หลายปีแล้ว ที่หลวงพ่อนิพนธ์ไม่เคยกล่าวถึงคำนี้ และใช้สมุนไพรนำหน้า เรียกแขก
มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า เมื่อกรรมมาถึงวันที่รวมตัวเป็นก้อนกรรม เรียกว่าเป็นของหนัก ลำพังสมุนไพรอย่างเดียวคงจะไม่สามารถพาไปให้ถึงฝั่ง คือ การอยู่รอดปลอดภัยได้
อุปมาให้ฟัง การหายโรค ก็เหมือน หนีเสือพ้น หากแต่ชีวิตก็หาปลอดภัยไม่ ด้วยเหตุที่ว่า ไม่ตายด้วยโรคไปตายด้วยอุบัติเหตุ ก็ตายเหมือนกัน ดั่งภาษิตว่า ไปเจอจรเข้กัดตายนั่นเอง
กระบวนการอันเบ็ดเสร็จ ของความสำเร็จ ในการดำรงตน จึงต้องหนีให้พ้น ทั้งเสือ ทั้งจรเข้ จึงจะเรียกว่า มีสุขอย่างแท้จริง
หากแต่ปัจจัยที่ใช้ในการสร้างกำแพงป้องกัน เสือและจรเข้ พระภูมีทรงตรัสว่า มีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ กำแพงบุญ
คำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่ให้หลวงพ่อนิพนธ์มาปลุกปั่น ด้วยเห็นว่า การสร้างบุญนั้นถูกทำให้เพี้ยนไปจากเดิม นั่นคือ การถูกผู้ที่ต้องการนำศาสนามาหากิน ให้มนุษย์หลงไปในการสร้างวัตถุ บริจาควัตถุเงินทอง เป็นบุญ จนวัดล้นประเทศไปแล้ว
เหตุและผล ที่แม่ชีเมี้ยนหยิบยกมาให้พิจารณา นั่นคือ พระโคดมเป็นกษัตริย์ ทำความดีบริจาคทานสักฉันใด ก็หาบุญมาช่วยตนสักน้อยไม่ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ต้องการแสวงหาบุญ จึงต้องทิ้งเวียงวัง มาเดินกลางดิน กินกลางทราย แล้วเลิกใช้ความคิดความเชื่ออื่นใด มาใช้ "สัจจะ" นำตน
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้เห็นภาพง่ายๆว่า หากเงินทองสามารถสร้างบุญได้จริง ประเทศร่ำรวยก็เอาเงินมาทุ่มซื้อบุญไปหมดแล้ว
จึงหยิบยก อุธาหรณ์ชาดก ที่แม่ชีเมี้ยนเล่าให้ฟังเพื่อพิจารณา การกระทำ เมื่อครั้งพระโคดม ทรงโปรดสองสามีภรรยา ที่ศรัทธาในพระโคดม และทุกเช้าก็เตรียมสำรับ เพื่อใส่บาตรพระโคดมเป็นประจำ
หากแต่พฤติกรรมของสองสามีภรรยา ที่กระทบกระทั่งกันทุกวัน จนต้องด่าทอทะเลาะกันไม่เว้นวัน
วันหนึ่ง พระโคดม เดินมารับบาตรสองสามีภรรยา ขณะที่กำลังจะตัก พระโคดมก็กล่าวว่า ผลอันเกิดจากการใส่บาตรด้วยวัตถุนี้ จัดว่าเป็นทานชั้นต่ำ ด้วยเหตุที่ให้ประโยชน์อันน้อยนิด ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็หมดไป ไม่ยั่งยืน
หากประสงค์จะได้ผลที่มหาศาลและจีรังยั่งยืน เป็นที่พึ่งแห่งตน ก็ควรนำนิสัยที่ไม่ดีของตนมาใส่บาตร วันใดที่เห็นนิสัยแห่งตนที่ไม่ดีแล้วไซร้ ก็นำมาใส่บาตร ผลอันมหาศาลก็จักบังเกิด แล้วก็จะได้ซึ่งความสุข
สองสามีภรรยา จึงขอนำนิสัย ไม่โกรธ ไม่ทะเลาะ ตบตีกัน ใส่ในบาตร นับแต่นั้น ครอบครัวนี้ ก็เป็นสุข ไม่เคยได้ยินเสียงทะเลา ตบตี กันอีกเลย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สิ่งที่ให้ทุกข์แก่มนุษย์ พระภูมีทรงตรัสรู้เห็นแจ้ง ว่า มูลเหตุที่มาคือ นิสัยมนุษย์ หรือ นิสัยของโลกียะ อันเรียก กิเลส นั่นเอง
เมื่อจะหนีทุกข์ ให้พบสุข จึงต้องนำนิสัยของโลกุตตระ คือ สัจจะ มานำตน ไม่ควรจะใช้ความคิดตน เป็นผู้นำ
แม่ชีเมี้ยนจึงยืนยันว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สำเร็จสัมโพธิญาณได้ด้วย การมี "สัจจะ" นำตน แล้วทำตาม นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบาย ให้ฟังง่ายๆ สัจจะ ก็คือ โลกุตตระ นั่นเอง ที่เราท่าน จะใช้มานำตน แทนนิสัยเดิม ผลแห่งการทำตามนิสัยเดิม เป็นบาป ผลแห่งการทำตามนิสัยของพระภูมี ก็เป็นบุญ
และก็ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด เพราะเราท่านไม่ได้มุ่งหวังนิพพาน หากแต่เพียงแค่ได้สัมผัสความไม่มีโรค และเป็นบุญเลี้ยงตนเท่านั้น แค่บางสิ่งบางอย่างก็เพียงพอแล้ว
อดีตถ้ำกระบอก คนไข้ยาเสพติด ทุกคน จึงต้องวางสัจจะ ไม่ซื้อ ไม่ขาย ไม่ส่งเสริม ยาเสพติดทุกชนิด
ไม่ทำลายพุทธศาสนา คือ ไม่นำของวัดกลับบ้าน ไม่ซื้อ ไม่ขาย รูปเหมือนของพระพุทธ ตลอดชีวิต
ส่วนคนไข้ทั่วไป ก็ต้องเริ่มจาก การวางสัจจะ "ไม่โกรธ" วันละหนึ่งชั่วโมง มีกำหนดเวลาตามแต่ละคน เป็นต้น
ดังนั้น หากผู้ใดต้องการผลที่แน่นอน การเดินสองขาอย่างสมบูรณ์ จึงรับประกันผลว่า สิ่งที่มุ่งหวัง ไม่เกินจะไขว้คว้า ไม่ว่า โรคอะไร ... ก็ไม่กลัว
ด้วยสองขาที่สมบูรณ์นี้ ในยุคแรกของการเปิดสำนักอีกครั้ง เมื่อปี ๓๐ คนไข้ที่อาการสาหัส จึงมักได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อนิพนธ์ ให้บนบวช
เพราะผู้ที่บวชและทำตามพุทธบัญญัติ นั่นคือ ต้องถวายสัจจะ ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น มีธุดงค์เป็นวัตร เงินทองไม่รับ ... เป็นปฐมของข้อปฏิบัติ
พระรุ่นนั้น ที่สึกไปหมดแล้ว ยังมีชีวิตอยู่มาจนทุกวันนี้ ไม่ว่า ท่านตอง ที่เป็นมะเร็งสมอง มีพี่น้อง ๕ คน ทุกคนเป็นหมด ปัจจุบันท่านตองเป็นราษฎรอาวุโส สอนจักสานแก่ชาวบ้าน ที่เขาค้อ ในขณะที่พี่น้องตายหมด หรือแม้นกระทั่ง ท่านวี ที่เป็นโปลิโอ เดินธุดงค์จากขาลีบ จนน่องโต ....
เมื่อกรรมแรง ก็ต้องใช้มาตรฐานของธรรมที่สูงขึ้น ใครสนใจ ก็ลองดู แล้วจะเห็นชัดว่า ผลแห่งการทานสมุนไพร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทาน หากแต่ขึ้นอยู่การปฏิบัติ เป็นสำคัญ ทำได้แค่ไหน ผลก็ได้เท่านั้น ... นี่แหละจึงเรียกว่า รู้ได้เฉพาะตน เพราะตนทำอย่างไร ไม่มีใครรู้ แต่ผลที่ออกมาจะเป็นคำตอบ