ความจริงอันนี้ จักเห็นได้จากหลวงพ่อนิพนธ์ได้ชี้ให้เห็นทุกครั้งในหนทางบุญ ที่มนุษย์ปัจจุบัน มองเลยผ่าน คิดแต่ไปสร้างไปทำสิ่งใหญ่ๆ ชอบมากและถูกจริต กับการวัด สร้างโบสถ์ สร้างพระ ยิ่งองค์ยิ่งใหญ่มหึมา ก็คิดกันว่านั่นแหละบุญอันมหาศาล ทั้งที่เมื่อสืบสาวพุทธประวัติของสิ่งที่สร้างเหล่านั้น ไม่มีแม้แต่กระผีกเดียวที่จะสามารถให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ใดๆ เลย
ผลที่ปรากฎ จึงหาบุญย้อนกลับมาให้พ้นทุกขเวทนา ไม่ได้เลย แม้แต่แค่เรื่องเล็กน้อย คือ ปวดท้อง ปวดหัวก็ตามที
หากแต่เมื่อมาพบหนทางบุญจริงๆ เข้า อันก่อกำเนิดจากสิ่งเล็กน้อย อาทิเช่น การเก็บขวดน้ำมาให้ ก็ดูแล้วไร้ค่าเหลือเกิน แต่เมื่อสาวพุทธประวัติไป หากคนที่มาวันละกว่าสามพันคน มีสักหนึ่งในสิบ ที่ทานสมุนไพรไปแล้ว เกิดสุขขึ้น จากอาการที่เป็นอยู่ลดลงหรือหายไป ฟ้าดินก็ต้องสาวผลอันนี้กลับไปยังผู้มีส่วนร่วม นั่นคือ ที่มาของสมุนไพร ได้มาอย่างไร ภาชนะที่บรรจุมาอย่างไร แล้วเฉลี่ยบุญที่บังเกิดจากผลอันนี้ให้ตามสัดส่วน
หลวงพ่อนิพนธ์ได้เคยอรรถาธิบายถึง ที่มาของคำว่า เกาะชายผ้าเหลือง ก็มาจากด้วยสาเหตุอันนี้แล เพราะเมื่อบุคคลใดก็ตาม ที่มีทุกขเวทนา ได้เวียนมาในสถานที่ของศาสนา แล้วช่วยตน จนสามารถกลับกลายเป็นคนดี หรือยิ่งไปกว่านั้น กลายเป็นพระที่ดี สร้างกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่แก่มนุษย์ ในกาลต่อมา ฟ้าดินก็ต้องสืบสาวที่มาถึงบุญอันนี้ เพื่อตอบสนองคืนกลับไปแก่ผู้มีส่วนร่วม
ด้วยเหตุนี้เอง ของที่ดูเล็กน้อย อาทิเช่นข้าวเพียงแค่มื้อเดียวของนางสุชาดา จึงมีค่าอันมหาศาล ขวดที่นำมา หรือพริกไทยเพียงแค่ขีดเดียว มะกรูดเพียงสองสามลูก ที่ดูไร้ค่า หากแต่เหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง หากบุคคลที่ได้ทานหรือได้ใช้ของของผู้ให้ไป มีการกระทำที่เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ในภาคหน้า นั่นหมายความว่า ผลบุญที่ส่งกลับมาย่อมมหาศาลยิ่งนัก
คนทั่วไป มักได้ยินเสียงร่ำลือของสรรพคุณสมุนไพร แล้วจึงยกให้กลายเป็นพระเจ้าวิเศษดลบันดาลให้สมดังหวังได้ เมื่อมาแล้วจึงไม่มุ่งหมายในสิ่งอื่นใด นอกจากสมุนไพร อย่างอื่นไม่สน และก็คิดเอาเองว่า เมื่อได้ทานสมุนไพรดีแล้ว ความหวังของการหายโรคต้องเป็นจริง หรือสมหวังอย่างแน่นอน
หากแต่ความเป็นจริงที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวทุกครั้ง มันไม่ใช่เช่นนั้น สิ่งที่เกื้อหนุนและเป็นอำนาจที่ดลบันดาลสมุนไพร ที่ซึ่งเป็นเพียงสังขารให้มีฤทธิ์เดชได้ นั่นคือ บุญ ต่างหาก
หากไร้เสียซึ่้งพฤติกรรมที่เป็นบุญแล้วไซร้ ทานให้ตายก็ไม่มีผลหรอก เขาจึงเรียกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนว่า เป็นสมุนไพรที่มีวิญญาณ
บทพิสูจน์ที่เราเคยเห็นอย่างเด่นชัด นั่นมาจาก คนไข้ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือด อย่างคุณซุ่ยเหรียญ ที่เมื่อมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องทานสมุนไพรเยอะหรอก แต่ทำกิจกรรมที่เป็นบุญให้มากเข้าไว้ เราจึงเห็นคุณซุ่ยเหรียญ รับผิดชอบหน้าที่ในด้านการครัว ล้างจานชาม ทำความสะอาด นับตั้งแต่มา และกอดติดกับกิจกรรมอย่างนี้มาตลอด และก็เห็นคุณซุ่ยเหรียญ ไม่เคยต้องไปหาหมอ อยู่มาสิบกว่าปีได้อย่างปกติสุข
ท่าน อ.อร่าม จึงเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า สมุนไพรเป็นได้ตั้งแต่ซากไร้วิญญาณ จนกระทั่งมีฤทธิ์เหมือนดั่งปรมาณู ที่ให้ผลเฉียบพลัน รุนแรง
เราก็ไม่แปลกใจว่า หลายคนที่มาเป็นจิตอาสา มักจะเริ่มจากความอยากได้สมุนไพรที่มากพอ เรียกง่ายๆว่าได้สิทธิพิเศษกว่าคนไข้ทั่วไป
หากแต่เมื่อวันใดเขาเรียนรู้ จะทราบว่าแท้จริงแล้ว สมุนไพรให้ผลเฉพาะบุคคล เป็นการใช้กรรมจากความยากในการทาน การมารับ การสวดมนต์ ก็ล้วนแต่บุคคลเดียวคือตัวเราเท่านั้น จักให้ผลมหาศาลคงเป็นไปได้ยาก หากแต่การกระทำใดที่ให้ผลแก่ผู้อื่น นี่ต่างหากจึงให้ผลแก่ผู้ทำมหาศาล นั่นจึงเป็นเหตุที่พระภูมีกำหนดโรงทาน กำหนดเขตพัทธสีมา เพื่อให้เป็นแหล่งรวมคนทุกข์ แล้วให้คนที่มีความคิดอยากเป็นพระเวสสันดร มาทำให้สุขแก่สรรพสัตว์ เพื่อเกิดบุญย้อนมาเลี้ยงต้น
ด้วยบุญอันนี้ที่ทำนั่นแหละ จึงทำให้ฤทธิ์ของสมุนไพรมหาศาล และเป็นที่กล่าวขานในทุกยุคทุกสมัยของพระภูมีแต่ละองค์ว่า "ศาสน์ของท่านน่ะดี แต่ทำยาก" อันเป็นเหตุที่ทำให้เห็นว่าทำไมสาวกจึงน้อย
ความเด่นชัดอันนี้ ย่อมประจักษ์จากตัวอย่างคนป่วยหลายๆ คน ที่เรียกว่าอาการเข้าขั้นวิกฤต และมาหวังพึ่ง หนทางหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะให้เป็นทางเลือกนั่นคือ ไปทำกิจกรรมที่สำคัญยิ่ง แม้นว่าเมื่อไปทำแล้ว อาจจะมีสมุนไพรกินบ้างไปมีบ้าง และอาจจะไม่เคยเข้ากระโจมเลยก็ตามที ผลที่บังเกิดกลับรอดทุกตัวคน
อาทิเช่น ครูวัลลภ ที่กล้ามเนื้อหัวใจตาย เหลือเพียง ๓ เปอร์เซ็นต์ หมอจุฬากล่าวว่า ต้องเปลี่ยนสถานเดียว ก็ถูกส่งไปให้เฝ้าสวนสมุนไพรที่ศรีสวัสดิ์ เป็นที่ที่เตรียมไว้รองรับคนไข้ในอนาคต จากคนที่ขยับตัวนิดหน่อย ออกแรงหน่อย ก็หน้าซึด เล็บเขียว กลายมาเป็นคนที่สามารถแบกน้ำจากตีนเขา มารถต้นยาได้
