คนไข้สตรีท่านหนึ่ง เขียนจดหมายมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์ตอบข้อข้องใจของเธอที่มีต่อสมุนไพร
เธอเล่าปัญหาของเธอให้ฟังว่า ป่วยด้วยโรคเบาหวาน รักษาด้วยแผนปัจจุบันมานาน แต่ก็ไม่ประสพผล อาการมีแต่แย่ลง
แต่ไม่ได้เล่าว่าเธอมาที่ชมรมคนรักสุขภาพได้อย่างไร กล่าวแต่เพียงว่า หลังจากทานสมุนไพรมาระยะหนึ่ง ผลที่ปรากฎคือ อาการของเบาหวานที่เธอเป็น ดีขึ้นมาก หากแต่มีอาการที่ปรากฎ นั่นคือ สภาพผิวของเธอแห้ง และตัวดำขึ้น
เธอกลับไปให้หมอที่รักษาอาการเบาหวานของเธอตรวจ พร้อมขอคำปรึกษา ในสมุนไพรที่เธอทานอยู่
หมอตอบกลับมาว่า อนุญาตให้ทานสมุนไพรได้ หากแต่สมุนไพรที่ทานควรได้รับ อ.ย. เพราะสมุนไพรที่ไม่รับมักจะมีสารพวกเสตียรอยด์ และมอร์ฟีน รวมทั้งสารเคมีคือยาแก้ปวด ใส่รวมอยู่ด้วย
เธอจึงตั้งคำถาม เป็นข้อๆ และให้หลวงพ่อนิพนธ์ตอบ ....
คือ สมุนไพรที่ทำแจกนี้ มีสารดังที่หมอกล่าวใช่หรือไม่ และอาการที่เธอเป็น คือ โรคเบาหวาน ทำไมเธอจึงต้องกินยาเหมือนคนเป็นโรคมะเร็ง หรือ โรคอื่นๆ ทำไมไม่ให้เธอทานเฉพาะสมุนไพรเบาหวาน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงกล่าวว่า เหตุที่ผิวของเธอแห้งและ ตัวดำ เกิดจากการทานสมุนไพรเหล่านั้นใช่ไหม ตบท้าย อยากให้หลวงพ่อนิพนธ์ แยกสมุนไพรเฉพาะโรคเด็ดขาด ว่าคนเป็นโรคแบบนี้ ต้องทานแบบนี้ ไม่รวมกัน พูดง่ายๆ ก็แบบแผนปัจจุบัน คือ แบบยาเฉพาะทางเฉพาะโรค นั่นเอง
นี่แหละคือความเหนื่อยที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องเจอ โดยไม่สมควร เพราะจากคำถามแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน คนเหล่านี้นั่งฟังแบบ ขอไปที แล้วมุ่งเน้นไปที่การทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว นั่นเอง
ร้ายไปกว่านั้น คำพูดของหลวงพ่อนิพนธ์ คือแสงสว่างที่จะนำมานำตนให้รอด ไร้ค่า ไร้น้ำหนัก แต่คำพูดของหมอที่ตัวเขาศรัทธาและเชื่อฟัง อย่าว่าแต่ทำให้ดีขึ้นเลย แค่ทรงยังทำไม่ได้ จำมาทุกคำทุกตัวอักษร ปฏิบัติแบบไม่มีผิดแม้แต่กระเบียดนิ้ว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ก็ในเมื่อทุกครั้งที่เราท่านมา ก็ย้ำนักย้ำหนาว่า ... ต้องเลิก "สารเคมี" ทุกสิ่งอย่าง .... แล้วจะใส่สารเหล่านั้นเพื่ออะไร คนที่ใส่เขาต้องการให้คุณติด จะได้ขายเยอะๆ คนกินจะเป็นอย่างไรไม่สน แต่ที่นี่ ทำเพื่อช่วยคน ทำแจก ต้องการคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ
ทานยาหมอ อาการแย่ลง ไม่เคยสงสัย หรือ ถามเลยหายไหม แต่ทานสมุนไพรอาการดีวันดีคืน กลับสงสัย .... กังขา
แล้วที่จุกอก ก็คือ พฤติกรรมของคนเหล่านี้ เมื่อทานสมุนไพรไประยะหนึ่ง ร่างกายมีความสามารถในการกอบกู้ตนเองได้ อาการที่แฝงไว้ แต่ยังไม่ปรากฎโรคมาให้เห็นก่อนหน้านี้ ก็จักถูกคุ้ยเขี่ยให้ปรากฎ เพื่อเคลียร์
เอาเข้าแล้วไง ... เมื่อก่อนจะมาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ทำไมมาทานสมุนไพรแล้วจึงมีอาการอย่างนี้ สมุนไพรทำให้เป็นใช่ไหม ... ฉิบหายแล้ว เพราะมันเข้าข่าย "อกตัญญูู" ทำคุญบูชาโทษ นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงอรรถาธิบาย ว่า ก็เขามีอาการของโรคโลหิตเป็นพิษ แฝงอยู่ เมื่อร่างกายเคลียร์เบาหวานได้ ก็คุ้ยเขี่ยอาการเหล่านี้มา เพราะแข็งแกร่งพอที่จะสู้ได้แล้วนั่นเอง พอคุ้ยปุ๊บ โดยรีดเข้ามาอยู่ที่เลือด ก็เลือดมันเป็นพิษ ตัวก็ต้องดำ ผิวก็ต้องแห้ง เป็นสัญญาณให้ร่างกายได้รับรู้ว่า มีสิ่งนี้อยู่ให้ต่อสู้แล้วเคลียร์ออก ....
แทนที่จะขอบคุณและซาบซึ้ง ... กลับตาลปัตร โทษสมุนไพร โทษคนทำ ว่าเอาอะไร ใส่อะไร มาให้ทาน ...
ทั้งๆ ที่บอกทุกครั้งว่า แนวทางนี้ ต้องผ่านการลงแดง เพราะสมุนไพรมันต้องไปคุ้ยอาการให้ปรากฎ และก็ต้องทนกับอาการให้ได้ โดยทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า ...
ก็ถ้าไม่อยากตัวดำ ไม่อยากผิวแห้ง .... โน่นเลยไปหาหมอ ทานยาระงับ เก็บอาการดังกล่าวไว้ ไม่ควรมาเดินแนวทางนี้เลย
เราจึงไม่แปลกใจเลย ว่าหลายคนที่ใกล้ชิดหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อเห็นคนไข้ที่มาแล้ว ไม่ตั้งใจฟังหลวงพ่อนิพนธ์ จึงออกอาการ แบบว่า "อยากเตะออกไปให้ไกลๆ" เรียกว่า ไล่ได้ไล่เลย ไม่อยากมอง ก็เพราะรู้ดีว่า วันหนึ่งคนประเภทนี้ จะย้อนกลับมาโทษสมุนไพร โทษแม่ชีเมี้ยน โทษคนทำ นั่นเอง
ก็เพราะ คำพูดที่ใช้ ก็ภาษาไทย ไวยากรณ์ที่ใช้ก็ธรรมดา ฟังแล้วต้องเข้าใจ ทำได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง .... แต่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ พวกนี้.... แสบ เรียกว่า มาเป็นเหตุ ไม่ได้มาเพื่อช่วยตน
จะหาหมอ หายาเฉพาะโรค ที่นี่ไม่มี ... ไม่มีหมอ ไม่มียา จะมีก็แต่ สมุนไพร ที่ใช้เป็นวัตถุดิบให้ร่างกายนำไปย่อย ใช้สู้กับโรค และธรรมของพระภูมี ที่สอนให้ปฏิบัติ เพื่อสร้างบุญ ใช้สู้กับกรรม ... มีแค่นี้แหละ