ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556
คำขอ
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีคำร้องขอสองรูปแบบ มาให้พิจารณา
คำขอแรก เป็นจดหมายจากเยอรมัน ๒ ฉบับ คนไข้มีอาการหนัก จนหมอปฏิเสธการรักษาทั้งคู่ และได้รับวาจาอมตะให้รอวันเหมือนกัน ... ทั้งสองได้รับข่าวจากเมืองไทย จึงเขียนจดหมายมาขออนุญาติเพื่อมารักษาตัว คำขอนี้ หลวงพ่อนิพนธ์อนุญาติ และกล่าวว่า คนป่วยลักษณะนี้ พูดง่าย พูดอะไรก็ทำตาม ไม่ดื้อ เพราะฝาโลงมันแง้มแล้ว ทำใจแล้ว ที่สำคัญ ใจสู้เต็มร้อย
คำขอที่สอง เป็นคำขอจากกรรมการเก่า ที่เคยมารักษาตน แล้วก็เลิกราไป จะด้วยเหตุอันใดก็แล้วแต่ หลายคนอาจเป็นเพราะชอบสมุนไพร แต่ไม่ชอบคนทำ เมื่อดีขึ้น ก็ทิ้งสถานที่นี้ไป ด้วยมั่นใจจากผลการตรวจร่างกาย และได้รับคำยืนยันจากหมอว่าปกติดีแล้ว เรียกได้ว่ามีพฤติกรรม ไปแบบไม่เหลียวหลัง
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้กล่าวเสมอว่า พฤติกรรมเยี่ยงนี้ เป็นเช่นดังคนอกตัญญู และชี้ให้เห็นว่า แม้นจะผ่านกรรมอันนี้ไปได้ ใครจะรู้ว่าอนาคต อาจจะมีกรรมอันใหม่รออยู่ การกระทำตน เหมือนขึ้นฝั่งก็ทำลายเรือ ทำลายท่าทิ้ง ยามที่กรรมใหม่มา จะมาพึ่งก็ไม่มีให้พึ่งเสียแล้ว
นั่นคือ หลายคนอายไม่กล้ามา แต่ด้วยการไปหาหมอช่วย หรือสิ่งอื่นใดช่วย ในที่สุด ก็หนีความจริงไม่พ้น อาการรุมเร้า และสาหัสขึ้นทุกวัน คนเหล่านี้วันนี้มาร้องขอ เพื่อกลับมาทานสมุนไพรใหม่
คำตอบคือ ยังไม่อนุญาต
ใครจะมองว่าอย่างไรก็ตาม หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ธรรมของพระภูมี เริ่มด้วยบทเมตตา หากแต่บุคคลบางจำพวก ก็ต้องทำใจ และใช้บทอุเบกขา
ท่านจึงสรุปชี้ให้เห็นว่า พวกที่มากินเล่น พวกที่มากินหวังหายเฉพาะหน้า ... เรียกได้ว่า ตีงู ตีไม่ตาย ... คนจำพวกนี้ พระภูมีเขาห้าม .... ต้องใช้อุเบกขา อย่าไปยุ่ง ....
คุณสมบัติจึงเป็นเรื่องสำคัญ .... ระวังตนให้ดี เพราะเจอบทนี้เมื่อไร ก็เหมือน ยักษ์หน้าวัด เห็นคนเข้าวัด แล้วหายออกไป ตัวของเราก็ได้แต่นั่งหน้าวัด เข้าไม่ได้ รู้ว่ามีสิ่งที่ช่วยตนได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไขว้คว้า