เมื่อครั้งถ้ำกระบอก หลวงพ่อนิพนธ์ได้เคยกล่าวกับแม่ชีเมี้ยนว่า "คนมาเยอะขนาดนี้ ถ้าจะให้เดินดูทุกคน คงไม่ไหว"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงร้องขอแับแม่ชีเมี้ยนว่า "ขอให้หน้าที่ดูแลทั้งหมด ขึ้นกับ บุญรักษา ได้ไหม"
แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสว่า การจะให้ได้มาซึ่งบุญรักษานั้น ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ทำ ว่าเป็นผู้มีคุณธรรม ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ความเมตตา
ที่สำคัญ ผู้ที่ทำต้องไม่ต้องภาษิตที่ว่า "เล่นของ กินของ"
อันหมายความถึง พฤติกรรมของผู้ทำต้องไม่เป็นลักษณะของ ต้นตรงปลายคด คือ เริ่มจากคุณธรรม จนความศักดิ์สิทธิ์ของสมุนไพรพอกพูนขึ้น อันหมายถึง การเรียกคนมากมาย เพื่อมาพึ่ง แล้วนำมาหากิน ขายกิน
การหากิน หรือ ขายกิน ก็คือการกินของ นั่นเอง จะมีผลทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของสมุนไพร เสื่อมถอยลง จนหมดค่าในที่สุด
พูดง่ายๆ ก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาเผ่นหนีแล้วนั่นเอง
อันเป็นที่มาว่า การทำสมุนไพรของหลวงพ่อนิพนธ์ ไม่สนว่าจะทำในสถานะใด จะนุ่งกางเกงทำก็แล้วแต่ หากแต่สัญญาประการเดียว ที่จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของตำราสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนดำรงคงอยู่ นั่นคือ "ไม่นำสมุนไพรไปขายกิน"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า คนไข้หลายคนอาจจะคิดว่า มาที่นี่ ไม่เห็นได้เคยพบ เคยคุย กับคนรักษาเลย หรือ ไม่เห็นว่าจะตรวจอะไรเลย แล้วเขารักษากันอย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบายว่า อะไรก็วินิจฉัยได้ไม่ดีเท่าบุญ นั่นคือ ใช้อำนาจบุญจากการสวดมนต์ ในการวินิจฉัย นั่นเอง
สวดมนต์เอง เพื่อวินิจฉัยตัวเอง แล้วรับสมุนไพรไปแก้โรค ตามที่ได้วินิจฉัย ฟังเหตุและผลของพระภูมี แล้วไปปฏิบัติ เพื่อแก้กรรม
วิธีของบุญรักษา ที่พระภูมีทรงตรัสรู้ จึงสรุปได้ว่า ช่วยใครไม่ได้เลย หากแต่สอนให้คนที่ต้องการ นำไปปฏิบัติ เพื่อช่วยตนเองได้
เพราะกรรมใดใครก่อ กรรมใดใครผูก คนผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้แก้
แล้วใครเล่าที่มีความรู้เรื่องกรรม ....
มันจึงเป็นคำตอบที่ว่า หากพึ่งคนอื่น ย่อมหาผลไม่ได้เลย นอกจากฝันลมลมแล้งแล้ง เมื่อความจริงปรากฎ ก็ตอนตายนั่นเอง
และสิ่งเดียว ทางเดียว ที่ทำให้รอด ก็ด้วยสองมือเรา ที่ต้องสร้างบุญมาเพื่อช่วยตนนั่นเอง บุญรักษา ที่ว่า จึงต้องเป็นบุญที่เกิดจากตัวเราเท่านั้นเอง