือก แต่ไม่บังคับให้เลือก ยินดีแล้วจึงมา และตั้งหน้าตั้งตาทำ ตามคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา แล้วดูผล ....
ผลที่ได้ จักเป็นคำตอบว่า สิ่งที่ทำนั้นถูกหรือผิด ทำถูกผลถูกย่อมปรากฏ หากผลผิดปรากฏจักบอกสักฉันใด ว่าตนทำถูกคงไม่ได้ นั่นคือ การหายจากโรคที่เป็น จักเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ทางที่เดินนั้น ของจริงหรือของปลอม
วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เกร็ดศาสนา
เมื่อครั้งพระโคดม เทศนาธรรมหมวดแรก คือหมวดตน อันเป็นที่มาของหลักตนพึ่งตนนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า นั่นคือ การชี้ให้เห็นว่า แท้ที่จริง สุขหรือทุกข์ เป็นของวิญญาณ ดังนั้น การกระทำทุกสิ่ง วิญญาณจึงต้องเป็นผู้รับ อีกทั้ง เมื่อตายแล้วผลที่ทำนี้แหละจักติดวิญญาณไปในภพหน้า เรียก "ตัวกระทำไม่ตาย" และที่สำคัญ การเจ็บการตาย ที่พึ่งเกิดกับวิญญาณนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตน พึ่งใครไม่ได้เลยนั่นเอง เจ็บคนเดียว ตายคนเดียว ใครจักรับแทนไม่ได้เลย แม้นพระองค์จักมีความเมตตาสักฉันใด ก็ช่วยผู้ใดให้สำเร็จอรหันต์ไม่ได้ นอกจากสอนให้นำธรรมไปปฏิบัติเพื่อช่วยตน
เมื่อนำมาใช้ในหมวดสมุนไพร จึงต้องพันหลักอันนี้ไว้ ใครจะทานแทน ใครจะสวดมนต์แทน ใครจะทำอะไรแทนก็ไม่ได้ จึงต้องมาเอง สวดมนต์เอง ทานเอง เข้ากระโจมเอง รับสมุนไพรเอง จึงจะเข้าร่องของพระภูมี ผู้ใดไม่เห็นด้วยกับเหตุและผลอันนี้ ก็ควรไปใช้แนวทางที่ชอบ เพราะไม่มีทางสำเร็จผลอันใด ในแนวทางนี้อย่างแน่นอน
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า นั่นคือ การชี้ให้เห็นว่า แท้ที่จริง สุขหรือทุกข์ เป็นของวิญญาณ ดังนั้น การกระทำทุกสิ่ง วิญญาณจึงต้องเป็นผู้รับ อีกทั้ง เมื่อตายแล้วผลที่ทำนี้แหละจักติดวิญญาณไปในภพหน้า เรียก "ตัวกระทำไม่ตาย" และที่สำคัญ การเจ็บการตาย ที่พึ่งเกิดกับวิญญาณนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตน พึ่งใครไม่ได้เลยนั่นเอง เจ็บคนเดียว ตายคนเดียว ใครจักรับแทนไม่ได้เลย แม้นพระองค์จักมีความเมตตาสักฉันใด ก็ช่วยผู้ใดให้สำเร็จอรหันต์ไม่ได้ นอกจากสอนให้นำธรรมไปปฏิบัติเพื่อช่วยตน
เมื่อนำมาใช้ในหมวดสมุนไพร จึงต้องพันหลักอันนี้ไว้ ใครจะทานแทน ใครจะสวดมนต์แทน ใครจะทำอะไรแทนก็ไม่ได้ จึงต้องมาเอง สวดมนต์เอง ทานเอง เข้ากระโจมเอง รับสมุนไพรเอง จึงจะเข้าร่องของพระภูมี ผู้ใดไม่เห็นด้วยกับเหตุและผลอันนี้ ก็ควรไปใช้แนวทางที่ชอบ เพราะไม่มีทางสำเร็จผลอันใด ในแนวทางนี้อย่างแน่นอน
วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ความจริงที่คนไม่รู้
อาทิตย์ที่ผ่านมา คนไข้ซึ่งเป็นกรรมการ และเป็นคนชุมพร วิ่งหน้าตาตื่นมาหาหลวงพ่อนิพนธ์
เธอกล่าวว่า หลวงพ่อค่ะ อิฉันเห็นหมอ ที่ประจำอยู่โรงพยาบาลจังหวัดชุมพร ที่เป็นหมอของอิฉันยืนเข้าแถวอยู่ เห็นแล้วสงสาร จึงอยากให้หลวงพ่อช่วยรับเป็นกรรมการ จะได้ไหมค่ะ
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ดูผิดหรือเปล่า คนไข้ท่านนี้กล่าวว่า ไม่ผิดหรอก เขาเป็นหมอที่จะทำการผ่าตัดหัวใจของตัวเอง ที่มีปัญหาต้องบอลลูนเส้นหนึ่ง และใส่สปริงอีกเส้นหนึ่ง แต่หนีมาหาหลวงพ่อนิพนธ์
และก่อนมาขออนุญาต ตัวเขาเองได้ไปทักหมอ เมื่อหมอเห็นก็ตกใจ สอบถามได้ความว่า ตัวหมอเองเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เมื่อมาที่นี่ ก็ทำตัวเหมือนคนทั่วไป ไม่เปิดเผยตัว
คนไข้ท่านนี้ ไม่เคยเห็นภาพดังกล่าวจึงตื่นเต้น หากแต่ในความจริง มีหมอหลายท่านที่เข้ามาแล้วไม่เผยตัว เพื่อทานสมุนไพร เราก็เห็นมามากหลายแล้ว
แต่ที่คนทั่วไปไม่รู้ นั่นคือ เจ้าอาวาสวัดมากมาย ที่ติดต่อมาขอรับการรักษาด้วยสมุนไพร
ยิ่งวัดที่ดังที่สุด ที่อ้างตนเป็นแหล่งบุญ มีผู้คนศรัทธากันมากหลาย เชื่อมั่นในคำสอนของเจ้าอาวาส ว่าเป็นบุญที่พึ่งได้ ตัวเจ้าอาวาสเอง ที่อ้างเป็นตนบุญ ยังเป็นโรคงอม ขอมารักษาเลย
เมื่อโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม และกรรมมันแพ้ทางบุญ ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้มีบุญ จักมีโรคได้ฉันใด
เราจึงไม่แปลกใจในคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักตอกย้ำให้ฟัง นั่นคือ กรรมมันพาไปหาผิด คนผิดจึงมีคนนิยมชมชอบกันมหาศาล หากแต่เมื่อเจอธรรมของจริง เฉกเช่นพระภูมี หาคนนิยมได้อันน้อยนิด เพราะมันทำยาก ดูเช่นอินเดีย มีคนเป็นร้อยล้านในสมัยนั้น พระโคดมยังมีสาวกได้ไม่ถึงแสนเลย
วันหนึ่ง ความจริงจักปรากฎ ไม่ว่าหมอ หรือ เกจิอาจารย์ ... ที่คนหลงไหล พากันไปพึ่งพานั้น ตัวตนเองยังเอาไม่รอดเลย ก็เนื่องด้วยเขาเหล่านั้นใช้และสอน ให้คนที่เชื่อ พึ่งคนอื่น อยู่ตลอดเวลานั่นเอง จึงไม่มีวันสำเร็จ แม้นแต่คนสอนยังเสร็จเลย
น่าเสียดายก็แต่ ช่องทางรอดอันน้อยนิด ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ มันถูกบีบให้แคบลงๆ จนจะไม่มีที่ยืนแล้ว .... โน่นแหละ ไว้อยากช่วยตน ก็ถ่อสังขารไปหาพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่พม่าโน่น ... เข้าคิวรอสามวัน ... จึงจะรู้ค่าของที่นี่ และไม่รู้จะได้ทานหรือเปล่า ได้เจอหรือเปล่า ...
เธอกล่าวว่า หลวงพ่อค่ะ อิฉันเห็นหมอ ที่ประจำอยู่โรงพยาบาลจังหวัดชุมพร ที่เป็นหมอของอิฉันยืนเข้าแถวอยู่ เห็นแล้วสงสาร จึงอยากให้หลวงพ่อช่วยรับเป็นกรรมการ จะได้ไหมค่ะ
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ดูผิดหรือเปล่า คนไข้ท่านนี้กล่าวว่า ไม่ผิดหรอก เขาเป็นหมอที่จะทำการผ่าตัดหัวใจของตัวเอง ที่มีปัญหาต้องบอลลูนเส้นหนึ่ง และใส่สปริงอีกเส้นหนึ่ง แต่หนีมาหาหลวงพ่อนิพนธ์
และก่อนมาขออนุญาต ตัวเขาเองได้ไปทักหมอ เมื่อหมอเห็นก็ตกใจ สอบถามได้ความว่า ตัวหมอเองเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เมื่อมาที่นี่ ก็ทำตัวเหมือนคนทั่วไป ไม่เปิดเผยตัว
คนไข้ท่านนี้ ไม่เคยเห็นภาพดังกล่าวจึงตื่นเต้น หากแต่ในความจริง มีหมอหลายท่านที่เข้ามาแล้วไม่เผยตัว เพื่อทานสมุนไพร เราก็เห็นมามากหลายแล้ว
แต่ที่คนทั่วไปไม่รู้ นั่นคือ เจ้าอาวาสวัดมากมาย ที่ติดต่อมาขอรับการรักษาด้วยสมุนไพร
ยิ่งวัดที่ดังที่สุด ที่อ้างตนเป็นแหล่งบุญ มีผู้คนศรัทธากันมากหลาย เชื่อมั่นในคำสอนของเจ้าอาวาส ว่าเป็นบุญที่พึ่งได้ ตัวเจ้าอาวาสเอง ที่อ้างเป็นตนบุญ ยังเป็นโรคงอม ขอมารักษาเลย
เมื่อโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม และกรรมมันแพ้ทางบุญ ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้มีบุญ จักมีโรคได้ฉันใด
เราจึงไม่แปลกใจในคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักตอกย้ำให้ฟัง นั่นคือ กรรมมันพาไปหาผิด คนผิดจึงมีคนนิยมชมชอบกันมหาศาล หากแต่เมื่อเจอธรรมของจริง เฉกเช่นพระภูมี หาคนนิยมได้อันน้อยนิด เพราะมันทำยาก ดูเช่นอินเดีย มีคนเป็นร้อยล้านในสมัยนั้น พระโคดมยังมีสาวกได้ไม่ถึงแสนเลย
วันหนึ่ง ความจริงจักปรากฎ ไม่ว่าหมอ หรือ เกจิอาจารย์ ... ที่คนหลงไหล พากันไปพึ่งพานั้น ตัวตนเองยังเอาไม่รอดเลย ก็เนื่องด้วยเขาเหล่านั้นใช้และสอน ให้คนที่เชื่อ พึ่งคนอื่น อยู่ตลอดเวลานั่นเอง จึงไม่มีวันสำเร็จ แม้นแต่คนสอนยังเสร็จเลย
น่าเสียดายก็แต่ ช่องทางรอดอันน้อยนิด ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ มันถูกบีบให้แคบลงๆ จนจะไม่มีที่ยืนแล้ว .... โน่นแหละ ไว้อยากช่วยตน ก็ถ่อสังขารไปหาพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่พม่าโน่น ... เข้าคิวรอสามวัน ... จึงจะรู้ค่าของที่นี่ และไม่รู้จะได้ทานหรือเปล่า ได้เจอหรือเปล่า ...
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เหตุแห่งความล่มสลาย
ภาพอดีตถ้ำกระบอก เริ่มย้อนกลับมาให้เห็น เหมือนฉายหนังซ้ำอย่างไงอย่างนั้น
อดีตถ้ำกระบอก ที่ผู้ติดยา ยืนเรียงแถวเหยียดยาวเป็นกิโล เพื่อรอคิวการบำบัด
การหลั่งไหลกันมาอย่างมากมาย หากแต่เมื่อมองในโรงทาน กลับไม่มากมายเหมือนผู้คน
มันช่างต่างกันกับวัดอื่นที่เขาตีฆ้องร้องป่าว ให้คนบริจาควัตถุ เพื่อสร้างปูชนียวัตถุที่ยิ่งใหญ่ แล้วอ้างว่าเป็นผลบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งหามีไม่ เพราะพระภูมี ไม่เคยทรงสอนให้สร้างสิ่งอื่นใดเลย นอกจากปูชนียบุคคล
ความแร้นแค้น อันแสดงถึงจิตใจมนุษย์ ที่ยากต่อการแทรกซึมของธรรมที่แท้จริง เพราะโดนหล่อหลอมความเชื่อ ด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย
เมื่อโรงทานงวดเข้า ในขณะที่แถวของผู้ติดยามีแต่ยาวขึ้น จึงถูกนำมาเป็นข้ออ้างว่า อยู่ไม่ได้ ต้องเรียกเก็บเงินค่ารักษา จากผู้ที่มาบำบัด
ความล่มสลายของถ้ำกระบอก จึงเริ่มเกิด หาใช่จากการทำลายของผู้อื่นไม่ หากแต่เป็นจากจิตใจ ที่พ่ายแพ้นั้นเอง เมื่อเห็นนิสัยมนุษย์ จนตนรักษา ธรรมที่มีไว้ไม่ได้
มาวันนี้ ภาพในโรงทานของชมรม ก็อยู่ในสภาพดุจดั่งถ้ำกระบอก ไม่ผิดเพี้ยน
ไม่น่าเชื่อว่า แม้นแต่การร้องขอของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่กระทำด้วยตัวเอง ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจของผู้ที่มารับสมุนไพร ให้นำขวดเปล่าที่ใช้แล้ว กลับมาเพื่อใส่สมุนไพรอีกครั้งได้
ก็แค่ขวดเปล่า มันยังทำไม่ได้ จะมองหากองสมุนไพร ที่สูง ดุจดังโรงทานของขุนรัตนวุธ ที่บรรจุโรงศพ จนล้นแล้วล้นอีก ต้องสร้างโกดังเพิ่ม คงยาก
นั่นก็คือ สภาพความบีบเค้น ที่กำลังเกิดกับหลวงพ่อนิพนธ์ อันแสดงเจตนาที่แท้จริงว่า คนที่มาเขาชอบแต่สมุนไพร หากแต่เขาไม่ชอบธรรมของพระภูมี เขาจึงวางเฉย บุญที่พระภูมีสอน ไม่ถูกจริตของพวกเขา ดูเป็นเรื่องไร้สาระ แม้นจะพูดสักฉันใด ว่ามันมีค่าต่อชีวิต ก็เก็บมือกันนิ่ง สภาพการไร้ขวดใส่สมุนไพร จึงบังเกิด
คนสมัยนี้ เขาคิดกันว่า บุญต้องเป็นเรื่องใหญ่ๆ สร้างวัด สร้างพระ สร้างโบสถ์ ที่ยิ่งบอกว่า ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งต้องได้บุญเยอะ
หากแต่เมื่อสืบสาวพุทธประวัติ ไม่มีเลยที่สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น จักให้สุขแก่ผู้หนึ่งผู้ใด แม้นแต่สัตว์ เช่น ตุ๊กแก ยังไม่ยอมให้พึ่งพาอาศัยเลย
นั่นคือ ไปกันคนละทางกับคำสอนของพระภูมีแล้ว
หากแต่เมื่อเรามอง การล่มสลาย ที่อาจจะเกิดขึ้นของชมรมในวันนี้ ไม่ใช่เกิดจากผู้ทำผิดคำมั่นสัญญา หากแต่เกิดจากการที่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า คนไทย เขาไม่เอาศาสนาทำ ที่ต้องทำเอง เขาชอบศาสนาขอ นั่นคือ พึ่งผู้อื่น
นั่นคือ การล่มสลาย ไม่ได้เกิดจากการขายสมุนไพร หากแต่ผู้ทำยอมรับความเป็นจริงว่า หาผู้สนับสนุน ที่จักนำสมุนไพรมาร่วม หาวัตถุดิบ หาขวด มาร่วม ไม่ได้
ปริมาณสมุนไพร มันไม่เพียงพอกับการไปงัดซุง คือ โรคได้ นั่นหมายถึง ทำไปก็ไร้ผล
ก็ต้องยอมรับความจริง เพราะบุญจักเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีผลต่อสรรพสัตว์ เมื่อทำแล้ว ผลไม่เกิด ก็คงจำต้องยุติ วันหนึ่งเราก็จักเห็น ป้ายปิด ในไม่ช้า
สิ่งดีๆ ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ ไม่ได้รับการตอบรับจากคนนอก ไม่เป็นไร ไม่ได้มีกฎหมายรองรับ ไม่เป็นไร
หากแต่ใช้หลักน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า นั่นคือ พึ่งกันเอง ระหว่าง ผู้ทำกับผุ้ทาน เท่านั้นก็พออยู่ได้
แต่วันนี้ เค้าลางเริ่มบอกแก่ผู้ทำว่า ผู้ทาน ส่วนใหญ่ เขาเอามือล้วงกระเป๋า ไม่ทำตนเป็นที่พึ่ง นั่นคือ ไม่สนผู้ทำ ว่าจักดำรงอยู่ได้โดยวิธีใด คำพูดจึงไร้ค่า การกระทำจึงถูกแสดงออกให้เห็น จากขวดเปล่า จากกองสมุนไพร
สำหรับที่นี่ ก็คงไม่แปลกที่จะปิดอีกครั้ง หลังจากปิดมาแล้วสามครั้ง จากพฤติกรรมเช่นนี้ แต่ไม่มีวันเห็นการขายสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนอย่างแน่นอน
ความล่มสลายของผู้ทำ คงจะไม่มีเช่นอดีต แต่ความฉิบหายของผู้ที่ต้องทานสมุนไพร หรือช่วยตน มันจักยังคงอยู่ เฉกเช่น ความฉิบหายจากคนติดยา ที่ไม่มีที่บำบัด อันสร้างความสูญเสียมหาศาล ปรากฎแก่ชาติในขณะนี้
เราจึงไม่แปลกใจในภาพที่เห็น เมื่อคำตรัสของแม่ชีเมี้ยนก้องในหูทุกครั้ง เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ "กรรมอะไรของคนไทย ช่างน่าเศร้า เบาปัญญา น่าใจหาย สิ่งดีๆมาปรากฎ กลับมองไม่เห็น"
ยิ่งมองเห็นภาพการจัดฟุตบอลหลายครั้งที่เกิด มองเห็นคนนิยมชมชอบ ทุ่มเท จริงจัง เพื่อให้มีสุขจากการดู เสียเท่าไหร่ก็ไม่ว่า ก็แค่ความสุขชั่วครู่ ยังทุ่มเทขนาดนั้น เหตุอันใดหนอ เรื่องที่ช่วยชีวิต ... กลับหาคนทุ่มเทได้น้อยนิด เทียบกับสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เลย
หากเรายุยงได้ เราจักยุยงให้หลวงพ่อนิพนธ์ปิด แล้วไปเริ่มใหม่อีกครั้ง แล้วใครจะมา ก็ให้ทำอย่างที่ท่านบอก นั่งอยู่ด้านหน้า ๕ วัน ๕ คืน พิสูจน์ตนก่อน ทำได้แล้วค่อยรับเข้ามา คงจักดี ไม่ต้องให้หลวงพ่อนิพนธ์มาเหนื่อยแบบวันนี้ มีน้อยคน แต่มีคุณภาพ ว่าไงว่าตามกัน หายไปด้วยกัน ดีกว่ามีเยอะๆ แค่ขวด ยังหาไม่ได้เลย ... ห่วยแตก
อดีตถ้ำกระบอก ที่ผู้ติดยา ยืนเรียงแถวเหยียดยาวเป็นกิโล เพื่อรอคิวการบำบัด
การหลั่งไหลกันมาอย่างมากมาย หากแต่เมื่อมองในโรงทาน กลับไม่มากมายเหมือนผู้คน
มันช่างต่างกันกับวัดอื่นที่เขาตีฆ้องร้องป่าว ให้คนบริจาควัตถุ เพื่อสร้างปูชนียวัตถุที่ยิ่งใหญ่ แล้วอ้างว่าเป็นผลบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งหามีไม่ เพราะพระภูมี ไม่เคยทรงสอนให้สร้างสิ่งอื่นใดเลย นอกจากปูชนียบุคคล
ความแร้นแค้น อันแสดงถึงจิตใจมนุษย์ ที่ยากต่อการแทรกซึมของธรรมที่แท้จริง เพราะโดนหล่อหลอมความเชื่อ ด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย
เมื่อโรงทานงวดเข้า ในขณะที่แถวของผู้ติดยามีแต่ยาวขึ้น จึงถูกนำมาเป็นข้ออ้างว่า อยู่ไม่ได้ ต้องเรียกเก็บเงินค่ารักษา จากผู้ที่มาบำบัด
ความล่มสลายของถ้ำกระบอก จึงเริ่มเกิด หาใช่จากการทำลายของผู้อื่นไม่ หากแต่เป็นจากจิตใจ ที่พ่ายแพ้นั้นเอง เมื่อเห็นนิสัยมนุษย์ จนตนรักษา ธรรมที่มีไว้ไม่ได้
มาวันนี้ ภาพในโรงทานของชมรม ก็อยู่ในสภาพดุจดั่งถ้ำกระบอก ไม่ผิดเพี้ยน
ไม่น่าเชื่อว่า แม้นแต่การร้องขอของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่กระทำด้วยตัวเอง ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจของผู้ที่มารับสมุนไพร ให้นำขวดเปล่าที่ใช้แล้ว กลับมาเพื่อใส่สมุนไพรอีกครั้งได้
ก็แค่ขวดเปล่า มันยังทำไม่ได้ จะมองหากองสมุนไพร ที่สูง ดุจดังโรงทานของขุนรัตนวุธ ที่บรรจุโรงศพ จนล้นแล้วล้นอีก ต้องสร้างโกดังเพิ่ม คงยาก
นั่นก็คือ สภาพความบีบเค้น ที่กำลังเกิดกับหลวงพ่อนิพนธ์ อันแสดงเจตนาที่แท้จริงว่า คนที่มาเขาชอบแต่สมุนไพร หากแต่เขาไม่ชอบธรรมของพระภูมี เขาจึงวางเฉย บุญที่พระภูมีสอน ไม่ถูกจริตของพวกเขา ดูเป็นเรื่องไร้สาระ แม้นจะพูดสักฉันใด ว่ามันมีค่าต่อชีวิต ก็เก็บมือกันนิ่ง สภาพการไร้ขวดใส่สมุนไพร จึงบังเกิด
คนสมัยนี้ เขาคิดกันว่า บุญต้องเป็นเรื่องใหญ่ๆ สร้างวัด สร้างพระ สร้างโบสถ์ ที่ยิ่งบอกว่า ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งต้องได้บุญเยอะ
หากแต่เมื่อสืบสาวพุทธประวัติ ไม่มีเลยที่สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น จักให้สุขแก่ผู้หนึ่งผู้ใด แม้นแต่สัตว์ เช่น ตุ๊กแก ยังไม่ยอมให้พึ่งพาอาศัยเลย
นั่นคือ ไปกันคนละทางกับคำสอนของพระภูมีแล้ว
หากแต่เมื่อเรามอง การล่มสลาย ที่อาจจะเกิดขึ้นของชมรมในวันนี้ ไม่ใช่เกิดจากผู้ทำผิดคำมั่นสัญญา หากแต่เกิดจากการที่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า คนไทย เขาไม่เอาศาสนาทำ ที่ต้องทำเอง เขาชอบศาสนาขอ นั่นคือ พึ่งผู้อื่น
นั่นคือ การล่มสลาย ไม่ได้เกิดจากการขายสมุนไพร หากแต่ผู้ทำยอมรับความเป็นจริงว่า หาผู้สนับสนุน ที่จักนำสมุนไพรมาร่วม หาวัตถุดิบ หาขวด มาร่วม ไม่ได้
ปริมาณสมุนไพร มันไม่เพียงพอกับการไปงัดซุง คือ โรคได้ นั่นหมายถึง ทำไปก็ไร้ผล
ก็ต้องยอมรับความจริง เพราะบุญจักเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีผลต่อสรรพสัตว์ เมื่อทำแล้ว ผลไม่เกิด ก็คงจำต้องยุติ วันหนึ่งเราก็จักเห็น ป้ายปิด ในไม่ช้า
สิ่งดีๆ ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ ไม่ได้รับการตอบรับจากคนนอก ไม่เป็นไร ไม่ได้มีกฎหมายรองรับ ไม่เป็นไร
หากแต่ใช้หลักน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า นั่นคือ พึ่งกันเอง ระหว่าง ผู้ทำกับผุ้ทาน เท่านั้นก็พออยู่ได้
แต่วันนี้ เค้าลางเริ่มบอกแก่ผู้ทำว่า ผู้ทาน ส่วนใหญ่ เขาเอามือล้วงกระเป๋า ไม่ทำตนเป็นที่พึ่ง นั่นคือ ไม่สนผู้ทำ ว่าจักดำรงอยู่ได้โดยวิธีใด คำพูดจึงไร้ค่า การกระทำจึงถูกแสดงออกให้เห็น จากขวดเปล่า จากกองสมุนไพร
สำหรับที่นี่ ก็คงไม่แปลกที่จะปิดอีกครั้ง หลังจากปิดมาแล้วสามครั้ง จากพฤติกรรมเช่นนี้ แต่ไม่มีวันเห็นการขายสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนอย่างแน่นอน
ความล่มสลายของผู้ทำ คงจะไม่มีเช่นอดีต แต่ความฉิบหายของผู้ที่ต้องทานสมุนไพร หรือช่วยตน มันจักยังคงอยู่ เฉกเช่น ความฉิบหายจากคนติดยา ที่ไม่มีที่บำบัด อันสร้างความสูญเสียมหาศาล ปรากฎแก่ชาติในขณะนี้
เราจึงไม่แปลกใจในภาพที่เห็น เมื่อคำตรัสของแม่ชีเมี้ยนก้องในหูทุกครั้ง เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ "กรรมอะไรของคนไทย ช่างน่าเศร้า เบาปัญญา น่าใจหาย สิ่งดีๆมาปรากฎ กลับมองไม่เห็น"
ยิ่งมองเห็นภาพการจัดฟุตบอลหลายครั้งที่เกิด มองเห็นคนนิยมชมชอบ ทุ่มเท จริงจัง เพื่อให้มีสุขจากการดู เสียเท่าไหร่ก็ไม่ว่า ก็แค่ความสุขชั่วครู่ ยังทุ่มเทขนาดนั้น เหตุอันใดหนอ เรื่องที่ช่วยชีวิต ... กลับหาคนทุ่มเทได้น้อยนิด เทียบกับสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เลย
หากเรายุยงได้ เราจักยุยงให้หลวงพ่อนิพนธ์ปิด แล้วไปเริ่มใหม่อีกครั้ง แล้วใครจะมา ก็ให้ทำอย่างที่ท่านบอก นั่งอยู่ด้านหน้า ๕ วัน ๕ คืน พิสูจน์ตนก่อน ทำได้แล้วค่อยรับเข้ามา คงจักดี ไม่ต้องให้หลวงพ่อนิพนธ์มาเหนื่อยแบบวันนี้ มีน้อยคน แต่มีคุณภาพ ว่าไงว่าตามกัน หายไปด้วยกัน ดีกว่ามีเยอะๆ แค่ขวด ยังหาไม่ได้เลย ... ห่วยแตก
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556
รู้จริงหรือ
สมุนไพรมีวิญญาณ รู้ใจคนทำ รู้ใจคนทาน คำนี้มักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ .. แต่มันจริงหรือ
ประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาของถ้ำกระบอก และพระที่แตกสำนักออกไปอีก ๗ สำนัก ย่อมเป็นคำตอบที่ดี
หลังจากการเปลี่ยนนโยบาย จากทำด้วยคุณธรรม กลายเป็นเก็บเงิน สมุนไพรสูตรเดียวกัน ก็หัวทิ่ม ค่อยๆ หมดสภาพ และกลายเป็น ไร้ค่าไปจนช่วยใครไม่ได้เลยในปัจจุบัน
รวมถึงพระที่แตกออกไป ล้วนแล้วแต่ใช้ชื่อสมุนไพรปะหน้า เป็นใบเบิกทางในการสร้างสำนักของตนจนโด่งดัง ก็ค่อยๆ ล้มหายไปทีละสำนัก พร้อมกับโรคที่เกาะกินตัวจนตายทุกองค์
การรู้ใจคนทาน ก็ถูกเล่าขาน จากการที่พระโกวินทะ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อนิพนธ์เมื่อครั้งถ้ำกระบอก เจ้าอาวาสใหญ่แห่งนครปฐม มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ให้ช่วย ด้วยอาการของโรคหัวใจ
คำตอบที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวตอบ คือ คนที่มานี้ เขาไม่รู้เรื่องศาสนา ไม่รู้ธรรมคำสอน ความผิดจึงไม่หนักหนา เขาจึงมีโอกาส
ในขณะที่ตัวท่าน เรียนรู้เรื่องศาสนา รู้ผิดรู้ถูก เคยได้รับผลจากสมุนไพรและธรรมมาแล้ว เรียกว่าเป็นคนรู้ หากแต่เมื่อรู้แล้วยังทำผิด นั่นคือ คนทั้งโลกมีโอกาส แต่สำหรับท่าน มันไม่มีแล้ว แม้นจักทานสักฉันใด ก็ไร้ผล
คำดักคอที่แม่ชีเมี้ยนตรัสแก่หลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ "อย่าหวังว่าสมุนไพรจักใช้ได้กับทุกคน หรือกะเกณฑ์ให้ทุกคน มาทานสมุนไพร เพราะมันเป็นไม่ได้"
การมาทานสมุนไพรสูตรพระภูมี จึงเป็นเรื่องของผู้ที่ยินดีแล้วจึงมา ไม่ได้บังคับ ให้เห็นด้วย ให้ทำ นั่นคือ รู้ตนว่าไม่ชอบ ไม่ยินดี ก็ไม่ควรมา เพราะท้ายที่สุด ก็ไม่ประสพผลในแนวทางนี้อย่างแน่นอน
จะมาทำไม เขาสวดมนต์กัน ข้าจะคุย เขาฟังคำสอน ข้านั่งเล่นนั่งคุยโทรศัพท์ นั่งด้วยความเป็นทุกข์ เสียเวลา เสียเงิน หาผลไม่ได้เลย
การมาแล้ว ไม่ชอบ ไม่มา กลับเป็นกุศล ที่ทำให้สมุนไพรที่ไม่มีคุณกลับเรา จักได้ไปเป็นคุณแก่คนที่ต้องการ .... หลวงพ่อนิพนธ์ก็อำนวยอวยพร ให้คนที่คิดและทำแบบนี้
ประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาของถ้ำกระบอก และพระที่แตกสำนักออกไปอีก ๗ สำนัก ย่อมเป็นคำตอบที่ดี
หลังจากการเปลี่ยนนโยบาย จากทำด้วยคุณธรรม กลายเป็นเก็บเงิน สมุนไพรสูตรเดียวกัน ก็หัวทิ่ม ค่อยๆ หมดสภาพ และกลายเป็น ไร้ค่าไปจนช่วยใครไม่ได้เลยในปัจจุบัน
รวมถึงพระที่แตกออกไป ล้วนแล้วแต่ใช้ชื่อสมุนไพรปะหน้า เป็นใบเบิกทางในการสร้างสำนักของตนจนโด่งดัง ก็ค่อยๆ ล้มหายไปทีละสำนัก พร้อมกับโรคที่เกาะกินตัวจนตายทุกองค์
การรู้ใจคนทาน ก็ถูกเล่าขาน จากการที่พระโกวินทะ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อนิพนธ์เมื่อครั้งถ้ำกระบอก เจ้าอาวาสใหญ่แห่งนครปฐม มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ให้ช่วย ด้วยอาการของโรคหัวใจ
คำตอบที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวตอบ คือ คนที่มานี้ เขาไม่รู้เรื่องศาสนา ไม่รู้ธรรมคำสอน ความผิดจึงไม่หนักหนา เขาจึงมีโอกาส
ในขณะที่ตัวท่าน เรียนรู้เรื่องศาสนา รู้ผิดรู้ถูก เคยได้รับผลจากสมุนไพรและธรรมมาแล้ว เรียกว่าเป็นคนรู้ หากแต่เมื่อรู้แล้วยังทำผิด นั่นคือ คนทั้งโลกมีโอกาส แต่สำหรับท่าน มันไม่มีแล้ว แม้นจักทานสักฉันใด ก็ไร้ผล
คำดักคอที่แม่ชีเมี้ยนตรัสแก่หลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ "อย่าหวังว่าสมุนไพรจักใช้ได้กับทุกคน หรือกะเกณฑ์ให้ทุกคน มาทานสมุนไพร เพราะมันเป็นไม่ได้"
การมาทานสมุนไพรสูตรพระภูมี จึงเป็นเรื่องของผู้ที่ยินดีแล้วจึงมา ไม่ได้บังคับ ให้เห็นด้วย ให้ทำ นั่นคือ รู้ตนว่าไม่ชอบ ไม่ยินดี ก็ไม่ควรมา เพราะท้ายที่สุด ก็ไม่ประสพผลในแนวทางนี้อย่างแน่นอน
จะมาทำไม เขาสวดมนต์กัน ข้าจะคุย เขาฟังคำสอน ข้านั่งเล่นนั่งคุยโทรศัพท์ นั่งด้วยความเป็นทุกข์ เสียเวลา เสียเงิน หาผลไม่ได้เลย
การมาแล้ว ไม่ชอบ ไม่มา กลับเป็นกุศล ที่ทำให้สมุนไพรที่ไม่มีคุณกลับเรา จักได้ไปเป็นคุณแก่คนที่ต้องการ .... หลวงพ่อนิพนธ์ก็อำนวยอวยพร ให้คนที่คิดและทำแบบนี้
วิกฤต
คำถามที่คนไข้ใหม่ มักจะเกิดความสงสัย เมื่อวิทยากรแนะนำให้เลิกยาเคมี นั่นคือ แล้วอาการที่เกิดจะทำอย่างไร
หลักการของยาเคมี คือการระงับ นั่นจึงทำให้เมื่ออาการของโรคเกิด จึงมุ่งเน้นที่จะทำให้อาการหายไป แต่ไม่ได้รักษาเหตุแห่งโรค
ผู้ใช้ก็ยินดีที่อาการดังกล่าวหายไป และคิดเอาเองว่า ยานั้นรักษาอาการต้นเหตุของตน แต่ความเป็นจริง เมื่อหมดฤทธฺิ์ยา อาการก็จะหวนกลับมาอีก ทำให้ต้องทานยาตลอด เลิกไม่ได้ เพราะไม่ยอมรับการเกิดของอาการนั้น
และที่สำคัญ ไม่ยอมรับความจริงว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น ไม่ได้รักษาเหตุแห่งโรคเลย หลอกตัวเองไปวันๆว่าดีขึ้น โดยพอใจกับการไม่มีอาการปรากฎในวันนี้
ดังนั้น เมื่อหยุดยาเคมี อาการจึงปรากฏเป็นวิกฤตของร่างกาย หากแต่ธรรมชาติของมนุษย์ ใช้วิกฤตินี้แหละ แจ้งไปยังสมอง เพื่อที่จะบัญชาการให้ร่างกาย ได้ซ่อมแซมแก้ไขปัญหาที่พึงเกิดขึ้น ว่าเหตุอยู่ที่ใด แก้ไขด่วน วิกฤตแล้ว
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ร่างกายที่ได้แต่อาหารเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
นี้เอง ธรรมชาติจึงได้สร้างสมุนไพรเพื่อเป็นวัตถุดิบ เพื่อใช้ในการแก้ไขซ่อมแซม ร่วมกับอาหาร ให้ร่างกายนำไปแก้ไขวิกฤตที่เกิด
คำตอบที่มักถูกถามว่า คือ เมื่อไหร่จะหาย หรือหายไหม นั่นก็ดูว่า ร่างกายสามารถจัดการวิกฤตอันนี้ได้หรือไม่ หากทำได้ วิกฤตก็จะค่อยๆลดลง และเมื่อวิกฤตหายไป นั่นคือการหายโรค
ดังนั้น สิ่งที่ดูวิกฤต อาทิ น้ำตาลในเลือดสูง มีความดันสูง มีอาการแพ้ ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องวินิจฉัย ที่แม่นยำและถูกต้อง ที่ธรรมชาติสร้าง แล้วส่งสัญญาณให้สมอง สั่งการแก้ไข
การเกิดวิกฤต ยังแสดงให้เห็นว่า ร่างกายเราท่านมีความสามารถในการตรวจจับ วินิจฉัย ประการหนึ่ง แต่ประการที่สำคัญกว่านั่นคือ ร่างกายเราท่าน มีความพร้อมแล้วที่จะต่อสู้
สิ่งดีๆ แต่หลายคนกลับมองว่า เป็นโทษ เราจึงมักได้ยินหลายคนพูดให้ได้ยินเสมอว่า "ไม่เคยมีอาการอย่างนี้เลย ทำไมทานสมุนไพรแล้วเกิดอาการขึ้น สงสัยสมุนไพร..."
ฉิบหายแล้ว ... ทำคุณบูชาโทษ คนประเภทนี้หลวงพ่อนิพนธ์จัดว่า ยากที่จักประสพผล เพราะสมุนไพรมีแต่คุณ เพราะถ้ามีโทษ คนที่นำมา คนที่ทำ ก็ต้องรับโทษนั้นๆ แล้วใครจะมาทำ ไม่เอาเงิน แต่เอาโทษ .... ไม่มีหรอก
เราท่านจึงต้องเรียนรู้สิ่งนี้ แล้วใช้ความขันติอดทน ท่องคาถาพระพุทธเจ้า เป็นสติ .... "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า"
การจะทำได้ นั่นคือ การสร้างความเชื่อมั่นในกรรมที่ทำมา นั่นคือ พรหมลิขิต ... ไม่ถึงที่ตาย โรคห่าอะไรพิฆาตไม่อาสัญ
มิฉะนั้น สติจะแตก และก็ต้องวิ่งกลับไปให้หมอระงับอาการ เพราะความกลัวมันจะดึงเรากลับไปในเส้นทางเดิม หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะย้ำให้ฟังเสมอว่า ไม่ตาย.... นอกเสียจากพรหมลิขิตเราท่านหมด เพราะไม่มีอะไรจะเหนือพรหมลิขิตแน่นอน
วิกฤตที่มี จึงมาแล้วก็ผ่านไป พร้อมกับความแข็งแกร่งของร่างกาย ที่มากขึ้น
เฉกเช่นคนในอดีต มีเท้าไว้เดิน เป็นวิกฤตในยามที่ต้องไปที่ไกลๆ ไม่มีรถดังเช่นคนสมัยนี้ หากแต่วิกฤตอันนั้น ก็ทำให้คนสมัยก่อนแข็งแรง ร่างกายมีภูมิ ไม่เป็นโรคง่าย
หลักการของยาเคมี คือการระงับ นั่นจึงทำให้เมื่ออาการของโรคเกิด จึงมุ่งเน้นที่จะทำให้อาการหายไป แต่ไม่ได้รักษาเหตุแห่งโรค
ผู้ใช้ก็ยินดีที่อาการดังกล่าวหายไป และคิดเอาเองว่า ยานั้นรักษาอาการต้นเหตุของตน แต่ความเป็นจริง เมื่อหมดฤทธฺิ์ยา อาการก็จะหวนกลับมาอีก ทำให้ต้องทานยาตลอด เลิกไม่ได้ เพราะไม่ยอมรับการเกิดของอาการนั้น
และที่สำคัญ ไม่ยอมรับความจริงว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น ไม่ได้รักษาเหตุแห่งโรคเลย หลอกตัวเองไปวันๆว่าดีขึ้น โดยพอใจกับการไม่มีอาการปรากฎในวันนี้
ดังนั้น เมื่อหยุดยาเคมี อาการจึงปรากฏเป็นวิกฤตของร่างกาย หากแต่ธรรมชาติของมนุษย์ ใช้วิกฤตินี้แหละ แจ้งไปยังสมอง เพื่อที่จะบัญชาการให้ร่างกาย ได้ซ่อมแซมแก้ไขปัญหาที่พึงเกิดขึ้น ว่าเหตุอยู่ที่ใด แก้ไขด่วน วิกฤตแล้ว
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ร่างกายที่ได้แต่อาหารเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
นี้เอง ธรรมชาติจึงได้สร้างสมุนไพรเพื่อเป็นวัตถุดิบ เพื่อใช้ในการแก้ไขซ่อมแซม ร่วมกับอาหาร ให้ร่างกายนำไปแก้ไขวิกฤตที่เกิด
คำตอบที่มักถูกถามว่า คือ เมื่อไหร่จะหาย หรือหายไหม นั่นก็ดูว่า ร่างกายสามารถจัดการวิกฤตอันนี้ได้หรือไม่ หากทำได้ วิกฤตก็จะค่อยๆลดลง และเมื่อวิกฤตหายไป นั่นคือการหายโรค
ดังนั้น สิ่งที่ดูวิกฤต อาทิ น้ำตาลในเลือดสูง มีความดันสูง มีอาการแพ้ ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องวินิจฉัย ที่แม่นยำและถูกต้อง ที่ธรรมชาติสร้าง แล้วส่งสัญญาณให้สมอง สั่งการแก้ไข
การเกิดวิกฤต ยังแสดงให้เห็นว่า ร่างกายเราท่านมีความสามารถในการตรวจจับ วินิจฉัย ประการหนึ่ง แต่ประการที่สำคัญกว่านั่นคือ ร่างกายเราท่าน มีความพร้อมแล้วที่จะต่อสู้
สิ่งดีๆ แต่หลายคนกลับมองว่า เป็นโทษ เราจึงมักได้ยินหลายคนพูดให้ได้ยินเสมอว่า "ไม่เคยมีอาการอย่างนี้เลย ทำไมทานสมุนไพรแล้วเกิดอาการขึ้น สงสัยสมุนไพร..."
ฉิบหายแล้ว ... ทำคุณบูชาโทษ คนประเภทนี้หลวงพ่อนิพนธ์จัดว่า ยากที่จักประสพผล เพราะสมุนไพรมีแต่คุณ เพราะถ้ามีโทษ คนที่นำมา คนที่ทำ ก็ต้องรับโทษนั้นๆ แล้วใครจะมาทำ ไม่เอาเงิน แต่เอาโทษ .... ไม่มีหรอก
เราท่านจึงต้องเรียนรู้สิ่งนี้ แล้วใช้ความขันติอดทน ท่องคาถาพระพุทธเจ้า เป็นสติ .... "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า"
การจะทำได้ นั่นคือ การสร้างความเชื่อมั่นในกรรมที่ทำมา นั่นคือ พรหมลิขิต ... ไม่ถึงที่ตาย โรคห่าอะไรพิฆาตไม่อาสัญ
มิฉะนั้น สติจะแตก และก็ต้องวิ่งกลับไปให้หมอระงับอาการ เพราะความกลัวมันจะดึงเรากลับไปในเส้นทางเดิม หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะย้ำให้ฟังเสมอว่า ไม่ตาย.... นอกเสียจากพรหมลิขิตเราท่านหมด เพราะไม่มีอะไรจะเหนือพรหมลิขิตแน่นอน
วิกฤตที่มี จึงมาแล้วก็ผ่านไป พร้อมกับความแข็งแกร่งของร่างกาย ที่มากขึ้น
เฉกเช่นคนในอดีต มีเท้าไว้เดิน เป็นวิกฤตในยามที่ต้องไปที่ไกลๆ ไม่มีรถดังเช่นคนสมัยนี้ หากแต่วิกฤตอันนั้น ก็ทำให้คนสมัยก่อนแข็งแรง ร่างกายมีภูมิ ไม่เป็นโรคง่าย
วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เกร็ดศาสนา
ธรรมชาติ ที่พระภูมีแยกออกมาให้เห็นเป็น ธาตุทั้ง สี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ดังนั้น หลักสมุนไพรของพระภูมี ที่ทรงบัญญัติ ไม่ได้ดูจากการโรค ว่าเป็นโรคอันใด จึงไม่สนใจที่จะสืบสาวราวเรื่อง หากแต่สนใจว่า อาการที่เกิด เกิดจากการเสียสมดุลย์ของธาตุ ทั้งสี่ ตัวใด ต่างหาก
สมุนไพร จึงมีหน้าที่ไม่ใช่เพื่อรักษาโรค หากแต่เพื่อรักษาสมดุลย์ของธาตุทั้งสี่ ให้กลับมาปกติ
การบัญญัติสมุนไพรด้วยหลักการนี้เอง ทำให้สูตรสมุนไพร มีหน้าที่ไม่ใช่เพื่อการเติบโต หากแต่เพื่อปรุงแต่ธาตุทั้งสี่ อันเป็นที่มาของการก่อกำเนิดสังขาร อาการ ๓๒ ของเรา ให้กลับเป็นปกติ
ด้วยชีวิต ต้องต่อด้วยชีวิต เท่านั้น อันจักเห็นได้ว่า ทำไมเราจึงทานของเน่าเสียไม่ได้ ไม่ว่าจะดินเสีย น้ำเสีย ลมเสีย ไฟเสีย นั่นคือ ทานเนื้อเน่าไม่ได้ ทานน้ำเน่าไม่ได้ สูดอากาศพิษไม่ได้ และต้องรักษาความอบอุ่นของร่างกาย คืออุณหภูมิที่ ๓๗ องศา มากไป น้อยไป ก็ไม่ได้
ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หากแต่ ธาตุทั้งสี่ ศาสนากล่าวว่า จึงเป็นสิ่งมีชีวิต มีวิญญาณ รับรู้ ทำหน้าที่ให้คุณและโทษ ตามกรรมที่ทำมา
เราจึงเห็นเค้า และการยกย่องธาตุธรรมทั้งสี่นี้ ว่าเป็นแม่พระ ที่มีคุณต่อเรา ได้จากคำ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระพาย และแม่พระเพลิง
ด้วยศาสตร์นี้เอง ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ยืนยัน นอนยัน นั่งยันว่า ศาสตร์ที่ไม่มีชีวิต วิญญาณ ไม่ว่ายาเคมี หรือ สิ่งอันใดที่มนุษย์สร้างขึ้น ย่อมไม่สามารถจักช่วยชีวิตเราท่านได้เลย
เน้น.... เรื่องของชีวิต
คำสอนแต่โบราณ ย้อนยุคถ้ำกระบอก ในคำอธิษฐานก่อนทานสมุนไพร ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาบอกอีกครั้ง จึงกล่าวว่า "ขออำนาจสมุนไพร ปรุงแต่งธาตุทั้งสี่ของข้าพเจ้าให้ได้สัดส่วน เพื่อมีสังขารทำความดีในพระพุทธศาสนา"
จึงมีที่มาที่ไป ระบุเจตนา ให้ธาตุทั้งสี่ที่บรรจุเป็นวิญญาณสมุนไพรได้รับรู้ และเตือนตนว่า ... ชีวิตที่ได้รับคืนมา ควรที่จะนำไปทำอะไร
จึงไม่แปลกในเลยว่า ... ทำไมแม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไม่ต้องกลัวหรอกว่าใครจะลักสูตรไปทำ หรือใครจะมาลักสมุนไพรไปทาน ....
ก็ของเขามีวิญญาณ รับรู้จิตใจทั้งคนทำและคนทาน
ชีวิตของเราท่านจึงจักมีความหมาย ก็ต่อเมื่อลมหายใจที่เหลืออยู่ แรงกายที่มี มีไว้เพื่อให้สุขผู้อื่น อันจักเป็นบุญย้อนมาเลี้ยงตน ... หากมีเพื่อการอื่น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ต่อให้ทานเป็นแกลลอน ก็เหมือนทานน้ำ หาค่าอะไรไม่ได้เลย
เราท่านจึงเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ในคำสอนของพระภูมี ที่ทรงเมตตานั่นคือ ความสุข จักเกิดจากการปฏิบัติธรรมคำสอนของท่าน หากแต่ความไม่มีโรค หรือการหายโรค กลับเป็นเพียงของขวัญติดปลายนวม ที่พระภูมีทรงประทานให้ แก่คนที่เชื่อและทำตามทุกคนอยู่แล้ว
มีแรงแล้วจะไปร่วมกับม็อบ ก่อความวุ่นวาย ... ท่านจึงดักคอไว้ก่อนเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเขาจักช่วย
ดังนั้น หลักสมุนไพรของพระภูมี ที่ทรงบัญญัติ ไม่ได้ดูจากการโรค ว่าเป็นโรคอันใด จึงไม่สนใจที่จะสืบสาวราวเรื่อง หากแต่สนใจว่า อาการที่เกิด เกิดจากการเสียสมดุลย์ของธาตุ ทั้งสี่ ตัวใด ต่างหาก
สมุนไพร จึงมีหน้าที่ไม่ใช่เพื่อรักษาโรค หากแต่เพื่อรักษาสมดุลย์ของธาตุทั้งสี่ ให้กลับมาปกติ
การบัญญัติสมุนไพรด้วยหลักการนี้เอง ทำให้สูตรสมุนไพร มีหน้าที่ไม่ใช่เพื่อการเติบโต หากแต่เพื่อปรุงแต่ธาตุทั้งสี่ อันเป็นที่มาของการก่อกำเนิดสังขาร อาการ ๓๒ ของเรา ให้กลับเป็นปกติ
ด้วยชีวิต ต้องต่อด้วยชีวิต เท่านั้น อันจักเห็นได้ว่า ทำไมเราจึงทานของเน่าเสียไม่ได้ ไม่ว่าจะดินเสีย น้ำเสีย ลมเสีย ไฟเสีย นั่นคือ ทานเนื้อเน่าไม่ได้ ทานน้ำเน่าไม่ได้ สูดอากาศพิษไม่ได้ และต้องรักษาความอบอุ่นของร่างกาย คืออุณหภูมิที่ ๓๗ องศา มากไป น้อยไป ก็ไม่ได้
ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หากแต่ ธาตุทั้งสี่ ศาสนากล่าวว่า จึงเป็นสิ่งมีชีวิต มีวิญญาณ รับรู้ ทำหน้าที่ให้คุณและโทษ ตามกรรมที่ทำมา
เราจึงเห็นเค้า และการยกย่องธาตุธรรมทั้งสี่นี้ ว่าเป็นแม่พระ ที่มีคุณต่อเรา ได้จากคำ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระพาย และแม่พระเพลิง
ด้วยศาสตร์นี้เอง ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ยืนยัน นอนยัน นั่งยันว่า ศาสตร์ที่ไม่มีชีวิต วิญญาณ ไม่ว่ายาเคมี หรือ สิ่งอันใดที่มนุษย์สร้างขึ้น ย่อมไม่สามารถจักช่วยชีวิตเราท่านได้เลย
เน้น.... เรื่องของชีวิต
คำสอนแต่โบราณ ย้อนยุคถ้ำกระบอก ในคำอธิษฐานก่อนทานสมุนไพร ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาบอกอีกครั้ง จึงกล่าวว่า "ขออำนาจสมุนไพร ปรุงแต่งธาตุทั้งสี่ของข้าพเจ้าให้ได้สัดส่วน เพื่อมีสังขารทำความดีในพระพุทธศาสนา"
จึงมีที่มาที่ไป ระบุเจตนา ให้ธาตุทั้งสี่ที่บรรจุเป็นวิญญาณสมุนไพรได้รับรู้ และเตือนตนว่า ... ชีวิตที่ได้รับคืนมา ควรที่จะนำไปทำอะไร
จึงไม่แปลกในเลยว่า ... ทำไมแม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไม่ต้องกลัวหรอกว่าใครจะลักสูตรไปทำ หรือใครจะมาลักสมุนไพรไปทาน ....
ก็ของเขามีวิญญาณ รับรู้จิตใจทั้งคนทำและคนทาน
ชีวิตของเราท่านจึงจักมีความหมาย ก็ต่อเมื่อลมหายใจที่เหลืออยู่ แรงกายที่มี มีไว้เพื่อให้สุขผู้อื่น อันจักเป็นบุญย้อนมาเลี้ยงตน ... หากมีเพื่อการอื่น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ต่อให้ทานเป็นแกลลอน ก็เหมือนทานน้ำ หาค่าอะไรไม่ได้เลย
เราท่านจึงเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ในคำสอนของพระภูมี ที่ทรงเมตตานั่นคือ ความสุข จักเกิดจากการปฏิบัติธรรมคำสอนของท่าน หากแต่ความไม่มีโรค หรือการหายโรค กลับเป็นเพียงของขวัญติดปลายนวม ที่พระภูมีทรงประทานให้ แก่คนที่เชื่อและทำตามทุกคนอยู่แล้ว
มีแรงแล้วจะไปร่วมกับม็อบ ก่อความวุ่นวาย ... ท่านจึงดักคอไว้ก่อนเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเขาจักช่วย
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เตะหมูเข้าปากหมา
วัดวังขนาย แหล่งอาบน้ำแร่ ตอนนี้โหมโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ว่า ทำให้คนป่วยที่เป็นอัมพฤกต์ อัมพาต ที่มาใช้บริการ หายกันอย่างมากมาย
ข่าวเล่าลือ และคุยกันขรมในหมู่คนไข้ของชมรม
คนที่ไม่รู้ก็แห่กันไป ก็เห็นคนพูดมันดีขึ้น หรือหายกะตา ไม่เชื่อได้ไง
หากแต่ความเป็นจริง คนที่ไปนั้นมาทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน แล้วอาการดีขึ้น ในขณะที่รอ เขามีเวลาว่าง ก็ไปใช้บริการอาบน้ำแร่ เพราะอาบแล้วเลือดลมเดินดี สบายตัว
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เรื่องมันโอละพ่อ แทนที่จิตจะรับรู้ว่า การดีขึ้นของอาการที่ตนเป็นอยู่ มาจากสมุนไพร และการปฏิบัติ ตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน จิตกลับโยนผลอันนี้ไปให้น้ำแร่วัดวังขนาย และชักชวนผู้คนไปยังที่แห่งนั้น
นี่แหละเป็นเรื่องอันตราย วันใดที่เขาประสพเหตุ และไขว่ขว้าหาสิ่งที่จักช่วยตน เขาจะเจอแต่ลม เพราะเขาทิ้งเสียสิ่งที่เป็นตนที่ช่วยเขาไปเสียแล้วนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์มักเล่าเรื่องพลตำรวจเอกท่านหนึ่งให้ฟัง หลายต่อหลายครั้ง ที่ภรรยามาขอความช่วยเหลือ ในขณะที่สามี นอนอยู่ในห้องไอซียู ของโรงพยาบาลตำรวจ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ให้นำสมุนไพรเขียวไปลองทานดู เผื่อมีวาสนา และเมื่อหลังจากทานเพียงสองวัน สามีก็สามารถลุกขึ้นจากเตียงและออกจากโรงพยาบาลได้
ผ่านการฟื้นฟูด้วยสมุนไพรอีก ๖ เดือน นายพลท่านนั้น กลับมามีสภาพปกติ ขับรถได้ ทำงานได้ตามปกติ และมาขอลาหลวงพ่อนิพนธ์สามเดือน โดยกล่าวว่า มีธุระด่วนต้องไปทำ
หายไปสามเดือน นายพลตำรวจไม่ได้กลับมา หากแต่เป็นภรรยาที่กลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้สามีกลับไปนอนที่เตียงเก่าอีกครั้ง
แล้วเล่าว่า อันที่จริงธุระด่วนที่สามีกล่าว นั่นคือ การไปแก้บน ที่ทำเอาไว้ ว่าหากหาย จักไปทำบุญ ๙ วัด เมื่อหายกลับมา จึงเดินทางไปแก้บนที่ทำไว้นั่นเอง
และในวันที่ไปทำบุญวัดที่เก้านั้้นเอง ก็เกิดอาการปัจจุบันทันด่วน ทำให้ต้องนำตัวท่านนายพล กลับไปยังโรงพยาบาลตำรวจ และก็ได้กลับไปนอนเตียงเดิม
ภรรยาจึงร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ช่วยอีกครั้ง หากแต่คำตอบที่ได้ คือ เขาไม่มีคุณสมบัติ โอกาสของเขาหมดลงแล้ว และแม้นว่าจะทานสมุนไพรอีกสักฉันใด อาการของท่านนายพล ก็ไม่ดีขึ้นและเสียชีวิตในที่สุด
ประวัติศาสตร์เช่นนี้ ไม่ควรที่จะเกิดซ้ำรอยแล้วรอยเล่า หากแต่คนที่มาได้นำสิ่งที่ฟัง ไปพิจารณา เสียดายที่การฟังของคนเหล่านั้น ฟังเพียงเพื่ออยากให้จบ ให้ผ่านไป ไม่เก็บไปพิจารณาอันใดเลย ในไม่ช้า ภาพประวัติศาสตร์ก็จักซ้ำรอยอีกครั้ง
คนที่อุ้มผีลุก ปลุกผีนั่ง กลับมองไม่เห็นค่า อ้ายคนที่นั่งเฉยๆ กลับได้กินหมู กินไก่
จึงเป็นเรื่องขำขัน ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักพูดให้ฟังเสมอ ถึงคนไข้ท่านหนึ่ง ที่มีฐานะ มาทุกครั้ง มักจะเล่าจะคุยให้คนโน้นคนนี้ฟังว่า ตัวเขาเองไปรักษาที่นั่น ที่โน่น หมดไปเท่าโน้นล้าน เท่านี้ล้าน ทำบุญวัดโน้นเท่านี้ วันนั้นเท่าโน้น โอ๊ยเยอะแยะไปหมด
พร้อมกับมักจะตบท้าย ด้วยคำถามที่มีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ตัวเขาก็ทานสมุนไพรมานานพอควร อาการก็ดีขึ้น แต่ทำไมไม่หายสักที .... คำตอบที่ก้องในใจหลวงพ่อนิพนธ์ก็คือ ก็แม้แต่มะกรูดสักลูก พริกไทยสักขีด เอ็งยังไม่เคยให้คนอื่นได้สุขเลย ดีแต่ไปทำในสิ่งที่ช่วยตนไม่ได้ เสียหายอย่างอื่นมากหลาย ไม่เสียดาย แต่เหนียวกับสิ่งที่ช่วยตนได้ โรคมันจึงเหนียวไง
ใครคิดว่าการฟังไม่มีประโยชน์ คิดผิดคิดใหม่ได้ การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ย่อมทำให้เราท่าน ไม่เดินผิดพลาดเช่นคนก่อนๆ นั่นเอง... เพราะทางที่เดิน หลงไปแล้ว กลับยาก
ข่าวเล่าลือ และคุยกันขรมในหมู่คนไข้ของชมรม
คนที่ไม่รู้ก็แห่กันไป ก็เห็นคนพูดมันดีขึ้น หรือหายกะตา ไม่เชื่อได้ไง
หากแต่ความเป็นจริง คนที่ไปนั้นมาทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน แล้วอาการดีขึ้น ในขณะที่รอ เขามีเวลาว่าง ก็ไปใช้บริการอาบน้ำแร่ เพราะอาบแล้วเลือดลมเดินดี สบายตัว
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เรื่องมันโอละพ่อ แทนที่จิตจะรับรู้ว่า การดีขึ้นของอาการที่ตนเป็นอยู่ มาจากสมุนไพร และการปฏิบัติ ตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน จิตกลับโยนผลอันนี้ไปให้น้ำแร่วัดวังขนาย และชักชวนผู้คนไปยังที่แห่งนั้น
นี่แหละเป็นเรื่องอันตราย วันใดที่เขาประสพเหตุ และไขว่ขว้าหาสิ่งที่จักช่วยตน เขาจะเจอแต่ลม เพราะเขาทิ้งเสียสิ่งที่เป็นตนที่ช่วยเขาไปเสียแล้วนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์มักเล่าเรื่องพลตำรวจเอกท่านหนึ่งให้ฟัง หลายต่อหลายครั้ง ที่ภรรยามาขอความช่วยเหลือ ในขณะที่สามี นอนอยู่ในห้องไอซียู ของโรงพยาบาลตำรวจ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ให้นำสมุนไพรเขียวไปลองทานดู เผื่อมีวาสนา และเมื่อหลังจากทานเพียงสองวัน สามีก็สามารถลุกขึ้นจากเตียงและออกจากโรงพยาบาลได้
ผ่านการฟื้นฟูด้วยสมุนไพรอีก ๖ เดือน นายพลท่านนั้น กลับมามีสภาพปกติ ขับรถได้ ทำงานได้ตามปกติ และมาขอลาหลวงพ่อนิพนธ์สามเดือน โดยกล่าวว่า มีธุระด่วนต้องไปทำ
หายไปสามเดือน นายพลตำรวจไม่ได้กลับมา หากแต่เป็นภรรยาที่กลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้สามีกลับไปนอนที่เตียงเก่าอีกครั้ง
แล้วเล่าว่า อันที่จริงธุระด่วนที่สามีกล่าว นั่นคือ การไปแก้บน ที่ทำเอาไว้ ว่าหากหาย จักไปทำบุญ ๙ วัด เมื่อหายกลับมา จึงเดินทางไปแก้บนที่ทำไว้นั่นเอง
และในวันที่ไปทำบุญวัดที่เก้านั้้นเอง ก็เกิดอาการปัจจุบันทันด่วน ทำให้ต้องนำตัวท่านนายพล กลับไปยังโรงพยาบาลตำรวจ และก็ได้กลับไปนอนเตียงเดิม
ภรรยาจึงร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ช่วยอีกครั้ง หากแต่คำตอบที่ได้ คือ เขาไม่มีคุณสมบัติ โอกาสของเขาหมดลงแล้ว และแม้นว่าจะทานสมุนไพรอีกสักฉันใด อาการของท่านนายพล ก็ไม่ดีขึ้นและเสียชีวิตในที่สุด
ประวัติศาสตร์เช่นนี้ ไม่ควรที่จะเกิดซ้ำรอยแล้วรอยเล่า หากแต่คนที่มาได้นำสิ่งที่ฟัง ไปพิจารณา เสียดายที่การฟังของคนเหล่านั้น ฟังเพียงเพื่ออยากให้จบ ให้ผ่านไป ไม่เก็บไปพิจารณาอันใดเลย ในไม่ช้า ภาพประวัติศาสตร์ก็จักซ้ำรอยอีกครั้ง
คนที่อุ้มผีลุก ปลุกผีนั่ง กลับมองไม่เห็นค่า อ้ายคนที่นั่งเฉยๆ กลับได้กินหมู กินไก่
จึงเป็นเรื่องขำขัน ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักพูดให้ฟังเสมอ ถึงคนไข้ท่านหนึ่ง ที่มีฐานะ มาทุกครั้ง มักจะเล่าจะคุยให้คนโน้นคนนี้ฟังว่า ตัวเขาเองไปรักษาที่นั่น ที่โน่น หมดไปเท่าโน้นล้าน เท่านี้ล้าน ทำบุญวัดโน้นเท่านี้ วันนั้นเท่าโน้น โอ๊ยเยอะแยะไปหมด
พร้อมกับมักจะตบท้าย ด้วยคำถามที่มีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ตัวเขาก็ทานสมุนไพรมานานพอควร อาการก็ดีขึ้น แต่ทำไมไม่หายสักที .... คำตอบที่ก้องในใจหลวงพ่อนิพนธ์ก็คือ ก็แม้แต่มะกรูดสักลูก พริกไทยสักขีด เอ็งยังไม่เคยให้คนอื่นได้สุขเลย ดีแต่ไปทำในสิ่งที่ช่วยตนไม่ได้ เสียหายอย่างอื่นมากหลาย ไม่เสียดาย แต่เหนียวกับสิ่งที่ช่วยตนได้ โรคมันจึงเหนียวไง
ใครคิดว่าการฟังไม่มีประโยชน์ คิดผิดคิดใหม่ได้ การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ย่อมทำให้เราท่าน ไม่เดินผิดพลาดเช่นคนก่อนๆ นั่นเอง... เพราะทางที่เดิน หลงไปแล้ว กลับยาก
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556
พระมาลัย
หากมองเข้าไปในห้องกระจก ขณะที่เราท่านสวดมนต์ ก็จะเห็นบรรดากรรมการ นั่งอยู่เต็มห้อง หลายท่านก็เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง
ด้วยความเป็นผู้ใหญ่นี้เอง ทำให้หลายคน มีความรู้สึกอาย ไม่อยากให้คนได้รับรู้ในสิ่งที่ตนเองเป็น
หากแต่วันนี้ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ประสพผลจากการทานสมุนไพร ได้เขียนจดหมายมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ เล่าความเป็นมา และร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์อ่านให้เพื่อนสมาชิกฟัง เพื่อเป็นวิทยาทาน
ท่านคือ พลตำรวจโท มานะ วงศ์สมบูรณ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ท่านเล่าว่า อีกไม่กี่วันท่านก็จักมีอายุครบ ๘๙ ปีแล้ว ท่านมาที่นี่ได้ ๑๖ เดือน โดยไม่มีการขาดแม้แต่สัปดาห์เดียว
ก่อนท่านจะมาที่นี่ ท่านก็เหมือนคนทั่วไป ฝากชีวิตไว้กับหมอ แต่สิ่งที่ท่านตอกย้ำก็คือ ความผลิกผันของชีวิต เริ่มจากโรคเดียวจริงๆ นั่นคือ ความดัน ที่เริ่มเป็นในขณะที่ยังรับราชการ
หลังจากนั้น ก็ไปพบแพทย์เพื่อรักษามาตลอด จนมีโรคเพิ่มขึ้นมา ครั้งหลังสุด จากการตรวจของหมอ นั่นคือ ๕ โรค โรคที่แถมมาล้วนแล้วหนักหนาทั้งสิ้น อันได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก เบาหวาน หัวใจ และกระดูกเสื่อม
และในครั้งหลังสุดนี้เอง ด้วยวัยที่มาก หมอที่ให้การรักษาก็สนิทสนมกัน จึงให้คำแนะนำท่านว่า โรคที่เป็นอยู่ ไม่สมควรรักษาด้วยวิทยากรของแพทย์แผนปัจจุบันอีกแล้ว เพราะเสี่ยงเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหัวใจ หรือ มะเร็งต่อมลูกหมาก ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ควรที่จะลองหันไปใช้สมุนไพรดู ซึ่งน่าจะทำให้ชีวิตยืนยาวกว่า
และบังเอิญเขาก็ได้รับคำแนะนำให้มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ จากนายตำรวจใหญ่รุ่นน้องท่านหนึ่ง จึงเดินทางมาพบหลวงพ่อนิพนธ์
การมาในครั้งนั้น ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ ประกอบกับวัยชรา และที่สำคัญที่หลวงพ่อนิพนธ์คำนึงนั่นคือ ลูกของท่านปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล อันหมายความว่า หากผิดพลาดไป ด้วยถึงอายุขัย อาจทำให้เกิดเรื่องราวกล่าวโทษได้
ท่านก็มีมานะสมชื่อ ร้องขอจนหลวงพ่อนิพนธ์ใจอ่อน อนุญาติให้นำสมุนไพรมาลองทาน ผ่านไป สองสามสัปดาห์ ผลการตอบรับของร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จนผ่านไปเกือบปี ตัวท่านเองประสพอุบัติเหตุ ทำให้กระดูกไหปลาร้าหัก เมื่อไปพบแพทย์ ได้รับคำแนะนำว่า ด้วยวัย และโรคกระดูกเสื่อมที่เป็นอยู่ ถึงแม้นจะผ่าตัด ก็ไม่สามารถทำให้กระดูกเชื่อมติดกันได้ จึงไม่ควรผ่า และแนะนำว่า ไม่ควรใช้แขนด้านขวาที่กระดูกหักนั้น ทำงานหรือยกของหนัก
ผ่านไปอีกสามเดือน ท่านก็ไปตรวจร่างกาย หมอก็ต้องแปลกใจ เพราะกระดูกไหปลาร้าเชื่อมติดกัน และท่านก็กลับมาใช้แขนยกของหนักได้เหมือนเดิม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังผ่านการทานสมุนไพรมา ๑๖ เดือน ท่านก็ไปตรวจร่างกายตามปกติ ผลการตรวจอย่างละเอียด ไม่ปรากฎอาการ และค่าใดๆ ของโรคทั้ง ๕ แต่อย่างใด
สิ่งนี้ทำให้หมอ ต้องสอบถามท่านว่า หลังจากหยุดทานเคมีของหมอเมื่อ ๑๖ เดือนก่อนแล้ว ไปทำอะไรมา ท่านจึงเล่าให้หมอฟัง
หมอที่สนิทกัน จึงกล่าวกับท่านว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี ทั้งนี้จากการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ไม่พบสารตกค้างใดๆ ในร่างกายเลย นั่นแสดงว่าสมุนไพรที่ทานอยู่นั้น มีแต่คุณ ไม่มีโทษใดๆ และแนะนำให้ท่านทานสมุนไพรต่อไป
ท่านจึงเห็นว่า เรื่องของท่านอาจเป็นประโยชน์แก่สมาชิก หรือคนข้างหลังบ้าง จึงเขียนมาเพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดเป็นวิทยาทาน
นับเป็นเรื่องที่ดี ที่มีพระมาลัยเพิ่มอีกหนึ่ง ... เป็นแสงสว่างที่สาดส่องให้คนที่กำลังหมดหวัง มืดมนหนทาง ได้เห็น ได้เดินตาม และมั่นใจว่า ทางที่เดิน ทำให้หวังเป็นไปได้ ...
ด้วยความเป็นผู้ใหญ่นี้เอง ทำให้หลายคน มีความรู้สึกอาย ไม่อยากให้คนได้รับรู้ในสิ่งที่ตนเองเป็น
หากแต่วันนี้ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ประสพผลจากการทานสมุนไพร ได้เขียนจดหมายมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ เล่าความเป็นมา และร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์อ่านให้เพื่อนสมาชิกฟัง เพื่อเป็นวิทยาทาน
ท่านคือ พลตำรวจโท มานะ วงศ์สมบูรณ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ท่านเล่าว่า อีกไม่กี่วันท่านก็จักมีอายุครบ ๘๙ ปีแล้ว ท่านมาที่นี่ได้ ๑๖ เดือน โดยไม่มีการขาดแม้แต่สัปดาห์เดียว
ก่อนท่านจะมาที่นี่ ท่านก็เหมือนคนทั่วไป ฝากชีวิตไว้กับหมอ แต่สิ่งที่ท่านตอกย้ำก็คือ ความผลิกผันของชีวิต เริ่มจากโรคเดียวจริงๆ นั่นคือ ความดัน ที่เริ่มเป็นในขณะที่ยังรับราชการ
หลังจากนั้น ก็ไปพบแพทย์เพื่อรักษามาตลอด จนมีโรคเพิ่มขึ้นมา ครั้งหลังสุด จากการตรวจของหมอ นั่นคือ ๕ โรค โรคที่แถมมาล้วนแล้วหนักหนาทั้งสิ้น อันได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก เบาหวาน หัวใจ และกระดูกเสื่อม
และในครั้งหลังสุดนี้เอง ด้วยวัยที่มาก หมอที่ให้การรักษาก็สนิทสนมกัน จึงให้คำแนะนำท่านว่า โรคที่เป็นอยู่ ไม่สมควรรักษาด้วยวิทยากรของแพทย์แผนปัจจุบันอีกแล้ว เพราะเสี่ยงเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหัวใจ หรือ มะเร็งต่อมลูกหมาก ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ควรที่จะลองหันไปใช้สมุนไพรดู ซึ่งน่าจะทำให้ชีวิตยืนยาวกว่า
และบังเอิญเขาก็ได้รับคำแนะนำให้มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ จากนายตำรวจใหญ่รุ่นน้องท่านหนึ่ง จึงเดินทางมาพบหลวงพ่อนิพนธ์
การมาในครั้งนั้น ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ ประกอบกับวัยชรา และที่สำคัญที่หลวงพ่อนิพนธ์คำนึงนั่นคือ ลูกของท่านปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล อันหมายความว่า หากผิดพลาดไป ด้วยถึงอายุขัย อาจทำให้เกิดเรื่องราวกล่าวโทษได้
ท่านก็มีมานะสมชื่อ ร้องขอจนหลวงพ่อนิพนธ์ใจอ่อน อนุญาติให้นำสมุนไพรมาลองทาน ผ่านไป สองสามสัปดาห์ ผลการตอบรับของร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จนผ่านไปเกือบปี ตัวท่านเองประสพอุบัติเหตุ ทำให้กระดูกไหปลาร้าหัก เมื่อไปพบแพทย์ ได้รับคำแนะนำว่า ด้วยวัย และโรคกระดูกเสื่อมที่เป็นอยู่ ถึงแม้นจะผ่าตัด ก็ไม่สามารถทำให้กระดูกเชื่อมติดกันได้ จึงไม่ควรผ่า และแนะนำว่า ไม่ควรใช้แขนด้านขวาที่กระดูกหักนั้น ทำงานหรือยกของหนัก
ผ่านไปอีกสามเดือน ท่านก็ไปตรวจร่างกาย หมอก็ต้องแปลกใจ เพราะกระดูกไหปลาร้าเชื่อมติดกัน และท่านก็กลับมาใช้แขนยกของหนักได้เหมือนเดิม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังผ่านการทานสมุนไพรมา ๑๖ เดือน ท่านก็ไปตรวจร่างกายตามปกติ ผลการตรวจอย่างละเอียด ไม่ปรากฎอาการ และค่าใดๆ ของโรคทั้ง ๕ แต่อย่างใด
สิ่งนี้ทำให้หมอ ต้องสอบถามท่านว่า หลังจากหยุดทานเคมีของหมอเมื่อ ๑๖ เดือนก่อนแล้ว ไปทำอะไรมา ท่านจึงเล่าให้หมอฟัง
หมอที่สนิทกัน จึงกล่าวกับท่านว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี ทั้งนี้จากการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ไม่พบสารตกค้างใดๆ ในร่างกายเลย นั่นแสดงว่าสมุนไพรที่ทานอยู่นั้น มีแต่คุณ ไม่มีโทษใดๆ และแนะนำให้ท่านทานสมุนไพรต่อไป
ท่านจึงเห็นว่า เรื่องของท่านอาจเป็นประโยชน์แก่สมาชิก หรือคนข้างหลังบ้าง จึงเขียนมาเพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดเป็นวิทยาทาน
นับเป็นเรื่องที่ดี ที่มีพระมาลัยเพิ่มอีกหนึ่ง ... เป็นแสงสว่างที่สาดส่องให้คนที่กำลังหมดหวัง มืดมนหนทาง ได้เห็น ได้เดินตาม และมั่นใจว่า ทางที่เดิน ทำให้หวังเป็นไปได้ ...
ความต่าง
สมุนไพร กับ อาหาร เป็นของธรรมชาติ ที่มีมาคู่กับโลกให้มนุษย์ได้ใช้
สองสิ่งเป็นธรรมชาติ ดังนั้น จึงต้องอาศัยคุณสมบัติของธรรมชาติมนุษย์ เฉกเช่นเดียวกัน เพื่อเอาประโยชน์ นั่นคือ "การกินแล้วย่อยด้วยท้อง"
หลังจากนั้น ก็จะแยกแร่แปรธาตุ ไปใช้ตามส่วนต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ
หากแต่คุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดของทั้งสองสิ่งนั่นคือ อาหาร ทานแล้วร่างกายนำไปหล่อเลี้ยงชีวิต และฟื้นฟูร่างกายส่วนที่สึกหรอเสียหายไป
ในขณะที่สมุนไพร เมื่อทานแล้ว ไม่ช่วยในการเจริญเติบโตแต่อันใดเลย หากแต่ มีคุณสมบัติ เพื่อปรับธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้สมดุลย์อีกคร้้ง
อันหมายความว่า ประโยชน์ของการทานสมุนไพร เป็นไปเพื่อฟื้นฟูสภาพอวัยวะ ๓๒ ของตัวเราเท่านั้นเอง
สมุนไพรจึงไม่ใช่ยารักษาโรค และไม่สามารถรักษาโรคอันใดได้ จึงไม่เป็นเฉกเช่นยาเคมี ที่ต้องระบุว่า เป็นยาเพื่อโรคอะไร อาการอะไร
และคุณสมบัติที่เหมือนกัน ของอาหารและสมุนไพร ที่ไม่มีใครรู้หรือตอบได้ว่า สิ่งที่ทานแล้วนั้น จักไปเป็นอะไร ในองคาพยพทั้ง ๓๒ ของตัวเรา
ฤาใครจะบอกได้ว่า ข้าวช้อนนี้ จะไปสร้างกระดูกซี่ไหน ข้าวช้อนนั้น จะไปเป็นมือข้างใด ... ทำไม่ได้ ... ร่างกายรับรู้เอง และทำเอง
และก็เช่นเดียวกับอาหาร เมื่อจะใช้งานก็ต้องดูตามอาการของตนที่พึงเกิด ขาดหวาน ก็ทานของหวาน ขาดสารอาหาร ก็ทานเนื้อสัตว์ ... เช่นกัน ร่างกายมีน้ำเกิน ก็ต้องทานสมุนไพรมะพร้าว เข้าไปวิดน้ำออก ดินเสีย ก็เห็นจากเนื้อที่เน่าเปื่อยแล้วแผลไม่ยอมหาย ก็ต้องทานสมุนไพรที่มีคุณสมบัติไปแก้ตามอาการนั้นๆ ที่ปรากฎ
บทสรุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักเน้นย้ำ เรื่องภายในกาย ธรรมชาติสร้าง ย่อมต้องอาศัยธรรมชาติ เพื่อการแก้ไข ยามมีปัญหา ....
ดังนั้น ยาเคมีทั้งหลาย ... ถอยไป ... อย่าเสือก
หากหยิบฉวย ก็ไม่แคล้ว ฉิบหายแน่ ... ผลที่ประจักษ์ นั่นคือ จากโรคหนึ่ง ไม่มีลด มีแต่กลายเป็น สอง สาม ...
สองสิ่งเป็นธรรมชาติ ดังนั้น จึงต้องอาศัยคุณสมบัติของธรรมชาติมนุษย์ เฉกเช่นเดียวกัน เพื่อเอาประโยชน์ นั่นคือ "การกินแล้วย่อยด้วยท้อง"
หลังจากนั้น ก็จะแยกแร่แปรธาตุ ไปใช้ตามส่วนต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ
หากแต่คุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดของทั้งสองสิ่งนั่นคือ อาหาร ทานแล้วร่างกายนำไปหล่อเลี้ยงชีวิต และฟื้นฟูร่างกายส่วนที่สึกหรอเสียหายไป
ในขณะที่สมุนไพร เมื่อทานแล้ว ไม่ช่วยในการเจริญเติบโตแต่อันใดเลย หากแต่ มีคุณสมบัติ เพื่อปรับธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้สมดุลย์อีกคร้้ง
อันหมายความว่า ประโยชน์ของการทานสมุนไพร เป็นไปเพื่อฟื้นฟูสภาพอวัยวะ ๓๒ ของตัวเราเท่านั้นเอง
สมุนไพรจึงไม่ใช่ยารักษาโรค และไม่สามารถรักษาโรคอันใดได้ จึงไม่เป็นเฉกเช่นยาเคมี ที่ต้องระบุว่า เป็นยาเพื่อโรคอะไร อาการอะไร
และคุณสมบัติที่เหมือนกัน ของอาหารและสมุนไพร ที่ไม่มีใครรู้หรือตอบได้ว่า สิ่งที่ทานแล้วนั้น จักไปเป็นอะไร ในองคาพยพทั้ง ๓๒ ของตัวเรา
ฤาใครจะบอกได้ว่า ข้าวช้อนนี้ จะไปสร้างกระดูกซี่ไหน ข้าวช้อนนั้น จะไปเป็นมือข้างใด ... ทำไม่ได้ ... ร่างกายรับรู้เอง และทำเอง
และก็เช่นเดียวกับอาหาร เมื่อจะใช้งานก็ต้องดูตามอาการของตนที่พึงเกิด ขาดหวาน ก็ทานของหวาน ขาดสารอาหาร ก็ทานเนื้อสัตว์ ... เช่นกัน ร่างกายมีน้ำเกิน ก็ต้องทานสมุนไพรมะพร้าว เข้าไปวิดน้ำออก ดินเสีย ก็เห็นจากเนื้อที่เน่าเปื่อยแล้วแผลไม่ยอมหาย ก็ต้องทานสมุนไพรที่มีคุณสมบัติไปแก้ตามอาการนั้นๆ ที่ปรากฎ
บทสรุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักเน้นย้ำ เรื่องภายในกาย ธรรมชาติสร้าง ย่อมต้องอาศัยธรรมชาติ เพื่อการแก้ไข ยามมีปัญหา ....
ดังนั้น ยาเคมีทั้งหลาย ... ถอยไป ... อย่าเสือก
หากหยิบฉวย ก็ไม่แคล้ว ฉิบหายแน่ ... ผลที่ประจักษ์ นั่นคือ จากโรคหนึ่ง ไม่มีลด มีแต่กลายเป็น สอง สาม ...
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556
คอร์สอัมพฤกต์
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สมาชิกท่านใดที่พร้อม มีพี่เลี้ยง ก็ให้ลงชื่อไว้
หลังจากนั้นจะแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ ๒๐ คน
โดยจักทำสมุนไพรสด ที่เมื่อทำเสร็จแล้วต้องทานเลย ตามด้วยการนวดน้ำมัน และการอบสมุนไพร พร้อมด้วยสมุนไพรมะพร้าวแบบเผาเอง ทุกวัน จึงต้องมีพี่เลี้ยง
คอร์สนี้ จึงใช้เฉพาะคนที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ เดินเองได้ เพื่อให้กลับมาเดินได้ ช่วยตัวเองได้
หลังจากผ่านคอร์สนี้ไป ก็ฟื้นฟูเหมือนปกติ โดยหวังผลอย่างน้อยก็กลับมาช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
การทำเช่นนี้ เพื่อย่นย่อระยะทางในการฟื้นตัว
และให้คนป่วยได้ล้างสัญญา เบียดเบียนผู้อื่น ให้หมดไป
ส่วนกำหนดการเข้าคอร์ส ต้องรอชมรมประกาศอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นจะแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ ๒๐ คน
โดยจักทำสมุนไพรสด ที่เมื่อทำเสร็จแล้วต้องทานเลย ตามด้วยการนวดน้ำมัน และการอบสมุนไพร พร้อมด้วยสมุนไพรมะพร้าวแบบเผาเอง ทุกวัน จึงต้องมีพี่เลี้ยง
คอร์สนี้ จึงใช้เฉพาะคนที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ เดินเองได้ เพื่อให้กลับมาเดินได้ ช่วยตัวเองได้
หลังจากผ่านคอร์สนี้ไป ก็ฟื้นฟูเหมือนปกติ โดยหวังผลอย่างน้อยก็กลับมาช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
การทำเช่นนี้ เพื่อย่นย่อระยะทางในการฟื้นตัว
และให้คนป่วยได้ล้างสัญญา เบียดเบียนผู้อื่น ให้หมดไป
ส่วนกำหนดการเข้าคอร์ส ต้องรอชมรมประกาศอีกครั้งหนึ่ง
โรคใหม่มาแรงของคนไทย
เมื่อธรรมของพระภูมีที่ดูเหมือนกระจายไปทั่วผืนแผ่นดินไทย หากแต่ความจริงแล้ว มีแต่สัญญลักษณ์ ส่วนธรรมจริงๆ ถูกกลบฝังไปเสียสิ้น
ผลก็คือ การขาดเสียซึ่งภูมิต้านทาน โดยเฉพาะกับโรคใหม่ที่กำลังระบาดไปทั่วแผ่นดินไทย ที่เรียกกันว่า โรคแห่งความเกลียดชัง
โรคอันนี้ดูน่ากลัวยิ่งกว่าโรคใดๆที่เป็น เพราะทุกโรคล้วนมีผลเฉพาะตน หากแต่เมื่อติดเชื้อโรคร้ายนี้แล้วไซร้ คาดคะเนไม่ได้เลยว่า ผลของความฉิบหายจะมากน้อยสักเพียงใด
ย้อนประวัติศาสตร์ แค่คนๆเดียวที่ติดโรคร้ายนี้ ทำให้คนยิวหลายล้านคน ต้องตาย อีกหลายสิบล้าน ต้องบ้านแตก หนีกระเซิง กระจายไปทั่วทุกมุมโลก
พุทธบริษัทของพระภูมี หรือผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะทำตนเยี่ยงนั้น ด้วยผลอันนั้นให้ทุกข์แก่ผู้อื่นอันมหาศาล
พระภูมีบัญญัติทางสายกลาง นั่นคือ ดีไม่เอา ชั่วไม่เอา ทุกสรรพสิ่งปล่อยให้เป็นไปตามกรรมลิขิต
เฉกเช่นพุทธประวัติของพระโคดม ที่ทรงโปรดไปห้ามญาติที่ยกทัพกันมา เพื่อแย่งแม่น้ำ จนเป็นที่มาของปางห้ามญาติ เมื่อห้ามแล้วไม่ฟังก็ต้องอุเบกขา หลบตนออกมา ไม่เข้าด้วยฝ่ายใด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักยกตัวอย่าง ทนายหญิงท่านหนึ่งที่เป็นโรคมะเร็งตับ หมอบอกต้องเสียค่าใช้จ่าย ๑ ล้านบาทในการรักษา แต่ด้วยความที่ไม่มีเงิน จึงเลือกที่จะมารักษาที่ชมรม
หลวงพ่อนิพนธ์รับไว้ จนเธอหายเป็นปกติ แต่ด้วยความที่นิสัยเธอไม่ชอบความไม่เป็นธรรม ทำให้เธอขอลาไปเข้าร่วมกับฝ่ายการเมืองฝั่งที่เธอชอบ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนเธอว่า กำลังที่ได้มา ชีวิตใหม่ที่เกิด หาควรทำเช่นนั้นไม่ เพราะควรที่จะมีไว้เพื่อให้สุขแก่ผู้อื่น สิ่งที่เธออยากทำนั้น เป็นธรรมดาของโลก เป็นกรรมที่คนไทยต้องประสพ ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว จะชอบหรือไม่ ก็ต้องวาง เดินทางสายกลางของพระภุมี
หลังจากหายไปเป็นปี เธอก็กลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยอาการของโรคใหม่ที่ปรากฎขึ้น
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า หลักของพระภูมี ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด การเป็นโรคมาในครั้งแรก ถือว่าเป็นผู้ไม่รู้ศาสนา ผลของความผิด จึงพอบรรเทารักษาได้
หากแต่การเกิดโรคครั้งหลัง แม้นไม่หนักเหมือนครั้งแรก หากแต่เมื่อปรากฎ ก็ยากที่จะหยุดยั้งเยียวยา เพราะเกิดจากการกระทำที่รู้แล้ว แต่ยังทำผิดอีกนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงฝากเตือนว่า ควรทำตนอุเบกขา ไม่เข้ากับฝ่ายใด เดินสายกลาง แล้วทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น อย่าให้โรคความเกลียดชัง เบียดเข้ามาได้
นี่แหละที่เรียกว่า บ้านเมืองเรายุคนี้ มันมีแต่พระพุทธเต็มบ้านเต็มเมือง หากแต่ไร้ซึ่งพระธรรมคำสอน ที่จักนำมาวิรัชตน รัดกิเลสนิสัยของตน
ผลก็คือ ความทุกข์ที่จักกระจายไปทุกหย่อมหญ้า เป็นโรคที่ร้ายแรง น่ากลัวกว่าโรคใดๆ
ผลก็คือ การขาดเสียซึ่งภูมิต้านทาน โดยเฉพาะกับโรคใหม่ที่กำลังระบาดไปทั่วแผ่นดินไทย ที่เรียกกันว่า โรคแห่งความเกลียดชัง
โรคอันนี้ดูน่ากลัวยิ่งกว่าโรคใดๆที่เป็น เพราะทุกโรคล้วนมีผลเฉพาะตน หากแต่เมื่อติดเชื้อโรคร้ายนี้แล้วไซร้ คาดคะเนไม่ได้เลยว่า ผลของความฉิบหายจะมากน้อยสักเพียงใด
ย้อนประวัติศาสตร์ แค่คนๆเดียวที่ติดโรคร้ายนี้ ทำให้คนยิวหลายล้านคน ต้องตาย อีกหลายสิบล้าน ต้องบ้านแตก หนีกระเซิง กระจายไปทั่วทุกมุมโลก
พุทธบริษัทของพระภูมี หรือผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะทำตนเยี่ยงนั้น ด้วยผลอันนั้นให้ทุกข์แก่ผู้อื่นอันมหาศาล
พระภูมีบัญญัติทางสายกลาง นั่นคือ ดีไม่เอา ชั่วไม่เอา ทุกสรรพสิ่งปล่อยให้เป็นไปตามกรรมลิขิต
เฉกเช่นพุทธประวัติของพระโคดม ที่ทรงโปรดไปห้ามญาติที่ยกทัพกันมา เพื่อแย่งแม่น้ำ จนเป็นที่มาของปางห้ามญาติ เมื่อห้ามแล้วไม่ฟังก็ต้องอุเบกขา หลบตนออกมา ไม่เข้าด้วยฝ่ายใด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักยกตัวอย่าง ทนายหญิงท่านหนึ่งที่เป็นโรคมะเร็งตับ หมอบอกต้องเสียค่าใช้จ่าย ๑ ล้านบาทในการรักษา แต่ด้วยความที่ไม่มีเงิน จึงเลือกที่จะมารักษาที่ชมรม
หลวงพ่อนิพนธ์รับไว้ จนเธอหายเป็นปกติ แต่ด้วยความที่นิสัยเธอไม่ชอบความไม่เป็นธรรม ทำให้เธอขอลาไปเข้าร่วมกับฝ่ายการเมืองฝั่งที่เธอชอบ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนเธอว่า กำลังที่ได้มา ชีวิตใหม่ที่เกิด หาควรทำเช่นนั้นไม่ เพราะควรที่จะมีไว้เพื่อให้สุขแก่ผู้อื่น สิ่งที่เธออยากทำนั้น เป็นธรรมดาของโลก เป็นกรรมที่คนไทยต้องประสพ ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว จะชอบหรือไม่ ก็ต้องวาง เดินทางสายกลางของพระภุมี
หลังจากหายไปเป็นปี เธอก็กลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยอาการของโรคใหม่ที่ปรากฎขึ้น
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า หลักของพระภูมี ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด การเป็นโรคมาในครั้งแรก ถือว่าเป็นผู้ไม่รู้ศาสนา ผลของความผิด จึงพอบรรเทารักษาได้
หากแต่การเกิดโรคครั้งหลัง แม้นไม่หนักเหมือนครั้งแรก หากแต่เมื่อปรากฎ ก็ยากที่จะหยุดยั้งเยียวยา เพราะเกิดจากการกระทำที่รู้แล้ว แต่ยังทำผิดอีกนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงฝากเตือนว่า ควรทำตนอุเบกขา ไม่เข้ากับฝ่ายใด เดินสายกลาง แล้วทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น อย่าให้โรคความเกลียดชัง เบียดเข้ามาได้
นี่แหละที่เรียกว่า บ้านเมืองเรายุคนี้ มันมีแต่พระพุทธเต็มบ้านเต็มเมือง หากแต่ไร้ซึ่งพระธรรมคำสอน ที่จักนำมาวิรัชตน รัดกิเลสนิสัยของตน
ผลก็คือ ความทุกข์ที่จักกระจายไปทุกหย่อมหญ้า เป็นโรคที่ร้ายแรง น่ากลัวกว่าโรคใดๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)