เด็กชายคนหนึ่งมุ่งมั่นจักเรียนหมอให้ได้ หลังจากได้ฟังหมอวินิจฉัยอาการของแม่ ว่าป่วยด้วยโรคมะเร็ง
ความตั้งใจและมุ่งมั่นของเขาประสพผล เขาสอบติดแพทย์ ได้เรียนสมใจ หากแต่ความหวังของเขากลับลดน้อยถอยลง ไปตามความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น นั่นคือ อาการของแม่เขา ไม่มีทางรักษา
แม่ของเขาตัดสินใจทิ้งแผนปัจจุบัน มาใช้แนวทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จนประสพความสำเร็จ มีชีวิตอยู่มาจนบัดนี้ ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง กว่าสิบปีแล้ว
เด็กชาย เติบโตเป็นหมอ จนปัจจุบันกลายเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล มักเดินทางมากราบหลวงพ่อนิพนธ์เสมอๆ
คำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์มักตอกย้ำให้ฟังนั่นคือ อย่าเอาความโลภ มาทำลายชีวิตมนุษย์ โดยการใช้ยาเคมี เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่สามารถช่วยตนได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อเกิดวิกฤติ
โดยเฉพาะคนป่วยที่มาหาหมอด้วย โรคความดัน โรคเบาหวาน เมื่อตรวจร่างกายแล้วพบว่า มีค่าสูงกว่ามาตรฐาน ไม่ควรด่วนรีบให้ยาเคมีแก่คนเหล่านั้น
ควรให้โอกาสร่างกายของเขาเอง แก้ไขวิกฤตการอันนี้ โดยให้คำแนะนำ ในการทานอาหาร ออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายก็จะปรับสมดุลย์กลับมาเป็นปกติได้เอง
หากความโลภ อยากขายยา อยากได้ค่านายหน้าของยา ทำให้ต้องจ่ายยาให้คนไข้เหล่านั้นทานทันที ก็จักทำให้คนเหล่านั้น กลายเป็นโรคถาวร สร้างหายนะแก่ชีวิต นั่นเท่ากับสร้างเวรสร้างกรรม
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสสอนเสมอ ว่า อาชีพต้นๆที่ทำบาปได้ง่าย เพราะมีคนเชื่อ พูดแล้วทำตาม อันดับต้นๆ จึงหนีไม่พ้น พระ ครู หมอ นั่นเอง
แม้นจักช่วยแม่ตนไม่ได้ หากแต่เขาก็ได้ช่วยชีวิตอีกมากมาย ไม่ต้องเข้ามาในวังวนของความหายนะ จากการเป็นโรคถาวร ด้วยจุดเริ่มจากยาเคมี ที่บรรจุความโลภเจือเข้ามานี้ ประเทศไทย จึงยังมีหมอดีๆ ให้เห็น
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ตูไม่เกี่ยว
กาลเวลาผ่านไป บทพิสูจน์ในคำตรัสของแม่ชีเมี้ยนที่เคยได้ยินได้ฟังในอดีต ก็ปรากฎให้เห็นภาพชัดเจน จนหาข้อโต้แย้งไม่ได้เลย
วันแรกที่เราได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่กล่าวกับตัวของเราว่า เรื่องทางโลก เราอาจจะรู้มากกว่าตัวท่าน หากแต่เรื่องของศาสนา เรานั้นนับว่าดั่งควาย คือไม่รู้เรื่องเลย
ในใจเราก็นึกว่า ตัวเราเองก็สัมผัสรับรู้เรื่องราวของศาสนามาตั้งแต่เด็ก ไฉนจึงเรียกว่าไม่รู้เรื่องเลย
จนมาวันนี้ ยิ่งเจอะเจอคนหลากหลาย ที่ล้วนแล้วเป็นเช่นเรา จึงพบว่า คำกล่าวนั้นเป็นจริง
เพราะความรู้ของศาสนาที่แท้จริงที่พระภูมีสอนไว้ให้ช่วยตน กับคำสอนคำกล่าวตามตำรา ที่มีดาษดื่น และสอนให้คนทำตาม มันโอละพ่อ สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยน จึงเปรียบอุปมาว่าหากจะเดินตามพระภูมี จึงต้องทวนกระแสโลก นั้นเอง และเมื่อทวนกระแส ก็ย่อมต้องเหนื่อยกว่า หนักกว่า เป็นธรรมดา และหากจะให้พ้นกระแสน้ำเชี่ยว การว่ายทวนกระแสนี้ ก็จึงหยุดไม่ได้ จนกว่าจะพ้น
ภาพของสองสถานที่ ที่หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาเหมือนโลกสองส่วน มาให้เห็นเด่นชัด ที่มาตั้งอยู่ใกล้กัน หากแต่ฝั่งหนึ่ง เรียกว่าบุญของโลกบัญญัติ อีกฝั่งหนึ่ง เรียกว่าบุญของพระภูมีบัญญัติ
สถานที่ห่างกันแค่แยกไฟแดงเดียว ฝ่ายแรกอ้างบุญ ด้วยการบริจาคเงินซื้อโลงศพ เป็นบุญกุศล แล้วแผ่กุศลให้เจ้ากรรมนายเวร มีคนหลั่งไหลกันไปทำจนโลงศพล้นโกดัง
หากแต่ฝ่ายหลัง อ้างบุญตามแบบพระภูมี นั่นคือ การให้สุขแก่ผู้อื่น โดยให้สาวพุทธประวัติ ทำจากสิ่งเล็กๆ คือ การนำขวดน้ำดิ่ม ที่ทานแล้ว เก็บทำความสะอาดให้ดี แล้วนำมาให้ชมรมเพื่อทำการบรรจุสมุนไพร
เมื่อสาวพุทธประวัติของการหายโรค อันเกิดสุขแก่มนุษย์ที่เรียกว่าเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในโลก ก็ย่อมต้องมีภาชนะอันนี้ ที่บรรจุสมุนไพร มาเกี่ยวด้วยอย่างแน่นอน จึงเป็นค่าย้อนกลับมาให้ผู้ทำ นำไปอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร โดยปฏิเสธผลอันนี้ไม่ได้เลย
ไม่ว่าจักพูดสักฉันใด เน้นสักฉันใด มันก็สู้บุญของบริจาคโลงไม่ได้เลย
บุญของขวดน้ำ จึงมองได้อย่างเดียวว่า คนเขาเมิน เขาจึงไม่ทำกัน ดูแล้วไร้ค่า
หากแต่ความจริง คนที่เขาบอกว่าทำบุญบริจาคโลง ก็ยังคงมีสภาพเหมือนเดิม ช่วยอะไรตนไม่ได้เลย ในขณะที่ขวด เมื่อมองเฉพาะจิตอาสา ที่ทำตนมาช่วยล้าง ก็หายจากโรคให้เห็นมากมาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า บุญของพระภูมี มีจุดที่มาจากสิ่งเล็กๆ คนสมัยนี้่เขามองแต่สิ่งใหญ่ จึงไม่เห็นบุญ
และที่สำคัญ คนสมัยนี้ เขาโมเมว่าสิ่งที่เขาทำด้วยใจ นั่นคือจบ ได้บุญแล้ว ไม่สืบสาวพุทธประวัติ ว่าสิ่งที่ทำเกิดประโยชน์แก่ผู้ใด หรือให้โทษแก่ผู้ใด ถือว่าทำแล้ว ได้บุญแล้ว
จึงไม่น่าแปลกเลย บรรดาบุญที่คนทั้งหลายเขาทำกัน จึงไม่มีตัวตน ที่ย้อนกลับมาให้สุขแก่ตนเลย เพราะนั่นไม่ใช่บุญที่พระภูมีบัญญัติ ไม่มีผลให้สุขกับชีวิตใดๆ นั่นเอง
เมื่อการกระทำของสมาชิกส่วนใหญ่ละเลย ไม่ให้ค่าความสำคัญ เห็นว่าการนำขวดมาเป็นสิ่งเล็กน้อย พูดง่ายๆ ตูไม่เกี่ยว เอ็งอาสามาทำให้ เอ็งก็ต้องรับผิดชอบ
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็กล่าวว่า พรรษานี้ ยุคนี้ ต่างกับอดีต ที่ต้องทำตนเป็นโรบินฮู๊ด ปล้นคนรวยมาช่วยคนจน รักษาคนมี ไว้เกื้อหนุนคนยากไร้ นั่นคือ ทำความจริงให้ปรากฎ
เมื่อสมาชิก ทำตน ตูไม่เกี่ยว สมุนไพรไม่มีขวดใส่ ก็จะบรรจุถุงให้แทน หากแตกเสียหาย ไม่มีทาน ก็ใช้คาถาเดียวกันกับสมาชิก คือ ตูไม่เกี่ยว ไม่รับรู้ ไม่รับผิดชอบเช่นกัน
และหากสมาชิก ไม่สนับสนุนวัตถุดิบ ทำตนตูไม่เกี่ยว ฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่ มีตำราแล้วมาทำให้ ฝ่ายหนึ่งอยากได้ต้องมีหน้าที่ นำวัตถุดิบมาให้ทำ แล้วรับสมุนไพรกลับไป นั่นก็หมายความว่า คนมากไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย
เพื่อให้เหลือเฉพาะที่น่าจะคุยกันรู้เรื่อง ก็มีนโยบายลดเหลือเฉพาะโรคที่สาหัส ตายแน่ จะได้คุยกันง่ายหน่อย ต่อไปก็อาจจะรับเฉพาะโรคมะเร็ง ก็น่าจะเป็นแนวทางที่ทำให้คุยกันรู้เรื่อง
หลักพระภูมี จึงเรียกหลัก หมูไปไก่มา ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เปรียบเหมือนมือ ที่จักทำให้บังเกิดเสียงได้ ต้องอาศัยมือของทั้งสองฝ่าย มาประสานกันจึงเกิดเสียง นั่นเอง
เมื่อความจริงมันฟ้อง ว่าคนเขาไม่เอาด้วย ไม่สนับสนุน ในที่สุดก็ต้องรับความจริงว่า แม้นอยากจะช่วย อยากให้เกิดเสียงสักฉันใด หากแต่มือเดียวมันทำไม่ได้ ทางเลือกนี้มนุษย์เขาไม่เอากัน ไม่สนับสนุน ก็คงต้องลดขนาด ทำเฉพาะกับคนที่คุยกันรู้เรื่อง น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
วันแรกที่เราได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่กล่าวกับตัวของเราว่า เรื่องทางโลก เราอาจจะรู้มากกว่าตัวท่าน หากแต่เรื่องของศาสนา เรานั้นนับว่าดั่งควาย คือไม่รู้เรื่องเลย
ในใจเราก็นึกว่า ตัวเราเองก็สัมผัสรับรู้เรื่องราวของศาสนามาตั้งแต่เด็ก ไฉนจึงเรียกว่าไม่รู้เรื่องเลย
จนมาวันนี้ ยิ่งเจอะเจอคนหลากหลาย ที่ล้วนแล้วเป็นเช่นเรา จึงพบว่า คำกล่าวนั้นเป็นจริง
เพราะความรู้ของศาสนาที่แท้จริงที่พระภูมีสอนไว้ให้ช่วยตน กับคำสอนคำกล่าวตามตำรา ที่มีดาษดื่น และสอนให้คนทำตาม มันโอละพ่อ สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยน จึงเปรียบอุปมาว่าหากจะเดินตามพระภูมี จึงต้องทวนกระแสโลก นั้นเอง และเมื่อทวนกระแส ก็ย่อมต้องเหนื่อยกว่า หนักกว่า เป็นธรรมดา และหากจะให้พ้นกระแสน้ำเชี่ยว การว่ายทวนกระแสนี้ ก็จึงหยุดไม่ได้ จนกว่าจะพ้น
ภาพของสองสถานที่ ที่หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาเหมือนโลกสองส่วน มาให้เห็นเด่นชัด ที่มาตั้งอยู่ใกล้กัน หากแต่ฝั่งหนึ่ง เรียกว่าบุญของโลกบัญญัติ อีกฝั่งหนึ่ง เรียกว่าบุญของพระภูมีบัญญัติ
สถานที่ห่างกันแค่แยกไฟแดงเดียว ฝ่ายแรกอ้างบุญ ด้วยการบริจาคเงินซื้อโลงศพ เป็นบุญกุศล แล้วแผ่กุศลให้เจ้ากรรมนายเวร มีคนหลั่งไหลกันไปทำจนโลงศพล้นโกดัง
หากแต่ฝ่ายหลัง อ้างบุญตามแบบพระภูมี นั่นคือ การให้สุขแก่ผู้อื่น โดยให้สาวพุทธประวัติ ทำจากสิ่งเล็กๆ คือ การนำขวดน้ำดิ่ม ที่ทานแล้ว เก็บทำความสะอาดให้ดี แล้วนำมาให้ชมรมเพื่อทำการบรรจุสมุนไพร
เมื่อสาวพุทธประวัติของการหายโรค อันเกิดสุขแก่มนุษย์ที่เรียกว่าเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในโลก ก็ย่อมต้องมีภาชนะอันนี้ ที่บรรจุสมุนไพร มาเกี่ยวด้วยอย่างแน่นอน จึงเป็นค่าย้อนกลับมาให้ผู้ทำ นำไปอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร โดยปฏิเสธผลอันนี้ไม่ได้เลย
ไม่ว่าจักพูดสักฉันใด เน้นสักฉันใด มันก็สู้บุญของบริจาคโลงไม่ได้เลย
บุญของขวดน้ำ จึงมองได้อย่างเดียวว่า คนเขาเมิน เขาจึงไม่ทำกัน ดูแล้วไร้ค่า
หากแต่ความจริง คนที่เขาบอกว่าทำบุญบริจาคโลง ก็ยังคงมีสภาพเหมือนเดิม ช่วยอะไรตนไม่ได้เลย ในขณะที่ขวด เมื่อมองเฉพาะจิตอาสา ที่ทำตนมาช่วยล้าง ก็หายจากโรคให้เห็นมากมาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า บุญของพระภูมี มีจุดที่มาจากสิ่งเล็กๆ คนสมัยนี้่เขามองแต่สิ่งใหญ่ จึงไม่เห็นบุญ
และที่สำคัญ คนสมัยนี้ เขาโมเมว่าสิ่งที่เขาทำด้วยใจ นั่นคือจบ ได้บุญแล้ว ไม่สืบสาวพุทธประวัติ ว่าสิ่งที่ทำเกิดประโยชน์แก่ผู้ใด หรือให้โทษแก่ผู้ใด ถือว่าทำแล้ว ได้บุญแล้ว
จึงไม่น่าแปลกเลย บรรดาบุญที่คนทั้งหลายเขาทำกัน จึงไม่มีตัวตน ที่ย้อนกลับมาให้สุขแก่ตนเลย เพราะนั่นไม่ใช่บุญที่พระภูมีบัญญัติ ไม่มีผลให้สุขกับชีวิตใดๆ นั่นเอง
เมื่อการกระทำของสมาชิกส่วนใหญ่ละเลย ไม่ให้ค่าความสำคัญ เห็นว่าการนำขวดมาเป็นสิ่งเล็กน้อย พูดง่ายๆ ตูไม่เกี่ยว เอ็งอาสามาทำให้ เอ็งก็ต้องรับผิดชอบ
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็กล่าวว่า พรรษานี้ ยุคนี้ ต่างกับอดีต ที่ต้องทำตนเป็นโรบินฮู๊ด ปล้นคนรวยมาช่วยคนจน รักษาคนมี ไว้เกื้อหนุนคนยากไร้ นั่นคือ ทำความจริงให้ปรากฎ
เมื่อสมาชิก ทำตน ตูไม่เกี่ยว สมุนไพรไม่มีขวดใส่ ก็จะบรรจุถุงให้แทน หากแตกเสียหาย ไม่มีทาน ก็ใช้คาถาเดียวกันกับสมาชิก คือ ตูไม่เกี่ยว ไม่รับรู้ ไม่รับผิดชอบเช่นกัน
และหากสมาชิก ไม่สนับสนุนวัตถุดิบ ทำตนตูไม่เกี่ยว ฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่ มีตำราแล้วมาทำให้ ฝ่ายหนึ่งอยากได้ต้องมีหน้าที่ นำวัตถุดิบมาให้ทำ แล้วรับสมุนไพรกลับไป นั่นก็หมายความว่า คนมากไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย
เพื่อให้เหลือเฉพาะที่น่าจะคุยกันรู้เรื่อง ก็มีนโยบายลดเหลือเฉพาะโรคที่สาหัส ตายแน่ จะได้คุยกันง่ายหน่อย ต่อไปก็อาจจะรับเฉพาะโรคมะเร็ง ก็น่าจะเป็นแนวทางที่ทำให้คุยกันรู้เรื่อง
หลักพระภูมี จึงเรียกหลัก หมูไปไก่มา ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เปรียบเหมือนมือ ที่จักทำให้บังเกิดเสียงได้ ต้องอาศัยมือของทั้งสองฝ่าย มาประสานกันจึงเกิดเสียง นั่นเอง
เมื่อความจริงมันฟ้อง ว่าคนเขาไม่เอาด้วย ไม่สนับสนุน ในที่สุดก็ต้องรับความจริงว่า แม้นอยากจะช่วย อยากให้เกิดเสียงสักฉันใด หากแต่มือเดียวมันทำไม่ได้ ทางเลือกนี้มนุษย์เขาไม่เอากัน ไม่สนับสนุน ก็คงต้องลดขนาด ทำเฉพาะกับคนที่คุยกันรู้เรื่อง น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
หัวขบวน
การประสพผลความสำเร็จ ของบุคคลหนึ่ง หาใช่ความสำเร็จเฉพาะตนไม่ เพราะผู้ที่เดินตามมาย่อมเห็น และทำให้ความเชื่อมั่นในแนวทางที่เดิน ว่าเป็นไปได้
อาทิตย์นี้ คนไข้หญิงท่านหนึ่ง ที่เป็นมะเร็ง ผ่านการคีโม ฉายแสง จนร่างกายผอม ดำ ผมร่วงหมดศรีษะ จนในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือ ไม่มีตังค์จ่ายค่าหมออีกแล้ว
วันนี้ของเธอ อ้วนท้วนสมบูรณ์ พร้อมผมที่ดกดำ ตามมาด้วยเพื่อนร่วมชมรมอีกห้าท่านในวัยเดียวกัน คือประมาณสามสิบ อีกห้าท่าน ที่พูดคุยกัน และใช้แนวทางเดียวกัน มีสภาพอย่างเดียวกัน จนทั้งหมดรอดมาถึงทุกวันนี้ ร่วมกันเก็บเงินจากรายได้อันน้อยนิดของแต่ละคน มาถวายหลวงพ่อนิพนธ์
จากเงินเดือนของแต่ละคน การปันเงินจากน้ำพักน้ำแรง คนละไม่กี่ร้อย ก็เรียกว่าสาหัสในยุคเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่คนทั้งหก ก็เต็มใจ และเชื่อมั่นว่า ชีวิตที่รอดมา สิ่งนี้คือน้ำใจที่แต่ละคนแสดงออก
กระนั้นก็ตาม แม้นจักเป็นเจตนาที่ดี หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า เงินนั้นทำให้คนเกิดกิเลสได้ ดังนั้น แม้นจักเป็นเจตนาที่ดี แต่ก็ทำไม่ถูก จึงแนะนำคนทั้งหกว่า หากคิดจะช่วยที่นี่ ไม่ควรนำเงินมา ควรที่จักซื้อวัตถุดิบ เช่น พริกไทย ดีปลี มาให้จักถูกต้องที่สุด เพื่อที่จักนำไปทำสมุนไพร แจกให้คน และไม่เสียซึ่งเจตนาของผู้ให้
ผู้หญิงทั้งหกคน นำโดยคุณ ทองหยด ชื่นกลิ่น ก็เป็นตัวอย่าง และหัวขบวน ที่พิสูจน์ชัดว่า หลักของพระภูมี ไม่ได้ขึ้นกับฐานะ ความร่ำรวย หากแต่ขึ้นกับ ผู้ทำ ใครทำ ใครได้ สำหรับเธอทั้งหก ที่อายุเพียงวัยสามสิบ กับประกาศิตจากหมอ ที่ได้รับ และเงินที่น้อยนิด กลับเป็นโชคดีของคนทั้งหก ที่สามารถพลิกฟื้นชีวิตได้ จนมีวันนี้ที่จะทำตนเป็นคนดี ทั้งใจและกาย
หลายคนคงอิจฉาพวกกรรมการ ที่บอกว่าพวกเขาสบาย แต่ใครจะรู้ใจคนเหล่านั้นว่าคิดอะไร อาทิเช่นกรรมการท่านหนึ่ง ขับเบนซ์ ๕๐๐ ที่มีเงินเป็นหมื่นล้าน เอ่ยนามสกุลใครก็ต้องรู้จัก กล่าวเป็นเชิงตลกกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ตอนที่เขามาชมรม ขณะรถติด เขามองไปข้างๆ เห็นคนขับรถตุ๊กๆ ทานไก่ด้วยความเอร็ดอร่อย จนเกิดความรู้สึกอิจฉา เขาจึงเปิดกระจก กล่าวกับคนขับรถตุ๊กๆว่า "เขาจะยกทรัพย์สินที่มีอยู่ให้ทั้งหมด ให้เอาไหม พร้อมกับเอาโรคทั้งหมดที่เขาเป็นไปด้วยน่ะ เพราะเขาอยากทานไก่แบบนั้นบ้าง"
หลายคนบอกว่า ถูกรางวัลที่หนึ่งได้ลาภก้อนโต หากแต่ความไม่มีโรค ได้พิสูจน์พุทธพจน์ว่า เป็นลาภอันประเสริฐ แม้นจักมีเงินสักฉันใด ก็หาสุขไม่ได้เลย เมื่อโรคภัยเบียดเบียน
อาทิตย์นี้ คนไข้หญิงท่านหนึ่ง ที่เป็นมะเร็ง ผ่านการคีโม ฉายแสง จนร่างกายผอม ดำ ผมร่วงหมดศรีษะ จนในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือ ไม่มีตังค์จ่ายค่าหมออีกแล้ว
วันนี้ของเธอ อ้วนท้วนสมบูรณ์ พร้อมผมที่ดกดำ ตามมาด้วยเพื่อนร่วมชมรมอีกห้าท่านในวัยเดียวกัน คือประมาณสามสิบ อีกห้าท่าน ที่พูดคุยกัน และใช้แนวทางเดียวกัน มีสภาพอย่างเดียวกัน จนทั้งหมดรอดมาถึงทุกวันนี้ ร่วมกันเก็บเงินจากรายได้อันน้อยนิดของแต่ละคน มาถวายหลวงพ่อนิพนธ์
จากเงินเดือนของแต่ละคน การปันเงินจากน้ำพักน้ำแรง คนละไม่กี่ร้อย ก็เรียกว่าสาหัสในยุคเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่คนทั้งหก ก็เต็มใจ และเชื่อมั่นว่า ชีวิตที่รอดมา สิ่งนี้คือน้ำใจที่แต่ละคนแสดงออก
กระนั้นก็ตาม แม้นจักเป็นเจตนาที่ดี หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า เงินนั้นทำให้คนเกิดกิเลสได้ ดังนั้น แม้นจักเป็นเจตนาที่ดี แต่ก็ทำไม่ถูก จึงแนะนำคนทั้งหกว่า หากคิดจะช่วยที่นี่ ไม่ควรนำเงินมา ควรที่จักซื้อวัตถุดิบ เช่น พริกไทย ดีปลี มาให้จักถูกต้องที่สุด เพื่อที่จักนำไปทำสมุนไพร แจกให้คน และไม่เสียซึ่งเจตนาของผู้ให้
ผู้หญิงทั้งหกคน นำโดยคุณ ทองหยด ชื่นกลิ่น ก็เป็นตัวอย่าง และหัวขบวน ที่พิสูจน์ชัดว่า หลักของพระภูมี ไม่ได้ขึ้นกับฐานะ ความร่ำรวย หากแต่ขึ้นกับ ผู้ทำ ใครทำ ใครได้ สำหรับเธอทั้งหก ที่อายุเพียงวัยสามสิบ กับประกาศิตจากหมอ ที่ได้รับ และเงินที่น้อยนิด กลับเป็นโชคดีของคนทั้งหก ที่สามารถพลิกฟื้นชีวิตได้ จนมีวันนี้ที่จะทำตนเป็นคนดี ทั้งใจและกาย
หลายคนคงอิจฉาพวกกรรมการ ที่บอกว่าพวกเขาสบาย แต่ใครจะรู้ใจคนเหล่านั้นว่าคิดอะไร อาทิเช่นกรรมการท่านหนึ่ง ขับเบนซ์ ๕๐๐ ที่มีเงินเป็นหมื่นล้าน เอ่ยนามสกุลใครก็ต้องรู้จัก กล่าวเป็นเชิงตลกกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ตอนที่เขามาชมรม ขณะรถติด เขามองไปข้างๆ เห็นคนขับรถตุ๊กๆ ทานไก่ด้วยความเอร็ดอร่อย จนเกิดความรู้สึกอิจฉา เขาจึงเปิดกระจก กล่าวกับคนขับรถตุ๊กๆว่า "เขาจะยกทรัพย์สินที่มีอยู่ให้ทั้งหมด ให้เอาไหม พร้อมกับเอาโรคทั้งหมดที่เขาเป็นไปด้วยน่ะ เพราะเขาอยากทานไก่แบบนั้นบ้าง"
หลายคนบอกว่า ถูกรางวัลที่หนึ่งได้ลาภก้อนโต หากแต่ความไม่มีโรค ได้พิสูจน์พุทธพจน์ว่า เป็นลาภอันประเสริฐ แม้นจักมีเงินสักฉันใด ก็หาสุขไม่ได้เลย เมื่อโรคภัยเบียดเบียน
โอกาสทองของอัมพฤกต์
หลวงพ่อนิพนธ์ พิจารณาว่าคนป่วยอัมพฤกต์อัมพาต เป็นคนไข้กรณีเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไขให้กลับมาช่วยตนได้ให้เร็วที่สุด
จึงอยากจะเปิดคอร์สพิเศษเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กับคนป่วยประเภทนี้โดยเฉพาะ ๑ สัปดาห์
แต่ก็ต้องดูว่า ปริมาณของผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูนั้น มีจำนวนพอสมควรหรือไม่ จึงเปิดให้สมาชิกผู้ป่วยอัมพฤกต์ อัมพาต ลงชื่อเพื่อแสดงเจตจำนงประสงค์จะเข้าคอร์สดังกล่าว
อนึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์ แจ้งให้ทราบว่า ผู้ป่วยที่จะเข้าคอร์สดังกล่าว ต้องมีพี่เลี้ยงหนึ่งคน เนื่องด้วยในการเข้าคอร์สดังกล่าวนี้ จักทำสมุนไพรที่เป็นยาสด ที่ซึ่งเมื่อทำเสร็จ ก็ต้องทานในทันทีเก็บไว้ไม่ได้ และหลังจากทานสมุนไพรสดนี้แล้ว ต้องตามด้วยการนวดน้ำมัน เพื่อกระตุ้นร่างกาย
ระยะเวลาที่เข้าคอร์ส คือ ๑ สัปดาห์ (อาทิตย์ ชน อาทิตย์) เมื่อเข้าคอร์สนี้แล้ว การฟื้นฟูสุขภาพจะเร็วยิ่งขึ้น และในระหว่างเข้าคอร์ส ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น (อาหาร ที่พัก สมุนไพร ฟรีทั้งหมด)
ผู้ป่วยท่านใดสนใจ ให้ไปลงชื่อแจ้งความจำนงที่ห้องยื่นบัตร และหากมีประมาณพอ ก็จะเปิดให้ในพรรษานี้เลย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การเข้าคอร์สนี้จักทำให้คนป่วยเหล่านี้ สามารถกลับมาช่วยตนเองได้ หากแต่ไม่ได้มุ่งหวังที่จะทำให้กลับมาปกติ ร้อยเปอร์เซ็นต์
หลังจากเข้าคอร์สนี้แล้ว ก็มารับสมุนไพรปกติ ก็เพียงพอแล้ว ในการฟื้นฟูตน
จึงอยากจะเปิดคอร์สพิเศษเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กับคนป่วยประเภทนี้โดยเฉพาะ ๑ สัปดาห์
แต่ก็ต้องดูว่า ปริมาณของผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูนั้น มีจำนวนพอสมควรหรือไม่ จึงเปิดให้สมาชิกผู้ป่วยอัมพฤกต์ อัมพาต ลงชื่อเพื่อแสดงเจตจำนงประสงค์จะเข้าคอร์สดังกล่าว
อนึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์ แจ้งให้ทราบว่า ผู้ป่วยที่จะเข้าคอร์สดังกล่าว ต้องมีพี่เลี้ยงหนึ่งคน เนื่องด้วยในการเข้าคอร์สดังกล่าวนี้ จักทำสมุนไพรที่เป็นยาสด ที่ซึ่งเมื่อทำเสร็จ ก็ต้องทานในทันทีเก็บไว้ไม่ได้ และหลังจากทานสมุนไพรสดนี้แล้ว ต้องตามด้วยการนวดน้ำมัน เพื่อกระตุ้นร่างกาย
ระยะเวลาที่เข้าคอร์ส คือ ๑ สัปดาห์ (อาทิตย์ ชน อาทิตย์) เมื่อเข้าคอร์สนี้แล้ว การฟื้นฟูสุขภาพจะเร็วยิ่งขึ้น และในระหว่างเข้าคอร์ส ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น (อาหาร ที่พัก สมุนไพร ฟรีทั้งหมด)
ผู้ป่วยท่านใดสนใจ ให้ไปลงชื่อแจ้งความจำนงที่ห้องยื่นบัตร และหากมีประมาณพอ ก็จะเปิดให้ในพรรษานี้เลย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การเข้าคอร์สนี้จักทำให้คนป่วยเหล่านี้ สามารถกลับมาช่วยตนเองได้ หากแต่ไม่ได้มุ่งหวังที่จะทำให้กลับมาปกติ ร้อยเปอร์เซ็นต์
หลังจากเข้าคอร์สนี้แล้ว ก็มารับสมุนไพรปกติ ก็เพียงพอแล้ว ในการฟื้นฟูตน
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เกร็ดศาสนา
อ.อร่าม มักจักพูดถึงคนในปกครองของหลวงพ่อนิพนธ์เสมอว่า มักมีการถวายสัจจะข้อหนึ่งเป็นประจำ คือ "การอุทิศแรงกายให้เป็นทาน"
หลวงพ่อนิพนธ์ เคยอรรถาธิบายว่า พระภูมีทรงสอนให้ ทำบุญและทาน ควบคู่กันไป
การทำบุญ อาศัยการลดกิเลสนิสัย การทำทาน คือการให้แก่ผู้อื่น
ด้วยพระภูมีบัญญัติธรรม เรียก "ธรรมสายกลาง" อันหมายความว่า เป็นธรรมที่ทุกคน ทุกสถานะ มีต้นทุนที่เหมือนกัน สามารถทำได้เสมอกัน เพราะอาศัยกิเลสตน ในการสร้างบุญ และอาศัยแรงกายของตนในการสร้างทาน ทำให้ผู้อื่น
นั่นหมายความว่า ความสำเร็จในแนวทางบุญของพระภูมี ของทุกคน ไม่ได้ขึ้นกับฐานะ ความมีจน หากแต่ขึ้นอยู่กับ ใครทำ ใครได้
บาตรของพระภูมี จึงปิดสำหรับใส่เงินทอง สมบัติ หากแต่เปิดเสมอสำหรับการใส่กิเลสนิสัย มากน้อยตามแต่จะทำได้ ไม่เป็นไร เพราะขอเพียงเริ่ม ย่อมต้องโต เพราะเป็นธรรมชาติ ไม่ว่านิสัยกรรม หรือนิสัยธรรม
ดังนั้น เหตุที่พระถ้ำกระบอกไม่ถือศีล ก็เพราะมันหนักไป และใช้การถือสัจจะ คือ การเริ่มลดละกิเลส ทีละน้อย ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป แล้วจึงเพิ่มขึ้น ตามความสามารถของแต่ละบุคคล
เมื่อนิสัยธรรม เข้าครอบคลุมหมด แทนนิสัยกรรมได้ในวันใด นั่นแหละคือการหมดกิเลส
เข้าพรรษานี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชวนชัก ให้เริ่มจากนิสัย ไม่โกรธ ไม่ติเตียนผู้อื่น วันละหนึ่งชั่วโมง นั่นเอง
ใครไม่รู้ศาสนา จึงมักกล่าวว่า ชีวิตของตนหากอาภัพ ก็ว่าฟ้ากลั่นแกล้ง แท้จริงแล้วไซร้ ล้วนถูกเขียนด้วยมือตน ทั้งหมดทั้งปวง
เมื่อรู้เรื่องศาสนา ก็เริ่มเขียนพรหมลิขิตของตนเสียซิ อย่างให้เป็นอย่างไร ก็ทำตนเป็นจิตกรเอก แล้ววาดไป
เริ่มทีละน้อยๆ ทำเท่าที่แบกไหว เมื่อทำได้ ครบชั่วโมง ก็อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรไป เมื่อไม่มีกรรมมีเวร อย่าว่าแต่โรคเลย แม้นแต่ภัยอันตรายอันใด ก็ไม่มาทำร้ายคนดี หรือคนมีบุญหรอก
อย่างน้อยก็ขอให้ได้ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่โรค ไปในทุกภพทุกชาติ ที่จะยังพึงเกิดอีก
หลวงพ่อนิพนธ์ เคยอรรถาธิบายว่า พระภูมีทรงสอนให้ ทำบุญและทาน ควบคู่กันไป
การทำบุญ อาศัยการลดกิเลสนิสัย การทำทาน คือการให้แก่ผู้อื่น
ด้วยพระภูมีบัญญัติธรรม เรียก "ธรรมสายกลาง" อันหมายความว่า เป็นธรรมที่ทุกคน ทุกสถานะ มีต้นทุนที่เหมือนกัน สามารถทำได้เสมอกัน เพราะอาศัยกิเลสตน ในการสร้างบุญ และอาศัยแรงกายของตนในการสร้างทาน ทำให้ผู้อื่น
นั่นหมายความว่า ความสำเร็จในแนวทางบุญของพระภูมี ของทุกคน ไม่ได้ขึ้นกับฐานะ ความมีจน หากแต่ขึ้นอยู่กับ ใครทำ ใครได้
บาตรของพระภูมี จึงปิดสำหรับใส่เงินทอง สมบัติ หากแต่เปิดเสมอสำหรับการใส่กิเลสนิสัย มากน้อยตามแต่จะทำได้ ไม่เป็นไร เพราะขอเพียงเริ่ม ย่อมต้องโต เพราะเป็นธรรมชาติ ไม่ว่านิสัยกรรม หรือนิสัยธรรม
ดังนั้น เหตุที่พระถ้ำกระบอกไม่ถือศีล ก็เพราะมันหนักไป และใช้การถือสัจจะ คือ การเริ่มลดละกิเลส ทีละน้อย ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป แล้วจึงเพิ่มขึ้น ตามความสามารถของแต่ละบุคคล
เมื่อนิสัยธรรม เข้าครอบคลุมหมด แทนนิสัยกรรมได้ในวันใด นั่นแหละคือการหมดกิเลส
เข้าพรรษานี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชวนชัก ให้เริ่มจากนิสัย ไม่โกรธ ไม่ติเตียนผู้อื่น วันละหนึ่งชั่วโมง นั่นเอง
ใครไม่รู้ศาสนา จึงมักกล่าวว่า ชีวิตของตนหากอาภัพ ก็ว่าฟ้ากลั่นแกล้ง แท้จริงแล้วไซร้ ล้วนถูกเขียนด้วยมือตน ทั้งหมดทั้งปวง
เมื่อรู้เรื่องศาสนา ก็เริ่มเขียนพรหมลิขิตของตนเสียซิ อย่างให้เป็นอย่างไร ก็ทำตนเป็นจิตกรเอก แล้ววาดไป
เริ่มทีละน้อยๆ ทำเท่าที่แบกไหว เมื่อทำได้ ครบชั่วโมง ก็อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรไป เมื่อไม่มีกรรมมีเวร อย่าว่าแต่โรคเลย แม้นแต่ภัยอันตรายอันใด ก็ไม่มาทำร้ายคนดี หรือคนมีบุญหรอก
อย่างน้อยก็ขอให้ได้ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่โรค ไปในทุกภพทุกชาติ ที่จะยังพึงเกิดอีก
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ความสำเร็จ วัดกันที่ตอนตาย
หลายคนที่มายังสถานที่นี้ มักจะเรียกว่าอาการโคม่า หรือขั้นสุดท้าย นั่นคือ แทบจะไม่เหลือสภาพที่จะสามารถกอบกู้ให้กลับมาได้อีกนั่นเอง
หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า วันเวลาที่เหลือแม้นจักไม่สามารถกอบกู้ชีวิต แต่ก็สามารถทานให้ประสพผลความไม่มีโรคได้เช่นกัน
นั่นคือ ทานไปเพื่อล้างสัญญาโรค ไม่ให้ติดตัวไปในชาติหน้านั่นเอง โดยดูผลจากตอนตาย ที่ไม่ได้ตายด้วยความบีบเค้นทรมานจากโรคที่เป็นอยู่ จนตาย หากแต่แม้นจักต้องตายด้วยถึงอายุขัย ก็ตายอย่างสงบ คือง่วง แล้วหลับ ไปนั่นเอง
เราจึงเห็นคนหลายคนที่มักกล่าวว่า ตัวของเขาเองรู้สึกเสียดายที่มาพบที่นี่ช้าไป ทำให้ไม่มีโอกาสฟื้นฟูให้กลับดีดังเดิม หากแต่เขาก็ได้สัมผัสความไม่มีโรคก่อนตาย
โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง ที่จุดสุดท้ายที่เหมือนกันหมด นั่นคือ ความบีบเค้น ทรมานด้วยอาการปวด จนขาดใจตายเหมือนกันหมด
หากแต่การทานสมุนไพร สำหรับคนกลุ่มนี้ มักจะเห็นว่า คนไข้ยังมีอาการปวด ในขณะทานอยู่ และหยุดอาการลุกลามไม่ได้
หากจะสังเกตให้ดี คนไข้ประเภทนี้จักแตกต่างจากคนที่ไม่ทานสมุนไพรในตอนสิ้นลม นั่นคือ ธรรมชาติของคนกับโรค จักตายพร้อมกัน
นั่นคือ หากคนตายก่อน โรคที่อยู่ในตัวก็ต้องตาย และกลับกับ หากโรคที่อยู่ในตัว แก่ตัวจนตาย คนที่เป็นเจ้าของร่างกายก็ต้องตายตามโรคไปด้วยเช่นกัน
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สมุนไพรของพระภูมี ทำให้คนไข้ประเภทนี้ที่เชื่อมั่น ศรัทธา แล้วทานสมุนไพร จะได้รับคุณค่าของสมุนไพร นั่นคือ ทำให้โรคตายก่อนอายุขัยของคน
ดังนั้น แม้นจักเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ทำให้สัญญาโรคสิ้นสุด คนไข้ประเภทนี้จึงเรียกว่าประสพความสำเร็จในการหายโรคเช่นกัน
ภาพที่เด่นชัด นั่นดูจากคนไข้โรคมะเร็ง ที่เมื่อทานสมุนไพรไป คนทั่วไปดูว่าคนป่วยยังทรมานอยู่ มีอาการปวดอยู่ มีอาการลุกลามอยู่ และท้ายที่สุด คนป่วยก็จากไป
แต่สิ่งที่ต่างจากการตายด้วยการเป็นโรคตาย นั่นคือ คนไข้ประเภทนี้ ทุกคน จะมีช่วงก่อนเสียชีวิต ที่โรคมันตายไปก่อน ทำให้ไม่ปรากฎความทรมานจากอาการปวด และเมื่อถึงเวลา ก็ไม่ทรมาน จักรู้สึกง่วง แล้วก็นอนหลับ ไปด้วยความสบาย แม้นจักเป็นช่วงสั้นๆ ก็ถือได้ว่าไม่ได้ตายเพราะถูกบีบเค้นจากโรค จนตาย
ตัวอย่างล่าสุด ก็คือชายสูงวัยที่ป่วยด้วยมะเร็งตับ ที่หนีโรงพยาบาลมาทานสมุนไพร หากแต่ด้วยวัย และระยะของอาการก็ไม่สามารถฟื้นฟูตนกลับมาได้ จนในช่วงสุดท้ายของชีวิต เมื่อใกล้ถึงฝั่ง ก็มีอาการทรุดลง จนภรรยาและลูกต้องนำส่งโรงพยาบาล ด้วยความเป็นคนมีฐานะ หมอต่างๆ ดูประวัติ ก็ผลัดหน้ากันเข้ามาตรวจ และถามคนไข้ว่า ปวดไหม ๆๆๆๆ เพราะประวัติแจ้งว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
อันธรรมดามะเร็งก็ต้องปวด ทรมาน จนตายไป นั่นคือ กระบวนการสุดท้ายที่จะช่วย คือการฉีดมอร์ฟีน หากแต่คนไข้ก็ยืนยันว่าไม่ปวด และไม่ฉีด
หมอรอเท่าไหร่ คนไข้ก็บอกไม่ปวด จนซักภรรยาและลูกว่าคนไข้ไปทำอะไรมา จึงทราบว่าทานสมุนไพร คณะแพทย์จึงลงความเห็นว่า เพราะสมุนไพรทำให้คนไข้เป็นโรค "ลืมปวด"
สมุนไพรจึงกลายเป็นจำเลยของหมอ ที่ทำให้ประสาทรับรู้ความปวดของคนไข้เสียไป
และไม่นาน คนไข้ก็บอกภรรยาและลูกว่า ง่วงแล้ว หลังจากนั้นก็จากไป
การทานสมุนไพร มุ่งเน้นที่ความไม่มีโรค หากแต่ความสำเร็จการหายโรค ไม่ได้ดูจากการรอด หากแต่ดูจากการทำให้สัญญาโรคสิ้นสุดไป ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก
ดังนั้น คำโบราณจึงกล่าวว่า คนมีบุญ มีวาสนา ไม่ได้ดูกันตอนอยู่ เขาวัดกันที่ตอนตายต่างหาก คนมีวาสนา ก็คือคนที่ตายดี ไม่ได้ตายด้วยโรคที่มาบีบคั้นนั่นเอง
เมื่อไม่ตายด้วยโรค นั่นหมายถึงไม่มีสัญญาโรคติดไปชาติหน้า ชาติต่อๆไป .... พระภูมี จึงตรัสว่า นี่แหละคือ "ลาภอันประเสริฐ"
หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า วันเวลาที่เหลือแม้นจักไม่สามารถกอบกู้ชีวิต แต่ก็สามารถทานให้ประสพผลความไม่มีโรคได้เช่นกัน
นั่นคือ ทานไปเพื่อล้างสัญญาโรค ไม่ให้ติดตัวไปในชาติหน้านั่นเอง โดยดูผลจากตอนตาย ที่ไม่ได้ตายด้วยความบีบเค้นทรมานจากโรคที่เป็นอยู่ จนตาย หากแต่แม้นจักต้องตายด้วยถึงอายุขัย ก็ตายอย่างสงบ คือง่วง แล้วหลับ ไปนั่นเอง
เราจึงเห็นคนหลายคนที่มักกล่าวว่า ตัวของเขาเองรู้สึกเสียดายที่มาพบที่นี่ช้าไป ทำให้ไม่มีโอกาสฟื้นฟูให้กลับดีดังเดิม หากแต่เขาก็ได้สัมผัสความไม่มีโรคก่อนตาย
โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง ที่จุดสุดท้ายที่เหมือนกันหมด นั่นคือ ความบีบเค้น ทรมานด้วยอาการปวด จนขาดใจตายเหมือนกันหมด
หากแต่การทานสมุนไพร สำหรับคนกลุ่มนี้ มักจะเห็นว่า คนไข้ยังมีอาการปวด ในขณะทานอยู่ และหยุดอาการลุกลามไม่ได้
หากจะสังเกตให้ดี คนไข้ประเภทนี้จักแตกต่างจากคนที่ไม่ทานสมุนไพรในตอนสิ้นลม นั่นคือ ธรรมชาติของคนกับโรค จักตายพร้อมกัน
นั่นคือ หากคนตายก่อน โรคที่อยู่ในตัวก็ต้องตาย และกลับกับ หากโรคที่อยู่ในตัว แก่ตัวจนตาย คนที่เป็นเจ้าของร่างกายก็ต้องตายตามโรคไปด้วยเช่นกัน
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สมุนไพรของพระภูมี ทำให้คนไข้ประเภทนี้ที่เชื่อมั่น ศรัทธา แล้วทานสมุนไพร จะได้รับคุณค่าของสมุนไพร นั่นคือ ทำให้โรคตายก่อนอายุขัยของคน
ดังนั้น แม้นจักเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ทำให้สัญญาโรคสิ้นสุด คนไข้ประเภทนี้จึงเรียกว่าประสพความสำเร็จในการหายโรคเช่นกัน
ภาพที่เด่นชัด นั่นดูจากคนไข้โรคมะเร็ง ที่เมื่อทานสมุนไพรไป คนทั่วไปดูว่าคนป่วยยังทรมานอยู่ มีอาการปวดอยู่ มีอาการลุกลามอยู่ และท้ายที่สุด คนป่วยก็จากไป
แต่สิ่งที่ต่างจากการตายด้วยการเป็นโรคตาย นั่นคือ คนไข้ประเภทนี้ ทุกคน จะมีช่วงก่อนเสียชีวิต ที่โรคมันตายไปก่อน ทำให้ไม่ปรากฎความทรมานจากอาการปวด และเมื่อถึงเวลา ก็ไม่ทรมาน จักรู้สึกง่วง แล้วก็นอนหลับ ไปด้วยความสบาย แม้นจักเป็นช่วงสั้นๆ ก็ถือได้ว่าไม่ได้ตายเพราะถูกบีบเค้นจากโรค จนตาย
ตัวอย่างล่าสุด ก็คือชายสูงวัยที่ป่วยด้วยมะเร็งตับ ที่หนีโรงพยาบาลมาทานสมุนไพร หากแต่ด้วยวัย และระยะของอาการก็ไม่สามารถฟื้นฟูตนกลับมาได้ จนในช่วงสุดท้ายของชีวิต เมื่อใกล้ถึงฝั่ง ก็มีอาการทรุดลง จนภรรยาและลูกต้องนำส่งโรงพยาบาล ด้วยความเป็นคนมีฐานะ หมอต่างๆ ดูประวัติ ก็ผลัดหน้ากันเข้ามาตรวจ และถามคนไข้ว่า ปวดไหม ๆๆๆๆ เพราะประวัติแจ้งว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
อันธรรมดามะเร็งก็ต้องปวด ทรมาน จนตายไป นั่นคือ กระบวนการสุดท้ายที่จะช่วย คือการฉีดมอร์ฟีน หากแต่คนไข้ก็ยืนยันว่าไม่ปวด และไม่ฉีด
หมอรอเท่าไหร่ คนไข้ก็บอกไม่ปวด จนซักภรรยาและลูกว่าคนไข้ไปทำอะไรมา จึงทราบว่าทานสมุนไพร คณะแพทย์จึงลงความเห็นว่า เพราะสมุนไพรทำให้คนไข้เป็นโรค "ลืมปวด"
สมุนไพรจึงกลายเป็นจำเลยของหมอ ที่ทำให้ประสาทรับรู้ความปวดของคนไข้เสียไป
และไม่นาน คนไข้ก็บอกภรรยาและลูกว่า ง่วงแล้ว หลังจากนั้นก็จากไป
การทานสมุนไพร มุ่งเน้นที่ความไม่มีโรค หากแต่ความสำเร็จการหายโรค ไม่ได้ดูจากการรอด หากแต่ดูจากการทำให้สัญญาโรคสิ้นสุดไป ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก
ดังนั้น คำโบราณจึงกล่าวว่า คนมีบุญ มีวาสนา ไม่ได้ดูกันตอนอยู่ เขาวัดกันที่ตอนตายต่างหาก คนมีวาสนา ก็คือคนที่ตายดี ไม่ได้ตายด้วยโรคที่มาบีบคั้นนั่นเอง
เมื่อไม่ตายด้วยโรค นั่นหมายถึงไม่มีสัญญาโรคติดไปชาติหน้า ชาติต่อๆไป .... พระภูมี จึงตรัสว่า นี่แหละคือ "ลาภอันประเสริฐ"
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
กว่าจะเลือก
สมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ได้เสนอตนเป็นทางเลือก หากแต่ทางเลือกสายนี้ มักถูกมองว่าเป็นลูกเมียน้อย หรือ ไก่รองบ่อน มาโดยตลอด
ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่จะเดินตาม ต้องเริ่มจากผู้นำ ทำตนให้เห็นแล้วชวนชักคนให้เดินตาม
กระนั้นก็ตาม บางครั้งก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คนบางคนได้ แม้นจะเห็นผู้สำเร็จ และที่สำคัญ เป็นคนที่มีเสียงในสังคม ก็ยังยากจะยอมรับ
นี่จึงเป็นข้อต่างที่เด่นชัด ที่ผิดกับหมอหรือแนวทางอื่น ที่คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อมั่น แม้นจักไม่เคยเห็นความสำเร็จจากแนวทางนั้นมาก่อนเลย
สัปดาห์นี้ก็เช่นกัน มีผู้ใหญ่ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงองค์กรของรัฐท่านหนึ่ง ติดต่อหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อขอรับการรักษา
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวซักว่า รู้ข่าวจากที่ใด เขาตอบว่า บังเอิญเปิดเว็ปไซด์ แล้วพบบทความหนึ่ง เขียนโดย ท่านผู้หญิงสุรัตน์ สุนทรเวช กล่าวถึงสถานที่นี้ไว้
เมื่อย้อนรอยไปในอดีต แม้นแต่ท่านผู้หญิงเอง กว่าจะใช้แนวทางเลือกนี้ ก็ต้องผ่านหมอมากมาย จนถึงระดับหมอของสหประชาชาติเอง ก็ยังรักษาอาการของท่านไม่ได้ และแนะนำไปหาหมอทิเบต ที่มีความสามารถเรื่องตา มากที่สุดในโลก แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ไม่ประสพความสำเร็จ
จนกระทั่งได้พบคนในแวดวงไฮโซท่านหนึ่ง คือคุณนฤมล ธรรมวัฒนะ น้องสาวของนายห้างทอง ที่มาใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน รักษาอาการมะเร็งเต้านมของตนเอง จนประสพความสำเร็จ จึงชวนชักให้ท่านผู้หญิงมาทดลอง
หลังจากไม่มีทางเลือกอื่น แนวทางนี้จึงถูกเลือก และท่านผู้หญิงก็ประสพผลดังหวัง จนเป็นที่มาของหมอสหประชาชาติ เสนอให้ทุนหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อขอยาตานั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น หมอทิเบตดังกล่าว ก็คือพระ จึงขอคุณหญิงติดตามมาดู และศึกษา พร้อมกับเอ่ยขอกากสมุนไพรเขียว เพื่อไปทำพิธีตามความเชื่อ ด้วยเชื่อว่าเป็นของมีมงคล มีความศักดิ์สิทธิ์ และที่สำคัญมีพุทธคุณ
ก็น่ายินดี ที่ท่านผู้หญิงได้เขียนเล่าอาการ รายละเอียดตั้งแต่เริ่มเป็นโรค ผ่านกระบวนการของหมอต่างๆ ความเป็นไปจนถึงที่สุด เมื่อมาใช้แนวทางรักษาด้วยสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จนประสพความสำเร็จในการหายโรค และมีคนไปอ่านพบเจอ แล้วเป็นแสงส่องสว่างให้แก่คนผู้นั้น
แต่ด้วยความเป็นผู้บริหาร จึงมีนิสัยที่ละเอียด ไม่ผลีพลามแม้นจะคล้อยตามบทความของท่านผู้หญิง จึงให้ลูกน้องที่เห็นว่ามีโรค ที่รักษามานานไม่หายเช่นกัน ส่งมาทดลองทาน เพื่อดูผลตอบรับ .... อันที่จริงน่าจะเพื่อดูว่า มันเป็นของจริงหรือไม่ ...
อาการดีวันดีคืนของลูกน้อง ทำให้เขาตัดสินใจให้ลูกน้องติดต่อหลวงพ่อนิพนธ์เพื่อขอรับการรักษา หลังจากเส้นทางอื่นปิดหมดแล้ว พูดกันง่ายๆก็คือ หมอทิ้งแล้วนั่นเอง เพราะหมดทาง นั่นคือ ตันแล้ว
สมุนไพรได้พิสูจน์ตัวตนและคุณค่าที่โดดเด่น มานานกว่าครึ่งศตวรรษ มาถึงวันนี้ เมื่อมองดูในห้องกรรมการ ย่อมเป็นเครื่องประจักษ์ยืนยันว่า เงินไม่สามารถซื้อโรคได้ เราจึงเห็นกรรมการนับวันมีแต่เพิ่มขึ้น คนจำพวกนี้มีความพร้อมที่จะจ่าย ให้แก่ผู้ที่ทำให้เขาหายโรคได้ แต่... ความจริงก็ปรากฎ ไม่เพียงเสียเงิน อาจจะต้องเสียชีวิตไปอีกด้วย
ฉะนั้น จงทานสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ได้อย่างวางใจ สนิทใจ และด้วยความผูกพัน เป็นมิตร
อย่าให้มีความรู้สึกหรือพฤติกรรม ที่แสดงออกถึงความเป็นศัตรู อาทิ ทานสมุนไพรเขียว แล้วทำหน้าเบ้ ทานสมุนไพรมะพร้าว ทานไปบ่นไป เพราะเขาเป็นคุณ ควรทำตนให้เป็นมิตร
หากแต่การทานน้ำอัดลม ที่มีความเป็นกรด ให้คุณเฉพาะหน้า ถูกปาก แต่สรรพคุณที่เมื่อทานแล้ว เข้าไปกัดกระเพาะลำไส้ อันเป็นโทษ ยังทานด้วยความยินดี หน้าชื่นตาบาน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หากรักษาที่นี่แล้ว ยังหยุดไม่ได้ ก็ไม่มีที่ไหนหยุดอาการ หรือโรคของเราท่านได้แล้ว เพราะนี่คือ ทางเลือกสุดท้าย ....
ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่จะเดินตาม ต้องเริ่มจากผู้นำ ทำตนให้เห็นแล้วชวนชักคนให้เดินตาม
กระนั้นก็ตาม บางครั้งก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คนบางคนได้ แม้นจะเห็นผู้สำเร็จ และที่สำคัญ เป็นคนที่มีเสียงในสังคม ก็ยังยากจะยอมรับ
นี่จึงเป็นข้อต่างที่เด่นชัด ที่ผิดกับหมอหรือแนวทางอื่น ที่คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อมั่น แม้นจักไม่เคยเห็นความสำเร็จจากแนวทางนั้นมาก่อนเลย
สัปดาห์นี้ก็เช่นกัน มีผู้ใหญ่ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงองค์กรของรัฐท่านหนึ่ง ติดต่อหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อขอรับการรักษา
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวซักว่า รู้ข่าวจากที่ใด เขาตอบว่า บังเอิญเปิดเว็ปไซด์ แล้วพบบทความหนึ่ง เขียนโดย ท่านผู้หญิงสุรัตน์ สุนทรเวช กล่าวถึงสถานที่นี้ไว้
เมื่อย้อนรอยไปในอดีต แม้นแต่ท่านผู้หญิงเอง กว่าจะใช้แนวทางเลือกนี้ ก็ต้องผ่านหมอมากมาย จนถึงระดับหมอของสหประชาชาติเอง ก็ยังรักษาอาการของท่านไม่ได้ และแนะนำไปหาหมอทิเบต ที่มีความสามารถเรื่องตา มากที่สุดในโลก แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ไม่ประสพความสำเร็จ
จนกระทั่งได้พบคนในแวดวงไฮโซท่านหนึ่ง คือคุณนฤมล ธรรมวัฒนะ น้องสาวของนายห้างทอง ที่มาใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน รักษาอาการมะเร็งเต้านมของตนเอง จนประสพความสำเร็จ จึงชวนชักให้ท่านผู้หญิงมาทดลอง
หลังจากไม่มีทางเลือกอื่น แนวทางนี้จึงถูกเลือก และท่านผู้หญิงก็ประสพผลดังหวัง จนเป็นที่มาของหมอสหประชาชาติ เสนอให้ทุนหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อขอยาตานั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น หมอทิเบตดังกล่าว ก็คือพระ จึงขอคุณหญิงติดตามมาดู และศึกษา พร้อมกับเอ่ยขอกากสมุนไพรเขียว เพื่อไปทำพิธีตามความเชื่อ ด้วยเชื่อว่าเป็นของมีมงคล มีความศักดิ์สิทธิ์ และที่สำคัญมีพุทธคุณ
ก็น่ายินดี ที่ท่านผู้หญิงได้เขียนเล่าอาการ รายละเอียดตั้งแต่เริ่มเป็นโรค ผ่านกระบวนการของหมอต่างๆ ความเป็นไปจนถึงที่สุด เมื่อมาใช้แนวทางรักษาด้วยสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จนประสพความสำเร็จในการหายโรค และมีคนไปอ่านพบเจอ แล้วเป็นแสงส่องสว่างให้แก่คนผู้นั้น
แต่ด้วยความเป็นผู้บริหาร จึงมีนิสัยที่ละเอียด ไม่ผลีพลามแม้นจะคล้อยตามบทความของท่านผู้หญิง จึงให้ลูกน้องที่เห็นว่ามีโรค ที่รักษามานานไม่หายเช่นกัน ส่งมาทดลองทาน เพื่อดูผลตอบรับ .... อันที่จริงน่าจะเพื่อดูว่า มันเป็นของจริงหรือไม่ ...
อาการดีวันดีคืนของลูกน้อง ทำให้เขาตัดสินใจให้ลูกน้องติดต่อหลวงพ่อนิพนธ์เพื่อขอรับการรักษา หลังจากเส้นทางอื่นปิดหมดแล้ว พูดกันง่ายๆก็คือ หมอทิ้งแล้วนั่นเอง เพราะหมดทาง นั่นคือ ตันแล้ว
สมุนไพรได้พิสูจน์ตัวตนและคุณค่าที่โดดเด่น มานานกว่าครึ่งศตวรรษ มาถึงวันนี้ เมื่อมองดูในห้องกรรมการ ย่อมเป็นเครื่องประจักษ์ยืนยันว่า เงินไม่สามารถซื้อโรคได้ เราจึงเห็นกรรมการนับวันมีแต่เพิ่มขึ้น คนจำพวกนี้มีความพร้อมที่จะจ่าย ให้แก่ผู้ที่ทำให้เขาหายโรคได้ แต่... ความจริงก็ปรากฎ ไม่เพียงเสียเงิน อาจจะต้องเสียชีวิตไปอีกด้วย
ฉะนั้น จงทานสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ได้อย่างวางใจ สนิทใจ และด้วยความผูกพัน เป็นมิตร
อย่าให้มีความรู้สึกหรือพฤติกรรม ที่แสดงออกถึงความเป็นศัตรู อาทิ ทานสมุนไพรเขียว แล้วทำหน้าเบ้ ทานสมุนไพรมะพร้าว ทานไปบ่นไป เพราะเขาเป็นคุณ ควรทำตนให้เป็นมิตร
หากแต่การทานน้ำอัดลม ที่มีความเป็นกรด ให้คุณเฉพาะหน้า ถูกปาก แต่สรรพคุณที่เมื่อทานแล้ว เข้าไปกัดกระเพาะลำไส้ อันเป็นโทษ ยังทานด้วยความยินดี หน้าชื่นตาบาน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หากรักษาที่นี่แล้ว ยังหยุดไม่ได้ ก็ไม่มีที่ไหนหยุดอาการ หรือโรคของเราท่านได้แล้ว เพราะนี่คือ ทางเลือกสุดท้าย ....
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ธรรมชาติ
สมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คือ สูตรของพระภูมี
ดังนั้น สิ่งที่พระภูมีทรงตรัสรู้ คือ ความจริงตามธรรมชาติ หรือที่แม่ชีเมี้ยนเรียกว่า สัจธรรม นั่นเอง
สูตรสมุนไพรของพระภูมี จึงเทียบเคียงได้กับ ความจริงตามธรรมชาติที่เราคุ้นเคย นั่นคือ ข้าว หรือ อาหารที่เราท่านทานนั่นเอง
หลายคนอาจผิดหวัง ที่เมื่อมาสถานที่นี้แล้ว สมุนไพรที่ได้รับ มองซ้ายมองขวา ก็คล้ายๆ กันทุกโรค จนถึงบ้านแล้วยังงงว่า ทำไมมันเหมือนกัน เราเป็นมะเร็ง คนนั้นเป็นเก๊าต์ ได้เหมือนกันเลย
นั่นคือ ความคิดที่ติดหรือเคยชิน กับการไปหาหมอ ที่ยาเคมีต้องระบุว่า ตัวนี้ใช้กับโรคอะไร ทานตอนไหน นั่นเอง และที่สำคัญ ใช้เฉพาะโรค
หากแต่สมุนไพรพระภูมี เป็นธรรมชาติดั่งข้าว อาหาร นั่นคือ ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกายมนุษย์ เมื่อทานอาหารไม่ว่าสิ่งไร ร่างกายก็จะแยกแร่แปรธาตุ แล้วนำไปสร้างสิ่งที่ร่างกายต้องการ
นั่นหมายความว่า ไม่มีใครตอบได้หรอกว่า ข้าวช้อนนี้ที่เราท่านจะทาน ร่างกายมันจะนำไปสร้างส่วนไหน เราท่านไม่รู้ แต่ร่างกายมันรู้ ว่าขาดสิ่งใด แล้วสร้างไปทดแทน
สมุนไพรของพระภูมี ก็เฉกเช่นเดียวกัน เป็นของธรรมชาติ ประกอบขึ้นเพื่อเสริมสร้าง ธาตุทั้งสี่ของร่างกาย ที่ขาดหาย หรือกำจัดส่วนที่เกินออก ก็ไม่มีใครตอบได้ว่า ทานไปแล้ว สมุนไพรตัวนี้ เพื่อโรคอะไร
สมุนไพรจึงเป็นวัตถุดิบที่ร่างกายต้องการ ใช้เพื่อฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒ มิใช่ใช้เพื่อรักษาโรค ส่วนโรคนั้น เมื่อร่างกายมีความพร้อม ก็สามารถฟื้นฟูตนเองได้ โดยอาศัยอาหารที่ทานนั่นเอง
คำถามที่ว่า สมุนไพรตัวนี้รักษาโรคอะไร คำตอบที่ อ.อร่าม มักตอบกลับมา คือ ไม่ได้รักษาโรคอะไรเลย
สมุนไพรทานทำไม คำตอบ คือ คำอธิษฐานที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้ท่อง และบอกกล่าวทุกครั้งในยามทานสมุนไพร นั่นคือ ปรุงแต่งธาตุทั้งสี่ของเราให้ได้สัดส่วน นั่นเอง
หากจะมาหาสมุนไพรรักษาเฉพาะโรค ที่นี่จึงไม่มี
และเมื่อทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จนร่างกายมีความพร้อม อาการที่ไม่เคยเป็น นั่นคือ โรคที่เพิ่งก่อกำเนิด ยังไม่แสดงอาการ ก็อาจปรากฎให้เห็น
นี่แหละจึงเรียกพระภูมีว่า พหูสูตร บัญญัติสมุนไพรมา แล้วใช้ได้กับทุกอาการ ทุกโรค ที่สำคัญ ไม่ต้องวินิจฉัย ตรวจโรคให้เสียเวลา ให้ร่างกายรับสมุนไพร แล้วทดสอบ เมื่อจุดใดมีปัญหา ก็แสดงอาการออกมาให้เห็นเอง
การรักษาโดยสมุนไพร จึงสามารถรักษาพร้อมกันได้คราวละมากๆ ต่างกับแผนปัจจุบัน ที่คนไข้แค่ร้อยคน หมอก็ตายแล้ว เพราะมัวแต่วินิจฉัย ตรวจอยู่นั่นแหละ ที่สำคัญผลการตรวจ ยังไม่ละเอียดเท่าร่างกาย ที่รับสมุนไพรไปทำการตรวจเช็คเลย ที่สำคัญคือ ถูกต้องและแม่นยำ
ด้วยความเป็นธรรมชาตินี้เอง การทานสมุนไพร จึงไม่มีพิธีการที่เคร่งครัดเหมือนยาเคมี แต่เรียบง่ายเหมือนข้าว เหมือนอาหาร จะทานตอนไหนก็ได้ แล้วแต่สะดวก จะทานมากทานน้อย ก็ไม่เป็นไร
สิ่งที่แตกต่าง และพึงระวัง ในสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา นั่นคือ เขารับรู้ ใจคนทำ และคนทาน ... และนี่แหละคุณสมบัติของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ผลของการทานจึง ขึ้นกับคุณสมบัติ เป็นสำคัญ
นั่นเป็นเหตุที่เราท่าน จักถูกสั่งสอน ให้ไหว้สมุนไพร และเทิดทูน เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่สถิตย์แน่ หากอยู่กับคนที่ไม่รู้ค่า ได้มาก็กองไว้กับเท้า ...
ดังนั้น แนวทางสมุนไพรของพระภูมี ในการรักษาโรค ที่เปลี่ยนแปลงไปตามวาระของกรรม นั่นคือ อาการจะเปลี่ยนผันไปเรื่อยๆ การทานสมุนไพร จึงปรับเปลี่ยนไปตามอาการ ที่พึงเกิด หาใช่ปรับเปลี่ยนตามโรค
สูตรสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงมีหลายสิบสูตร ครอบคลุมอาการต่างๆ ที่พึงเกิด
การขอสมุนไพร นั่นจึงใช้การบอกอาการ และสภาพที่เกิด เป็นหลัก ไม่ต้องสนว่าเป็นโรคอะไร
ดังนั้น สิ่งที่พระภูมีทรงตรัสรู้ คือ ความจริงตามธรรมชาติ หรือที่แม่ชีเมี้ยนเรียกว่า สัจธรรม นั่นเอง
สูตรสมุนไพรของพระภูมี จึงเทียบเคียงได้กับ ความจริงตามธรรมชาติที่เราคุ้นเคย นั่นคือ ข้าว หรือ อาหารที่เราท่านทานนั่นเอง
หลายคนอาจผิดหวัง ที่เมื่อมาสถานที่นี้แล้ว สมุนไพรที่ได้รับ มองซ้ายมองขวา ก็คล้ายๆ กันทุกโรค จนถึงบ้านแล้วยังงงว่า ทำไมมันเหมือนกัน เราเป็นมะเร็ง คนนั้นเป็นเก๊าต์ ได้เหมือนกันเลย
นั่นคือ ความคิดที่ติดหรือเคยชิน กับการไปหาหมอ ที่ยาเคมีต้องระบุว่า ตัวนี้ใช้กับโรคอะไร ทานตอนไหน นั่นเอง และที่สำคัญ ใช้เฉพาะโรค
หากแต่สมุนไพรพระภูมี เป็นธรรมชาติดั่งข้าว อาหาร นั่นคือ ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกายมนุษย์ เมื่อทานอาหารไม่ว่าสิ่งไร ร่างกายก็จะแยกแร่แปรธาตุ แล้วนำไปสร้างสิ่งที่ร่างกายต้องการ
นั่นหมายความว่า ไม่มีใครตอบได้หรอกว่า ข้าวช้อนนี้ที่เราท่านจะทาน ร่างกายมันจะนำไปสร้างส่วนไหน เราท่านไม่รู้ แต่ร่างกายมันรู้ ว่าขาดสิ่งใด แล้วสร้างไปทดแทน
สมุนไพรของพระภูมี ก็เฉกเช่นเดียวกัน เป็นของธรรมชาติ ประกอบขึ้นเพื่อเสริมสร้าง ธาตุทั้งสี่ของร่างกาย ที่ขาดหาย หรือกำจัดส่วนที่เกินออก ก็ไม่มีใครตอบได้ว่า ทานไปแล้ว สมุนไพรตัวนี้ เพื่อโรคอะไร
สมุนไพรจึงเป็นวัตถุดิบที่ร่างกายต้องการ ใช้เพื่อฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒ มิใช่ใช้เพื่อรักษาโรค ส่วนโรคนั้น เมื่อร่างกายมีความพร้อม ก็สามารถฟื้นฟูตนเองได้ โดยอาศัยอาหารที่ทานนั่นเอง
คำถามที่ว่า สมุนไพรตัวนี้รักษาโรคอะไร คำตอบที่ อ.อร่าม มักตอบกลับมา คือ ไม่ได้รักษาโรคอะไรเลย
สมุนไพรทานทำไม คำตอบ คือ คำอธิษฐานที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้ท่อง และบอกกล่าวทุกครั้งในยามทานสมุนไพร นั่นคือ ปรุงแต่งธาตุทั้งสี่ของเราให้ได้สัดส่วน นั่นเอง
หากจะมาหาสมุนไพรรักษาเฉพาะโรค ที่นี่จึงไม่มี
และเมื่อทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จนร่างกายมีความพร้อม อาการที่ไม่เคยเป็น นั่นคือ โรคที่เพิ่งก่อกำเนิด ยังไม่แสดงอาการ ก็อาจปรากฎให้เห็น
นี่แหละจึงเรียกพระภูมีว่า พหูสูตร บัญญัติสมุนไพรมา แล้วใช้ได้กับทุกอาการ ทุกโรค ที่สำคัญ ไม่ต้องวินิจฉัย ตรวจโรคให้เสียเวลา ให้ร่างกายรับสมุนไพร แล้วทดสอบ เมื่อจุดใดมีปัญหา ก็แสดงอาการออกมาให้เห็นเอง
การรักษาโดยสมุนไพร จึงสามารถรักษาพร้อมกันได้คราวละมากๆ ต่างกับแผนปัจจุบัน ที่คนไข้แค่ร้อยคน หมอก็ตายแล้ว เพราะมัวแต่วินิจฉัย ตรวจอยู่นั่นแหละ ที่สำคัญผลการตรวจ ยังไม่ละเอียดเท่าร่างกาย ที่รับสมุนไพรไปทำการตรวจเช็คเลย ที่สำคัญคือ ถูกต้องและแม่นยำ
ด้วยความเป็นธรรมชาตินี้เอง การทานสมุนไพร จึงไม่มีพิธีการที่เคร่งครัดเหมือนยาเคมี แต่เรียบง่ายเหมือนข้าว เหมือนอาหาร จะทานตอนไหนก็ได้ แล้วแต่สะดวก จะทานมากทานน้อย ก็ไม่เป็นไร
สิ่งที่แตกต่าง และพึงระวัง ในสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา นั่นคือ เขารับรู้ ใจคนทำ และคนทาน ... และนี่แหละคุณสมบัติของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ผลของการทานจึง ขึ้นกับคุณสมบัติ เป็นสำคัญ
นั่นเป็นเหตุที่เราท่าน จักถูกสั่งสอน ให้ไหว้สมุนไพร และเทิดทูน เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่สถิตย์แน่ หากอยู่กับคนที่ไม่รู้ค่า ได้มาก็กองไว้กับเท้า ...
ดังนั้น แนวทางสมุนไพรของพระภูมี ในการรักษาโรค ที่เปลี่ยนแปลงไปตามวาระของกรรม นั่นคือ อาการจะเปลี่ยนผันไปเรื่อยๆ การทานสมุนไพร จึงปรับเปลี่ยนไปตามอาการ ที่พึงเกิด หาใช่ปรับเปลี่ยนตามโรค
สูตรสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงมีหลายสิบสูตร ครอบคลุมอาการต่างๆ ที่พึงเกิด
การขอสมุนไพร นั่นจึงใช้การบอกอาการ และสภาพที่เกิด เป็นหลัก ไม่ต้องสนว่าเป็นโรคอะไร
วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ฟังทุกวัน ฟังอะไร
หลายคนมักบ่น ว่าทำไมต้องฟังหลวงพ่อนิพนธ์ บางคนอาจจะบอกว่า เบื่อสุดๆ ไม่อยากฟัง อยากแค่ได้อบตัว เอาสมุนไพรไปทาน แค่นั้นเอง
หากแต่สิ่งที่คนเหล่านั้นคิด นั่นคือพฤติกรรมที่คนทั้งโลกเขาทำกัน นั่นคือการขอนั่นเอง
การมาของคนเหล่านี้ จึงมุ่งมาเหมือนคนไปขอพร ไม่ว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ที่เขานับถือ แล้วก็เออออว่าได้พรตามคำขอแล้ว กลับไปต้องสมประสงค์
เมื่อลืมตามาครั้งใด ความจริงก็ปรากฎตรงหน้า นั่นคือ ความเจ็บ ความปวด ความทรมาน จากทุกข์ของตนก็ยังอยู่ครบ มีแต่เพิ่มไม่มีลด ไม่ว่าจักขอสักฉันใด
นิสัยอันนี้เอง ก็นำมาเหมารวมกับสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา นั่นคือ มาแล้ว รับสมุนไพรไปทาน ก็เหมาเอาเองเลยว่า สมุนไพรดี สิ่งที่ตนเป็นจึงจักต้องหาย
พฤติกรรมที่ทำ จึงไม่ต่างกับการขอพร เพราะไม่คิดจะฟัง เรียนรู้ พิจารณาเหตุและผล แล้วนำไปปฏิบัติเพื่อช่วยตนเลย พูดง่ายๆ ขอให้หายโรค โดยไม่เปลี่ยนอะไรของตนเลย ...
แนวทางขอพรไม่เคยให้ผลสำเร็จแก่ผู้ใดฉันใด การทำเช่นนี้ ก็ไม่เคยมีผุ้ใดประสพผลเช่นเดียวกัน
เพราะหลักของพระภูมี คือ หลักตนพึ่งตน นั่นคือ อยากได้ ต้องทำเอง และเรียนรู้ว่า จักต้องนำสิ่งใดไปทำ และทำอย่างไรจึงจักเกิดผล
สิ่งนี้ต่างหากที่เราท่านไม่รุ้ จึงต้องมีผู้นำ พูดให้ฟัง ชี้ให้เห็น ซึ่งเหตุและผล แล้วจึงเดินตาม เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่คุ้นเคย
ก็ถ้าความรู้เราท่านดีอยู่แล้ว ช่วยตนได้ จักมาสถานที่นี้ทำไมกัน นั่นแหละเป็นข้อพิสูจน์ว่า หลักที่เราท่านยึดถือปฏิบัติ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งทีคิดไปเอง ไม่มีอยู่จริง เมื่อทำแล้ว จึงช่วยตนของเราท่านไม่ได้เลย
การฟังหลวงพ่อนิพนธ์ ทำให้ได้รู้ว่า การกระทำเช่นไร ถูก เช่นไรผิด บาปมหันต์ที่เราท่านอาจสร้างโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และที่สำคัญ แนวทางบุญที่แท้จริง ทำแล้วเกิดผล ต้องทำอย่างไร
ฟังแล้ว ไม่ชอบไม่เป็นไร ไม่ทำก็ไม่เป็นไร หากแต่คนที่ชอบ แล้วอยากทำตาม ก็จักได้พิสูจน์ทางเลือกอันนี้ แล้ววัดกันที่ผล ดั่งภาษิต ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
เรื่องที่แม่ชีเมี้ยนทรงย้ำให้หลวงพ่อนิพนธ์ ร้องปล่าวแก่พี่น้องคนไทย เพื่อนร่วมชาติ ประการแรก จึงเป็นการยุยงให้หยุดบาป ที่พึงทำกับตน เป็นปฐม นั่นคือ การไม่ทำลายชีวิตตน ด้วยการทานเคมี
นิยายเรื่องการทานเคมี และการไม่ทาน จึงเป็นเรื่องหลักที่ต้องฟัง และทำความเข้าใจ ให้รู้ถึงแก่นแท้ว่า คุณโทษ เกิดจากเหตุใด อันเป็นจุดเริ่มของการตัดสินใจที่จะเลือกทางเดิน
นิยายพุทธประวัติ ย่อมหนีไม่พ้นเรื่อง "กรรม" และ "บุญ" จึงต้องศึกษาและฟังว่า ด้วยเหตุผลใด สิ่งที่เรายึดถือ และเดินตามมาตลอดชีวิต จึงให้ผลเช่นปัจจุบัน แล้วสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ควรหรือไม่ที่จักเป็นทางเลือกใหม่ ให้เดิน
การไม่เรียนรู้ ผลจึงไม่เปลี่ยนพฤติกรรม และนำมาซึ่งความไม่ประสพผลที่ต้องการ คนเหล่านี้ย่อมมีมากกว่าคนที่เรียนรู้ แล้วทำจนประสพผล อย่างแน่นอน
หากแต่ควรให้คนที่ไม่คิดจะทำ ผ่านมาและผ่านไป เร็วที่สุด หรือไม่ก็อาศัยคนที่ทำ ทำตนจนเป็นพลังชวนชักให้คนเหล่านี้กลับมาทำ ...
สุดท้าย ที่ควรจะมีปรากฎแก่ตน นั่นคือ คำตอบที่ว่า ทางเลือกสายนี้ พาตนของเราท่านไปที่ใด
นั่นคือ คำตอบของคนที่มีคุณสมบัติในการหายโรค และ จุดสุดท้ายที่จะต้องไปยืน ตามทางเลือกนี้ นั่นคือ เปลี่ยนตนเป็นคนดี มีธรรมประจำใจไว้ปฏิบัติ ควบคุมตน เป็นปูชนียบุคคล โดยมีรางวัลคล้องคอ คือ ความไม่มีโรค
หากมาแล้ว ฟังแล้ว กลับบ้านก็เหมือนเก่า เป็นคนเก่า ทำสิ่งเก่าๆ ไม่มีคำตอบแก่ตนอันใดเลย นั่นคือ การฟังก็สูญเปล่า ไม่มีผลแก่คนประเภทนี้เลย .... ขอจงมาเร็ว ไปเร็ว อย่าอยู่เปลืองสมุนไพร และเนื้อที่นานไปนัก เก็บไว้ให้คนที่ต้องการ ก็จักเป็นผลบุญสุดท้ายที่ทำได้ดีกว่า
เมื่อรู้หนทางทำถูก ก็จักเข้าใจความหมายที่ว่า สมุนไพรไม่ต้องทานเยอะ ทานแค่เป็นสื่อก็เพียงพอแล้ว เพราะไม่มีอันใดจักดีไปกว่า บุญรักษา แล้ว
บทสรุปของการฟัง นั่นคือ หาธรรมของพระภูมี ที่แท้จริงให้เจอ แล้วเก็บไปปฏิบัติ และหาเหตุแห่งกรรมทีเราท่านทำให้เจอ แล้วหยุดเสีย และก็ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเรื่องที่จะได้ฟัง ย่อมต้องสวนทางกับความรู้เก่า นิสัยเก่าที่เราท่านทำ กันอย่างสิ้นเชิง
ที่สำคัญกว่าอีกนั่นคือ นอกจากขอพรไม่ได้ ยังต้องทำด้วยตนเองอีก เรียกว่า ใครทำใครได้
จึงไม่แปลกใจเลยว่า คนฟังเป็นพัน คนทำมีแค่ร้อย ก็เพราะการฟัง และการทำมันไม่มีมาตรฐาน เหมือนกันทุกคนนี้เอง จะเหมาเข่งว่าคนที่มาจะมีมาตรฐานในการประสพผลกันทุกถ้วนตัวคน คงจักเป็นไปไม่ได้
ธรรมพระภูมี ดีอยู่แล้ว สมุนไพรพระภุมี ก็ดีอยู่แล้ว สองสิ่งพร้อมแล้ว แต่ผลไม่ได้ขึ้นกับสองสิ่งนี้ กลับชี้วัดกันที่ "ใครทำ ใครได้" นี่ซิ
ยกตัวอย่าง เช่นคนไข้อัมพฤกต์ อัมพาต ที่จักต้องเปลี่ยนมาทำทุกสิงอย่างด้วยตนเอง และระงับอารมณ์โกรธ โมโหง่าย จักประสพผลได้ฉันใด ในเมื่อทานยา ก็จักต้องป้อนทุกครั้ง เดินต้องพยุงตลอด เรียกแล้วมาช้า ทำไม่ทันใจ ก็โมโห ด่าว่า หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ก็กรรมมันทำให้เกิดนิสัยเบียดเบียนผุ้อื่นตลอดเวลา แล้วจะหลุดจากโรคได้อย่างไร ด้วยการเบียดเบียนตลอดเวลา ไม่คิดจักพึ่งตนเลย
แค่สามารถทำตน จนกลับมาช่วยตน เรียกได้ว่าเป็นปูชนียบุคคล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เท่านี้ แม้นตายก็ตายตาหลับ อย่างน้อยก็สร้างสุขให้แก่ลูกหลาน หรือคนที่ตนรักก่อนตาย
หากแต่สิ่งที่คนเหล่านั้นคิด นั่นคือพฤติกรรมที่คนทั้งโลกเขาทำกัน นั่นคือการขอนั่นเอง
การมาของคนเหล่านี้ จึงมุ่งมาเหมือนคนไปขอพร ไม่ว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ที่เขานับถือ แล้วก็เออออว่าได้พรตามคำขอแล้ว กลับไปต้องสมประสงค์
เมื่อลืมตามาครั้งใด ความจริงก็ปรากฎตรงหน้า นั่นคือ ความเจ็บ ความปวด ความทรมาน จากทุกข์ของตนก็ยังอยู่ครบ มีแต่เพิ่มไม่มีลด ไม่ว่าจักขอสักฉันใด
นิสัยอันนี้เอง ก็นำมาเหมารวมกับสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา นั่นคือ มาแล้ว รับสมุนไพรไปทาน ก็เหมาเอาเองเลยว่า สมุนไพรดี สิ่งที่ตนเป็นจึงจักต้องหาย
พฤติกรรมที่ทำ จึงไม่ต่างกับการขอพร เพราะไม่คิดจะฟัง เรียนรู้ พิจารณาเหตุและผล แล้วนำไปปฏิบัติเพื่อช่วยตนเลย พูดง่ายๆ ขอให้หายโรค โดยไม่เปลี่ยนอะไรของตนเลย ...
แนวทางขอพรไม่เคยให้ผลสำเร็จแก่ผู้ใดฉันใด การทำเช่นนี้ ก็ไม่เคยมีผุ้ใดประสพผลเช่นเดียวกัน
เพราะหลักของพระภูมี คือ หลักตนพึ่งตน นั่นคือ อยากได้ ต้องทำเอง และเรียนรู้ว่า จักต้องนำสิ่งใดไปทำ และทำอย่างไรจึงจักเกิดผล
สิ่งนี้ต่างหากที่เราท่านไม่รุ้ จึงต้องมีผู้นำ พูดให้ฟัง ชี้ให้เห็น ซึ่งเหตุและผล แล้วจึงเดินตาม เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่คุ้นเคย
ก็ถ้าความรู้เราท่านดีอยู่แล้ว ช่วยตนได้ จักมาสถานที่นี้ทำไมกัน นั่นแหละเป็นข้อพิสูจน์ว่า หลักที่เราท่านยึดถือปฏิบัติ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งทีคิดไปเอง ไม่มีอยู่จริง เมื่อทำแล้ว จึงช่วยตนของเราท่านไม่ได้เลย
การฟังหลวงพ่อนิพนธ์ ทำให้ได้รู้ว่า การกระทำเช่นไร ถูก เช่นไรผิด บาปมหันต์ที่เราท่านอาจสร้างโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และที่สำคัญ แนวทางบุญที่แท้จริง ทำแล้วเกิดผล ต้องทำอย่างไร
ฟังแล้ว ไม่ชอบไม่เป็นไร ไม่ทำก็ไม่เป็นไร หากแต่คนที่ชอบ แล้วอยากทำตาม ก็จักได้พิสูจน์ทางเลือกอันนี้ แล้ววัดกันที่ผล ดั่งภาษิต ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
เรื่องที่แม่ชีเมี้ยนทรงย้ำให้หลวงพ่อนิพนธ์ ร้องปล่าวแก่พี่น้องคนไทย เพื่อนร่วมชาติ ประการแรก จึงเป็นการยุยงให้หยุดบาป ที่พึงทำกับตน เป็นปฐม นั่นคือ การไม่ทำลายชีวิตตน ด้วยการทานเคมี
นิยายเรื่องการทานเคมี และการไม่ทาน จึงเป็นเรื่องหลักที่ต้องฟัง และทำความเข้าใจ ให้รู้ถึงแก่นแท้ว่า คุณโทษ เกิดจากเหตุใด อันเป็นจุดเริ่มของการตัดสินใจที่จะเลือกทางเดิน
นิยายพุทธประวัติ ย่อมหนีไม่พ้นเรื่อง "กรรม" และ "บุญ" จึงต้องศึกษาและฟังว่า ด้วยเหตุผลใด สิ่งที่เรายึดถือ และเดินตามมาตลอดชีวิต จึงให้ผลเช่นปัจจุบัน แล้วสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ควรหรือไม่ที่จักเป็นทางเลือกใหม่ ให้เดิน
การไม่เรียนรู้ ผลจึงไม่เปลี่ยนพฤติกรรม และนำมาซึ่งความไม่ประสพผลที่ต้องการ คนเหล่านี้ย่อมมีมากกว่าคนที่เรียนรู้ แล้วทำจนประสพผล อย่างแน่นอน
หากแต่ควรให้คนที่ไม่คิดจะทำ ผ่านมาและผ่านไป เร็วที่สุด หรือไม่ก็อาศัยคนที่ทำ ทำตนจนเป็นพลังชวนชักให้คนเหล่านี้กลับมาทำ ...
สุดท้าย ที่ควรจะมีปรากฎแก่ตน นั่นคือ คำตอบที่ว่า ทางเลือกสายนี้ พาตนของเราท่านไปที่ใด
นั่นคือ คำตอบของคนที่มีคุณสมบัติในการหายโรค และ จุดสุดท้ายที่จะต้องไปยืน ตามทางเลือกนี้ นั่นคือ เปลี่ยนตนเป็นคนดี มีธรรมประจำใจไว้ปฏิบัติ ควบคุมตน เป็นปูชนียบุคคล โดยมีรางวัลคล้องคอ คือ ความไม่มีโรค
หากมาแล้ว ฟังแล้ว กลับบ้านก็เหมือนเก่า เป็นคนเก่า ทำสิ่งเก่าๆ ไม่มีคำตอบแก่ตนอันใดเลย นั่นคือ การฟังก็สูญเปล่า ไม่มีผลแก่คนประเภทนี้เลย .... ขอจงมาเร็ว ไปเร็ว อย่าอยู่เปลืองสมุนไพร และเนื้อที่นานไปนัก เก็บไว้ให้คนที่ต้องการ ก็จักเป็นผลบุญสุดท้ายที่ทำได้ดีกว่า
เมื่อรู้หนทางทำถูก ก็จักเข้าใจความหมายที่ว่า สมุนไพรไม่ต้องทานเยอะ ทานแค่เป็นสื่อก็เพียงพอแล้ว เพราะไม่มีอันใดจักดีไปกว่า บุญรักษา แล้ว
บทสรุปของการฟัง นั่นคือ หาธรรมของพระภูมี ที่แท้จริงให้เจอ แล้วเก็บไปปฏิบัติ และหาเหตุแห่งกรรมทีเราท่านทำให้เจอ แล้วหยุดเสีย และก็ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเรื่องที่จะได้ฟัง ย่อมต้องสวนทางกับความรู้เก่า นิสัยเก่าที่เราท่านทำ กันอย่างสิ้นเชิง
ที่สำคัญกว่าอีกนั่นคือ นอกจากขอพรไม่ได้ ยังต้องทำด้วยตนเองอีก เรียกว่า ใครทำใครได้
จึงไม่แปลกใจเลยว่า คนฟังเป็นพัน คนทำมีแค่ร้อย ก็เพราะการฟัง และการทำมันไม่มีมาตรฐาน เหมือนกันทุกคนนี้เอง จะเหมาเข่งว่าคนที่มาจะมีมาตรฐานในการประสพผลกันทุกถ้วนตัวคน คงจักเป็นไปไม่ได้
ธรรมพระภูมี ดีอยู่แล้ว สมุนไพรพระภุมี ก็ดีอยู่แล้ว สองสิ่งพร้อมแล้ว แต่ผลไม่ได้ขึ้นกับสองสิ่งนี้ กลับชี้วัดกันที่ "ใครทำ ใครได้" นี่ซิ
ยกตัวอย่าง เช่นคนไข้อัมพฤกต์ อัมพาต ที่จักต้องเปลี่ยนมาทำทุกสิงอย่างด้วยตนเอง และระงับอารมณ์โกรธ โมโหง่าย จักประสพผลได้ฉันใด ในเมื่อทานยา ก็จักต้องป้อนทุกครั้ง เดินต้องพยุงตลอด เรียกแล้วมาช้า ทำไม่ทันใจ ก็โมโห ด่าว่า หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ก็กรรมมันทำให้เกิดนิสัยเบียดเบียนผุ้อื่นตลอดเวลา แล้วจะหลุดจากโรคได้อย่างไร ด้วยการเบียดเบียนตลอดเวลา ไม่คิดจักพึ่งตนเลย
แค่สามารถทำตน จนกลับมาช่วยตน เรียกได้ว่าเป็นปูชนียบุคคล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เท่านี้ แม้นตายก็ตายตาหลับ อย่างน้อยก็สร้างสุขให้แก่ลูกหลาน หรือคนที่ตนรักก่อนตาย
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เข้าพรรษา กันเถอะ
หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเสมอว่าสถานะของท่านไม่ใช่พระ ดังนั้นจึงมักหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงหลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนา มาโดยตลอด
หากแต่มาวันนี้ แม่ชีเมี้ยนทรงเตือนว่า ทำเช่นนั้นไม่ได้ ประการหนึ่ง ก็ทำให้การช่วยตนล่าช้า และประการที่สำคัญ นั่นคือ การอุบัติของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่ใกล้เข้ามา เมื่อถึงวันนั้น ก็จักทำให้สามารถเดินไปในแนวทางเดียวกันได้ง่าย
การปัดฝุ่นและย้อนสมัยถ้ำกระบอก ถึงความสำคัญของการเข้าพรรษา นั่นคือการที่ผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าพระหรือฆราวาส จักต้องกำหนดวินัยของตัวเองขึ้น เพื่อบังคับตนให้ลดกิเลสที่พึงมี
การทั้งนี้ ก็เพื่อเปลี่ยนตนเป็นคนใหม่ เมื่อออกพรรษา นั่นคือ ชีวิตที่ดีกว่า เริ่มจากโรคที่หายไป และสุขกับนิสัยใหม่ที่ไม่สร้างกรรม เมื่อต้องไปเผชิญกับโลกอีกครั้งยามออกพรรษา
เมื่อหลักใหญ่ที่พระภูมีทรงตรัส ว่ามีมุลเหตุแห่งกรรม และมีผลจากกิเลสนิสัย ของเราท่าน จึงบัญญัติทางสายกลางที่ทุกคนทำได้ และเป็นบุญ นั่นคือ การลดละนิสัยกรรม มาปฏิบัตินิสัยธรรม เริ่มจากทีละน้อย
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า พระพุทธเจ้าไม่ถือศีล ด้วยเหตุเป็นของหนัก ยากจะปฏิบัติได้ จึงอาศัยการวางสัจจะปฏิบัติเริ่มจากน้อยไปหามาก
และทรงเห็นว่า โรคเป็นเหตุแห่งเฉพาะตน หากแต่นิสัย โดยเฉพาะความโกรธ เป็นเหตุแห่งตนเองและผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้ การวางสัจจะขข้อแรกของพุทธบริษัท หรือผุ้ปฏิบัติ จึงมักเริ่มจากการควบคุมตน โดยอาศัยหลักพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เข้าควบคุมนิสัยโกรธ เป็นเบื้องต้น โดยเริ่มจากวันละหนึ่งชั่วโมง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ด้วยเหตุที่ธรรมของพระภูมี มีไว้เพื่อสร้างผู้ปฏิบัติ อันเป็นปูชนียบุคคล หาใช่เพื่อการสร้างปูชนียสถานไม่
ดังนั้นบุญของพระภูมี จึงทำได้ทุกคน อันเป็นทางสายกลาง ด้วยเหตุที่ทุกคนล้วนมีนิสัย และกิเลส หากใครลดนิสัย และกิเลสลงได้ นั่นแลคือบุญ
จึงเป็นที่มาของบาตร ในบวรพุทธศาสนา ที่หาใช่เพียงมีไว้เพื่อขออาหาร หากแต่การบิณฑบาตร จุดใหญ่ใจความ ก็คือ ขอนิสัยที่ไม่ดีเป็นสำคัญ
พระถ้ำกระบอกจึงถุกสอนว่า ให้กล่าวกับญาติโยมว่า อาตมาไม่มี ตระกรุด น้ำมนต์ ผ้ายันต์ เครื่องลางใดๆ และไม่มีพรอะไรให้ จะมีก็แต่ธรรมของพระภูมี ที่ผู้ใดรับไปทำแล้ว ก็จักสัมฤทธิ์ผลตามความปรารถนา
เข้าพรรษานี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชวนชักให้เดินตามรอยอดีต ไม่ได้กะเกณฑ์ให้ทุกคนต้องทำตาม หากแต่บอกเป็นทางสายกลาง ใครที่ฟังเหตุและผล อยากลองเดินตามรอยพุทธกาล ก็ลองทำดู ประกอบกับการทานสมุนไพร
ผลที่จักบังเกิด อันเป็นไปตามพุทธดำรัส คือ "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม" อันจักทำให้การเข้าพรรษา ก็เพื่อแสวงหาชีวิตใหม่ ที่ไม่มีโรค กลายเป็นคนใหม่ ที่มีกิเลสน้อยลง รู้หนทางบุญไว้รักษาตน
จึงเชิญชวน ผู้ที่อยากสัมผัสว่า ปาฏิหารย์ของพระภูมี นั่นคือ บุญ ลองปฏิบัติตัว ด้วยการจุดธูปประกาศต่อแม่ชีเมี้ยน ต่อพระพุทธว่า ข้าพเจ้าจักไม่โกรธ วันละหนึ่งชั่วโมง ในเวลาที่ตนเองพร้อม และในช่วงเวลานั้น ก็เจริญพรหมวิหาร เมื่อพบเหตุ และท่องคาถา "เขตะมารัจจะ" ระวังตน ประคอง กาย วาจา ใจ ให้อยู่ในกรรมฐาน ไม่โกรธ ให้ครบราว
เมื่อครบชั่วโมง ก็ลาสัจจะ แบบหลังสวดมนต์ อุทิศผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วทานสมุนไพร โดยลองทำระยะสั้นๆ เช่น ๗ วัน
หลายคนอาจมองการบิณฑบาตร เป็นการขอ แต่ความจริงแล้ว เป็นการให้ต่างหาก ทำให้สรรพสัตว์ได้มีโอกาสสร้างบุญ ด้วยการลดนิสัยกรรม อันเป็นสติเมื่อเห็นพระ
สิ่งที่กล่าวไม่ได้มีกับทุกคน เพราะเป็นไปไม่ได้ และไม่ได้ให้ทุกคนต้องเห็นด้วย ทำตาม หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อเสนอตนมาเป็นทางเลือกแล้ว ทางเลือกอื่นก็ทำมาเยอะแล้ว ผลก็ปรากฎ จึงเสนอทางเลือกนี้ให้เดิน สำหรับผู้ที่อยากได้ ไม่ใช่มาแข่ง หรือมาอวดตน กับใคร บังคับใคร เอาเป็นว่า เฉพาะคนที่อยากใช้ทางเลือกนี้ เฉพาะกลุ่ม ที่เชื่อ และศรัทธาในแนวทางของพระภุมี แบบแม่ชีเมี้ยน เท่านั้นเอง ส่วนคนอื่นๆ จักทำอย่างไรก็สุดแล้วแต่ ไม่ก้าวล่วง
หากแต่สัจจะธรรมความจริง ย่อมปรากฎ "ทำผิด ผลผิด สนอง ทำถูก ผลถูก สนอง" ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ชัดอยู่แล้ว
เข้าพรรษา สไตล์แม่ชีเมี้ยน จึงเน้นวิรัติตน ให้เมื่อยามออกพรรษา จักกลายเป็นคนใหม่ เบาทั้งโลก เบาทั้งนิสัยกรรม ผลของเข้าพรรษา จึงอุปมาการชุบชีวิตใหม่นั่นเอง
ผลของการเข้าพรรษา ที่ควรจักพึงได้ คือ การเป็นปูชนียบุคคล ที่มีนิสัยกรรมน้อยลง คือมีกิเลสน้อยลง นั่นเอง และผลจากการทำตนนี้ จึงได้ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่มีโรค เป็นของขวัญจากพระภูมีกลับมานั่นเอง ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า "หากทำได้ โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว"
หากแต่มาวันนี้ แม่ชีเมี้ยนทรงเตือนว่า ทำเช่นนั้นไม่ได้ ประการหนึ่ง ก็ทำให้การช่วยตนล่าช้า และประการที่สำคัญ นั่นคือ การอุบัติของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่ใกล้เข้ามา เมื่อถึงวันนั้น ก็จักทำให้สามารถเดินไปในแนวทางเดียวกันได้ง่าย
การปัดฝุ่นและย้อนสมัยถ้ำกระบอก ถึงความสำคัญของการเข้าพรรษา นั่นคือการที่ผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าพระหรือฆราวาส จักต้องกำหนดวินัยของตัวเองขึ้น เพื่อบังคับตนให้ลดกิเลสที่พึงมี
การทั้งนี้ ก็เพื่อเปลี่ยนตนเป็นคนใหม่ เมื่อออกพรรษา นั่นคือ ชีวิตที่ดีกว่า เริ่มจากโรคที่หายไป และสุขกับนิสัยใหม่ที่ไม่สร้างกรรม เมื่อต้องไปเผชิญกับโลกอีกครั้งยามออกพรรษา
เมื่อหลักใหญ่ที่พระภูมีทรงตรัส ว่ามีมุลเหตุแห่งกรรม และมีผลจากกิเลสนิสัย ของเราท่าน จึงบัญญัติทางสายกลางที่ทุกคนทำได้ และเป็นบุญ นั่นคือ การลดละนิสัยกรรม มาปฏิบัตินิสัยธรรม เริ่มจากทีละน้อย
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า พระพุทธเจ้าไม่ถือศีล ด้วยเหตุเป็นของหนัก ยากจะปฏิบัติได้ จึงอาศัยการวางสัจจะปฏิบัติเริ่มจากน้อยไปหามาก
และทรงเห็นว่า โรคเป็นเหตุแห่งเฉพาะตน หากแต่นิสัย โดยเฉพาะความโกรธ เป็นเหตุแห่งตนเองและผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้ การวางสัจจะขข้อแรกของพุทธบริษัท หรือผุ้ปฏิบัติ จึงมักเริ่มจากการควบคุมตน โดยอาศัยหลักพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เข้าควบคุมนิสัยโกรธ เป็นเบื้องต้น โดยเริ่มจากวันละหนึ่งชั่วโมง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ด้วยเหตุที่ธรรมของพระภูมี มีไว้เพื่อสร้างผู้ปฏิบัติ อันเป็นปูชนียบุคคล หาใช่เพื่อการสร้างปูชนียสถานไม่
ดังนั้นบุญของพระภูมี จึงทำได้ทุกคน อันเป็นทางสายกลาง ด้วยเหตุที่ทุกคนล้วนมีนิสัย และกิเลส หากใครลดนิสัย และกิเลสลงได้ นั่นแลคือบุญ
จึงเป็นที่มาของบาตร ในบวรพุทธศาสนา ที่หาใช่เพียงมีไว้เพื่อขออาหาร หากแต่การบิณฑบาตร จุดใหญ่ใจความ ก็คือ ขอนิสัยที่ไม่ดีเป็นสำคัญ
พระถ้ำกระบอกจึงถุกสอนว่า ให้กล่าวกับญาติโยมว่า อาตมาไม่มี ตระกรุด น้ำมนต์ ผ้ายันต์ เครื่องลางใดๆ และไม่มีพรอะไรให้ จะมีก็แต่ธรรมของพระภูมี ที่ผู้ใดรับไปทำแล้ว ก็จักสัมฤทธิ์ผลตามความปรารถนา
เข้าพรรษานี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชวนชักให้เดินตามรอยอดีต ไม่ได้กะเกณฑ์ให้ทุกคนต้องทำตาม หากแต่บอกเป็นทางสายกลาง ใครที่ฟังเหตุและผล อยากลองเดินตามรอยพุทธกาล ก็ลองทำดู ประกอบกับการทานสมุนไพร
ผลที่จักบังเกิด อันเป็นไปตามพุทธดำรัส คือ "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม" อันจักทำให้การเข้าพรรษา ก็เพื่อแสวงหาชีวิตใหม่ ที่ไม่มีโรค กลายเป็นคนใหม่ ที่มีกิเลสน้อยลง รู้หนทางบุญไว้รักษาตน
จึงเชิญชวน ผู้ที่อยากสัมผัสว่า ปาฏิหารย์ของพระภูมี นั่นคือ บุญ ลองปฏิบัติตัว ด้วยการจุดธูปประกาศต่อแม่ชีเมี้ยน ต่อพระพุทธว่า ข้าพเจ้าจักไม่โกรธ วันละหนึ่งชั่วโมง ในเวลาที่ตนเองพร้อม และในช่วงเวลานั้น ก็เจริญพรหมวิหาร เมื่อพบเหตุ และท่องคาถา "เขตะมารัจจะ" ระวังตน ประคอง กาย วาจา ใจ ให้อยู่ในกรรมฐาน ไม่โกรธ ให้ครบราว
เมื่อครบชั่วโมง ก็ลาสัจจะ แบบหลังสวดมนต์ อุทิศผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วทานสมุนไพร โดยลองทำระยะสั้นๆ เช่น ๗ วัน
หลายคนอาจมองการบิณฑบาตร เป็นการขอ แต่ความจริงแล้ว เป็นการให้ต่างหาก ทำให้สรรพสัตว์ได้มีโอกาสสร้างบุญ ด้วยการลดนิสัยกรรม อันเป็นสติเมื่อเห็นพระ
สิ่งที่กล่าวไม่ได้มีกับทุกคน เพราะเป็นไปไม่ได้ และไม่ได้ให้ทุกคนต้องเห็นด้วย ทำตาม หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อเสนอตนมาเป็นทางเลือกแล้ว ทางเลือกอื่นก็ทำมาเยอะแล้ว ผลก็ปรากฎ จึงเสนอทางเลือกนี้ให้เดิน สำหรับผู้ที่อยากได้ ไม่ใช่มาแข่ง หรือมาอวดตน กับใคร บังคับใคร เอาเป็นว่า เฉพาะคนที่อยากใช้ทางเลือกนี้ เฉพาะกลุ่ม ที่เชื่อ และศรัทธาในแนวทางของพระภุมี แบบแม่ชีเมี้ยน เท่านั้นเอง ส่วนคนอื่นๆ จักทำอย่างไรก็สุดแล้วแต่ ไม่ก้าวล่วง
หากแต่สัจจะธรรมความจริง ย่อมปรากฎ "ทำผิด ผลผิด สนอง ทำถูก ผลถูก สนอง" ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ชัดอยู่แล้ว
เข้าพรรษา สไตล์แม่ชีเมี้ยน จึงเน้นวิรัติตน ให้เมื่อยามออกพรรษา จักกลายเป็นคนใหม่ เบาทั้งโลก เบาทั้งนิสัยกรรม ผลของเข้าพรรษา จึงอุปมาการชุบชีวิตใหม่นั่นเอง
ผลของการเข้าพรรษา ที่ควรจักพึงได้ คือ การเป็นปูชนียบุคคล ที่มีนิสัยกรรมน้อยลง คือมีกิเลสน้อยลง นั่นเอง และผลจากการทำตนนี้ จึงได้ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่มีโรค เป็นของขวัญจากพระภูมีกลับมานั่นเอง ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า "หากทำได้ โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว"
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
หุ้นลม
ชาวชุมพรท่านหนึ่ง เป็นเจ้าของสวนส้มที่มีชื่อ หากแต่ประสพชะตากรรม กลายเป็นอัมพาตนอนตัวแข็งเมื่อสองปีที่แล้ว
ข่าวเล่าลือของชมรม ทำให้ตัวเขาได้มายังชมรมคนรักสุขภาพ เพื่อใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ในการช่วยตน
ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน วันนี้ เขากลับมาเดินได้ ทำงานได้ เริ่มที่จะกลับไปบริหารสวนส้มของเขาที่มีได้
วันนี้ เขานำเงินมามอบให้หลวงพ่อนิพนธ์สองหมื่นบาท พร้อมกล่าวว่า เขาให้หลวงพ่อเป็นหุ้นลมในกิจการสวนส้มของเขา และนี่คือส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากการขาย
นี่แหละเป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะประสพความสำเร็จ นั่นคือ ความกตัญญู
และเป็นคำตอบที่ถูกต้อง หากฟ้าดินเขาจะถามว่า "หายแล้วจะเอากาย เอาแรงที่ได้ ไปทำอะไร"
คำตอบอย่างนี้ เจตนาอย่างนี้ ฟ้าดินเขาย่อมเมตตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมให้เราท่านได้สัมผัสปาฏิหาริย์
ไม่มีทางเลย ที่ฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะให้กำลังเราท่าน กลับไปทำเหมือนเดิม ที่เป็นบาป ทำให้เกิดทุกข์แต่ตนของเรา ..... มิฉะนั้นจะเรียกว่า ฟ้าดินเขามีตาได้อย่างไร
และน้ำเหงื่อน้ำแรง ที่จัดสรรมานี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็จักแปรรูปไปให้คนรุ่นต่อไปได้มีสมุนไพรทาน ... ไม่รู้จักจบจักสิ้น ... ไม่ต้องง้อหน่วยงานของรัฐ ไม่ต้องง้อเศรษฐี
ข่าวเล่าลือของชมรม ทำให้ตัวเขาได้มายังชมรมคนรักสุขภาพ เพื่อใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ในการช่วยตน
ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน วันนี้ เขากลับมาเดินได้ ทำงานได้ เริ่มที่จะกลับไปบริหารสวนส้มของเขาที่มีได้
วันนี้ เขานำเงินมามอบให้หลวงพ่อนิพนธ์สองหมื่นบาท พร้อมกล่าวว่า เขาให้หลวงพ่อเป็นหุ้นลมในกิจการสวนส้มของเขา และนี่คือส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากการขาย
นี่แหละเป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะประสพความสำเร็จ นั่นคือ ความกตัญญู
และเป็นคำตอบที่ถูกต้อง หากฟ้าดินเขาจะถามว่า "หายแล้วจะเอากาย เอาแรงที่ได้ ไปทำอะไร"
คำตอบอย่างนี้ เจตนาอย่างนี้ ฟ้าดินเขาย่อมเมตตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมให้เราท่านได้สัมผัสปาฏิหาริย์
ไม่มีทางเลย ที่ฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะให้กำลังเราท่าน กลับไปทำเหมือนเดิม ที่เป็นบาป ทำให้เกิดทุกข์แต่ตนของเรา ..... มิฉะนั้นจะเรียกว่า ฟ้าดินเขามีตาได้อย่างไร
และน้ำเหงื่อน้ำแรง ที่จัดสรรมานี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็จักแปรรูปไปให้คนรุ่นต่อไปได้มีสมุนไพรทาน ... ไม่รู้จักจบจักสิ้น ... ไม่ต้องง้อหน่วยงานของรัฐ ไม่ต้องง้อเศรษฐี
แพ้ชนะวัดกันที่ใจ
สองปีก่อน มีหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าๆ พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้ ระยะสุดท้าย ด้วยความที่ฐานะของตนไม่ดีนัก จึงเลือกที่จะใช้หนทางในการรักษาด้วยสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน
เธอมารักษาตัว ทุกสัปดาห์ตลอดสองปี และใช้เวลาไม่นานที่ผันตัวมาเป็นจิตอาสา ช่วยในห้องยา
ช่วงสองปีที่ทานสมุนไพรของเธอ สถานะของเธอ ก็มีอาการเป็นช่วงๆ มาตลอด แม้กระทั่งไม่ถ่ายเป็นเดือนก็เคย ก็ประคองตัวผ่านมา จนกระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว เธอเกิดอาการปวดอย่างรุนแรง
หัวหน้าทีมของเธอ พาเธอไปพบหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อเล่าอาการให้ฟัง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวกับเธอว่า อาการดังกล่าวเป็นอาการลงแดงของโรค
แล้วกล่าวว่า หากเชื่อมั่นก็วางชีวิตไว้กับพรหมลิขิต ทานสมุนไพรไป หากผ่านไม่ได้ ก็แสดงว่าพรหมลิขิตของเธอมีแค่นี้ หากพรหมลิขิตยังมีอยู่ เมื่อผ่านได้เธอก็จะหาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้เธอตัดสินใจ หากไม่คิดจะทนปวด ก็ไปหาหมอ แต่ถ้าใช้แนวทางพระภูมี ก็ให้เธอมาพักที่ชมรม ๗ วัน เพื่อทานสมุนไพรให้เต็มที่ จะอยู่หรือไปแล้วแต่พรหมลิขิต
เธอเลือกที่จะอยู่ที่ชมรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้เธอทานยาเขียวและยาตำลึง ครั้งละหนึ่งขวด ทุกสามชั่วโมง
วันเวลาผ่านไปสองวัน เธอเกิดอาการปวดรุนแรง และมีอาการถ่าย ผลของการถ่ายของเธอ ปรากฎเป็นเลือดและน้ำหนองออกมา ประมาณกระโถนหนึ่ง และหลังจากการถ่ายครั้งนี้ อาการปวดของเธอก็หายวับไป
วันพฤหัสที่ผ่านมา เธอขอลาหลวงพ่อนิพนธ์กลับไปทำงาน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า คนไข้ประเภทนี้ ใจอย่างนี้ จะมีสักกี่คน ... เมื่อเชื่อในพรหมลิขิต วางศรัทธา ไว้กับศาสนาและสมุนไพร ก็มีโอกาสได้สัมผัสปาฏิหารย์ของศาสนา
หากเธอมีอายุขัยสักแปดสิบปี ชีวิตที่เหลืออีกหกสิบกว่าปีของเธอ คงมีความสุขเหลือล้นอย่างแน่นอน
หรือเธอจะโชคดีที่เกิดมาจน จึงไม่มีโอกาสได้ใช้ยาเคมี ... เรื่องของโลก ความรวยอาจจะมีคนเรียกว่ามีวาสนา แต่เรื่องของชีวิต เราว่า ความจนนี่แหละเรียก วาสนา......
เธอมารักษาตัว ทุกสัปดาห์ตลอดสองปี และใช้เวลาไม่นานที่ผันตัวมาเป็นจิตอาสา ช่วยในห้องยา
ช่วงสองปีที่ทานสมุนไพรของเธอ สถานะของเธอ ก็มีอาการเป็นช่วงๆ มาตลอด แม้กระทั่งไม่ถ่ายเป็นเดือนก็เคย ก็ประคองตัวผ่านมา จนกระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว เธอเกิดอาการปวดอย่างรุนแรง
หัวหน้าทีมของเธอ พาเธอไปพบหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อเล่าอาการให้ฟัง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวกับเธอว่า อาการดังกล่าวเป็นอาการลงแดงของโรค
แล้วกล่าวว่า หากเชื่อมั่นก็วางชีวิตไว้กับพรหมลิขิต ทานสมุนไพรไป หากผ่านไม่ได้ ก็แสดงว่าพรหมลิขิตของเธอมีแค่นี้ หากพรหมลิขิตยังมีอยู่ เมื่อผ่านได้เธอก็จะหาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้เธอตัดสินใจ หากไม่คิดจะทนปวด ก็ไปหาหมอ แต่ถ้าใช้แนวทางพระภูมี ก็ให้เธอมาพักที่ชมรม ๗ วัน เพื่อทานสมุนไพรให้เต็มที่ จะอยู่หรือไปแล้วแต่พรหมลิขิต
เธอเลือกที่จะอยู่ที่ชมรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้เธอทานยาเขียวและยาตำลึง ครั้งละหนึ่งขวด ทุกสามชั่วโมง
วันเวลาผ่านไปสองวัน เธอเกิดอาการปวดรุนแรง และมีอาการถ่าย ผลของการถ่ายของเธอ ปรากฎเป็นเลือดและน้ำหนองออกมา ประมาณกระโถนหนึ่ง และหลังจากการถ่ายครั้งนี้ อาการปวดของเธอก็หายวับไป
วันพฤหัสที่ผ่านมา เธอขอลาหลวงพ่อนิพนธ์กลับไปทำงาน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า คนไข้ประเภทนี้ ใจอย่างนี้ จะมีสักกี่คน ... เมื่อเชื่อในพรหมลิขิต วางศรัทธา ไว้กับศาสนาและสมุนไพร ก็มีโอกาสได้สัมผัสปาฏิหารย์ของศาสนา
หากเธอมีอายุขัยสักแปดสิบปี ชีวิตที่เหลืออีกหกสิบกว่าปีของเธอ คงมีความสุขเหลือล้นอย่างแน่นอน
หรือเธอจะโชคดีที่เกิดมาจน จึงไม่มีโอกาสได้ใช้ยาเคมี ... เรื่องของโลก ความรวยอาจจะมีคนเรียกว่ามีวาสนา แต่เรื่องของชีวิต เราว่า ความจนนี่แหละเรียก วาสนา......
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
กังขา
วันก่อนเข้าไปในเวปไซด์หนึ่ง มีผู้หญิงท่านหนึ่งเขียนร้องให้สาธารณสุข เข้ามาตรวจสอบสมุนไพรของชมรม
อย่างแรกที่ได้เห็นคือความแปลกใจ เพราะสมุนไพรของชมรมแจกฟรี และผู้มาก็เต็มใจพอใจมารับ จึงสงสัยว่าอะไรคือมูลเหตุที่เธอสงสัย เพราะถ้าจะหลอกลวง ก็ต้องซื้อต้องขาย
สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน มีประวัติศาสตร์ผ่านเลยครึ่งศตวรรษ ผ่านร้อนผ่านหนาว พิสูจน์ตัวตนมาตลอด ด้วยผลงานที่โดดเด่น จึงผ่าน มาตรา ๑๗ ของจอมพลสฤษด์ ผ่านกรมศาสนา ผ่านการทดสอบจาก สหรัฐ จนได้รับการยอมรับ ให้รางวัลแมกไซไซ
ก่อนหน้านี้ ก็ยืนหยัดด้วยคุณธรรมมาตลอด แม้นจะเข้าข่ายผิดกฏหมายบ้านเมือง เพราะไม่มีใบอนุญาต แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ไม่เคยคิดจะยื่นขอ
จนข่าวลือเริ่มแพร่สะพัด เก้าอี้ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย ร้อนจนนั่งไม่ติด ต้องปลอมตัวมาเป็นคนไข้ของชมรม เพื่อสืบสาวเรื่องราว
ผ่านไปสามเดือน จึงได้เปิดเผยตัวตนกับคณะกรรมการ และหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมทั้งขอเก็บข้อมูล เพื่อใช้ในการประกอบในการยื่นเรื่องขอใบอนุญาต
หลังจากพร้อม จึงเสนอเรื่องด่วนเป็นวาระพิเศษ แก่คณะกรรมการ เพื่อขออนุมัติใบอนุญาต
แพทย์หญิงท่านหนึ่ง ถึงกับกล่าวกับอธิบดีว่า ทำไมต้องเข้าเป็นวาระพิเศษ และที่สำคัญ การอนุมัติให้กับแพทย์แผนไทยทั้ง ๑๗ ท่าน ก่อนหน้านี้ ก็เรียกได้ว่า ยังไม่มีผลงานโดดเด่น แล้วหลวงพ่อนิพนธ์ มีผลงานอะไร ที่ควรค่าแก่การอนุมัติ
ท่านอธิบดีกรม จึงได้นำข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา จากคนไข้ต่างๆ ที่มาใช้บริการของชมรม ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง จนถึงที่มาเป็นสิบปี ให้คณะกรรมได้ดู พร้อมทั้งพาคณะกรรมการมาชมกิจกรรมของชมรม ซักถามคนไข้ด้วยตนเอง
จนในที่สุด ก็กลายเป็นใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์และเวชกรรมแผนไทย ใบแรกและใบเดียวของประเทศไทย มอบให้หลวงพ่อนิพนธ์
นั่นคือ สามารถผลิตยาสมุนไพร และรักษาคน ได้ ...
พร้อมกับของแถม คือ สามีของแพทย์หญิงดังกล่าว เป็นผู้พิพากษาใหญ่ แต่เป็นอัมพฤกต์ ทำงานไม่ได้มา ๗ ปี ใช้ยาตั้งแต่เม็ดเป็นร้อย จนถึง เม็ดละ ห้าหมื่นบาท อาการก็ไม่ดีขึ้น เธอจึงขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ช่วย
ผ่านไปหนึ่งปี สามีของเธอกลับมาเป็นปกติ จึงขอลาหลวงพ่อนิพนธ์ไปทำงาน เพราะเขาใช้เงินหลวงรักษาตัวมา ๗ ปี หลังนี้ ไม่ได้ทำงานให้หลวงเลย
จนทุกวันนี้ แพทย์หญิงต้องกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า มีสมุนไพรอะไรที่ทานแล้ว กลับไปเป็นเหมือนเดิมไหม เพราะตั้งแต่หาย สามีก็ไม่ค่อยจะอยู่บ้านให้เจอหน้าเลย
เพราะฉะนั้น จงวางใจในสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ทานด้วยความไร้กังวลว่า สมุนไพรจะให้โทษ ไม่มีเด็ดขาด
อย่างแรกที่ได้เห็นคือความแปลกใจ เพราะสมุนไพรของชมรมแจกฟรี และผู้มาก็เต็มใจพอใจมารับ จึงสงสัยว่าอะไรคือมูลเหตุที่เธอสงสัย เพราะถ้าจะหลอกลวง ก็ต้องซื้อต้องขาย
สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน มีประวัติศาสตร์ผ่านเลยครึ่งศตวรรษ ผ่านร้อนผ่านหนาว พิสูจน์ตัวตนมาตลอด ด้วยผลงานที่โดดเด่น จึงผ่าน มาตรา ๑๗ ของจอมพลสฤษด์ ผ่านกรมศาสนา ผ่านการทดสอบจาก สหรัฐ จนได้รับการยอมรับ ให้รางวัลแมกไซไซ
ก่อนหน้านี้ ก็ยืนหยัดด้วยคุณธรรมมาตลอด แม้นจะเข้าข่ายผิดกฏหมายบ้านเมือง เพราะไม่มีใบอนุญาต แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ไม่เคยคิดจะยื่นขอ
จนข่าวลือเริ่มแพร่สะพัด เก้าอี้ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย ร้อนจนนั่งไม่ติด ต้องปลอมตัวมาเป็นคนไข้ของชมรม เพื่อสืบสาวเรื่องราว
ผ่านไปสามเดือน จึงได้เปิดเผยตัวตนกับคณะกรรมการ และหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมทั้งขอเก็บข้อมูล เพื่อใช้ในการประกอบในการยื่นเรื่องขอใบอนุญาต
หลังจากพร้อม จึงเสนอเรื่องด่วนเป็นวาระพิเศษ แก่คณะกรรมการ เพื่อขออนุมัติใบอนุญาต
แพทย์หญิงท่านหนึ่ง ถึงกับกล่าวกับอธิบดีว่า ทำไมต้องเข้าเป็นวาระพิเศษ และที่สำคัญ การอนุมัติให้กับแพทย์แผนไทยทั้ง ๑๗ ท่าน ก่อนหน้านี้ ก็เรียกได้ว่า ยังไม่มีผลงานโดดเด่น แล้วหลวงพ่อนิพนธ์ มีผลงานอะไร ที่ควรค่าแก่การอนุมัติ
ท่านอธิบดีกรม จึงได้นำข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา จากคนไข้ต่างๆ ที่มาใช้บริการของชมรม ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง จนถึงที่มาเป็นสิบปี ให้คณะกรรมได้ดู พร้อมทั้งพาคณะกรรมการมาชมกิจกรรมของชมรม ซักถามคนไข้ด้วยตนเอง
จนในที่สุด ก็กลายเป็นใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์และเวชกรรมแผนไทย ใบแรกและใบเดียวของประเทศไทย มอบให้หลวงพ่อนิพนธ์
นั่นคือ สามารถผลิตยาสมุนไพร และรักษาคน ได้ ...
พร้อมกับของแถม คือ สามีของแพทย์หญิงดังกล่าว เป็นผู้พิพากษาใหญ่ แต่เป็นอัมพฤกต์ ทำงานไม่ได้มา ๗ ปี ใช้ยาตั้งแต่เม็ดเป็นร้อย จนถึง เม็ดละ ห้าหมื่นบาท อาการก็ไม่ดีขึ้น เธอจึงขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ช่วย
ผ่านไปหนึ่งปี สามีของเธอกลับมาเป็นปกติ จึงขอลาหลวงพ่อนิพนธ์ไปทำงาน เพราะเขาใช้เงินหลวงรักษาตัวมา ๗ ปี หลังนี้ ไม่ได้ทำงานให้หลวงเลย
จนทุกวันนี้ แพทย์หญิงต้องกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า มีสมุนไพรอะไรที่ทานแล้ว กลับไปเป็นเหมือนเดิมไหม เพราะตั้งแต่หาย สามีก็ไม่ค่อยจะอยู่บ้านให้เจอหน้าเลย
เพราะฉะนั้น จงวางใจในสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ทานด้วยความไร้กังวลว่า สมุนไพรจะให้โทษ ไม่มีเด็ดขาด
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เดินอ้อมทำไม
หลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า ในเมื่อสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน มีทางลัดในการหายโรคให้เดิน คือ "ยาตัด" ที่เห็นผลได้รวดเร็ว และค่อนข้างแน่นอน ในการรักษาโรค แล้วทำไมไม่ใช้ทางนี้ กับทุกคน
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดของ ยาตัด นั่นคือ เป็นสมุนไพรที่รับรู้พฤติกรรมของคนทาน และไวอย่างยิ่ง หลายครั้งที่เคยทดลองให้กับคนทาน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีคุณสมบัติ นั่นคือ ขาดความเชื่อ ความศรัทธา และพฤติกรรม ผลที่ปรากฎคือ เมื่อทานแล้ว ไม่เกิดอาการใดๆ กับคนผู้นั้นเลย ทานเหมือนไม่ได้ทาน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เพื่อนของท่านเอง ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง จนระยะสุดท้าย รู้ดีว่าหลวงพ่อนิพนธ์มีสมุนไพรดี เพราะไปมาหาสู่กันมานาน และเห็นคนทานที่เป็นโรคแบบเดียวกัน หายมาก็เยอะ
เพื่อนท่านนี้เลยหอบเสื้อผ้ามาพักกับหลวงพ่อนิพนธ์ ร้องขอทาน ยาตัด เพื่อที่จะได้หายโรค
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็จัดให้ทาน แก้วแรกก็เงียบฉี่ แก้วสองก็เฉย ... จนผ่านไปแก้วแล้วแก้วเล่า เพี่อนของท่านก็กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไหนว่าทานแล้วจะอาเจียน นี่ทานมาก็หลายแก้ว ไม่เคยปรากฎอาการอะไรเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่ต้องทานแล้ว เพราะสมุนไพรเขาปฏิเสธ ทานไปก็เหมือนทานน้ำ ไม่เกิดผลอันใด
กระนั้นก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เพื่อนท่านรู้นั่นคือ สถานที่นี้มีมงคล นั่นคือ ถึงแม้นไม่หาย ทานสมุนไพรไม่ได้ผล หากแต่อยู่กับหลวงพ่อนิพนธ์แล้ว ตายยาก จนหลวงพ่อนิพนธ์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
จนกระทั่งที่บ้านโทรมาตามเพื่อนของท่าน บอกว่า ภรรยาที่บ้านกำลังทะเลาะกันรุนแรง ให้กลับไปจัดการที เพื่อนของท่านที่มีภรรยาหลายคนอยู่บ้านเดียวกัน จึงจำเป็นต้องกลับไปจัดการ และรุ่งเช้า ภรรยาก็โทรมาบอกว่า เพื่อนของท่านเสียชีวิตแล้ว
นี่เองจึงเป็นข้อจำกัดว่า สำหรับยาตัด ต้องอาศัยคุณสมบัติของผู้ทานประกอบด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมในสมัยถ้ำกระบอก กว่าจะได้ทาน พระต้องบังคับให้ถวายสัจจะก่อน แล้วดูผล อย่างน้อยสามเดือน เมื่อพิจารณาว่า เข้าข่าย มีคุณสมบัติแล้วจึงให้ทาน
ซึ่งเมื่อแม่ชีเมี้ยนอนุญาตให้ทำได้อีกครั้ง ก็ต้องอาศัยคุณสมบัติเช่นเดิม ดังนั้น ข้อปฏิบัติสองข้อที่ให้มา จึงมีความสำคัญ หากจะใช้ทางลัดนี้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องพิจารณาคุณสมบัติเป็นรายๆ ไป เพราะมันใช้ไม่ได้กับทุกคนนี่เอง
หากการเดินทางอ้อมเฉกเช่นปัจจุบัน ที่ทานสมุนไพรพื้นฐาน และสร้างพฤติกรรมเป็นบุญรองรับ ก็เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่า ช้าแต่ชัวร์ นั่นคือ ผู้ที่สามารถยืนหยัด ก็จักได้รู้ว่า วิธีการช่วยตนให้พ้นจากโรค จากกรรรม ทำโดยวิธีใด ได้ซึมซับ เรียนรู้ และวันใดที่ช่วยตนจนพ้นโรคได้ ก็ย่อมวางใจได้ว่า ผู้นั้นก็จักต้องมีความรู้สึกกลัวกรรม และเปลี่ยนตนเป็นคนดี เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิมอีก
ดังนั้น เมื่อไปอยู่สถานที่ใด แม้นจักไม่ได้กลับมายังชมรมคนรักสุขภาพอีกเลยก็ตาม หากแต่คนเหล่านี้ก็จักมีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระภูมีติดตัว อันเป็นเครื่องหมายของคนดี นั่นคือ "การกลัวกรรม" และ "การที่มุ่งจักให้สุขแก่ผู้อื่น" เป็นพื้นฐาน ในการสร้างบุญคุ้มครองตนให้รอดปลอดภัย ไม่ว่าจากโรค หรือ อันตรายใดๆ ตามคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดของ ยาตัด นั่นคือ เป็นสมุนไพรที่รับรู้พฤติกรรมของคนทาน และไวอย่างยิ่ง หลายครั้งที่เคยทดลองให้กับคนทาน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีคุณสมบัติ นั่นคือ ขาดความเชื่อ ความศรัทธา และพฤติกรรม ผลที่ปรากฎคือ เมื่อทานแล้ว ไม่เกิดอาการใดๆ กับคนผู้นั้นเลย ทานเหมือนไม่ได้ทาน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เพื่อนของท่านเอง ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง จนระยะสุดท้าย รู้ดีว่าหลวงพ่อนิพนธ์มีสมุนไพรดี เพราะไปมาหาสู่กันมานาน และเห็นคนทานที่เป็นโรคแบบเดียวกัน หายมาก็เยอะ
เพื่อนท่านนี้เลยหอบเสื้อผ้ามาพักกับหลวงพ่อนิพนธ์ ร้องขอทาน ยาตัด เพื่อที่จะได้หายโรค
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็จัดให้ทาน แก้วแรกก็เงียบฉี่ แก้วสองก็เฉย ... จนผ่านไปแก้วแล้วแก้วเล่า เพี่อนของท่านก็กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไหนว่าทานแล้วจะอาเจียน นี่ทานมาก็หลายแก้ว ไม่เคยปรากฎอาการอะไรเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่ต้องทานแล้ว เพราะสมุนไพรเขาปฏิเสธ ทานไปก็เหมือนทานน้ำ ไม่เกิดผลอันใด
กระนั้นก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เพื่อนท่านรู้นั่นคือ สถานที่นี้มีมงคล นั่นคือ ถึงแม้นไม่หาย ทานสมุนไพรไม่ได้ผล หากแต่อยู่กับหลวงพ่อนิพนธ์แล้ว ตายยาก จนหลวงพ่อนิพนธ์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
จนกระทั่งที่บ้านโทรมาตามเพื่อนของท่าน บอกว่า ภรรยาที่บ้านกำลังทะเลาะกันรุนแรง ให้กลับไปจัดการที เพื่อนของท่านที่มีภรรยาหลายคนอยู่บ้านเดียวกัน จึงจำเป็นต้องกลับไปจัดการ และรุ่งเช้า ภรรยาก็โทรมาบอกว่า เพื่อนของท่านเสียชีวิตแล้ว
นี่เองจึงเป็นข้อจำกัดว่า สำหรับยาตัด ต้องอาศัยคุณสมบัติของผู้ทานประกอบด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมในสมัยถ้ำกระบอก กว่าจะได้ทาน พระต้องบังคับให้ถวายสัจจะก่อน แล้วดูผล อย่างน้อยสามเดือน เมื่อพิจารณาว่า เข้าข่าย มีคุณสมบัติแล้วจึงให้ทาน
ซึ่งเมื่อแม่ชีเมี้ยนอนุญาตให้ทำได้อีกครั้ง ก็ต้องอาศัยคุณสมบัติเช่นเดิม ดังนั้น ข้อปฏิบัติสองข้อที่ให้มา จึงมีความสำคัญ หากจะใช้ทางลัดนี้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องพิจารณาคุณสมบัติเป็นรายๆ ไป เพราะมันใช้ไม่ได้กับทุกคนนี่เอง
หากการเดินทางอ้อมเฉกเช่นปัจจุบัน ที่ทานสมุนไพรพื้นฐาน และสร้างพฤติกรรมเป็นบุญรองรับ ก็เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่า ช้าแต่ชัวร์ นั่นคือ ผู้ที่สามารถยืนหยัด ก็จักได้รู้ว่า วิธีการช่วยตนให้พ้นจากโรค จากกรรรม ทำโดยวิธีใด ได้ซึมซับ เรียนรู้ และวันใดที่ช่วยตนจนพ้นโรคได้ ก็ย่อมวางใจได้ว่า ผู้นั้นก็จักต้องมีความรู้สึกกลัวกรรม และเปลี่ยนตนเป็นคนดี เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิมอีก
ดังนั้น เมื่อไปอยู่สถานที่ใด แม้นจักไม่ได้กลับมายังชมรมคนรักสุขภาพอีกเลยก็ตาม หากแต่คนเหล่านี้ก็จักมีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระภูมีติดตัว อันเป็นเครื่องหมายของคนดี นั่นคือ "การกลัวกรรม" และ "การที่มุ่งจักให้สุขแก่ผู้อื่น" เป็นพื้นฐาน ในการสร้างบุญคุ้มครองตนให้รอดปลอดภัย ไม่ว่าจากโรค หรือ อันตรายใดๆ ตามคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั่นเอง
วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เกร็ดศาสนา
สมาชิกวีไอพี กล่าวแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า เมื่อเขาทำบุญ ไม่สนหรอกว่า สิ่งที่ทำไปแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะเขาทำด้วยจิตใจบริสุทธ์ อันหมายถึง บุญของเขาสำเร็จแล้ว สิ่งที่ทำไปนั้น ผู้รับจะไปทำอะไร ไม่ถือเป็นสาระ นั่นคือ เขาต้องได้บุญตอบแทน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงตอบว่า เมื่อท่านมีข้าว แล้วนำไปหว่าน แล้วก็บอกว่า จะต้องได้ข้าวกลับมาทาน โดยไม่ได้พิจารณาเลยว่า ข้าวที่หว่านไปนั้น ไปตก ณ แห่งหนตำบลใด ตกบนปูน หรือบนดิน
นั่นหมายความว่า การทำบุญก็ต้องอาศัยองค์ประกอบจากสองฝ่าย จึงจะเกิดผล อุปมาข้าวหากหว่านบนปูนแล้วไซร้ จะรอสักฉันใด ก็คงไม่มีรวงข้าวให้ข้าวได้ทานอย่างแน่นอน
การทำบุญก็เช่นเดียวกัน หากไปทำแล้ว สิ่งที่ทำไปนั้น ไม่ได้ไปให้คุณประโยชน์แก่คนหรือสรรพสัตว์อันใดเลย บุญที่พึงรอรับก็คงเป็นได้แต่ลมๆแล้งๆเท่านั้นเอง ไม่มีกลับมาช่วยตนเลย
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมหลายคนกล่าวว่าตนเองเป็นคนชอบทำบุญ ตั้งแต่เล็กไม่เคยทำบาป หากแต่ความจริง ตัวเองมีสภาพ ที่ไร้บุญ มีแต่กรรมเกาะกิน นั่นคือ เป็นโรคหง่อม
หาคนทุกข์ให้เจอ แล้วสร้างสุขให้เขา
ศาสนา จึงมีหน้าที่ สร้างแหล่งรวมคนทุกข์ เพื่อเป็นแหล่งบุญให้คนที่ต้องการบุญได้มาทำ เพื่อเลี้ยงตน นั่นแหละฝันจึงเป็นไปได้ที่จะสมหวัง
ไม่ว่าทุกข์กับวินัย คือพระ หรือทุกกับโรค คือ คนเจ็บคนป่วย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงตอบว่า เมื่อท่านมีข้าว แล้วนำไปหว่าน แล้วก็บอกว่า จะต้องได้ข้าวกลับมาทาน โดยไม่ได้พิจารณาเลยว่า ข้าวที่หว่านไปนั้น ไปตก ณ แห่งหนตำบลใด ตกบนปูน หรือบนดิน
นั่นหมายความว่า การทำบุญก็ต้องอาศัยองค์ประกอบจากสองฝ่าย จึงจะเกิดผล อุปมาข้าวหากหว่านบนปูนแล้วไซร้ จะรอสักฉันใด ก็คงไม่มีรวงข้าวให้ข้าวได้ทานอย่างแน่นอน
การทำบุญก็เช่นเดียวกัน หากไปทำแล้ว สิ่งที่ทำไปนั้น ไม่ได้ไปให้คุณประโยชน์แก่คนหรือสรรพสัตว์อันใดเลย บุญที่พึงรอรับก็คงเป็นได้แต่ลมๆแล้งๆเท่านั้นเอง ไม่มีกลับมาช่วยตนเลย
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมหลายคนกล่าวว่าตนเองเป็นคนชอบทำบุญ ตั้งแต่เล็กไม่เคยทำบาป หากแต่ความจริง ตัวเองมีสภาพ ที่ไร้บุญ มีแต่กรรมเกาะกิน นั่นคือ เป็นโรคหง่อม
หาคนทุกข์ให้เจอ แล้วสร้างสุขให้เขา
ศาสนา จึงมีหน้าที่ สร้างแหล่งรวมคนทุกข์ เพื่อเป็นแหล่งบุญให้คนที่ต้องการบุญได้มาทำ เพื่อเลี้ยงตน นั่นแหละฝันจึงเป็นไปได้ที่จะสมหวัง
ไม่ว่าทุกข์กับวินัย คือพระ หรือทุกกับโรค คือ คนเจ็บคนป่วย
ของฝากจากพม่า
การไปทวายครั้งนี้ ถือว่าเป็นการไปที่สำคัญอย่างยิ่ง แม้นจะยังไม่บรรลุเป้าหมายที่จะไปเจอสำนักสงฆ์ที่ต้องการก็ตามแต่
หากแต่การไปครั้งนี้ แม่ชีเมี้ยนได้ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์มหาศาล ให้หลวงพ่อนิพนธ์กลับมา ๒ สิ่ง
สิ่งแรก คือ การอนุญาตให้ทำยาสมุนไพร ที่เรียกกันว่า "ยาตัด" ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ทำให้ถ้ำกระบอกดังทะลุฟ้าในอดีต อีกครั้ง
ฉายาที่เรียกกันในอดีตของสมุนไพรชนิดนี้ นั่นคือ "ช้างสะบัดงวง" อันมาจากอาการที่จะเกิดหลังจากทานสมุนไพรตัวนี้ ที่จะวิ่งตรวจทั่วร่างกาย แล้วรีดโรคให้เข้ามาอยู่ในกระเพาะ เพื่อให้ร่างกายขับออกโดยการอาเจียนนั่นเอง
ดังนั้น ภาพที่เห็นจนชินตาในอดีตนับแต่ถ้ำกระบอก นั่นคือ การหอบหิ้ว กระโถนและเสื่อ มาเตรียมในการทานสมุนไพรชนิดนี้ ซึ่งจะออกฤทธิ์ประมาณ ๓ ชั่วโมง
แม้นว่าสมุนไพรตัวนี้จะให้ผลที่เฉียบขาด หากแต่ก็ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ในช่วง ๓ ชั่วโมงนั้น
ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่าคงจะไม่ใช่ว่าจะให้ทุกคนทาน หากแต่ต้องดูความพร้อม ความเหมาะสม และคุณสมบัติของคนๆ นั้น ด้วย
ก็ถือว่าเป็นข่าวดี ที่จะได้มีทางลัดในการหายโรค เพราะสมุนไพรชนิดนี้ รู้กันในอดีตว่า หากทานได้ต่อเนื่องครบ ๗ แก้ว ก็เรียกได้ว่า หายโรค .. ค่อนข้างแน่นอน
จะติดนิดนึงที่สมุนไพรชนิดนี้ สำหรับบางคนทานได้ยากยิ่ง แค่ได้กลิ่นก็แทบน็อคแล้ว อาทิเช่น คุณประชา ผู้ที่เป็นโรคที่หมอบอกว่า ไม่มีทางรักษา คือ กระเพาะอาหารเหี่ยว เวลาทานทีต้องปิดจมูก แล้วรีบทาน แต่กระนั้นก็ตาม ก็พยายามทาน เพราะรู้ดีว่า ทานแล้วดี
ก็ด้วยเหตุที่ว่า โรคที่เป็นทำให้ทานอาหารได้น้อยลงเรื่อยๆ ร่างกายจะผอมลง จนอดอาหารแล้วตายไป หมอจึงกล่าวกับคุณประชาว่า หากพบว่าที่ไหนทำให้อ้วนได้ ที่นั่นแหละคือทางรอด
ดังนั้น เมื่อทานสมุนไพรนี้ แล้วปรากฎว่าคุณประชาทานอาหารได้ เมื่อไปวัดแล้วปรากฎว่าตัวเองอ้วนขึ้น ครึ่งนิ้ว ทำให้แม้นจะทานยากสักแค่ไหน ก็อุดจมูกแล้วทาน จนอยู่มาทุกวันนี้กว่ายี่สิบปีแล้ว ท่ามกลางความสงสัยของหมอ
ประการต่อมา คือ คำสั่งของแม่ชีเมี้ยน ที่กล่าวว่า หลวงพ่อนิพนธ์ ให้แต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียวมานานแล้ว ควรที่จะชี้ทางบุญให้คนทั่วไปได้ปฏิบัติ เพื่อให้การทานสมุนไพรประสพผลมากยิ่งขึ้น ๒ ข้อ
ด้วยเหตุที่หน้าที่ของพระพึงมี คือ การบวชมาเพื่อตัดกิเลส จึงควรส่งเสริม ด้วยการข้าวปลาอาหาร หาใช่เงินทอง หรือปัจจัย ที่ทำให้เกิดกิเลส
ก็พิจารณากันดู ในเหตุและผล หากเชื่อ ก็ลองทำตาม แล้วดูผลจากการทานสมุนไพร ว่ามันจะให้ผลมหาศาล จริงหรือไม่ เพราะเมื่อทำถูก ผลถูกย่อมต้องเกิดนั่นเอง
ข้อแรก คือ ควรกระตุ้นให้คนไม่ทำบาปกับตัวเอง นั่นคือ ให้หยุดและเลิกทานยาเคมี เพราะการทำบาปกับตัวเอง หากยังดำรงอยู่ การทำความดี หรือ เกื้อกูล สิ่งอื่นก็ไร้ผล ดั่งคำตรัสของพระภูมีที่ว่า "จงเมตตาตนเองก่อน แล้วจึงเมตตาผู้อื่น"
ข้อที่สอง คือ หยุดการทำลายพระ นั่นคือ การมีพฤติกรรมส่งเสริม ให้พระมีกิเลส ไม่ว่าทางใด อาทิเช่น การถวายเงิน ถวายสิ่งของ ที่จะเป็นเหตุให้พระเกิดกิเลส ไม่สามารถเดินอยู่ในวินัยของพระภูมีได้ จนในที่สุดก็เสียความเป็นพระไป อันเป็นบาปมหันต์โดยมิรู้ตัว
หากแต่การไปครั้งนี้ แม่ชีเมี้ยนได้ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์มหาศาล ให้หลวงพ่อนิพนธ์กลับมา ๒ สิ่ง
สิ่งแรก คือ การอนุญาตให้ทำยาสมุนไพร ที่เรียกกันว่า "ยาตัด" ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ทำให้ถ้ำกระบอกดังทะลุฟ้าในอดีต อีกครั้ง
ฉายาที่เรียกกันในอดีตของสมุนไพรชนิดนี้ นั่นคือ "ช้างสะบัดงวง" อันมาจากอาการที่จะเกิดหลังจากทานสมุนไพรตัวนี้ ที่จะวิ่งตรวจทั่วร่างกาย แล้วรีดโรคให้เข้ามาอยู่ในกระเพาะ เพื่อให้ร่างกายขับออกโดยการอาเจียนนั่นเอง
ดังนั้น ภาพที่เห็นจนชินตาในอดีตนับแต่ถ้ำกระบอก นั่นคือ การหอบหิ้ว กระโถนและเสื่อ มาเตรียมในการทานสมุนไพรชนิดนี้ ซึ่งจะออกฤทธิ์ประมาณ ๓ ชั่วโมง
แม้นว่าสมุนไพรตัวนี้จะให้ผลที่เฉียบขาด หากแต่ก็ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ในช่วง ๓ ชั่วโมงนั้น
ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่าคงจะไม่ใช่ว่าจะให้ทุกคนทาน หากแต่ต้องดูความพร้อม ความเหมาะสม และคุณสมบัติของคนๆ นั้น ด้วย
ก็ถือว่าเป็นข่าวดี ที่จะได้มีทางลัดในการหายโรค เพราะสมุนไพรชนิดนี้ รู้กันในอดีตว่า หากทานได้ต่อเนื่องครบ ๗ แก้ว ก็เรียกได้ว่า หายโรค .. ค่อนข้างแน่นอน
จะติดนิดนึงที่สมุนไพรชนิดนี้ สำหรับบางคนทานได้ยากยิ่ง แค่ได้กลิ่นก็แทบน็อคแล้ว อาทิเช่น คุณประชา ผู้ที่เป็นโรคที่หมอบอกว่า ไม่มีทางรักษา คือ กระเพาะอาหารเหี่ยว เวลาทานทีต้องปิดจมูก แล้วรีบทาน แต่กระนั้นก็ตาม ก็พยายามทาน เพราะรู้ดีว่า ทานแล้วดี
ก็ด้วยเหตุที่ว่า โรคที่เป็นทำให้ทานอาหารได้น้อยลงเรื่อยๆ ร่างกายจะผอมลง จนอดอาหารแล้วตายไป หมอจึงกล่าวกับคุณประชาว่า หากพบว่าที่ไหนทำให้อ้วนได้ ที่นั่นแหละคือทางรอด
ดังนั้น เมื่อทานสมุนไพรนี้ แล้วปรากฎว่าคุณประชาทานอาหารได้ เมื่อไปวัดแล้วปรากฎว่าตัวเองอ้วนขึ้น ครึ่งนิ้ว ทำให้แม้นจะทานยากสักแค่ไหน ก็อุดจมูกแล้วทาน จนอยู่มาทุกวันนี้กว่ายี่สิบปีแล้ว ท่ามกลางความสงสัยของหมอ
ประการต่อมา คือ คำสั่งของแม่ชีเมี้ยน ที่กล่าวว่า หลวงพ่อนิพนธ์ ให้แต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียวมานานแล้ว ควรที่จะชี้ทางบุญให้คนทั่วไปได้ปฏิบัติ เพื่อให้การทานสมุนไพรประสพผลมากยิ่งขึ้น ๒ ข้อ
ด้วยเหตุที่หน้าที่ของพระพึงมี คือ การบวชมาเพื่อตัดกิเลส จึงควรส่งเสริม ด้วยการข้าวปลาอาหาร หาใช่เงินทอง หรือปัจจัย ที่ทำให้เกิดกิเลส
ก็พิจารณากันดู ในเหตุและผล หากเชื่อ ก็ลองทำตาม แล้วดูผลจากการทานสมุนไพร ว่ามันจะให้ผลมหาศาล จริงหรือไม่ เพราะเมื่อทำถูก ผลถูกย่อมต้องเกิดนั่นเอง
ข้อแรก คือ ควรกระตุ้นให้คนไม่ทำบาปกับตัวเอง นั่นคือ ให้หยุดและเลิกทานยาเคมี เพราะการทำบาปกับตัวเอง หากยังดำรงอยู่ การทำความดี หรือ เกื้อกูล สิ่งอื่นก็ไร้ผล ดั่งคำตรัสของพระภูมีที่ว่า "จงเมตตาตนเองก่อน แล้วจึงเมตตาผู้อื่น"
ข้อที่สอง คือ หยุดการทำลายพระ นั่นคือ การมีพฤติกรรมส่งเสริม ให้พระมีกิเลส ไม่ว่าทางใด อาทิเช่น การถวายเงิน ถวายสิ่งของ ที่จะเป็นเหตุให้พระเกิดกิเลส ไม่สามารถเดินอยู่ในวินัยของพระภูมีได้ จนในที่สุดก็เสียความเป็นพระไป อันเป็นบาปมหันต์โดยมิรู้ตัว
วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เหยียบเรือสองแคม
วันก่อนไปฟังอาจารย์อร่าม บรรยาให้คนไข้ใหม่ฟัง และทุกครั้งในช่วงท้าย ก็มักจะเป็นการตอบคำถาม
สมาชิกท่านหนึ่งมีอายุแล้ว หลังจากฟังแล้วถามว่า ตามที่บรรยายว่า เมื่อทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนแล้ว ต้องหยุดยาเคมี หรือพยายามค่อยๆ ลด หากแต่ถ้าเขาประสงค์ที่จะทานทั้งสองอย่าง ไปด้วยกัน จะได้ไหม
เหตุผลของเขา คือ ไม่วางใจสมุนไพร อยากทานแต่ก็ไม่อยากทิ้งยาเคมีที่ทานอยู่
หัวข้อนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็บรรยายให้ฟัง เรียกว่าแทบจะทุกครั้งว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้
เพราะคุณสมบัติของเคมี มีไว้เพื่อระงับอาการ แล้วเก็บซ่อนต้นเหตุไว้กับตัว รอการระเบิด ในขณะที่สมุนไพร มีไว้เพื่อรักษา ดังนั้นจึงต้องคุ้ยอาการที่เป็นอยู่ออกมา เพื่อให้เกิดวิกฤติ และร่างกายรับรู้ แล้วต่อสู้เพื่อเอาชนะ
ดังนั้น หากท่านใดจะชวนชัก ใครมาทานสมุนไพร หรือบอกเล่า บอกต่อ ก็ควรให้ความรู้ประการนี้แก่คนเหล่านั้นด้วย
มิฉะนั้นแล้ว การมาของคนเหล่านี้ย่อมจะสูญเสียทั้งเวลา ทั้งเงินทอง ในท้ายที่สุดก็จะเสียจิตด้วย เพราะไม่มีทางเลย ที่คนเหล่านี้จะประสพผล
คนที่จะเลือกแนวทางสมุนไพร จึงต้องเป็นคนเอาเหตุ เอาผล ที่ได้ยินได้ฟัง จากหลวงพ่อนิพนธ์ ไปพิจารณา แล้วตัดสินใจ เพราะสิ่งที่กำลังจะเดินไป ในแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ย่อมต้องเป็นครรลองของพระภูมี จึงเลี่ยงไม่ได้เลยว่าเส้นทางนี้ ต้องทุกข์ในขณะที่เดินอยู่ ไม่ว่าจากการทาน จากการต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนิสัย และที่สำคัญ จากการปล่อยให้อาการเกิด คือลงแดง แล้วรอจนกระทั่งร่างกายสามารถเอาชนะอาการที่ปรากฎ นั่นคือ การหาย
บัญญัติของพระภูมี จึงเริ่มด้วยทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า หากแต่บัญญัติของยาเคมี คือ สุขวันนี้ ที่จะไม่มีอาการ แต่ไปทุกข์วันหน้า คือ ความเลวร้ายสุดๆ
ทิ้งเคมีไม่ได้ หรือไม่คิดจะทิ้ง ก็ลืมทางสายนี้ไปเถอะ ... เพราะการหายเป็นฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่อาจเป็นจริงได้เลย
น้ำทิพย์
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีสองพ่อลูกมารอพบหลวงพ่อนิพนธ์ โดยนั่งรอตั้งแต่เช้า พร้อมด้วยพานใส่เทียนแพ เพื่อมาขอลาไปบวช
พ่อเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า มีลูกชายคนเดียว เป็นโรคสันนิบาตลูกนก ตั้งแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นอาการก็เริ่มรุนแรง ทำให้นั่งไม่ได้ ตัวจะสั่น ควบคุมตัวเองไม่ได้ หน้าก็จะแหงนไปด้านหลัง สองสามปีก่อน ทราบข่าวจึงพามาทานสมุนไพร
ผ่านไปหนึ่งปี ลูกชายก็มีสภาพดีขึ้นจนสามารถขับรถมาชมรมเองได้ ก็เริ่มไปเป็นจิตอาสาที่โรงยา
วันนี้ แม้นจะยังไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไปหาเจ้าอาวาสวัดที่เพชรบุรี เพื่อขอบวช เจ้าอาวาสเห็นก็ทดสอบให้ทำโน่นทำนี่ ก็ทำได้ปกติ แม้นหน้าจะยังแหงนอยู่บ้าง ยังไม่ปกติเหมือนคนธรรมดา
พ่อจึงเรียนด้วยน้ำตาว่า ไม่คิดว่าลูกชายคนเดียวนี้จะสามารถบวชให้ได้แล้วในชีวิต วันนี้จึงมากราบขอบพระคุณ และขอขมาลาโทษ เพื่อไปบวช
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า นี่แหละปฏิมากรรมของศาสนา จากคนที่มีชีวิตไร้ค่า ดุจดั่งผ้าขี้ริ้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว กลับมาบวชแทนคุณบิดามารดา ทำความดีได้
นี่จึงเป็นน้ำทิพย์ ที่มีคุณค่ามหาศาลแก่ผู้ทำ ไม่ใช่เงินทอง เพราะสิ่งใดในโลก ที่มีค่าที่สุดนั่นคือ มนุษย์ และที่สำคัญ เมื่อได้ชีวิตที่ดีกลับมา เขาก็มุ่งมั่นที่จะเป็นคนดี ตามเจตนาของพระภูมี
ตัวอย่างนี้จึงถูกหยิบยก และนำมาโชว์ให้สมาชิกได้เห็นว่า สำหรับศาสนา มันเป็นไปได้ ถ้ามุ่งมั่น และตั้งใจ เพื่อผลสุทธิคือเป็นคนดี การหายจากโรคจึงเป็นของแถมที่ศาสนาเขาให้อยู่แล้ว
วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ฟังเท่าไร ก็ไม่เข้าใจ
คนไข้สตรีท่านหนึ่ง เขียนจดหมายมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์ตอบข้อข้องใจของเธอที่มีต่อสมุนไพร
เธอเล่าปัญหาของเธอให้ฟังว่า ป่วยด้วยโรคเบาหวาน รักษาด้วยแผนปัจจุบันมานาน แต่ก็ไม่ประสพผล อาการมีแต่แย่ลง
แต่ไม่ได้เล่าว่าเธอมาที่ชมรมคนรักสุขภาพได้อย่างไร กล่าวแต่เพียงว่า หลังจากทานสมุนไพรมาระยะหนึ่ง ผลที่ปรากฎคือ อาการของเบาหวานที่เธอเป็น ดีขึ้นมาก หากแต่มีอาการที่ปรากฎ นั่นคือ สภาพผิวของเธอแห้ง และตัวดำขึ้น
เธอกลับไปให้หมอที่รักษาอาการเบาหวานของเธอตรวจ พร้อมขอคำปรึกษา ในสมุนไพรที่เธอทานอยู่
หมอตอบกลับมาว่า อนุญาตให้ทานสมุนไพรได้ หากแต่สมุนไพรที่ทานควรได้รับ อ.ย. เพราะสมุนไพรที่ไม่รับมักจะมีสารพวกเสตียรอยด์ และมอร์ฟีน รวมทั้งสารเคมีคือยาแก้ปวด ใส่รวมอยู่ด้วย
เธอจึงตั้งคำถาม เป็นข้อๆ และให้หลวงพ่อนิพนธ์ตอบ ....
คือ สมุนไพรที่ทำแจกนี้ มีสารดังที่หมอกล่าวใช่หรือไม่ และอาการที่เธอเป็น คือ โรคเบาหวาน ทำไมเธอจึงต้องกินยาเหมือนคนเป็นโรคมะเร็ง หรือ โรคอื่นๆ ทำไมไม่ให้เธอทานเฉพาะสมุนไพรเบาหวาน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงกล่าวว่า เหตุที่ผิวของเธอแห้งและ ตัวดำ เกิดจากการทานสมุนไพรเหล่านั้นใช่ไหม ตบท้าย อยากให้หลวงพ่อนิพนธ์ แยกสมุนไพรเฉพาะโรคเด็ดขาด ว่าคนเป็นโรคแบบนี้ ต้องทานแบบนี้ ไม่รวมกัน พูดง่ายๆ ก็แบบแผนปัจจุบัน คือ แบบยาเฉพาะทางเฉพาะโรค นั่นเอง
นี่แหละคือความเหนื่อยที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องเจอ โดยไม่สมควร เพราะจากคำถามแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน คนเหล่านี้นั่งฟังแบบ ขอไปที แล้วมุ่งเน้นไปที่การทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว นั่นเอง
ร้ายไปกว่านั้น คำพูดของหลวงพ่อนิพนธ์ คือแสงสว่างที่จะนำมานำตนให้รอด ไร้ค่า ไร้น้ำหนัก แต่คำพูดของหมอที่ตัวเขาศรัทธาและเชื่อฟัง อย่าว่าแต่ทำให้ดีขึ้นเลย แค่ทรงยังทำไม่ได้ จำมาทุกคำทุกตัวอักษร ปฏิบัติแบบไม่มีผิดแม้แต่กระเบียดนิ้ว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ก็ในเมื่อทุกครั้งที่เราท่านมา ก็ย้ำนักย้ำหนาว่า ... ต้องเลิก "สารเคมี" ทุกสิ่งอย่าง .... แล้วจะใส่สารเหล่านั้นเพื่ออะไร คนที่ใส่เขาต้องการให้คุณติด จะได้ขายเยอะๆ คนกินจะเป็นอย่างไรไม่สน แต่ที่นี่ ทำเพื่อช่วยคน ทำแจก ต้องการคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ
ทานยาหมอ อาการแย่ลง ไม่เคยสงสัย หรือ ถามเลยหายไหม แต่ทานสมุนไพรอาการดีวันดีคืน กลับสงสัย .... กังขา
แล้วที่จุกอก ก็คือ พฤติกรรมของคนเหล่านี้ เมื่อทานสมุนไพรไประยะหนึ่ง ร่างกายมีความสามารถในการกอบกู้ตนเองได้ อาการที่แฝงไว้ แต่ยังไม่ปรากฎโรคมาให้เห็นก่อนหน้านี้ ก็จักถูกคุ้ยเขี่ยให้ปรากฎ เพื่อเคลียร์
เอาเข้าแล้วไง ... เมื่อก่อนจะมาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ทำไมมาทานสมุนไพรแล้วจึงมีอาการอย่างนี้ สมุนไพรทำให้เป็นใช่ไหม ... ฉิบหายแล้ว เพราะมันเข้าข่าย "อกตัญญูู" ทำคุญบูชาโทษ นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงอรรถาธิบาย ว่า ก็เขามีอาการของโรคโลหิตเป็นพิษ แฝงอยู่ เมื่อร่างกายเคลียร์เบาหวานได้ ก็คุ้ยเขี่ยอาการเหล่านี้มา เพราะแข็งแกร่งพอที่จะสู้ได้แล้วนั่นเอง พอคุ้ยปุ๊บ โดยรีดเข้ามาอยู่ที่เลือด ก็เลือดมันเป็นพิษ ตัวก็ต้องดำ ผิวก็ต้องแห้ง เป็นสัญญาณให้ร่างกายได้รับรู้ว่า มีสิ่งนี้อยู่ให้ต่อสู้แล้วเคลียร์ออก ....
แทนที่จะขอบคุณและซาบซึ้ง ... กลับตาลปัตร โทษสมุนไพร โทษคนทำ ว่าเอาอะไร ใส่อะไร มาให้ทาน ...
ทั้งๆ ที่บอกทุกครั้งว่า แนวทางนี้ ต้องผ่านการลงแดง เพราะสมุนไพรมันต้องไปคุ้ยอาการให้ปรากฎ และก็ต้องทนกับอาการให้ได้ โดยทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า ...
ก็ถ้าไม่อยากตัวดำ ไม่อยากผิวแห้ง .... โน่นเลยไปหาหมอ ทานยาระงับ เก็บอาการดังกล่าวไว้ ไม่ควรมาเดินแนวทางนี้เลย
เราจึงไม่แปลกใจเลย ว่าหลายคนที่ใกล้ชิดหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อเห็นคนไข้ที่มาแล้ว ไม่ตั้งใจฟังหลวงพ่อนิพนธ์ จึงออกอาการ แบบว่า "อยากเตะออกไปให้ไกลๆ" เรียกว่า ไล่ได้ไล่เลย ไม่อยากมอง ก็เพราะรู้ดีว่า วันหนึ่งคนประเภทนี้ จะย้อนกลับมาโทษสมุนไพร โทษแม่ชีเมี้ยน โทษคนทำ นั่นเอง
ก็เพราะ คำพูดที่ใช้ ก็ภาษาไทย ไวยากรณ์ที่ใช้ก็ธรรมดา ฟังแล้วต้องเข้าใจ ทำได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง .... แต่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ พวกนี้.... แสบ เรียกว่า มาเป็นเหตุ ไม่ได้มาเพื่อช่วยตน
จะหาหมอ หายาเฉพาะโรค ที่นี่ไม่มี ... ไม่มีหมอ ไม่มียา จะมีก็แต่ สมุนไพร ที่ใช้เป็นวัตถุดิบให้ร่างกายนำไปย่อย ใช้สู้กับโรค และธรรมของพระภูมี ที่สอนให้ปฏิบัติ เพื่อสร้างบุญ ใช้สู้กับกรรม ... มีแค่นี้แหละ
เธอเล่าปัญหาของเธอให้ฟังว่า ป่วยด้วยโรคเบาหวาน รักษาด้วยแผนปัจจุบันมานาน แต่ก็ไม่ประสพผล อาการมีแต่แย่ลง
แต่ไม่ได้เล่าว่าเธอมาที่ชมรมคนรักสุขภาพได้อย่างไร กล่าวแต่เพียงว่า หลังจากทานสมุนไพรมาระยะหนึ่ง ผลที่ปรากฎคือ อาการของเบาหวานที่เธอเป็น ดีขึ้นมาก หากแต่มีอาการที่ปรากฎ นั่นคือ สภาพผิวของเธอแห้ง และตัวดำขึ้น
เธอกลับไปให้หมอที่รักษาอาการเบาหวานของเธอตรวจ พร้อมขอคำปรึกษา ในสมุนไพรที่เธอทานอยู่
หมอตอบกลับมาว่า อนุญาตให้ทานสมุนไพรได้ หากแต่สมุนไพรที่ทานควรได้รับ อ.ย. เพราะสมุนไพรที่ไม่รับมักจะมีสารพวกเสตียรอยด์ และมอร์ฟีน รวมทั้งสารเคมีคือยาแก้ปวด ใส่รวมอยู่ด้วย
เธอจึงตั้งคำถาม เป็นข้อๆ และให้หลวงพ่อนิพนธ์ตอบ ....
คือ สมุนไพรที่ทำแจกนี้ มีสารดังที่หมอกล่าวใช่หรือไม่ และอาการที่เธอเป็น คือ โรคเบาหวาน ทำไมเธอจึงต้องกินยาเหมือนคนเป็นโรคมะเร็ง หรือ โรคอื่นๆ ทำไมไม่ให้เธอทานเฉพาะสมุนไพรเบาหวาน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงกล่าวว่า เหตุที่ผิวของเธอแห้งและ ตัวดำ เกิดจากการทานสมุนไพรเหล่านั้นใช่ไหม ตบท้าย อยากให้หลวงพ่อนิพนธ์ แยกสมุนไพรเฉพาะโรคเด็ดขาด ว่าคนเป็นโรคแบบนี้ ต้องทานแบบนี้ ไม่รวมกัน พูดง่ายๆ ก็แบบแผนปัจจุบัน คือ แบบยาเฉพาะทางเฉพาะโรค นั่นเอง
นี่แหละคือความเหนื่อยที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องเจอ โดยไม่สมควร เพราะจากคำถามแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน คนเหล่านี้นั่งฟังแบบ ขอไปที แล้วมุ่งเน้นไปที่การทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว นั่นเอง
ร้ายไปกว่านั้น คำพูดของหลวงพ่อนิพนธ์ คือแสงสว่างที่จะนำมานำตนให้รอด ไร้ค่า ไร้น้ำหนัก แต่คำพูดของหมอที่ตัวเขาศรัทธาและเชื่อฟัง อย่าว่าแต่ทำให้ดีขึ้นเลย แค่ทรงยังทำไม่ได้ จำมาทุกคำทุกตัวอักษร ปฏิบัติแบบไม่มีผิดแม้แต่กระเบียดนิ้ว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ก็ในเมื่อทุกครั้งที่เราท่านมา ก็ย้ำนักย้ำหนาว่า ... ต้องเลิก "สารเคมี" ทุกสิ่งอย่าง .... แล้วจะใส่สารเหล่านั้นเพื่ออะไร คนที่ใส่เขาต้องการให้คุณติด จะได้ขายเยอะๆ คนกินจะเป็นอย่างไรไม่สน แต่ที่นี่ ทำเพื่อช่วยคน ทำแจก ต้องการคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ
ทานยาหมอ อาการแย่ลง ไม่เคยสงสัย หรือ ถามเลยหายไหม แต่ทานสมุนไพรอาการดีวันดีคืน กลับสงสัย .... กังขา
แล้วที่จุกอก ก็คือ พฤติกรรมของคนเหล่านี้ เมื่อทานสมุนไพรไประยะหนึ่ง ร่างกายมีความสามารถในการกอบกู้ตนเองได้ อาการที่แฝงไว้ แต่ยังไม่ปรากฎโรคมาให้เห็นก่อนหน้านี้ ก็จักถูกคุ้ยเขี่ยให้ปรากฎ เพื่อเคลียร์
เอาเข้าแล้วไง ... เมื่อก่อนจะมาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ทำไมมาทานสมุนไพรแล้วจึงมีอาการอย่างนี้ สมุนไพรทำให้เป็นใช่ไหม ... ฉิบหายแล้ว เพราะมันเข้าข่าย "อกตัญญูู" ทำคุญบูชาโทษ นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงอรรถาธิบาย ว่า ก็เขามีอาการของโรคโลหิตเป็นพิษ แฝงอยู่ เมื่อร่างกายเคลียร์เบาหวานได้ ก็คุ้ยเขี่ยอาการเหล่านี้มา เพราะแข็งแกร่งพอที่จะสู้ได้แล้วนั่นเอง พอคุ้ยปุ๊บ โดยรีดเข้ามาอยู่ที่เลือด ก็เลือดมันเป็นพิษ ตัวก็ต้องดำ ผิวก็ต้องแห้ง เป็นสัญญาณให้ร่างกายได้รับรู้ว่า มีสิ่งนี้อยู่ให้ต่อสู้แล้วเคลียร์ออก ....
แทนที่จะขอบคุณและซาบซึ้ง ... กลับตาลปัตร โทษสมุนไพร โทษคนทำ ว่าเอาอะไร ใส่อะไร มาให้ทาน ...
ทั้งๆ ที่บอกทุกครั้งว่า แนวทางนี้ ต้องผ่านการลงแดง เพราะสมุนไพรมันต้องไปคุ้ยอาการให้ปรากฎ และก็ต้องทนกับอาการให้ได้ โดยทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า ...
ก็ถ้าไม่อยากตัวดำ ไม่อยากผิวแห้ง .... โน่นเลยไปหาหมอ ทานยาระงับ เก็บอาการดังกล่าวไว้ ไม่ควรมาเดินแนวทางนี้เลย
เราจึงไม่แปลกใจเลย ว่าหลายคนที่ใกล้ชิดหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อเห็นคนไข้ที่มาแล้ว ไม่ตั้งใจฟังหลวงพ่อนิพนธ์ จึงออกอาการ แบบว่า "อยากเตะออกไปให้ไกลๆ" เรียกว่า ไล่ได้ไล่เลย ไม่อยากมอง ก็เพราะรู้ดีว่า วันหนึ่งคนประเภทนี้ จะย้อนกลับมาโทษสมุนไพร โทษแม่ชีเมี้ยน โทษคนทำ นั่นเอง
ก็เพราะ คำพูดที่ใช้ ก็ภาษาไทย ไวยากรณ์ที่ใช้ก็ธรรมดา ฟังแล้วต้องเข้าใจ ทำได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง .... แต่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ พวกนี้.... แสบ เรียกว่า มาเป็นเหตุ ไม่ได้มาเพื่อช่วยตน
จะหาหมอ หายาเฉพาะโรค ที่นี่ไม่มี ... ไม่มีหมอ ไม่มียา จะมีก็แต่ สมุนไพร ที่ใช้เป็นวัตถุดิบให้ร่างกายนำไปย่อย ใช้สู้กับโรค และธรรมของพระภูมี ที่สอนให้ปฏิบัติ เพื่อสร้างบุญ ใช้สู้กับกรรม ... มีแค่นี้แหละ
กำลังใจ
หากแต่หนังเรื่องดังกล่าว ปกติต้องดูในโรงที่เป็น ๓ มิติ และมีระบบเสียงที่ดีจึงจะสนุก แต่เนื่องจากหนังฉายมานานแล้ว ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาแทน แล้วย้ายเรื่องนี้ไปฉายในโรงธรรมดาแทน
ผู้บริหารเครือเมเจอร์ทราบข่าว จึงสั่งให้โรงหนัง ย้ายหนังเรื่องดังกล่าวไปฉายในโรงเดิม เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์และครอบครัว ได้ดู เป็นรอบพิเศษรอบเดียว
ถามว่า .. ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น
คำตอบ ก็เพราะคนในรูปคือภรรยาของเขา ที่ประสพกับโรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง และหมดเงินไปกว่าสิบล้านบาท ในการรักษาภรรยา จนท้ายที่สุด หมอก็กล่าววาจาอมตะ
ไม่เพียงแค่ปัญหาของสุขภาพ ปัญหาครอบครัวก็ตามมา เมื่อพ่อตาแม่ยาย เห็นสภาพลูกสาวของตน ก็คิดไปว่า คงติดเชื้อร้ายแรง คือ เอดส์จากสามี จึงมีสภาพเช่นนี้ ดังนั้น จึงเข้าหน้ากันไม่ติด และห้ามเข้าบ้านอย่างเด็ดขาด
ภรรยาของเขา ต้องกลายเป็นคนที่โดนแสงแดดไม่ได้เลย จึงต้องใส่เสื้อผ้าปกคลุมมิดชิด และใช้ผ้าคลุมศีรษะ พบปะผู้คนไม่ได้ และไปไหนแทบไม่ได้เลย เพื่อลดอาการที่พึงเกิด
ความโชคดี ที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนนักธุรกิจ จึงพาภรรยามาใช้แนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จากสภาพดังรูป ที่เป็นทั่วทั้งตัว ไม่มีส่วนใดเหลือที่ไม่มีอาการ จนเวลาผ่านไปเกือบสามปี
วันนี้ ภรรยาเขากลับเป็นปกติ สามารถใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น และไม่กลัวแดด ครอบครัวกลับมาเป็นปกติ
ไม่เพียงสภาพร่างกายที่กลับมาปกติ สภาพครอบครัว ก็ดีขึ้นกว่าเดิม
เขาและภรรยาทุ่มเทกับสมุนไพร มาทุกสัปดาห์สามปี และหายโดยไม่มีการเรียกร้องค่ารักษาใดๆ เลย ...
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเขาจึงสั่งการให้โรงหนังในพารากอน ทำเช่นนั้น
หลายคนคิดว่าอาการของตนสาหัส เพราะความอยู่ในโลกแคบของตน หากมาเดินในชมรมคนรักสุขภาพแล้ว จะพบว่าโลกนี้สำหรับตัวเรา ยังดีกว่าผู้อื่นมากนัก และคนที่สาหัสกว่าเรานั้น เขาก็ประสพผลจากแนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้ มีตัวตนให้เห็น เป็นๆ สัมผัสได้ พูดได้ ถามได้ ตอบได้ ...
วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
อะไรน่ากลัวกว่า
สมัยนี้คนทั้งหลายแค่ได้ยินว่าโรค และตามด้วยคำขู่ ว่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ และก็ไม้เด็ด คือ "ตาย" ก็ดิ้นกันจ้าหละหวั่น ทำตัวเข้าล็อคที่ฝรั่งวางไว้ นั่นคือ สุภาษิต กระต่ายตื่นตูม
เมื่อขาดสติ ก็ขาดทิศ ขาดปัญญาพินิจพิจารณา ลืมเลือนความเป็นจริง ที่พระพุทธเจ้าตรัส ที่ว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" อันเป็นที่มาของคำว่า ไม่ถึงที่ตาย ไม่วายชีวาวาตย์ ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ โรคห่าอันใด ก็ทำให้ตายไม่ได้
แต่โรคแม้จะชื่อยิ่งใหญ่น่ากลัวสักฉันใด ก็ฆ่าได้แต่ผู้ที่เป็นซึ่งโรคนั้น เท่านั้นเอง
พระภูมี จึงทรงชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่น่ากลัวกว่า นั่นคือ นิสัยของคน เพราะมันสามารถฆ่าคนได้มากมายในคราเดียว หรือทำให้คนมากมาย และสรรพสัตว์ต้องเดือดร้อน ทุกข์ยากลำบากได้
ดังนั้น แม่ชีเมี้ยนจึงทรงตรัสว่า พระภูมีจึงทรงชี้ว่า โรคเป็นเพียงปลายเหตุ เป็นปัญหาก็เล็กน้อย หากแต่ต้นเหตุที่ต้องรีบแก้ไข ลดทอน ตัดลง นั่นคือ นิสัยของตนเรานั่นเอง
การแก้โรค ให้เป็นหน้าที่สมุนไพร แต่เมื่อหายจากโรคนี้แล้วก็เป็นโรคอื่นได้ หรือไม่เป็นโรคอื่น ก็เกิดอุบัติเหตุได้ จึงเป็นการแก้ที่ไม่เบ็ดเสร็จ นั่นคือยังไม่ปลอดภัย เพราะต้นเหตุยังอยู่
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมายุยงปลุกปั่น ให้ใช้ธรรมพระภูมี แก้ที่ต้นเหตุ นั่นคือ นิสัยของเราท่าน จากที่ให้ทุกข์แก่ผู้อื่น มาเป็นให้สุขแก่ผู้อื่น โดยการนำเอานิสัยธรรมของพระภูมี มาเป็นตัวกำกับบางสิ่งบางอย่าง
มีคนเคยถามว่า ทำไมถ้ำกระบอกจึงสอนให้ใช้สัจจะ ไม่ใช้ศีล ให้คนและพระประพฤติปฏิบัติ
คำตอบที่แม่ชีเมี้ยนทรงให้ คือ ศีลเป็นของหนัก เกินกว่าที่คนทั่วไปจะปฏิบัติให้เป็นจริงได้ หากแต่สัจจะ ที่วางไว้ ก็วางไว้ตามแต่ละบุคคลจะสามารถทำได้จริง เริ่มที่ละน้อย เมื่อทำสิ่งหนึ่งได้แล้ว ก็ค่อยเพิ่มน้ำหนักลงไป เป็นไปตามแต่นิสัยของคนนั้นๆ และเป็นเหตุแห่งกรรมของคนนั้นๆ
อาทิเช่น คนที่มีนิสัย หลอกลวงผู้อื่น ก็เริ่มจากไม่หลอกลวงผู้อื่น คนที่มีนิสัย ชอบทานสุรา ก็เริ่มจากไม่ทานสุรา คนที่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น ก็เริ่มจากไม่เบียดเบียนผู้อื่น เป็นเบื้องต้น ... อันเป็นการวางสัจจะปฏิบัติ ที่ทำได้จริง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวถึงอดีตว่า ในยุคถ้ำกระบอก สัจจะกลางๆที่เห็นว่าคนที่มาควรปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดการล่วงล้ำกล้ำเกิน จึงมักจะให้ว่า ไม่ทำลายศาสนา นั่นคือ ไม่มีการทำลายพระผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าจะส่งเสริมกิเลสด้านใด โดยเฉพาะการนำเงิน หรือหาผลประโยชน์จากศาสน์ อาทิการเช่ารูปเหมือนพระพุทธ เป็นต้น และตามด้วย สัจจะหลัก คือ การไม่โกรธ เริ่มจากวันละหนึ่งชั่วโมง โดยให้เริ่มจากชั่วโมงที่มักประสบเหตุมากๆก่อน .. เช่นแม่ค้า ขายของตอนไหน ก็วางสัจจะในชั่วโมงนั้น
หลายคนจึงถามว่าทำไมปัจจุบันจึงไม่กะเกณฑ์เช่นในอดีต หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ตอนนี้ท่านไม่ใช่พระ จึงให้พิจารณาเป็นสายกลาง บุคคลที่ได้ฟังนำไปคิด แล้วจักทำหรือไม่ก็แล้วแต่บุคคลนั้นๆ
หากลดละนิสัยเดิม มามีนิสัยธรรมของพระภูมี เป็นบางสิ่งบางอย่างได้ โรคอะไรก็ไม่เหลือ ... เพราะเคล็ดของศาสน์คือ กรรมมันกลัวธรรม มันไม่เกาะคนมีธรรมนั่นเอง ... โรคก็เลยกลายเป็นผลพลอยได้ ต้องจากคนมีธรรมไปนั่นเอง ... เรียกว่าหายไปกว่าครึ่งแล้ว
จึงเป็นที่มาของการบนบวช ที่มักใช้กับคนไข้หนักมาตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอกนั่นเอง ...
ก็ดูอย่างคุณปรีชา ที่เป็นโรคหัวใจ ทานสมุนไพรมาหลายปี อาการก็ดีขึ้นบ้างแต่ก็ไม่หายขาด ไปใช้วิธีนี้ เดินธุดงค์ทั้งที่เป็นโรคหัวใจเฉียบพลัน แค่ธุดงค์เดียว หายเป็นปลิดทิ้ง .. จบเอาง่ายๆ นี่แหละอำนาจธรรม ... ให้ผลที่เฉียบขาด
คนที่มา หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักบอกให้มองเลยโรคไปเลย หันมาดูนิสัยตนดีกว่า ว่าควรจะนำธรรมข้อใดมาปฏิบัติบ้างเพื่อช่วยตน
นี่จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมสถานที่นี้ จึงรับทุกโรค รับทุกอาการ และรับรองว่า หากผู้ใดเชื่อ ศรัทธา และเดินตาม การหายโรคเป็นไปได้ ก็เพราะรู้ต้นเหตุ และแก้ที่ต้นเหตุ ตามคำสอนของพระภุมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ...
เมื่อขาดสติ ก็ขาดทิศ ขาดปัญญาพินิจพิจารณา ลืมเลือนความเป็นจริง ที่พระพุทธเจ้าตรัส ที่ว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" อันเป็นที่มาของคำว่า ไม่ถึงที่ตาย ไม่วายชีวาวาตย์ ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ โรคห่าอันใด ก็ทำให้ตายไม่ได้
แต่โรคแม้จะชื่อยิ่งใหญ่น่ากลัวสักฉันใด ก็ฆ่าได้แต่ผู้ที่เป็นซึ่งโรคนั้น เท่านั้นเอง
พระภูมี จึงทรงชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่น่ากลัวกว่า นั่นคือ นิสัยของคน เพราะมันสามารถฆ่าคนได้มากมายในคราเดียว หรือทำให้คนมากมาย และสรรพสัตว์ต้องเดือดร้อน ทุกข์ยากลำบากได้
ดังนั้น แม่ชีเมี้ยนจึงทรงตรัสว่า พระภูมีจึงทรงชี้ว่า โรคเป็นเพียงปลายเหตุ เป็นปัญหาก็เล็กน้อย หากแต่ต้นเหตุที่ต้องรีบแก้ไข ลดทอน ตัดลง นั่นคือ นิสัยของตนเรานั่นเอง
การแก้โรค ให้เป็นหน้าที่สมุนไพร แต่เมื่อหายจากโรคนี้แล้วก็เป็นโรคอื่นได้ หรือไม่เป็นโรคอื่น ก็เกิดอุบัติเหตุได้ จึงเป็นการแก้ที่ไม่เบ็ดเสร็จ นั่นคือยังไม่ปลอดภัย เพราะต้นเหตุยังอยู่
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมายุยงปลุกปั่น ให้ใช้ธรรมพระภูมี แก้ที่ต้นเหตุ นั่นคือ นิสัยของเราท่าน จากที่ให้ทุกข์แก่ผู้อื่น มาเป็นให้สุขแก่ผู้อื่น โดยการนำเอานิสัยธรรมของพระภูมี มาเป็นตัวกำกับบางสิ่งบางอย่าง
มีคนเคยถามว่า ทำไมถ้ำกระบอกจึงสอนให้ใช้สัจจะ ไม่ใช้ศีล ให้คนและพระประพฤติปฏิบัติ
คำตอบที่แม่ชีเมี้ยนทรงให้ คือ ศีลเป็นของหนัก เกินกว่าที่คนทั่วไปจะปฏิบัติให้เป็นจริงได้ หากแต่สัจจะ ที่วางไว้ ก็วางไว้ตามแต่ละบุคคลจะสามารถทำได้จริง เริ่มที่ละน้อย เมื่อทำสิ่งหนึ่งได้แล้ว ก็ค่อยเพิ่มน้ำหนักลงไป เป็นไปตามแต่นิสัยของคนนั้นๆ และเป็นเหตุแห่งกรรมของคนนั้นๆ
อาทิเช่น คนที่มีนิสัย หลอกลวงผู้อื่น ก็เริ่มจากไม่หลอกลวงผู้อื่น คนที่มีนิสัย ชอบทานสุรา ก็เริ่มจากไม่ทานสุรา คนที่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น ก็เริ่มจากไม่เบียดเบียนผู้อื่น เป็นเบื้องต้น ... อันเป็นการวางสัจจะปฏิบัติ ที่ทำได้จริง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวถึงอดีตว่า ในยุคถ้ำกระบอก สัจจะกลางๆที่เห็นว่าคนที่มาควรปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดการล่วงล้ำกล้ำเกิน จึงมักจะให้ว่า ไม่ทำลายศาสนา นั่นคือ ไม่มีการทำลายพระผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าจะส่งเสริมกิเลสด้านใด โดยเฉพาะการนำเงิน หรือหาผลประโยชน์จากศาสน์ อาทิการเช่ารูปเหมือนพระพุทธ เป็นต้น และตามด้วย สัจจะหลัก คือ การไม่โกรธ เริ่มจากวันละหนึ่งชั่วโมง โดยให้เริ่มจากชั่วโมงที่มักประสบเหตุมากๆก่อน .. เช่นแม่ค้า ขายของตอนไหน ก็วางสัจจะในชั่วโมงนั้น
หลายคนจึงถามว่าทำไมปัจจุบันจึงไม่กะเกณฑ์เช่นในอดีต หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ตอนนี้ท่านไม่ใช่พระ จึงให้พิจารณาเป็นสายกลาง บุคคลที่ได้ฟังนำไปคิด แล้วจักทำหรือไม่ก็แล้วแต่บุคคลนั้นๆ
หากลดละนิสัยเดิม มามีนิสัยธรรมของพระภูมี เป็นบางสิ่งบางอย่างได้ โรคอะไรก็ไม่เหลือ ... เพราะเคล็ดของศาสน์คือ กรรมมันกลัวธรรม มันไม่เกาะคนมีธรรมนั่นเอง ... โรคก็เลยกลายเป็นผลพลอยได้ ต้องจากคนมีธรรมไปนั่นเอง ... เรียกว่าหายไปกว่าครึ่งแล้ว
จึงเป็นที่มาของการบนบวช ที่มักใช้กับคนไข้หนักมาตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอกนั่นเอง ...
ก็ดูอย่างคุณปรีชา ที่เป็นโรคหัวใจ ทานสมุนไพรมาหลายปี อาการก็ดีขึ้นบ้างแต่ก็ไม่หายขาด ไปใช้วิธีนี้ เดินธุดงค์ทั้งที่เป็นโรคหัวใจเฉียบพลัน แค่ธุดงค์เดียว หายเป็นปลิดทิ้ง .. จบเอาง่ายๆ นี่แหละอำนาจธรรม ... ให้ผลที่เฉียบขาด
คนที่มา หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักบอกให้มองเลยโรคไปเลย หันมาดูนิสัยตนดีกว่า ว่าควรจะนำธรรมข้อใดมาปฏิบัติบ้างเพื่อช่วยตน
นี่จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมสถานที่นี้ จึงรับทุกโรค รับทุกอาการ และรับรองว่า หากผู้ใดเชื่อ ศรัทธา และเดินตาม การหายโรคเป็นไปได้ ก็เพราะรู้ต้นเหตุ และแก้ที่ต้นเหตุ ตามคำสอนของพระภุมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ...
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
คนไม่มีกิเลส
เราท่านมักได้ยินเสมอว่า พระภูมีและพระอรหันต์ จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่หมดแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า อันที่จริงแล้ว คุณสมบัติของกิเลส นั่นคือ เข้าครอบงำคนที่มีความสามารถในการทำกรรมนั่นเอง
ทั้งสองอย่างแรก คือ ผู้มีธรรม ดังนั้นกิเลสจึงไม่สามารถเข้าไปบงการใดๆได้ เพราะเป็นผู้มีธรรมเป็นวินัยเสียแล้ว
หากแต่เราท่านก็จักพบเห็นผู้ที่ไม่มีกิเลสเสมอ และทั่วไป เพียงแต่คนเหล่านั้นต่างกับพระภูมีและพระอรหันต์ นั่นคือ เป็นบุคคลที่ไร้ความสามารถในการสร้างกรรม หรือยังทำกรรมไม่ได้นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า คนหมู่แรกที่ยังไม่มีกิเลส ไม่มีความอยาก ความโลภ ไม่เคยแสวงหาสิ่งใด นั่นก็คือ ทารกนั่นเอง ที่ร่ำร้องก็แต่เพียงนม ยามหิว และคนอีกจำพวกก็คือ คนป่วยหนักนั่นเอง
ลองไปถามคนป่วยในห้องไอซียูซิ อยากดูทีวีไหม อยากฟังเพลงไหม อยากได้โน่นได้นี่ไหม คนเหล่านี้คือคนกลุ่มที่ไร้ความสามารถในการทำกรรม กิเลสจึงเมินไม่มอง
คนที่ไร้ซึ่งกิเลสเหล่านี้ ยามใดที่กลับมามีพลังในการสร้างกรรมวันใด กิเลสก็จะเกาะกินเข้าหาในทันใด ที่สำคัญ และเรียกได้ว่าเป็นจุดเปราะบางในการส่งเสริมให้ทำกรรม นั่นคือ การลืมเลือนสภาพที่ทรมาน บนเตียงนอนของโรงพยาบาล และอู่ที่เคยนอนกินนมไปเสียสิ้น ว่าแท้จริงแล้วความสุขของตนคืออะไร
ศาสน์ของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงมีเพื่อตอกย้ำความจริงของสัจจธรรมข้อนี้ของมนุษย์ ให้ได้พิจารณา ว่า แท้จริงแล้ว ความสุขของมนุษย์คืออะไร คือการกินได้นอนหลับ ไม่มีโรคาพยาธิมาเบียดเบียน มิใช่หรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงอาสาแม่ชีเมี้ยน มาตีฆ้องร้องปล่าว ให้คนหันกลับมา พิจารณาหลักของพระภูมี แล้วทำตนรอพระพุทธเจ้าที่กำลังอุบัติขึ้น ...
จึงต้องชวนกันให้ลดกิเลส นิสัย ของตนลง เป็นบางสิ่งบางอย่าง เพื่อรักษาตน รอจนถึงวันพระพุทธเจ้าอุบัติ อย่าได้ไหลไปตามกระแสโลก อันเป็นกระแสกิเลส จนกู่ไม่กลับ
จุดมุ่งหมายสูงสุด ของสถานที่นี้ ก็คือ การรวบรวมคนที่เชื่อและศรัทธาในศาสน์ของพระภูมี รอพระพุทธเจ้าอุบัติ และชวนกันไปเดินตาม ด้วยเล็งเห็นว่าเป็นทางซึ่งปลอดภัย และให้สุขที่แท้จริง ก็เท่านั้นเอง
จึงไม่ได้มุ่งหวังว่า จะต้องมีคนมากมาย เพียงแต่ทำให้เห็นจริงได้ว่า ธรรมของพระภูมี แม้เพียงเศษเสี้ยวที่ทิ้งไว้ให้ ก็ยังให้สุข นั่นคือ ความไม่มีโรค หากได้สัมผัสเนื้อนาบุญ ก็จะเห็นซึ่งสุขของพระภูมี ที่เล่าขานกันมากว่า สองพันปี ว่าเป็นเช่นไร .. จึงตรึงอยู่ในจิตใจของมนุษย์ และแม้นจะไม่ชอบ แต่ก็ต้องยอมรับ ในบุญญาธิการของพระภูมีทุกยุคทุกสมัย
แม้นยังไม่เห็นพระภูมีและพระอรหันต์ ที่หมดซึ่งกิเลส แต่คนที่ไม่มีกิเลสที่เห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน น่าจะทำให้สะกิดใจแก่บางคนได้ว่า แท้จริงแล้วสุขของเราอยู่ที่ใด .. ควรหรือไม่ที่จะเรียนรู้ธรรมที่แท้จริงของพระภูมี เพื่อเดินไปให้ถึงสุขอันนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า อันที่จริงแล้ว คุณสมบัติของกิเลส นั่นคือ เข้าครอบงำคนที่มีความสามารถในการทำกรรมนั่นเอง
ทั้งสองอย่างแรก คือ ผู้มีธรรม ดังนั้นกิเลสจึงไม่สามารถเข้าไปบงการใดๆได้ เพราะเป็นผู้มีธรรมเป็นวินัยเสียแล้ว
หากแต่เราท่านก็จักพบเห็นผู้ที่ไม่มีกิเลสเสมอ และทั่วไป เพียงแต่คนเหล่านั้นต่างกับพระภูมีและพระอรหันต์ นั่นคือ เป็นบุคคลที่ไร้ความสามารถในการสร้างกรรม หรือยังทำกรรมไม่ได้นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า คนหมู่แรกที่ยังไม่มีกิเลส ไม่มีความอยาก ความโลภ ไม่เคยแสวงหาสิ่งใด นั่นก็คือ ทารกนั่นเอง ที่ร่ำร้องก็แต่เพียงนม ยามหิว และคนอีกจำพวกก็คือ คนป่วยหนักนั่นเอง
ลองไปถามคนป่วยในห้องไอซียูซิ อยากดูทีวีไหม อยากฟังเพลงไหม อยากได้โน่นได้นี่ไหม คนเหล่านี้คือคนกลุ่มที่ไร้ความสามารถในการทำกรรม กิเลสจึงเมินไม่มอง
คนที่ไร้ซึ่งกิเลสเหล่านี้ ยามใดที่กลับมามีพลังในการสร้างกรรมวันใด กิเลสก็จะเกาะกินเข้าหาในทันใด ที่สำคัญ และเรียกได้ว่าเป็นจุดเปราะบางในการส่งเสริมให้ทำกรรม นั่นคือ การลืมเลือนสภาพที่ทรมาน บนเตียงนอนของโรงพยาบาล และอู่ที่เคยนอนกินนมไปเสียสิ้น ว่าแท้จริงแล้วความสุขของตนคืออะไร
ศาสน์ของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงมีเพื่อตอกย้ำความจริงของสัจจธรรมข้อนี้ของมนุษย์ ให้ได้พิจารณา ว่า แท้จริงแล้ว ความสุขของมนุษย์คืออะไร คือการกินได้นอนหลับ ไม่มีโรคาพยาธิมาเบียดเบียน มิใช่หรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงอาสาแม่ชีเมี้ยน มาตีฆ้องร้องปล่าว ให้คนหันกลับมา พิจารณาหลักของพระภูมี แล้วทำตนรอพระพุทธเจ้าที่กำลังอุบัติขึ้น ...
จึงต้องชวนกันให้ลดกิเลส นิสัย ของตนลง เป็นบางสิ่งบางอย่าง เพื่อรักษาตน รอจนถึงวันพระพุทธเจ้าอุบัติ อย่าได้ไหลไปตามกระแสโลก อันเป็นกระแสกิเลส จนกู่ไม่กลับ
จุดมุ่งหมายสูงสุด ของสถานที่นี้ ก็คือ การรวบรวมคนที่เชื่อและศรัทธาในศาสน์ของพระภูมี รอพระพุทธเจ้าอุบัติ และชวนกันไปเดินตาม ด้วยเล็งเห็นว่าเป็นทางซึ่งปลอดภัย และให้สุขที่แท้จริง ก็เท่านั้นเอง
จึงไม่ได้มุ่งหวังว่า จะต้องมีคนมากมาย เพียงแต่ทำให้เห็นจริงได้ว่า ธรรมของพระภูมี แม้เพียงเศษเสี้ยวที่ทิ้งไว้ให้ ก็ยังให้สุข นั่นคือ ความไม่มีโรค หากได้สัมผัสเนื้อนาบุญ ก็จะเห็นซึ่งสุขของพระภูมี ที่เล่าขานกันมากว่า สองพันปี ว่าเป็นเช่นไร .. จึงตรึงอยู่ในจิตใจของมนุษย์ และแม้นจะไม่ชอบ แต่ก็ต้องยอมรับ ในบุญญาธิการของพระภูมีทุกยุคทุกสมัย
แม้นยังไม่เห็นพระภูมีและพระอรหันต์ ที่หมดซึ่งกิเลส แต่คนที่ไม่มีกิเลสที่เห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน น่าจะทำให้สะกิดใจแก่บางคนได้ว่า แท้จริงแล้วสุขของเราอยู่ที่ใด .. ควรหรือไม่ที่จะเรียนรู้ธรรมที่แท้จริงของพระภูมี เพื่อเดินไปให้ถึงสุขอันนั้น
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
กรรมฐาน สไตล์แม่ชีเมี้ยน
หนทางแห่งพระภูมี จึงต้องกำหนดหนทางบุญให้ปฏิบัติเพื่อช่วยตน ควบคู่ไปกับการทานสมุนไพร ...
ด้วยเหตุที่ "บุญ" สามารถล้างต้นเหตุแห่งทุกข์ นั่นคือกรรมที่ทำมาได้นั่นเอง เมื่อหมดกรรม โรคก็หมดซึ่งอำนาจค้ำจุน ย่อมต้องสลายไป เพราะเมื่อไม่มีกรรมทำให้ทุกข์ จักยังมีโรคมาให้ทุกข์ได้ฉันใด ด้วยโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรมนั้นเอง ที่มีไว้เพื่อให้ทุกข์
รอยของพระภูมีที่บัญญัติ ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้ฆราวาสปฏิบัติ เพื่อสร้างบุญ นั่นคือ การทำกรรมฐานสงฆ์ อันได้แก่ การที่จะต้องบังคับการตนมานั่งสวดมนต์ แล้วฟังธรรมคำสอน
บุญกิริยาที่จักพึงเกิด ก็ด้วยอาศัยซึ่งสติ ในการรักษากรรมฐานอันี้ไว้ เฉกเช่นเดียวกับการทำกรรม นั่นคือ ต้องประคอง ทั้งกาย วาจา ใจ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นความสำคัญของกรรมฐานอันนี้ว่า เพื่อเป็นการฝึกตนเองเป็นพื้นฐาน เพื่อทนกับทุกข์ที่จักพึงบังเกิด ในการรักษาตนนั้นแล จึงต้องฝึกให้กาย ทนต่อการเมื่อยล้า จากการนั่งฟัง ฝึกวาจากล่าวสิ่งที่เป็นบุญ และสงบวาจา ไม่ก่อทุกข์แก่ผู้อื่น อันจะทำให้บาปกรรมเพิ่มข้น และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ฝึกสติควบคุมใจ ไม่ให้ร้อนรุ่ม หรือ ทุกข์ไปกับ ทุกข์จากสิ่งแวดล้อมที่พึงเกิด
ดังนั้น เมื่อจะเอาผล ก็ต้องมีเหตุ เมื่อผจญเหตุได้ จึงเกิดผล การบังคับเข้ามาทำกรรมฐาน ด้วยการสวดมนต์ จึงเป็นกระไดขั้นแรก ที่จะบอกได้ว่า หนทางแห่งสมุนไพรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั้น คนคนนั้นจักประสพความสำเร็จได้หรือไม่ เพราะหากตกกระไดนี้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะขึ้นถึงยอดประสพผลได้ ... เป็นไปไม่ได้
เมื่อจะเอาบุญ ต้องมีเหตุ ต้องมีมารผจญ ก่อนที่จะไปพบกับความทุกข์ที่มาจากโรค จึงต้องเริ่มฝึกจาก การนั่งทนเมื่อย ยังควบคุมกายได้ไหม การนั่งสงบวาจา ยังรักษาความสงบนี้จากความอยากพูดอยากคุยได้ไหม และที่สำคัญ การรักษาใจ อันต้องใช้สติมหาศาล เมื่อต้องผจญเหตุ จากกรรมฐานที่นั่งลืมตา แล้วเห็นสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง อากาศที่ร้อนอบอ้าวบ้าง จนสติแตก ควบคุมใจไม่ได้ อยู่ในกรรมฐานความสงบไม่ได้ ต้องนั่งพัด ต้องคุย ต้องเล่นเกมส์ ต้องแชทคุยกับคนอื่น ต้อง...
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทุกที่เกิดจากกรรมฐานอันนี้ น้อยนักเมื่อเทียบกับทุกข์ที่เกิดจากโรค ยังทนไม่ได้เลย นั่นหมายความว่า วินัยทุกข์ของพระภูมี ที่บัญญัติแล้วให้ทำเพื่อเป็นบุญ ด้วยเหตุที่ต้องฝืนนิสัยตน ยังทำไม่ได้ เมื่อผจญกับทุกข์ที่เกิดจากโรค ย่อมไม่สามารถรักษาสติ และความสงบ อยู่ในกรรมฐานของสมุนไพรได้ นั่นคือ ถึงวันนั้น คนผู้นี้ก็จะวิ่งไปหาให้หมอช่วย ให้คนอื่นช่วย ... เป็นแน่แท้
ดังนั้น .... คนเหล่านี้ ไม่ควรมาเดินในแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน เพราะไม่มีวันจักประสพผลความสำเร็จอย่างแน่นอน
ผู้ใดที่รักษากรรมฐานสงฆ์อันนี้ได้ ย่อมมีเครื่องมีอต่อสู้อาการที่จะพึงเกิด และยังมีทุนจากการใช้ทุกข์ เพื่อใช้กรรม เพิ่มจากทุกข์ในการทานสมุนไพรส่วนหนึ่ง และทุกข์จากวินัยธรรม ได้บุญไปใช้กรรมส่วนหนึ่ง ... การช่วยตน ไม่ว่าจากโรคใดๆ ย่อมเป็นไปได เพราะเมื่อใช้หนึ้ จะมากสักฉันใด เมื่อก้มหน้าก้มตาทำใช้ สักวันหนี้ต้องหมด ...
ตรวจสอบตนเอง เมื่อไม่คิดจะทำ หรือทำไม่ได้ ก็ควรที่จะบ้านใครบ้านมัน ไปทำในสิ่งที่ตนชอบดีกว่า ...
กรรมฐานของแม่ชีเมี้ยนจึงต้องลืมตา ผจญเหตุ ... เพราะหากหลับตา ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด ... ประเภทที่หลับตาแล้วเห็น .. เขาเรียกพวกคนบ้า
คิดสักนิด
คนที่เป็นแพทย์ นับจากอดีตโบราณกาลมา มักต้องมีความสามารถที่จัดว่าเชี่ยวชาญสองอย่าง อย่างแรกก็คือ การวินิจฉัยโรค อย่างที่สองที่สำคัญมากนั่นคือ การปรุงยาที่ใช้ในการรักษา
แพทย์ท่านใดวินิจฉัยได้แม่นยำ อาจจะไม่สามารถรักษาโรคนั้นๆได้ ก็มีมากหลาย ดั่งจะเห็นได้จากหนังจีน ที่ตัวเอก หรือแม้แต่ฮ่องเต้เอง ที่เมื่อตรวจแล้ว รู้ว่าเป็นอะไร แต่รักษาไม่ได้ นั่นคือ ไม่รู้ว่าต้องใช้ยาอะไร กระบวนการใดในการรักษา
กระบวนการทั้งสองอย่างนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จักต้องมีในคนๆเดียวกัน เพื่อรักษาโรคที่เป้น หากแต่ปัจจุบัน ที่สั่งสอนให้เรียนตามหลักสูตรฝรั่ง กลายเป็นต้องแยกส่วนออกจากกัน กลายเป็นคนที่เรียกว่าหมอ มีหน้าที่วินิจฉัย แล้วเลือกยา ส่วนคนที่ปรุงยา ไม่มีหน้าที่วินิจฉัย เรียกว่าเภสัชกร
เมื่อคนเหล่านี้ไปประกอบวิชาชีพ จึงต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ สำหรับคนวินิจฉัย และใบประกอบเวชกรรม สำหรับเภสัชกร
เรียกว่าได้ครึ่งๆ กลางๆ ทั้งสองฝ่าย แต่ก็ได้รับการยอมรับ นำชีวิตไปวางไว้ อย่างไม่เคยลังเล สงสัย หรือระแวงใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อมาพบพหูสูตรของพระพุทธเจ้า เราท่านจึงต้องฟังและเรียนรู้ เพื่อช่วยตน จึงจำเป็นต้องรู้ถึงเหตุที่มาของโรค ลักษณะอาการ ที่จะพึงเกิด และกระบวนการใช้สมุนไพร ปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะที่บังเกิด เพราะหมอที่ช่วยตนของเราได้ มีคนเดียวก็คือตัวของเราเองนั่นแหละ เพราะรู้ดีกว่าใครทั้งหมด จึงเรียกความรู้นี้ว่า "รู้ได้เฉพาะตน"
ตัวอย่างที่เด่นชัด คือ คนไข้ฝรั่งเศส ที่หมอฝรั่งเศสผ่าตัดมะเร็งลำไส้เสร็จ ก็ยังแก้ปัญหาไม่ตก จนต้องให้กลับไปตายบ้าน เมื่อพี่ชาย นำกลับมาอยู่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดของไทย หมอจัดการเข้าคอร์สคีโม ก็มีแต่ทรุดลง และแก้ปัญหาไม่ได้ จนท้ายที่สุดให้ย้ายไป ศิริราช โดยกล่าวอ้างว่ามีเครื่องมือที่ทันสมัยเฉพาะโรคมะเร็งดีกว่า และในที่สุดหมอก็บอกพี่ชายคนไข้ว่า ขออนุญาตนำสายอาหารออก และปล่อยให้คนไข้ตาย ...อันเป็นวาจาอมตะ ... สุดความสามารถ
การวินิจฉัยที่ผิด ต้นเหตุที่มีเพียงนิดเดียว จึงนำมาซึ่งความเลวร้ายของคนไข้ เมื่อพี่ชายมาขอให้ช่วย หลวงพ่อนิพนธ์ก็วินิจฉัย แล้วรีบให้พี่ชายบอกหมอให้เสียบสายป้อนอาหารกลับเข้าเหมือนเดิม และแก้ปัญหาที่ตรงจุด นั่นคือ แผลที่เกิดจากผ่าตัดของหมอฝรั่งเศส และหยุดการเติบโตของก้อนเนื้อมะเร็งที่ลำไส้ให้ได้ก่อน
จากที่มีเลือดออกทางทวารตลอด แต่ไม่เคยถ่ายเลยกว่าครึ่งปี ตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลฝรั่งเศส จนศิริราช ทานอะไรไม่ได้แม้แต่น้ำ อาเจียนหมด ผ่านไปสัปดาห์แรก เลือดหยุดไหล เริ่มถ่าย อาหารที่ป้อนทางสายยาง ถูกย่อย และขับถ่ายออกมา
ถึงสัปดาห์ที่สาม การขับถ่ายเริ่มเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป ระบบการทานเริ่มกลับมาเหมือนปกติ สามารถถอดสายป้อนอาหาร แล้วทานเองได้ ...
ปัญหาเพียงนิดเดียวที่ลำไส้ เมื่อเจอคนวินิจฉัยผิด แล้วนำชีวิตไปวางไว้ให้ ด้วยวางใจในรูปลักษณ์ความน่าเชื่อถือที่ตาเห็น ทำให้แทบจะต้องทิ้งชีวิตไป เสียเงินไม่ว่า กลับต้องเกือบจะเสียชีวิต
วันนี้หมอเห็นคนไข้ มาขออนุญาติพี่ชาย เพื่อเป็นเคสกรณีศึกษา ขอตรวจชิ้นเนื้อ ขอส่องกล้อง ... เพราะสงสัยว่า เป็นไปได้อย่างไร
สถานที่นี้ มีคนหายเดินให้เห็นอย่างมากมาย แต่ก็มักมีคำถามที่ได้ยินเสมอ "กี่วันหาย" ... ได้ยินแล้วสะดุ้ง ... ก็พวกคุณไปหาหมอมา เรียกว่า นานจนลืมไปแล้วว่าวันแรกที่ไปนั้นเมื่อไหร่ ไม่เคยได้ยินคุณถามหมอเหล่านั้นสักครั้งว่า กี่วันหาย ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นคนรอด ... แต่มาที่นี่ ถามซะง้ัน ...
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม โฆษณาในทีวี จึงต้องอวดอ้างสรรพคุณ และต้องมีไฮไลท์ ให้ชมทุกครั้งด้วยการสัมภาษณ์บุคคลที่ใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆว่า ทานไปนานแค่ไหน ... โอโห ท่านผู้ชมครับ เพียงแค่กล่องแรกเท่านั้น ก็เห็นผล อาการดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ .... ช่างถูกใจคน และรู้นิสัยคนแท้ๆ ...
ศาสน์ คือหลักเหตุและผล เอาไปตรองดู จักเดินตามใคร ก็ต้องดูผู้นำว่าเกิดผลเช่นไร เคยถามหมอไหม หมอเป็นโรคหรือเปล่า .. ก็ถ้าผู้นำยังช่วยตนไม่ได้ แล้ววางใจให้มาช่วยตนของเราได้อย่างไร ...
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ฝรั่งเขาไม่ศึกษาค้นคว้าหายารักษาโรคหรอก เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ ไม่มี สิ่งที่ค้นคว้านั่นคือ นิสัยของมนุษย์ต่างหาก ว่าชอบสิ่งใด แล้วจึงสร้างผลิตภัณฑ์มาตอบสนองความต้องการนั้นๆ
จึงไม่แปลกที่เมื่อเราปวดหัว จึงไม่มียารักษาอาการที่ทำให้ปวดมาขายเลย จะมีก็แต่ยาระงับอาการปวดที่ทานปุ๊บหายปั๊บ ให้เป็นที่ชี่นชอบ ติดอกติดใจ หากเมื่อหมดฤทธิ์ยา อาการปวดก็เวียนวนมาอีก เพราะปัญหาต้นเหตุไม่ได้แก้ ก็คว้ายามาทานอีก แล้วก็ดีอกดีใจ ไม่สนที่จะแก้ต้นเหตุ จนในที่สุดเมื่อฤทธิ์ยาเอาไม่อยู่ วันนั้นแหละนรกแตก มาเยือน จึงวิ่งแจ้นหาทางกันจ้าหละหวั่น เพราะกลัวตาย...
เมื่อเจอของจริง นั่นคือคนไข้โคม่า หมอไหนที่ว่าแน่ อาจารย์ไหนที่ว่าแจ๋ว ไม่ว่าที่ใด ล้วนปฏิเสธหมด ... แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า สิ่งที่คนเหล่านั้นกระทำ นั่นคือ การหากินกับพรหมลิขิต ก็เท่านั้นเอง เมื่อคนผู้นั้นยังไม่ถึงที่ ยังไงเขาก็ต้องรอดเพื่ออยู่จนครบพรหมลิขิตกรรมที่ทำมา ... แต่คนเหล่านั้นใช้เป็นข้ออ้างว่า รอดได้เพราะพวกเขา...
แพทย์ท่านใดวินิจฉัยได้แม่นยำ อาจจะไม่สามารถรักษาโรคนั้นๆได้ ก็มีมากหลาย ดั่งจะเห็นได้จากหนังจีน ที่ตัวเอก หรือแม้แต่ฮ่องเต้เอง ที่เมื่อตรวจแล้ว รู้ว่าเป็นอะไร แต่รักษาไม่ได้ นั่นคือ ไม่รู้ว่าต้องใช้ยาอะไร กระบวนการใดในการรักษา
กระบวนการทั้งสองอย่างนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จักต้องมีในคนๆเดียวกัน เพื่อรักษาโรคที่เป้น หากแต่ปัจจุบัน ที่สั่งสอนให้เรียนตามหลักสูตรฝรั่ง กลายเป็นต้องแยกส่วนออกจากกัน กลายเป็นคนที่เรียกว่าหมอ มีหน้าที่วินิจฉัย แล้วเลือกยา ส่วนคนที่ปรุงยา ไม่มีหน้าที่วินิจฉัย เรียกว่าเภสัชกร
เมื่อคนเหล่านี้ไปประกอบวิชาชีพ จึงต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ สำหรับคนวินิจฉัย และใบประกอบเวชกรรม สำหรับเภสัชกร
เรียกว่าได้ครึ่งๆ กลางๆ ทั้งสองฝ่าย แต่ก็ได้รับการยอมรับ นำชีวิตไปวางไว้ อย่างไม่เคยลังเล สงสัย หรือระแวงใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อมาพบพหูสูตรของพระพุทธเจ้า เราท่านจึงต้องฟังและเรียนรู้ เพื่อช่วยตน จึงจำเป็นต้องรู้ถึงเหตุที่มาของโรค ลักษณะอาการ ที่จะพึงเกิด และกระบวนการใช้สมุนไพร ปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะที่บังเกิด เพราะหมอที่ช่วยตนของเราได้ มีคนเดียวก็คือตัวของเราเองนั่นแหละ เพราะรู้ดีกว่าใครทั้งหมด จึงเรียกความรู้นี้ว่า "รู้ได้เฉพาะตน"
ตัวอย่างที่เด่นชัด คือ คนไข้ฝรั่งเศส ที่หมอฝรั่งเศสผ่าตัดมะเร็งลำไส้เสร็จ ก็ยังแก้ปัญหาไม่ตก จนต้องให้กลับไปตายบ้าน เมื่อพี่ชาย นำกลับมาอยู่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดของไทย หมอจัดการเข้าคอร์สคีโม ก็มีแต่ทรุดลง และแก้ปัญหาไม่ได้ จนท้ายที่สุดให้ย้ายไป ศิริราช โดยกล่าวอ้างว่ามีเครื่องมือที่ทันสมัยเฉพาะโรคมะเร็งดีกว่า และในที่สุดหมอก็บอกพี่ชายคนไข้ว่า ขออนุญาตนำสายอาหารออก และปล่อยให้คนไข้ตาย ...อันเป็นวาจาอมตะ ... สุดความสามารถ
การวินิจฉัยที่ผิด ต้นเหตุที่มีเพียงนิดเดียว จึงนำมาซึ่งความเลวร้ายของคนไข้ เมื่อพี่ชายมาขอให้ช่วย หลวงพ่อนิพนธ์ก็วินิจฉัย แล้วรีบให้พี่ชายบอกหมอให้เสียบสายป้อนอาหารกลับเข้าเหมือนเดิม และแก้ปัญหาที่ตรงจุด นั่นคือ แผลที่เกิดจากผ่าตัดของหมอฝรั่งเศส และหยุดการเติบโตของก้อนเนื้อมะเร็งที่ลำไส้ให้ได้ก่อน
จากที่มีเลือดออกทางทวารตลอด แต่ไม่เคยถ่ายเลยกว่าครึ่งปี ตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลฝรั่งเศส จนศิริราช ทานอะไรไม่ได้แม้แต่น้ำ อาเจียนหมด ผ่านไปสัปดาห์แรก เลือดหยุดไหล เริ่มถ่าย อาหารที่ป้อนทางสายยาง ถูกย่อย และขับถ่ายออกมา
ถึงสัปดาห์ที่สาม การขับถ่ายเริ่มเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป ระบบการทานเริ่มกลับมาเหมือนปกติ สามารถถอดสายป้อนอาหาร แล้วทานเองได้ ...
ปัญหาเพียงนิดเดียวที่ลำไส้ เมื่อเจอคนวินิจฉัยผิด แล้วนำชีวิตไปวางไว้ให้ ด้วยวางใจในรูปลักษณ์ความน่าเชื่อถือที่ตาเห็น ทำให้แทบจะต้องทิ้งชีวิตไป เสียเงินไม่ว่า กลับต้องเกือบจะเสียชีวิต
วันนี้หมอเห็นคนไข้ มาขออนุญาติพี่ชาย เพื่อเป็นเคสกรณีศึกษา ขอตรวจชิ้นเนื้อ ขอส่องกล้อง ... เพราะสงสัยว่า เป็นไปได้อย่างไร
สถานที่นี้ มีคนหายเดินให้เห็นอย่างมากมาย แต่ก็มักมีคำถามที่ได้ยินเสมอ "กี่วันหาย" ... ได้ยินแล้วสะดุ้ง ... ก็พวกคุณไปหาหมอมา เรียกว่า นานจนลืมไปแล้วว่าวันแรกที่ไปนั้นเมื่อไหร่ ไม่เคยได้ยินคุณถามหมอเหล่านั้นสักครั้งว่า กี่วันหาย ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นคนรอด ... แต่มาที่นี่ ถามซะง้ัน ...
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม โฆษณาในทีวี จึงต้องอวดอ้างสรรพคุณ และต้องมีไฮไลท์ ให้ชมทุกครั้งด้วยการสัมภาษณ์บุคคลที่ใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆว่า ทานไปนานแค่ไหน ... โอโห ท่านผู้ชมครับ เพียงแค่กล่องแรกเท่านั้น ก็เห็นผล อาการดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ .... ช่างถูกใจคน และรู้นิสัยคนแท้ๆ ...
ศาสน์ คือหลักเหตุและผล เอาไปตรองดู จักเดินตามใคร ก็ต้องดูผู้นำว่าเกิดผลเช่นไร เคยถามหมอไหม หมอเป็นโรคหรือเปล่า .. ก็ถ้าผู้นำยังช่วยตนไม่ได้ แล้ววางใจให้มาช่วยตนของเราได้อย่างไร ...
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ฝรั่งเขาไม่ศึกษาค้นคว้าหายารักษาโรคหรอก เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ ไม่มี สิ่งที่ค้นคว้านั่นคือ นิสัยของมนุษย์ต่างหาก ว่าชอบสิ่งใด แล้วจึงสร้างผลิตภัณฑ์มาตอบสนองความต้องการนั้นๆ
จึงไม่แปลกที่เมื่อเราปวดหัว จึงไม่มียารักษาอาการที่ทำให้ปวดมาขายเลย จะมีก็แต่ยาระงับอาการปวดที่ทานปุ๊บหายปั๊บ ให้เป็นที่ชี่นชอบ ติดอกติดใจ หากเมื่อหมดฤทธิ์ยา อาการปวดก็เวียนวนมาอีก เพราะปัญหาต้นเหตุไม่ได้แก้ ก็คว้ายามาทานอีก แล้วก็ดีอกดีใจ ไม่สนที่จะแก้ต้นเหตุ จนในที่สุดเมื่อฤทธิ์ยาเอาไม่อยู่ วันนั้นแหละนรกแตก มาเยือน จึงวิ่งแจ้นหาทางกันจ้าหละหวั่น เพราะกลัวตาย...
เมื่อเจอของจริง นั่นคือคนไข้โคม่า หมอไหนที่ว่าแน่ อาจารย์ไหนที่ว่าแจ๋ว ไม่ว่าที่ใด ล้วนปฏิเสธหมด ... แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า สิ่งที่คนเหล่านั้นกระทำ นั่นคือ การหากินกับพรหมลิขิต ก็เท่านั้นเอง เมื่อคนผู้นั้นยังไม่ถึงที่ ยังไงเขาก็ต้องรอดเพื่ออยู่จนครบพรหมลิขิตกรรมที่ทำมา ... แต่คนเหล่านั้นใช้เป็นข้ออ้างว่า รอดได้เพราะพวกเขา...
วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
กำลังแห่มาแล้ว
วันนี้คนไข้สะเก็ดเงินก็หายเกือบเป็นปกติแล้ว เรียกว่าลอกคราบใหม่ทั้งตัว ไม่หลงเหลือรอยใดๆ ให้เห็นถ้าไม่บอก ก็กำลังจะขอลากลับอเมริกาในเร็ววันนี้
แต่ยังไม่ทันกลับ สัปดาห์นี้ ก็มีคนไข้อเมริกา พากันมาหมู่ใหญ่ พร้อมกับเรื่องเล่าเก่าๆ ที่ฟังจนชินหู นั่นคือ การถูกปฏิเสธจากหมอที่จะรับรักษาต่อไป นั่นคือ วาจาอมตะ ที่ให้พาคนไข้กลับไปตายบ้านนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ก็รับไว้ที่ชมรม มานั่งผีลุก ปลุกผีนั่ง จัดคนป้อนสมุนไพร และคอยดูอาการตลอดเวลา ทุกคนที่มา เรียกได้ว่า คนไข้พร้อมจะไปได้ทุกนาที แต่ก็สู้ ....
ส่วนคนไข้ที่เป็นภรรยาทหาร ที่ดิ้นทุรนทุราย ใส่รถมา อาการก็เริ่มตอบสนองสมุนไพร สงบลง และอาการที่นอนไม่หลับ จากการลงแดงสารเคมี ก็หายไป เริ่ม ทานได้ นอนหลับ สร้างความหวังแก่สามี และบุตร อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนเห็นคนไข้นอนดิ้นทั้งวันทั้งคืน
อาการของคนไข้ฝรั่งเศส ที่ให้พี่ชายร้องขอให้หมอสอดสายอาหารกลับเข้าไป แล้วป้อนสมุนไพร มาวันนี้ คนไข้เลือดหยุดไหล เริ่มทานอาหารและถ่ายเป็นปกติ หลังจากไม่เคยถ่ายเลยกว่าครึ่งปี
หลวงพ่อนิพนธ์จึงถามพี่ชายคนไข้ว่า แล้วหมอเขายอมให้ป้อนสมุนไพรหรือ คำตอบก็คือ ไม่ให้ แต่ใช้วิธี เลิกจ้างนางพยาบาลพิเศษ แล้วทำเองทั้งหมด
นี่น่าจะเป็นบทสรุปให้พิจารณาความจริงว่า สำหรับโรค มันเกิดจากกรรม ดังนั้น จึงไม่มีทางที่จะอาศัยความคิดจากมนุษย์มาแก้ไข และที่สำคัญ ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ไม่ว่าจะทุ่มเทสักฉันใด ผลที่สุด ไม่เพียงแต่เสียเงิน แม้แต่ชีวิตก็จะไม่รอด ...
ทางเลือกสายนี้ กำลังเปล่งแสงสว่างให้คนเห็นวงกว้างขึ้น ... หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเล่นๆ ว่า มีลางสังหรณ์ว่า อีกไม่นาน คนพวกนี้จะแห่กันมาแล้ว
คนที่พยายามช่วยตน มีขันติ อดทน และหันมาปฏิบัติตามธรรมคำสอนของพระภูมี จนประสพผลสำเร็จ จึงจัดว่าเป็นพระมาลัยที่ไปโปรดสัตว์ตามที่ต่างๆ ของโลกนี้ ให้ได้เห็น ได้สัมผัส แล้วอยากมาเดินรอยตาม ... จงภูมิใจ และยืดอกได้อย่างเต็มภาคภูมิ ว่าท่านคือ สาวกที่เดินตามรอยของพระภูมีอย่างแท้จริง
เรื่องฮาไม่ออก เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้า ในขณะที่คนจากอเมริกาบินข้ามมาหาสมุนไพรพระภูมีเพื่อรอด แต่พี่น้องคนไทยบินข้ามไปหาหมอเมืองนอกเพื่อตาย ... และยิ่งช้ำไปกว่านั้นอีก เพราะเขาบินมาไม่เพียงรอด แต่ยังรักษาฟรี ในขณะที่คนไทย ไม่เพียงไม่รอด แต่ยังต้องหอบสมบัติที่ทำมาทั้งชีวิต รวมทั้งกู้หนี้ยืมสิน ไปให้...
วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ย่นระยะทาง
การไปพม่าครั้งนี้ ข่าวที่น่ายินดีอย่างยิ่ง นั่นคือ หลวงพ่อนิพนธ์ได้รับอนุญาตจากแม่ชีเมี้ยน ให้ทำสมุนไพรอีกหนึ่งตัว
เมื่อเปรียบเทียบ ประสิทธิภาพ หรือ วัดจากการหวังผล อันดับแรกก็ต้องให้แก่ การบวชปฏิบัติ แล้วทานสมุนไพร ซึ่งให้ผลค่อนข้างมั่นใจได้ในผลสำเร็จ
อันดับถัดมา ก็ต้องอาศัยสมุนไพรตัวที่หลวงพ่อนิพนธ์เพิ่งได้รับอนุญาตให้จัดทำได้อีกครั้ง ที่ซึ่งเป็นสมุนไพรสร้างชื่อให้กับถ้ำกระบอกในอดีต นั่นคือ "ยาตัด" หรือที่หลายคนรู้จักในนาม "ยาอ๊วก" นั่นเอง
เมื่อการไปครั้งนี้ ทำให้คนป่วยมีหนทางที่จะย่นย่อระยะเวลาในการรักษาตนให้เร็วขึ้น ทั้งนี้เพราะประสิทธิภาพของยาตัด ที่แม่ชีเมี้ยนเรียกว่า "ยาตรวจโรค" มีคุณสมบัติที่เฉียบขาด รวดเร็ว ในการค้นหาโรคหรืออาการ ที่อยู่ในร่างกายทุกตารางนิ้ว และก่อให้เกิดอาการที่เรียกว่า "รีดโรค หรือ แซะโรค" แล้วรีดมาอยู่ในกระเพาะ เพื่อนำออกโดยการอาเจียน
อันจะเห็นได้จาก หนังเรื่อง "น้ำพุ" หรือสารคดีของถ้ำกระบอกในอดีตนั่นเอง
กระบวนการที่แม่ชีเมี้ยนกำหนดในอดีต จึงเริ่มด้วยการใช้สมุนไพรชนิดนี้ เพื่อกำจัดโรคออกจากร่างกายเสียก่อน แล้วจึงใช้สมุนไพรชนิดอื่น ตามมาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ดังนั้น ในอดีตจึงมีคำกล่าวว่า โรคใดๆ มักจะจบด้วยการทานสมุนไพรชนิดนี้ ประมาณ ๕ แก้ว
หากแต่วิธีนี้มีข้อจำกัดในการใช้ อันทำให้ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน นั่นคือ ต้องอาศัยคุณสมบัติของผู้ทานประกอบ
ดังเช่นคำทักท้วงของท่านผู้หญิงที่มีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ ว่าทำไมปัจจุบันนี้ คนที่ทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงไม่ต้องมีข้อกำหนดหรือวัตรปฏิบัติอันใดเลย ก็ด้วยไม่ได้ใช้สมุนไพรตัวนี้นั่นเอง
ดังนั้น การที่คนใดจะได้เดินเส้นทางนี้ ก็ต้องผ่านการพิจารณาคุณสมบัติจากหลวงพ่อนิพนธ์ก่อน
ภาพในอดีตของคนไข้ท่านหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนหลวงพ่อนิพนธ์ รู้ว่ามีสมุนไพรดี แต่ความเป็นเพื่อน ทำให้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เมื่อเกิดอาการโรคมะเร็ง หลวงพ่อนิพนธ์ก็จัดสมุนไพรตัวนี้ให้ทาน ผลที่ปรากฎก็คือ ไม่ว่าจะทานไปกี่แก้ว เพื่อนของท่านก็ไม่มีอาการอะไรปรากฎตอบสนองสมุนไพรเลย ทานแล้วเหมือนไม่ได้ทาน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เพราะเขาขาดคุณสมบัตินั่นเอง ทำให้สมุนไพรขวดเดียวกัน มีผลกับคนอื่น แต่ไม่มีผลกับเพื่อนคนนี้เลย
หนทางเล็กๆนี้ ที่หวังผลได้เช่นกัน จึงเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติเท่านั้นเอง
หากแต่การเข้าประเทศพม่าก็ไม่เสียเปล่า เพราะทำให้ได้หนทางที่ย่นระยะทางอีกหนทางหนึ่ง นั่นคือ อาศัยการเกาะผ้าเหลือง หรือผู้ปฏิบัติ ดั่งเช่นพระถ้ำกระบอกในอดีต
กระบวนการนี้ ก็ต้องอาศัยดั้นด้นไปยังสำนักของแม่ชีเมี้ยนในพม่า ที่ซึ่งมีพระฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ ปฏิบัติตน ตัดกิเลส ตามรอยพระภูมี หากได้มีโอกาสไปตักบาตรสักครั้ง หรือ ไปร่วมสนับสนุนกิจกรรมของพระที่นั่น การทานสมุนไพรก็จักบังเกิดผลเร็วขึ้นเช่นดั่งถ้ำกระบอกในอดีต
ตอนนี้ด่านพม่าทางช่องบ้านเก่า ก็ได้ฤกษ์เปิดเป็นด่านถาวรแล้ว ... ประตูนี้จึงเรียกว่าเริ่มเปิดแล้วเช่นกัน
สำหรับกระบวนการที่ทำอยู่ในตอนนี้ เรียกได้ว่าช้าที่สุด จะหวังผลได้ก็น้อย เพราะต้องพึ่งผู้ทานเป็นสำคัญ อาศัยแรงตนเองช่วยตนเพียงอย่างเดียว ใครทำได้ จึงรอด
หนทางแห่งการหายโรคทั้ง ๔ หนทาง ใครจะเลือกทางไหน ก็พิจารณา แล้วเดิน .... แต่ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ทำให้การช่วยตนให้หายโรค ไม่ว่าโรคอะไร เป็นไปได้ทั้งหมด ... จะช้าเร็ว ยากง่าย ก็ตามแต่หนทางที่เลือกเดินเท่านั้นเอง
เมื่อเปรียบเทียบ ประสิทธิภาพ หรือ วัดจากการหวังผล อันดับแรกก็ต้องให้แก่ การบวชปฏิบัติ แล้วทานสมุนไพร ซึ่งให้ผลค่อนข้างมั่นใจได้ในผลสำเร็จ
อันดับถัดมา ก็ต้องอาศัยสมุนไพรตัวที่หลวงพ่อนิพนธ์เพิ่งได้รับอนุญาตให้จัดทำได้อีกครั้ง ที่ซึ่งเป็นสมุนไพรสร้างชื่อให้กับถ้ำกระบอกในอดีต นั่นคือ "ยาตัด" หรือที่หลายคนรู้จักในนาม "ยาอ๊วก" นั่นเอง
เมื่อการไปครั้งนี้ ทำให้คนป่วยมีหนทางที่จะย่นย่อระยะเวลาในการรักษาตนให้เร็วขึ้น ทั้งนี้เพราะประสิทธิภาพของยาตัด ที่แม่ชีเมี้ยนเรียกว่า "ยาตรวจโรค" มีคุณสมบัติที่เฉียบขาด รวดเร็ว ในการค้นหาโรคหรืออาการ ที่อยู่ในร่างกายทุกตารางนิ้ว และก่อให้เกิดอาการที่เรียกว่า "รีดโรค หรือ แซะโรค" แล้วรีดมาอยู่ในกระเพาะ เพื่อนำออกโดยการอาเจียน
อันจะเห็นได้จาก หนังเรื่อง "น้ำพุ" หรือสารคดีของถ้ำกระบอกในอดีตนั่นเอง
กระบวนการที่แม่ชีเมี้ยนกำหนดในอดีต จึงเริ่มด้วยการใช้สมุนไพรชนิดนี้ เพื่อกำจัดโรคออกจากร่างกายเสียก่อน แล้วจึงใช้สมุนไพรชนิดอื่น ตามมาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ดังนั้น ในอดีตจึงมีคำกล่าวว่า โรคใดๆ มักจะจบด้วยการทานสมุนไพรชนิดนี้ ประมาณ ๕ แก้ว
หากแต่วิธีนี้มีข้อจำกัดในการใช้ อันทำให้ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน นั่นคือ ต้องอาศัยคุณสมบัติของผู้ทานประกอบ
ดังเช่นคำทักท้วงของท่านผู้หญิงที่มีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ ว่าทำไมปัจจุบันนี้ คนที่ทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงไม่ต้องมีข้อกำหนดหรือวัตรปฏิบัติอันใดเลย ก็ด้วยไม่ได้ใช้สมุนไพรตัวนี้นั่นเอง
ดังนั้น การที่คนใดจะได้เดินเส้นทางนี้ ก็ต้องผ่านการพิจารณาคุณสมบัติจากหลวงพ่อนิพนธ์ก่อน
ภาพในอดีตของคนไข้ท่านหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนหลวงพ่อนิพนธ์ รู้ว่ามีสมุนไพรดี แต่ความเป็นเพื่อน ทำให้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เมื่อเกิดอาการโรคมะเร็ง หลวงพ่อนิพนธ์ก็จัดสมุนไพรตัวนี้ให้ทาน ผลที่ปรากฎก็คือ ไม่ว่าจะทานไปกี่แก้ว เพื่อนของท่านก็ไม่มีอาการอะไรปรากฎตอบสนองสมุนไพรเลย ทานแล้วเหมือนไม่ได้ทาน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เพราะเขาขาดคุณสมบัตินั่นเอง ทำให้สมุนไพรขวดเดียวกัน มีผลกับคนอื่น แต่ไม่มีผลกับเพื่อนคนนี้เลย
หนทางเล็กๆนี้ ที่หวังผลได้เช่นกัน จึงเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติเท่านั้นเอง
หากแต่การเข้าประเทศพม่าก็ไม่เสียเปล่า เพราะทำให้ได้หนทางที่ย่นระยะทางอีกหนทางหนึ่ง นั่นคือ อาศัยการเกาะผ้าเหลือง หรือผู้ปฏิบัติ ดั่งเช่นพระถ้ำกระบอกในอดีต
กระบวนการนี้ ก็ต้องอาศัยดั้นด้นไปยังสำนักของแม่ชีเมี้ยนในพม่า ที่ซึ่งมีพระฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ ปฏิบัติตน ตัดกิเลส ตามรอยพระภูมี หากได้มีโอกาสไปตักบาตรสักครั้ง หรือ ไปร่วมสนับสนุนกิจกรรมของพระที่นั่น การทานสมุนไพรก็จักบังเกิดผลเร็วขึ้นเช่นดั่งถ้ำกระบอกในอดีต
ตอนนี้ด่านพม่าทางช่องบ้านเก่า ก็ได้ฤกษ์เปิดเป็นด่านถาวรแล้ว ... ประตูนี้จึงเรียกว่าเริ่มเปิดแล้วเช่นกัน
สำหรับกระบวนการที่ทำอยู่ในตอนนี้ เรียกได้ว่าช้าที่สุด จะหวังผลได้ก็น้อย เพราะต้องพึ่งผู้ทานเป็นสำคัญ อาศัยแรงตนเองช่วยตนเพียงอย่างเดียว ใครทำได้ จึงรอด
หนทางแห่งการหายโรคทั้ง ๔ หนทาง ใครจะเลือกทางไหน ก็พิจารณา แล้วเดิน .... แต่ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ทำให้การช่วยตนให้หายโรค ไม่ว่าโรคอะไร เป็นไปได้ทั้งหมด ... จะช้าเร็ว ยากง่าย ก็ตามแต่หนทางที่เลือกเดินเท่านั้นเอง
วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เกร็ดศาสนา
ในประเทศพม่า ไม่ว่าจะไปในแห่งหนตำบลใดที่มีวัดวาอาราม สิ่งหนึ่งที่จักได้เห็นนั่นคือ ตำนานของพระพุทธศาสนา
อันตำนานของพระภูมีที่กล่าวถึงการสืบทอดกันมาของพระพุทธเจ้าในแต่ละยุค จนมาถึง ยุคหลังๆ ที่ยังมีให้ศึกษา คือ พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์
คงไม่คิดจะไล่ชื่อให้ดู หากแต่ในตำนานนั้น เรียกยุคหลังสุดว่า "ภัทรกัปล์" อันหมายถึงพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นแล้ว ๔ พระองค์ ได้แก่ พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสปะ และพระโคดม รวมถึงพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะอุบัติ นั่นคือ พระศรีอารย์
ด้วยรอบของการอุบัติพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เพื่อมาสังคายนาศาสนา มีรอบ ๒๕๐๐ ปี นั่นหมายความว่า ช่วงปลายสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ต่อเชื่อมกับพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ สภาพของมนุษย์ ต้องประสพชะตากรรม จากกรรมที่ทำมาอย่างร้ายแรง นั่นคือ เกิดอาเพท ทั่วไป แล้วจึงมีพระพุทธเจ้ามาดับยุคเข็ญ
หยิบมาเล่าให้ฟัง เพราะไม่เคยได้ยินพระอื่นใดในประเทศนี้ ชี้ให้เห็น และหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า กิจกรรมที่ทำ นี่แหละแนวทางของพระภูมีที่แท้จริง เป็นการทำเพื่อเตรียมตัวรับพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ พร้อมกับทำเพื่อป้องกันเหตุที่จะพึงเกิดนี้
หลายคนกำลังรอนวัตกรรมใหม่อย่างใจจรดใจจ่อ และปลื้มกับเทคโนโลยีนั้นๆ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สิ่งที่เป็นสาระน่ารู้ เพื่อเตรียมตัวรับมือ กลับไม่รู้
และเมื่อหายนะมาถึง ทางรอดก็อยู่ไกล จะกลับตัวก็ไม่ทัน จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่กล่าวกันว่า เมื่องไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ไม่รู้เรื่องนี้เลย
ตื่นตัว และมาทำตัวรอพระพุทธเจ้าที่กำลังจะอุบัติ ดีกว่าไหม ... เอาตัวรอด จากเหตุที่กำลังจะมา ... ไม่ต้องรอหมอดูมาทำนายหรอก เพราะมันพิสูจน์มาทุกยุคทุกสมัยของพระภูมีแล้ว
เพราะมียุคเข็ญ ทุกยุคจึงต้องมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเพื่อสอนให้คนทำตาม ดับยุคเข็ญ.... หวังพึ่งเทคโนโลยี่หรือ ... ประเทศนั้นๆมันยังเอาตัวไม่รอดเลย
มารอดูกัน ... ว่าเพ้อเจ้อ .... หรือ เรื่องจริง ....
อันตำนานของพระภูมีที่กล่าวถึงการสืบทอดกันมาของพระพุทธเจ้าในแต่ละยุค จนมาถึง ยุคหลังๆ ที่ยังมีให้ศึกษา คือ พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์
คงไม่คิดจะไล่ชื่อให้ดู หากแต่ในตำนานนั้น เรียกยุคหลังสุดว่า "ภัทรกัปล์" อันหมายถึงพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นแล้ว ๔ พระองค์ ได้แก่ พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสปะ และพระโคดม รวมถึงพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะอุบัติ นั่นคือ พระศรีอารย์
ด้วยรอบของการอุบัติพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เพื่อมาสังคายนาศาสนา มีรอบ ๒๕๐๐ ปี นั่นหมายความว่า ช่วงปลายสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ต่อเชื่อมกับพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ สภาพของมนุษย์ ต้องประสพชะตากรรม จากกรรมที่ทำมาอย่างร้ายแรง นั่นคือ เกิดอาเพท ทั่วไป แล้วจึงมีพระพุทธเจ้ามาดับยุคเข็ญ
หยิบมาเล่าให้ฟัง เพราะไม่เคยได้ยินพระอื่นใดในประเทศนี้ ชี้ให้เห็น และหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า กิจกรรมที่ทำ นี่แหละแนวทางของพระภูมีที่แท้จริง เป็นการทำเพื่อเตรียมตัวรับพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ พร้อมกับทำเพื่อป้องกันเหตุที่จะพึงเกิดนี้
หลายคนกำลังรอนวัตกรรมใหม่อย่างใจจรดใจจ่อ และปลื้มกับเทคโนโลยีนั้นๆ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สิ่งที่เป็นสาระน่ารู้ เพื่อเตรียมตัวรับมือ กลับไม่รู้
และเมื่อหายนะมาถึง ทางรอดก็อยู่ไกล จะกลับตัวก็ไม่ทัน จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่กล่าวกันว่า เมื่องไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ไม่รู้เรื่องนี้เลย
ตื่นตัว และมาทำตัวรอพระพุทธเจ้าที่กำลังจะอุบัติ ดีกว่าไหม ... เอาตัวรอด จากเหตุที่กำลังจะมา ... ไม่ต้องรอหมอดูมาทำนายหรอก เพราะมันพิสูจน์มาทุกยุคทุกสมัยของพระภูมีแล้ว
เพราะมียุคเข็ญ ทุกยุคจึงต้องมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเพื่อสอนให้คนทำตาม ดับยุคเข็ญ.... หวังพึ่งเทคโนโลยี่หรือ ... ประเทศนั้นๆมันยังเอาตัวไม่รอดเลย
มารอดูกัน ... ว่าเพ้อเจ้อ .... หรือ เรื่องจริง ....
วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ฟ้าเริ่มเปิด
ดังนั้น ทิศทางลม ที่ต้องดูเสมออันเป็นสัญญาณของฟ้าดิน มักกล่าวเสมอ นั่นคือ สมุนไพรนั่นเอง หากเขาให้ เราก็จักได้พบ
หลวงพ่อนิพนธ์เล่าย้อนเมื่อครั้งอดีตเรียนสมุนไพรกับแม่ชีเมี้ยนให้ฟังว่า เมื่อครั้งนั้นแม่ชีเมี้ยนสอนให้ดูสมุนไพรชนิดหนึ่ง แล้วกล่าวว่าเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมาก เมื่อสอนเสร็จก็ให้หลวงพ่อนิพนธ์เดินเข้าไปหาในป่า หลวงพ่อนิพนธ์จึงคิดในขณะนั้นว่า สมุนไพรนี้ถ้าขายคงจะทำเงินได้มาก จึงพยายามเดินหา เดินวนไปวนมาสักเท่าใด ก็ไม่พบ จึงเดินกลับมาหาแม่ชีเมี้ยนแล้วกล่าวว่า หาไม่เจอแม้แต่ต้นเดียว
แม่ชีเมี้ยนรู้ใจ จึงตรัสสอนว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รอคนที่มีคุณธรรม มาปลุกเสกให้มีฤทธิ์ช่วยสรรพสัตว์ ให้เปลี่ยนความคิดแล้วตั้งใจใหม่ แล้วจึงเดินออกไปหาอีกครั้ง
เมื่อทำตามและเดินอีกครั้ง หลวงพ่อนิพนธ์ก็ต้องแปลกใจ เพราะเพียงไม่กี่ก้าวก็พบสมุนไพรนั้นแล้ว
นี่เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวกับคนเก็บสมุนไพรว่า ก่อนเก็บให้ตั้งจิตเป็นกุศล ว่าเรามาเก็บเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์แล้วจึงเดินไป
หากฟ้าเขาไม่ให้ เราก็ไม่สามารถพบแหล่งสมุนไพร นั่นจึงเกิดปรากฎการที่หลายปีที่ผ่านมา ในช่วงหน้าร้อน สมุนไพรจึงขาด ต้องแบ่งเฉลี่ยกัน เป็นอย่างนี้มาหลายปี
หากแต่สองสามปีที่ผ่านมา สิ่งต่างๆเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พบแหล่งสมุนไพรใหม่ที่ นครสวรรค์ ที่เมื่อสามสี่ปีก่อนว่าเป็นแหล่งที่ใหญ่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ปีที่แล้วคนเก็บสมุนไพร ได้พบแหล่งสมุนไพรที่ลพบุรี เป็นเทือกเขายาวกว่า ๖ กิโลเมตร เต็มไปด้วยสมุนไพรตลอดแนวเขา นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมปีนี้ เราท่านจึงมียาเขียวทานอย่างเต็มที่ตลอดไม่เคยขาด
เมื่อฟ้าเปิดแหล่งสมุนไพรก็เริ่มตามมา เริ่มจากใบยาเขียว ตามมาต้วยมะพร้าวจากชุมพร และที่กำลังตามมา และจัดว่ามีความสำคัญในการทำสมุนไพรดำ นั่นคือ น้ำผึ้ง ที่ได้มาจากความช่วยเหลือจากคนไข้ ที่มีกิจการในประเทศพม่า ได้ติดต่อหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงที่มีรายได้หลักจากการตีผึ้งให้
สัปดาห์นี้หลวงพ่อนิพนธ์ จึงต้องเดินทางเข้าพม่า เพื่อไปติดต่อขอซื้อน้ำผึ้งที่วางใจได้ว่าแท้ และให้สรรพคุณทางยาเต็มที่ ไม่เหมือนที่วางขายในประเทศไทย พร้อมกันนี้ คนไข้กลุ่มดังกล่าวในพม่า ก็ได้ติดต่อหัวหน้ากะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ ให้มาพบหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อให้ดูตัวอย่างสมุนไพรที่ต้องการ แล้วจัดหามาส่งให้
สัญญาณอันนี้ ทำให้เราเชื่อได้ว่า สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวในวันงานแม่ชีเมี้ยนที่ว่า ปีนี้ ไม่เหมือนปีที่แล้ว และปีต่อไป หากยังรักษาคำมั่นสัญญาได้ คุณค่าของสมุนไพรและการกระทำในสถานที่นี้ จะเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมหาศาล เรียกว่า ผลถูก ผลผิด เกิดรุนแรงมหาศาล
สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นภาระ ที่แม่ชีเมี้ยนทรงทิ้งไว้ให้ นั่นคือ คนไข้ยาเสพติด และคนไข้โรคเอดส์ อันเป็นคนไข้ที่ถูกโฉลกกับสมุนไพรอย่างยิ่ง เรียกว่า ทานแล้วเห็นผลไว เนื่องด้วยสองสิ่งนี้ ไม่ใช่โรคที่ทำให้อวัยวะต่างๆเสียหาย ดังนั้นการฟื้นฟูจึงเร็ว ที่สำคัญ คนไข้ประเภทนี้พูดง่าย สอนง่าย
ม่านของศาสน์สมุนไพรกำลังจะเปิดแล้ว .... ให้เป็นทางเลือกของมนุษย์ .. แม้นจะทำยาก แต่ให้ผลอันมหาศาล จนพระภูมีตรัสว่าเป็น "ลาภอันประเสริฐ"
วางใจได้ว่า เส้นทางนี้ไม่ก่อทุกข์ให้ผู้ที่เดินตามอย่างแน่นอน เพราะเจ้าของตำรา และผู้ทำ ก็อยากได้สุข...
ไม่ชอบ ไม่ทำ ไม่ว่า ก็นั่งดู... ว่าใช่ของจริงไหม
วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ต่ำต้อย
ความจริงอันนี้ จักเห็นได้จากหลวงพ่อนิพนธ์ได้ชี้ให้เห็นทุกครั้งในหนทางบุญ ที่มนุษย์ปัจจุบัน มองเลยผ่าน คิดแต่ไปสร้างไปทำสิ่งใหญ่ๆ ชอบมากและถูกจริต กับการวัด สร้างโบสถ์ สร้างพระ ยิ่งองค์ยิ่งใหญ่มหึมา ก็คิดกันว่านั่นแหละบุญอันมหาศาล ทั้งที่เมื่อสืบสาวพุทธประวัติของสิ่งที่สร้างเหล่านั้น ไม่มีแม้แต่กระผีกเดียวที่จะสามารถให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ใดๆ เลย
ผลที่ปรากฎ จึงหาบุญย้อนกลับมาให้พ้นทุกขเวทนา ไม่ได้เลย แม้แต่แค่เรื่องเล็กน้อย คือ ปวดท้อง ปวดหัวก็ตามที
หากแต่เมื่อมาพบหนทางบุญจริงๆ เข้า อันก่อกำเนิดจากสิ่งเล็กน้อย อาทิเช่น การเก็บขวดน้ำมาให้ ก็ดูแล้วไร้ค่าเหลือเกิน แต่เมื่อสาวพุทธประวัติไป หากคนที่มาวันละกว่าสามพันคน มีสักหนึ่งในสิบ ที่ทานสมุนไพรไปแล้ว เกิดสุขขึ้น จากอาการที่เป็นอยู่ลดลงหรือหายไป ฟ้าดินก็ต้องสาวผลอันนี้กลับไปยังผู้มีส่วนร่วม นั่นคือ ที่มาของสมุนไพร ได้มาอย่างไร ภาชนะที่บรรจุมาอย่างไร แล้วเฉลี่ยบุญที่บังเกิดจากผลอันนี้ให้ตามสัดส่วน
หลวงพ่อนิพนธ์ได้เคยอรรถาธิบายถึง ที่มาของคำว่า เกาะชายผ้าเหลือง ก็มาจากด้วยสาเหตุอันนี้แล เพราะเมื่อบุคคลใดก็ตาม ที่มีทุกขเวทนา ได้เวียนมาในสถานที่ของศาสนา แล้วช่วยตน จนสามารถกลับกลายเป็นคนดี หรือยิ่งไปกว่านั้น กลายเป็นพระที่ดี สร้างกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่แก่มนุษย์ ในกาลต่อมา ฟ้าดินก็ต้องสืบสาวที่มาถึงบุญอันนี้ เพื่อตอบสนองคืนกลับไปแก่ผู้มีส่วนร่วม
ด้วยเหตุนี้เอง ของที่ดูเล็กน้อย อาทิเช่นข้าวเพียงแค่มื้อเดียวของนางสุชาดา จึงมีค่าอันมหาศาล ขวดที่นำมา หรือพริกไทยเพียงแค่ขีดเดียว มะกรูดเพียงสองสามลูก ที่ดูไร้ค่า หากแต่เหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง หากบุคคลที่ได้ทานหรือได้ใช้ของของผู้ให้ไป มีการกระทำที่เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ในภาคหน้า นั่นหมายความว่า ผลบุญที่ส่งกลับมาย่อมมหาศาลยิ่งนัก
คนทั่วไป มักได้ยินเสียงร่ำลือของสรรพคุณสมุนไพร แล้วจึงยกให้กลายเป็นพระเจ้าวิเศษดลบันดาลให้สมดังหวังได้ เมื่อมาแล้วจึงไม่มุ่งหมายในสิ่งอื่นใด นอกจากสมุนไพร อย่างอื่นไม่สน และก็คิดเอาเองว่า เมื่อได้ทานสมุนไพรดีแล้ว ความหวังของการหายโรคต้องเป็นจริง หรือสมหวังอย่างแน่นอน
หากแต่ความเป็นจริงที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวทุกครั้ง มันไม่ใช่เช่นนั้น สิ่งที่เกื้อหนุนและเป็นอำนาจที่ดลบันดาลสมุนไพร ที่ซึ่งเป็นเพียงสังขารให้มีฤทธิ์เดชได้ นั่นคือ บุญ ต่างหาก
หากไร้เสียซึ่้งพฤติกรรมที่เป็นบุญแล้วไซร้ ทานให้ตายก็ไม่มีผลหรอก เขาจึงเรียกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนว่า เป็นสมุนไพรที่มีวิญญาณ
บทพิสูจน์ที่เราเคยเห็นอย่างเด่นชัด นั่นมาจาก คนไข้ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือด อย่างคุณซุ่ยเหรียญ ที่เมื่อมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องทานสมุนไพรเยอะหรอก แต่ทำกิจกรรมที่เป็นบุญให้มากเข้าไว้ เราจึงเห็นคุณซุ่ยเหรียญ รับผิดชอบหน้าที่ในด้านการครัว ล้างจานชาม ทำความสะอาด นับตั้งแต่มา และกอดติดกับกิจกรรมอย่างนี้มาตลอด และก็เห็นคุณซุ่ยเหรียญ ไม่เคยต้องไปหาหมอ อยู่มาสิบกว่าปีได้อย่างปกติสุข
ท่าน อ.อร่าม จึงเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า สมุนไพรเป็นได้ตั้งแต่ซากไร้วิญญาณ จนกระทั่งมีฤทธิ์เหมือนดั่งปรมาณู ที่ให้ผลเฉียบพลัน รุนแรง
เราก็ไม่แปลกใจว่า หลายคนที่มาเป็นจิตอาสา มักจะเริ่มจากความอยากได้สมุนไพรที่มากพอ เรียกง่ายๆว่าได้สิทธิพิเศษกว่าคนไข้ทั่วไป
หากแต่เมื่อวันใดเขาเรียนรู้ จะทราบว่าแท้จริงแล้ว สมุนไพรให้ผลเฉพาะบุคคล เป็นการใช้กรรมจากความยากในการทาน การมารับ การสวดมนต์ ก็ล้วนแต่บุคคลเดียวคือตัวเราเท่านั้น จักให้ผลมหาศาลคงเป็นไปได้ยาก หากแต่การกระทำใดที่ให้ผลแก่ผู้อื่น นี่ต่างหากจึงให้ผลแก่ผู้ทำมหาศาล นั่นจึงเป็นเหตุที่พระภูมีกำหนดโรงทาน กำหนดเขตพัทธสีมา เพื่อให้เป็นแหล่งรวมคนทุกข์ แล้วให้คนที่มีความคิดอยากเป็นพระเวสสันดร มาทำให้สุขแก่สรรพสัตว์ เพื่อเกิดบุญย้อนมาเลี้ยงต้น
ด้วยบุญอันนี้ที่ทำนั่นแหละ จึงทำให้ฤทธิ์ของสมุนไพรมหาศาล และเป็นที่กล่าวขานในทุกยุคทุกสมัยของพระภูมีแต่ละองค์ว่า "ศาสน์ของท่านน่ะดี แต่ทำยาก" อันเป็นเหตุที่ทำให้เห็นว่าทำไมสาวกจึงน้อย
ความเด่นชัดอันนี้ ย่อมประจักษ์จากตัวอย่างคนป่วยหลายๆ คน ที่เรียกว่าอาการเข้าขั้นวิกฤต และมาหวังพึ่ง หนทางหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะให้เป็นทางเลือกนั่นคือ ไปทำกิจกรรมที่สำคัญยิ่ง แม้นว่าเมื่อไปทำแล้ว อาจจะมีสมุนไพรกินบ้างไปมีบ้าง และอาจจะไม่เคยเข้ากระโจมเลยก็ตามที ผลที่บังเกิดกลับรอดทุกตัวคน
อาทิเช่น ครูวัลลภ ที่กล้ามเนื้อหัวใจตาย เหลือเพียง ๓ เปอร์เซ็นต์ หมอจุฬากล่าวว่า ต้องเปลี่ยนสถานเดียว ก็ถูกส่งไปให้เฝ้าสวนสมุนไพรที่ศรีสวัสดิ์ เป็นที่ที่เตรียมไว้รองรับคนไข้ในอนาคต จากคนที่ขยับตัวนิดหน่อย ออกแรงหน่อย ก็หน้าซึด เล็บเขียว กลายมาเป็นคนที่สามารถแบกน้ำจากตีนเขา มารถต้นยาได้
หรือจะเป็นคนไข้เอดส์มากมายที่หลวงพ่อนิพนธ์ จัดให้ไปอยู่สวนสมุนไพรที่เตรียมไว้สำหรับคนไข้ประเภทนี้โดยเฉพาะ ที่ห่างไกลผู้คน ไปมาลำบาก หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่าสถานที่นี้มีความสำคัญมากในอนาคต ให้ดูแลรักษา แม้นจะมีสมุนไพรทานบ้างไม่มีบ้าง ไม่สำคัญ สถานที่ดี คนก็จะดีตาม
คนไข้กลุ่มนั้น ก็พัฒนาจากพื้นที่โล่งเตียน มาเป็นต้นสมุนไพร และผลไม้ เพื่อรองรับคนอย่างพวกเขาในอนาคต แล้วพวกเขาก็พ้นจากโรคร้ายทุกตัวคน แม้กระทั่้งรายล่าสุด คือ วิศวกรหนุ่มที่เพิ่งจบจากจุฬา หากแต่อาการของโรคเข้าขั้นวิกฤต จนไม่สามารถรับปริญญาได้ เพราะอาการปรากฎทางผิวแล้ว ก็พัฒนาตนจนกลับไปรับปริญญาและทำงานเป็นกำลังของชาติ ตามที่ร่ำเรียนมาได้
คำโบราณ "เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" นั่นแหละ ถึงแม้นจะดูน้อยนิด แต่เมื่อทำแล้ว ดุจดั่ง "กุ้งฝอยตกปลากระพง" เพราะมันอาจถูกแจ๊คพอต ไปเจอคนที่เปลี่ยนตนเป็นคนดี แล้วทำดีอันมหาศาล ได้นั่นเอง
ภาพแม่แบบ อันเป็นสุทธิของหนทางนี้ จักดูจากผู้อื่น หรือคิดเองไปไย ควรจักดูจากครูบาอาจารย์นั่นเอง ว่ารูปแบบเป็นเช่นไร ทำกิจกรรมที่เป็นบุญให้มากไว้ แม้นทานสมุนไพรเพียงเล็กน้อย หรือเรียกได้ว่า ทานเฉพาะเมื่อกรรมหนักมา เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว
บทสรุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์อยากให้เรียนรู้ จึงไม่ควรยึดสมุนไพร หากแต่ยึดติดกับสติของพระภูมี ที่ใช้บังคับตนทำสิ่งที่เป็นบุญ ให้สุขแก่ผู้อื่น
มิฉะนั้น แม้นหายจากโรคนี้ โรคอื่นก็ถามหา เหมือนหนีเสือปะจรเข้ หากแต่รู้วิธีสร้างบุญเลี้ยงตนแล้ว เมื่อหายจากโรค ไม่ว่าจะไปอยู่ไหน มีสตินี้อยู่กับตนแล้วทำ มันก็เป็นบุญหล่อเลี้ยงชีวิตได้
ไม่อย่างนั้น ทุกคนก็ต้องทานสมุนไพรกันจนตาย ... ผลก็คือ คนกินยังไม่ทันตาย คนหาจะตายก่อน .... จริงไหม
ไม่ได้อบสมุนไพร อาจจะเสียสลึง แต่กิจกรรมที่ทำให้ผลถึงหนึ่งบาท .... ไม่เช่นนั้น เราท่านจะเห็น สารพัดเจ้าของกิจการ มาตักข้าวแกง ขายน้ำ เดินถือถาด ยกยามะพร้าว ให้เห็นหรือ ...
สบายกว่ากันเยอะเลย อยู่เฉยๆ ดีกว่า สบายกว่า .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า มันวัดกันที่ตอนจบ .... หากมีใจรักในแนวทางของพระภูมี ก็ต้องหมั่นท่องคาถาเพื่อให้มีขันติ มานะ อดทนทำ นั่นคือ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า .... ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว"
วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เกร็ดเล็กๆ ของอัมพฤกต์
ในส่วนสมุนไพรที่จัดให้ตอนนี้ คือ สมุนไพรมะพร้าว และสมุนไพรลูกกลอนดำพิเศษนั้น ต้องทานให้หมดภายในสัปดาห์ และหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน จะทำสมุนไพรพิเศษของคนไข้ประเภทนี้ เพิ่มให้อีกหนึ่งขนาน และหากเป็นไปได้ ก็จะเสริมด้วยน้ำมันที่ใช้สำหรับนวดให้ด้วย
หากแต่ว่า น้ำมันตัวนี้มันทำยากนิดนึง ต้องใช้เวลา ... อาจต้องรออีกระยะหนึ่ง หลังกลับจากไปหาสมุนไพรที่พม่าแล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า คนไข้ประเภทนี้ คือผลจากการถูกทำลายของเซลล์ประสาทสมอง ดังนั้น จึงต้องฟื้นฟูส่วนนี้ด่วน ทางหนึ่งคือสมุนไพร ทางหนึ่งคือการปรับอารมณ์ ไม่ให้โกรธง่าย พร้อมกับพฤติกรรมที่พึ่งตนเอง พยายามทำทุกอย่างด้วยตนเองให้มากที่สุด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)