หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า วันเวลาที่เหลือแม้นจักไม่สามารถกอบกู้ชีวิต แต่ก็สามารถทานให้ประสพผลความไม่มีโรคได้เช่นกัน
นั่นคือ ทานไปเพื่อล้างสัญญาโรค ไม่ให้ติดตัวไปในชาติหน้านั่นเอง โดยดูผลจากตอนตาย ที่ไม่ได้ตายด้วยความบีบเค้นทรมานจากโรคที่เป็นอยู่ จนตาย หากแต่แม้นจักต้องตายด้วยถึงอายุขัย ก็ตายอย่างสงบ คือง่วง แล้วหลับ ไปนั่นเอง
เราจึงเห็นคนหลายคนที่มักกล่าวว่า ตัวของเขาเองรู้สึกเสียดายที่มาพบที่นี่ช้าไป ทำให้ไม่มีโอกาสฟื้นฟูให้กลับดีดังเดิม หากแต่เขาก็ได้สัมผัสความไม่มีโรคก่อนตาย
โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง ที่จุดสุดท้ายที่เหมือนกันหมด นั่นคือ ความบีบเค้น ทรมานด้วยอาการปวด จนขาดใจตายเหมือนกันหมด
หากแต่การทานสมุนไพร สำหรับคนกลุ่มนี้ มักจะเห็นว่า คนไข้ยังมีอาการปวด ในขณะทานอยู่ และหยุดอาการลุกลามไม่ได้
หากจะสังเกตให้ดี คนไข้ประเภทนี้จักแตกต่างจากคนที่ไม่ทานสมุนไพรในตอนสิ้นลม นั่นคือ ธรรมชาติของคนกับโรค จักตายพร้อมกัน
นั่นคือ หากคนตายก่อน โรคที่อยู่ในตัวก็ต้องตาย และกลับกับ หากโรคที่อยู่ในตัว แก่ตัวจนตาย คนที่เป็นเจ้าของร่างกายก็ต้องตายตามโรคไปด้วยเช่นกัน
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สมุนไพรของพระภูมี ทำให้คนไข้ประเภทนี้ที่เชื่อมั่น ศรัทธา แล้วทานสมุนไพร จะได้รับคุณค่าของสมุนไพร นั่นคือ ทำให้โรคตายก่อนอายุขัยของคน
ดังนั้น แม้นจักเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ทำให้สัญญาโรคสิ้นสุด คนไข้ประเภทนี้จึงเรียกว่าประสพความสำเร็จในการหายโรคเช่นกัน
ภาพที่เด่นชัด นั่นดูจากคนไข้โรคมะเร็ง ที่เมื่อทานสมุนไพรไป คนทั่วไปดูว่าคนป่วยยังทรมานอยู่ มีอาการปวดอยู่ มีอาการลุกลามอยู่ และท้ายที่สุด คนป่วยก็จากไป
แต่สิ่งที่ต่างจากการตายด้วยการเป็นโรคตาย นั่นคือ คนไข้ประเภทนี้ ทุกคน จะมีช่วงก่อนเสียชีวิต ที่โรคมันตายไปก่อน ทำให้ไม่ปรากฎความทรมานจากอาการปวด และเมื่อถึงเวลา ก็ไม่ทรมาน จักรู้สึกง่วง แล้วก็นอนหลับ ไปด้วยความสบาย แม้นจักเป็นช่วงสั้นๆ ก็ถือได้ว่าไม่ได้ตายเพราะถูกบีบเค้นจากโรค จนตาย
ตัวอย่างล่าสุด ก็คือชายสูงวัยที่ป่วยด้วยมะเร็งตับ ที่หนีโรงพยาบาลมาทานสมุนไพร หากแต่ด้วยวัย และระยะของอาการก็ไม่สามารถฟื้นฟูตนกลับมาได้ จนในช่วงสุดท้ายของชีวิต เมื่อใกล้ถึงฝั่ง ก็มีอาการทรุดลง จนภรรยาและลูกต้องนำส่งโรงพยาบาล ด้วยความเป็นคนมีฐานะ หมอต่างๆ ดูประวัติ ก็ผลัดหน้ากันเข้ามาตรวจ และถามคนไข้ว่า ปวดไหม ๆๆๆๆ เพราะประวัติแจ้งว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
อันธรรมดามะเร็งก็ต้องปวด ทรมาน จนตายไป นั่นคือ กระบวนการสุดท้ายที่จะช่วย คือการฉีดมอร์ฟีน หากแต่คนไข้ก็ยืนยันว่าไม่ปวด และไม่ฉีด
หมอรอเท่าไหร่ คนไข้ก็บอกไม่ปวด จนซักภรรยาและลูกว่าคนไข้ไปทำอะไรมา จึงทราบว่าทานสมุนไพร คณะแพทย์จึงลงความเห็นว่า เพราะสมุนไพรทำให้คนไข้เป็นโรค "ลืมปวด"
สมุนไพรจึงกลายเป็นจำเลยของหมอ ที่ทำให้ประสาทรับรู้ความปวดของคนไข้เสียไป
และไม่นาน คนไข้ก็บอกภรรยาและลูกว่า ง่วงแล้ว หลังจากนั้นก็จากไป
การทานสมุนไพร มุ่งเน้นที่ความไม่มีโรค หากแต่ความสำเร็จการหายโรค ไม่ได้ดูจากการรอด หากแต่ดูจากการทำให้สัญญาโรคสิ้นสุดไป ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก
ดังนั้น คำโบราณจึงกล่าวว่า คนมีบุญ มีวาสนา ไม่ได้ดูกันตอนอยู่ เขาวัดกันที่ตอนตายต่างหาก คนมีวาสนา ก็คือคนที่ตายดี ไม่ได้ตายด้วยโรคที่มาบีบคั้นนั่นเอง
เมื่อไม่ตายด้วยโรค นั่นหมายถึงไม่มีสัญญาโรคติดไปชาติหน้า ชาติต่อๆไป .... พระภูมี จึงตรัสว่า นี่แหละคือ "ลาภอันประเสริฐ"