หลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า ในเมื่อสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน มีทางลัดในการหายโรคให้เดิน คือ "ยาตัด" ที่เห็นผลได้รวดเร็ว และค่อนข้างแน่นอน ในการรักษาโรค แล้วทำไมไม่ใช้ทางนี้ กับทุกคน
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดของ ยาตัด นั่นคือ เป็นสมุนไพรที่รับรู้พฤติกรรมของคนทาน และไวอย่างยิ่ง หลายครั้งที่เคยทดลองให้กับคนทาน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีคุณสมบัติ นั่นคือ ขาดความเชื่อ ความศรัทธา และพฤติกรรม ผลที่ปรากฎคือ เมื่อทานแล้ว ไม่เกิดอาการใดๆ กับคนผู้นั้นเลย ทานเหมือนไม่ได้ทาน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เพื่อนของท่านเอง ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง จนระยะสุดท้าย รู้ดีว่าหลวงพ่อนิพนธ์มีสมุนไพรดี เพราะไปมาหาสู่กันมานาน และเห็นคนทานที่เป็นโรคแบบเดียวกัน หายมาก็เยอะ
เพื่อนท่านนี้เลยหอบเสื้อผ้ามาพักกับหลวงพ่อนิพนธ์ ร้องขอทาน ยาตัด เพื่อที่จะได้หายโรค
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็จัดให้ทาน แก้วแรกก็เงียบฉี่ แก้วสองก็เฉย ... จนผ่านไปแก้วแล้วแก้วเล่า เพี่อนของท่านก็กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไหนว่าทานแล้วจะอาเจียน นี่ทานมาก็หลายแก้ว ไม่เคยปรากฎอาการอะไรเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่ต้องทานแล้ว เพราะสมุนไพรเขาปฏิเสธ ทานไปก็เหมือนทานน้ำ ไม่เกิดผลอันใด
กระนั้นก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เพื่อนท่านรู้นั่นคือ สถานที่นี้มีมงคล นั่นคือ ถึงแม้นไม่หาย ทานสมุนไพรไม่ได้ผล หากแต่อยู่กับหลวงพ่อนิพนธ์แล้ว ตายยาก จนหลวงพ่อนิพนธ์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
จนกระทั่งที่บ้านโทรมาตามเพื่อนของท่าน บอกว่า ภรรยาที่บ้านกำลังทะเลาะกันรุนแรง ให้กลับไปจัดการที เพื่อนของท่านที่มีภรรยาหลายคนอยู่บ้านเดียวกัน จึงจำเป็นต้องกลับไปจัดการ และรุ่งเช้า ภรรยาก็โทรมาบอกว่า เพื่อนของท่านเสียชีวิตแล้ว
นี่เองจึงเป็นข้อจำกัดว่า สำหรับยาตัด ต้องอาศัยคุณสมบัติของผู้ทานประกอบด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมในสมัยถ้ำกระบอก กว่าจะได้ทาน พระต้องบังคับให้ถวายสัจจะก่อน แล้วดูผล อย่างน้อยสามเดือน เมื่อพิจารณาว่า เข้าข่าย มีคุณสมบัติแล้วจึงให้ทาน
ซึ่งเมื่อแม่ชีเมี้ยนอนุญาตให้ทำได้อีกครั้ง ก็ต้องอาศัยคุณสมบัติเช่นเดิม ดังนั้น ข้อปฏิบัติสองข้อที่ให้มา จึงมีความสำคัญ หากจะใช้ทางลัดนี้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องพิจารณาคุณสมบัติเป็นรายๆ ไป เพราะมันใช้ไม่ได้กับทุกคนนี่เอง
หากการเดินทางอ้อมเฉกเช่นปัจจุบัน ที่ทานสมุนไพรพื้นฐาน และสร้างพฤติกรรมเป็นบุญรองรับ ก็เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่า ช้าแต่ชัวร์ นั่นคือ ผู้ที่สามารถยืนหยัด ก็จักได้รู้ว่า วิธีการช่วยตนให้พ้นจากโรค จากกรรรม ทำโดยวิธีใด ได้ซึมซับ เรียนรู้ และวันใดที่ช่วยตนจนพ้นโรคได้ ก็ย่อมวางใจได้ว่า ผู้นั้นก็จักต้องมีความรู้สึกกลัวกรรม และเปลี่ยนตนเป็นคนดี เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิมอีก
ดังนั้น เมื่อไปอยู่สถานที่ใด แม้นจักไม่ได้กลับมายังชมรมคนรักสุขภาพอีกเลยก็ตาม หากแต่คนเหล่านี้ก็จักมีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระภูมีติดตัว อันเป็นเครื่องหมายของคนดี นั่นคือ "การกลัวกรรม" และ "การที่มุ่งจักให้สุขแก่ผู้อื่น" เป็นพื้นฐาน ในการสร้างบุญคุ้มครองตนให้รอดปลอดภัย ไม่ว่าจากโรค หรือ อันตรายใดๆ ตามคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั่นเอง