พระรุ่นเก่า ก็คงไม่มีใครรู้ว่าของจริงหน้าตาเป็นอย่างไร คนค้าพระก็ทำขึ้นแล้วก็บอกว่านี่แหละของจริง แท้แน่นอน อาศัยความน่าเชื่อถือในตัวตน สมอ้างก็มากมี
ตัวอย่างที่เด่นชัด ที่ประสพพบเห็นก็เด็กนักเรียนวัดท่ากระดาน ลูกศิษย์ครูวัลลภ หัวหน้าชุดเก็บยา ที่ห้อยพระท่ากระดาน ที่ตกทอดมาเป็นมรดก หลายชั่วอายุคน
มาวันนี้ มีคนเอาไปให้เซียนพระที่ดังๆ ดู มันบอกว่าของเก๊ ของแท้ต้องแบบที่มันมีโน่น
เรื่องราวของพระพุทธศาสนา ก็เฉกเช่นเดียวกัน ตราบใดที่ยังไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ มาสังคยานาศาสนาของพระโคดมขึ้นมา อ้ายพวกอ้างศาสนาหากิน ก็เกลื่อนแผ่นดินไทย
แม่ชีเมี้ยนทรงสอนว่า ศาสนาที่แท้จริงไม่เป็นเช่นนั้นดอก แล้วจึงยกความตอนหนึ่งมาให้ฟังว่า เมื่อพระภูมีทรงเสด็จไปที่ใด ก็มักมีเศรษฐี คหบดี กษัตริย์ ที่เลื่อมใส ปรารถนาใคร่ที่อยากจะสร้างที่พักถาวรที่มั่นคง ไว้ให้พระภูมีได้ทรงใช้ หรือทำโน่นทำนี่กันอย่างมากมาย
พระภูมีทรงตรัสตอบคนเหล่านั้นว่า "ธรรมของอาตมา มีไว้เพื่อพัฒนามนุษย์ หาใช่พัฒนาวัตถุไม่"
นั่นจึงเป็นเหตุว่า ทำไมจึงไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ หลงเหลือให้เห็นในแผ่นดินอินเดียในปัจจุบันเลย
เมื่อย้อนกลับมาดูเมืองไทย ที่ว่ากันว่าเมืองแห่งพระพุทธศาสนา กลับปรากฎแต่วัตถุที่สร้างแข่งกันเต็มบ้านเต็มเมือง อ้างผลแห่งบุญกันหน้าตาเฉย
แล้วเอาธรรมของพระโคดมเก็บไว้ในลิ้นชัก ศาสนาทำ ไม่เคยได้ยิน ไปไหนก็ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นศักดิ์สิทธิ์ ที่โน่นศักดิ์สิทธิ์ ขออะไรก็ได้หมด
ธรรมของพระภูมีที่ทิ้งไว้ให้มนุษย์เอาไว้ช่วยตน ถูกเก็บเข้าพกเข้าห่อ ไม่มีใครมาสอนให้ทำ เพราะพระภูมีทรงตรัสว่า "อยากได้ก็ทำเอา" จึงกลายเป็น เอาเงินมา เอาบุญไป ไม่ต้องทำ เงินอย่างเดียว
ประเทศที่ได้ชื่อว่า พระพุทธศาสนเฟื่องฟู จึงลุกเป็นไฟ ร้อนไปหมดกันทั้งประเทศ
สัญญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา เขาสงบ และร่มเย็น ไม่มีให้เห็นเลย
แม่ชีเมี้ยน จึงให้หลวงพ่อนิพนธ์ มาปลุกปั่น และชักชวน ให้มาเดินให้ถูกครรลองคลองธรรมที่แท้จริง นั่นคือ การย้อนกลับมาเอาธรรมของพระภูมี มาปฏิบัติ เมื่อทำได้ ก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ
และที่สำคัญ ชี้ให้เห็นว่าบ่อเกิดของทุกข์และสุข ล้วนมีที่มาจากมนุษย์และสัตว์ การจะได้สุขหรือทุกข์ ก็เป็นผลจากการให้สุขหรือทุกข์ แก่มนุษย์และสัตว์ นั่นเอง ไม่ใช่นั่งขอ ร้องให้ตายก็หาเป็นผลไม่