หรือจะเป็นคนไข้เอดส์มากมายที่หลวงพ่อนิพนธ์ จัดให้ไปอยู่สวนสมุนไพรที่เตรียมไว้สำหรับคนไข้ประเภทนี้โดยเฉพาะ ที่ห่างไกลผู้คน ไปมาลำบาก หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่าสถานที่นี้มีความสำคัญมากในอนาคต ให้ดูแลรักษา แม้นจะมีสมุนไพรทานบ้างไม่มีบ้าง ไม่สำคัญ สถานที่ดี คนก็จะดีตาม
คนไข้กลุ่มนั้น ก็พัฒนาจากพื้นที่โล่งเตียน มาเป็นต้นสมุนไพร และผลไม้ เพื่อรองรับคนอย่างพวกเขาในอนาคต แล้วพวกเขาก็พ้นจากโรคร้ายทุกตัวคน แม้กระทั่้งรายล่าสุด คือ วิศวกรหนุ่มที่เพิ่งจบจากจุฬา หากแต่อาการของโรคเข้าขั้นวิกฤต จนไม่สามารถรับปริญญาได้ เพราะอาการปรากฎทางผิวแล้ว ก็พัฒนาตนจนกลับไปรับปริญญาและทำงานเป็นกำลังของชาติ ตามที่ร่ำเรียนมาได้
คำโบราณ "เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" นั่นแหละ ถึงแม้นจะดูน้อยนิด แต่เมื่อทำแล้ว ดุจดั่ง "กุ้งฝอยตกปลากระพง" เพราะมันอาจถูกแจ๊คพอต ไปเจอคนที่เปลี่ยนตนเป็นคนดี แล้วทำดีอันมหาศาล ได้นั่นเอง
ภาพแม่แบบ อันเป็นสุทธิของหนทางนี้ จักดูจากผู้อื่น หรือคิดเองไปไย ควรจักดูจากครูบาอาจารย์นั่นเอง ว่ารูปแบบเป็นเช่นไร ทำกิจกรรมที่เป็นบุญให้มากไว้ แม้นทานสมุนไพรเพียงเล็กน้อย หรือเรียกได้ว่า ทานเฉพาะเมื่อกรรมหนักมา เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว
บทสรุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์อยากให้เรียนรู้ จึงไม่ควรยึดสมุนไพร หากแต่ยึดติดกับสติของพระภูมี ที่ใช้บังคับตนทำสิ่งที่เป็นบุญ ให้สุขแก่ผู้อื่น
มิฉะนั้น แม้นหายจากโรคนี้ โรคอื่นก็ถามหา เหมือนหนีเสือปะจรเข้ หากแต่รู้วิธีสร้างบุญเลี้ยงตนแล้ว เมื่อหายจากโรค ไม่ว่าจะไปอยู่ไหน มีสตินี้อยู่กับตนแล้วทำ มันก็เป็นบุญหล่อเลี้ยงชีวิตได้
ไม่อย่างนั้น ทุกคนก็ต้องทานสมุนไพรกันจนตาย ... ผลก็คือ คนกินยังไม่ทันตาย คนหาจะตายก่อน .... จริงไหม
ไม่ได้อบสมุนไพร อาจจะเสียสลึง แต่กิจกรรมที่ทำให้ผลถึงหนึ่งบาท .... ไม่เช่นนั้น เราท่านจะเห็น สารพัดเจ้าของกิจการ มาตักข้าวแกง ขายน้ำ เดินถือถาด ยกยามะพร้าว ให้เห็นหรือ ...
สบายกว่ากันเยอะเลย อยู่เฉยๆ ดีกว่า สบายกว่า .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า มันวัดกันที่ตอนจบ .... หากมีใจรักในแนวทางของพระภูมี ก็ต้องหมั่นท่องคาถาเพื่อให้มีขันติ มานะ อดทนทำ นั่นคือ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า .... ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว"