มีคนเคยกล่าวว่า สิ่งพิเศษที่สัมผัสทุกเมื่อเชื่อวัน แม้นจะเป็นสิ่งวิเศษสุด ก็ดูเหมือนสิ่งไร้ค่า ไม่สามารถสร้างความซาบซึ้งดื่มด่ำ ให้แก่ผู้ที่สัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้แม้นแต่สักน้อย
และในที่สุด สิ่งพิเศษสุดก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับคนๆ นั้น ที่ไม่เคยคิดจะหวงแหน และรักษาไว้ จนวันหนึ่งเมื่อสิ่งพิเศษสุดได้จากไป ก็ร่ำร้อง ช่วยด้วยๆ อยากได้คืน ... แต่ก็ไม่รู้จะได้กลับมาหรือไม่
สิ่งพิเศษสุดที่กล่าวนั่นก็คือ ความสุข ที่แท้จริง จากการกินได้ นอนหลับ นั่นเอง
เมื่อใดที่ยังกินได้ นอนหลับ ก็ไม่ซึ้งถึงคุณค่า จนวันที่มันจะเริ่มจากเราไป เริ่มกินไม่ได้ นอนไม่หลับ นั่นคือ ถูกรุกรานด้วยโรคภัยไข้เจ็บแล้วนั่นเอง
สมุนไพรพระภูมีก็เฉกเช่นเดียวกัน คนทุกข์มา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ได้มาสัมผัส ยิ่งทุกข์มาก สัมผัสที่ดื่มด่ำก็ยิ่งมาก ยิ่งทุกข์น้อยความดีื่มด่ำก็น้อยลง จึงเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน แม้นจะเห็นคนหาย ที่ซึ่งหมอที่เก่งที่สุด หรือวิธีที่ว่าดีทั้งหลายในโลก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ... ก็หมดทางช่วย ก็ไม่สามารถทำให้จิตใจซาบซื้งดื่มด่ำได้เลย
การกินได้ นอนหลับ เช่นวันวาน จึงยังไม่มีค่า จนกว่าจะเกิดทุกข์ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เกิดกับตน จึงเห็นค่า ฉันใดก็ฉันนั้น คนก็ชาด้าน ไม่ยอมที่จะคิด ไม่ยอมพิจารณา ทำจิตใจให้ดื่มด่ำซาบซึ้งในสมุนไพรและธรรมของพระภูมี เพราะการหายที่เห็น ยังไม่ใช่เป็นทุกข์ของตน นั่นเอง
หลายคนจึงทำตนรอ ภาษิต ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ความวิเศษของสมุนไพร การสวดมนต์ การรักษาความสงบ การฝืนนิสัย ... การทำตนเป็นผู้ให้ จึงยังไม่มีค่าที่ต้องเน้น ต้องให้ความสำคัญ
การชาด้านเช่นนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่า คนไทย มองสมุนไพร และหลักพระภูมี เป็นไก่รองบ่อน ทำตนอยู่ในสภาวะเป็นคนประมาท จะมาเร่งเร้า ตื่นตัว ก็ตอนที่ตนแทบจะไม่มีสภาพหรือหมดสภาพในการช่วยตนแล้วนั่นเอง
วันนี้ ภาพที่เห็น คนที่เดินมา จะหิ้วสมุนไพรมา จึงยากนัก หากแต่คนที่หิ้วมา ก็ล้วนแต่ถูกบีบด้วยสภาพที่สาหัสแล้ว จึงอยากทำ หากแต่สภาพก็เรียกว่าเรือใกล้จม ต้องแข่งกับวันเวลา ไม่รู้จะทันหรือไม่
สิ่งที่เรามองเห็นนั่นคือ โอกาสสุดท้ายที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามยื้อให้สิ่งดีงามอยู่ในแผ่นดินไทย ก็คือ การจัดเต็ม ไม่ว่าสมุนไพร และวินัยธรรม เริ่มจากปีใหม่นี้ จนถึงวันตัดสิน คือ วันงานแม่ชีเมี้ยน
หากความชาด้านจากคนไทยยังคงอยู่ นั่นคือ การจัดเต็ม จะดำรงอยู่ไม่ได้ ผลคือ วัตถุดิบจะขาด วินัยธรรม หรือ สัจจะ ไม่มีใครสนใจทำ การเป็นผู้ให้ เกิดในคนส่วนน้อย สรุปก็คือ กิจกรรมดำเนินต่อไปไม่ได้ ด้วยสภาพเช่นนี้
วันงานแม่ชีเมี้ยน ก็คงมีคำตอบว่า หลวงพ่อนิพนธ์ จะทนอยู่กับคนไทยที่ชาด้าน ที่มองสมุนไพรและธรรมพระภูมี เป็นไก่รองบ่อน หรือ ข้ามฟากไปพม่า ไปทุ่มเทให้คนที่เทิดทูนสมุนไพร และธรรมพระภูมี ดีกว่าไหม
ใครจะคิดอย่างไรกับเราก็ช่าง แต่เราคงจะเตือนบ่อยๆ ตามคำพระภูมีที่ว่า คนฉลาดต้องรู้จักรักษาตน .... เวลาที่มีอยู่นี้ รีบทำตนให้พ้นภัยซะ ....
เพราะดูแล้ว ประเทศไทยอนาคตมืดมน มันจึงทำให้สภาวะแวดล้อม และผู้คน ล้วนทำตนเป็นอุปสรรคซะเหลือเกิน .... สิ่งดีๆ เขาจึงต้องหลีกลี้หนีไป
ส.ส. และ ส.ว. ของพม่า กล่าวคำกระเซ้าเล่นว่า หากหลวงพ่อนิพนธ์ไปทำที่พม่า ในที่กำลังก่อสร้าง ต้องจัดหากล้องให้หลวงพ่อนิพนธ์สักตัวแล้ว เพราะหากมองด้วยตา หลวงพ่อนิพนธ์จะมองไม่เห็นคนไข้ด้านหลัง ด้วยเหตุที่คนมาจะมากมาย แค่คำร่ำลือที่กระจายไปทั่วรัฐทวายตอนนี้ ก็มีคนรอการแล้วเสร็จของศูนย์นี้เป็นหมื่นแล้ว ...
จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนระดับสูงของรัฐบาล จึงพยายามสั่งการ และให้การสนับสนุนเต็มที่ ด้วยกลัวหลวงพ่อนิพนธ์จะเหนื่อยเกินไป และต้องกังวลกับสิ่งต่างๆ จึงระดมทุกสรรพสิ่ง เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์วางใจ ว่าหากกิจกรรมนี้เกิดในพม่า ภาระของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงมีเพียงการทำสมุนไพร และให้คำชี้แนะ นอกนั้น ไม่ต้องห่วง
อย่างครั้งล่าสุด ในการไปตามคำเชิญของนายทหาร ให้ไปดูพื้นที่เพื่อจัดปลูกสมุนไพร ที่ใกล้กับชายแดนไทยพม่า มากขึ้น การผ่านด่านไทย ต้องทำตามระเบียบทุกประการ หากแต่ด่านพม่า ได้อำนวยความสะดวกให้ทุกประการ พร้อมทั้งจัดคณะอำนวยความสะดวก ตลอดการเดินทาง
ไม่ใช่เข้าข้างพม่า หากแต่สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ สิ่งดีงาม ย่อมต้องอยู่ในสถานที่อันควร ... จึงกระตุ้นเตือนคนไทย ... ให้ช่วยกัน อย่าทำเฉย ไม่รู้ร้อน ... ตื่นตัว ชักชวนคนรอบข้าง เพื่อเก็บสิ่งดีๆนี้ไว้ เป็นทางเลือกในการช่วยตน และคนที่ตนรัก