วันแรกที่เราได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่กล่าวกับตัวของเราว่า เรื่องทางโลก เราอาจจะรู้มากกว่าตัวท่าน หากแต่เรื่องของศาสนา เรานั้นนับว่าดั่งควาย คือไม่รู้เรื่องเลย
ในใจเราก็นึกว่า ตัวเราเองก็สัมผัสรับรู้เรื่องราวของศาสนามาตั้งแต่เด็ก ไฉนจึงเรียกว่าไม่รู้เรื่องเลย
จนมาวันนี้ ยิ่งเจอะเจอคนหลากหลาย ที่ล้วนแล้วเป็นเช่นเรา จึงพบว่า คำกล่าวนั้นเป็นจริง
เพราะความรู้ของศาสนาที่แท้จริงที่พระภูมีสอนไว้ให้ช่วยตน กับคำสอนคำกล่าวตามตำรา ที่มีดาษดื่น และสอนให้คนทำตาม มันโอละพ่อ สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยน จึงเปรียบอุปมาว่าหากจะเดินตามพระภูมี จึงต้องทวนกระแสโลก นั้นเอง และเมื่อทวนกระแส ก็ย่อมต้องเหนื่อยกว่า หนักกว่า เป็นธรรมดา และหากจะให้พ้นกระแสน้ำเชี่ยว การว่ายทวนกระแสนี้ ก็จึงหยุดไม่ได้ จนกว่าจะพ้น
ภาพของสองสถานที่ ที่หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาเหมือนโลกสองส่วน มาให้เห็นเด่นชัด ที่มาตั้งอยู่ใกล้กัน หากแต่ฝั่งหนึ่ง เรียกว่าบุญของโลกบัญญัติ อีกฝั่งหนึ่ง เรียกว่าบุญของพระภูมีบัญญัติ
สถานที่ห่างกันแค่แยกไฟแดงเดียว ฝ่ายแรกอ้างบุญ ด้วยการบริจาคเงินซื้อโลงศพ เป็นบุญกุศล แล้วแผ่กุศลให้เจ้ากรรมนายเวร มีคนหลั่งไหลกันไปทำจนโลงศพล้นโกดัง
หากแต่ฝ่ายหลัง อ้างบุญตามแบบพระภูมี นั่นคือ การให้สุขแก่ผู้อื่น โดยให้สาวพุทธประวัติ ทำจากสิ่งเล็กๆ คือ การนำขวดน้ำดิ่ม ที่ทานแล้ว เก็บทำความสะอาดให้ดี แล้วนำมาให้ชมรมเพื่อทำการบรรจุสมุนไพร
เมื่อสาวพุทธประวัติของการหายโรค อันเกิดสุขแก่มนุษย์ที่เรียกว่าเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในโลก ก็ย่อมต้องมีภาชนะอันนี้ ที่บรรจุสมุนไพร มาเกี่ยวด้วยอย่างแน่นอน จึงเป็นค่าย้อนกลับมาให้ผู้ทำ นำไปอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร โดยปฏิเสธผลอันนี้ไม่ได้เลย
ไม่ว่าจักพูดสักฉันใด เน้นสักฉันใด มันก็สู้บุญของบริจาคโลงไม่ได้เลย
บุญของขวดน้ำ จึงมองได้อย่างเดียวว่า คนเขาเมิน เขาจึงไม่ทำกัน ดูแล้วไร้ค่า
หากแต่ความจริง คนที่เขาบอกว่าทำบุญบริจาคโลง ก็ยังคงมีสภาพเหมือนเดิม ช่วยอะไรตนไม่ได้เลย ในขณะที่ขวด เมื่อมองเฉพาะจิตอาสา ที่ทำตนมาช่วยล้าง ก็หายจากโรคให้เห็นมากมาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า บุญของพระภูมี มีจุดที่มาจากสิ่งเล็กๆ คนสมัยนี้่เขามองแต่สิ่งใหญ่ จึงไม่เห็นบุญ
และที่สำคัญ คนสมัยนี้ เขาโมเมว่าสิ่งที่เขาทำด้วยใจ นั่นคือจบ ได้บุญแล้ว ไม่สืบสาวพุทธประวัติ ว่าสิ่งที่ทำเกิดประโยชน์แก่ผู้ใด หรือให้โทษแก่ผู้ใด ถือว่าทำแล้ว ได้บุญแล้ว
จึงไม่น่าแปลกเลย บรรดาบุญที่คนทั้งหลายเขาทำกัน จึงไม่มีตัวตน ที่ย้อนกลับมาให้สุขแก่ตนเลย เพราะนั่นไม่ใช่บุญที่พระภูมีบัญญัติ ไม่มีผลให้สุขกับชีวิตใดๆ นั่นเอง
เมื่อการกระทำของสมาชิกส่วนใหญ่ละเลย ไม่ให้ค่าความสำคัญ เห็นว่าการนำขวดมาเป็นสิ่งเล็กน้อย พูดง่ายๆ ตูไม่เกี่ยว เอ็งอาสามาทำให้ เอ็งก็ต้องรับผิดชอบ
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็กล่าวว่า พรรษานี้ ยุคนี้ ต่างกับอดีต ที่ต้องทำตนเป็นโรบินฮู๊ด ปล้นคนรวยมาช่วยคนจน รักษาคนมี ไว้เกื้อหนุนคนยากไร้ นั่นคือ ทำความจริงให้ปรากฎ
เมื่อสมาชิก ทำตน ตูไม่เกี่ยว สมุนไพรไม่มีขวดใส่ ก็จะบรรจุถุงให้แทน หากแตกเสียหาย ไม่มีทาน ก็ใช้คาถาเดียวกันกับสมาชิก คือ ตูไม่เกี่ยว ไม่รับรู้ ไม่รับผิดชอบเช่นกัน
และหากสมาชิก ไม่สนับสนุนวัตถุดิบ ทำตนตูไม่เกี่ยว ฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่ มีตำราแล้วมาทำให้ ฝ่ายหนึ่งอยากได้ต้องมีหน้าที่ นำวัตถุดิบมาให้ทำ แล้วรับสมุนไพรกลับไป นั่นก็หมายความว่า คนมากไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย
เพื่อให้เหลือเฉพาะที่น่าจะคุยกันรู้เรื่อง ก็มีนโยบายลดเหลือเฉพาะโรคที่สาหัส ตายแน่ จะได้คุยกันง่ายหน่อย ต่อไปก็อาจจะรับเฉพาะโรคมะเร็ง ก็น่าจะเป็นแนวทางที่ทำให้คุยกันรู้เรื่อง
หลักพระภูมี จึงเรียกหลัก หมูไปไก่มา ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เปรียบเหมือนมือ ที่จักทำให้บังเกิดเสียงได้ ต้องอาศัยมือของทั้งสองฝ่าย มาประสานกันจึงเกิดเสียง นั่นเอง
เมื่อความจริงมันฟ้อง ว่าคนเขาไม่เอาด้วย ไม่สนับสนุน ในที่สุดก็ต้องรับความจริงว่า แม้นอยากจะช่วย อยากให้เกิดเสียงสักฉันใด หากแต่มือเดียวมันทำไม่ได้ ทางเลือกนี้มนุษย์เขาไม่เอากัน ไม่สนับสนุน ก็คงต้องลดขนาด ทำเฉพาะกับคนที่คุยกันรู้เรื่อง น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด