วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ทำไมต้องทิ้งยาเคมี


คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ และคำที่วิทยากร แนะนำ นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นสมาชิก ซึ่งจะได้ยินจะชิน เมื่อระยะเวลาผ่านไป นั่นคือ "ต้องเลิกทานยาเคมีเด็ดขาด"

คำถามที่มักสวนกลับมายังวิทยากร ที่เรามักได้ยินบ่อยๆ คือ แล้วอาหารเสริม วิตามิน ... ทานได้ไหม ทานคู่กันไปได้ไหม

หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายว่า พระภูมีทรงตรัสรู้สัจจธรรม คือ ธรรมชาติ ของมนุษย์ บ่อเกิดแห่งกรรม และ บ่อเกิดแห่งธรรม อันเป็นหนทางที่จะใช้พิชิตกรรมได้

ด้วยภูมิรู้อันนี้ ทำให้ทรงขีด หรือจำกัดวง และบัญญัติเป็นธรรมหมวดแรก คือ "หมวดตนพึ่งตน" เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิต อันหมายถึง เรื่องตั้งแต่ผิวหนังของมนุษย์ และภายใน รวมถึงวิญญาณ หรือ ชีวิต เท่านั้น

อันหมายความว่า หากเป็นเรื่องอื่น จะพึ่งใคร ไม่เป็นปัญหา อยากไปพบใคร จะให้คนแบกหาม อยากจะคุยกับใคร จะใช้โทรศัพท์ ก็ทำได้ พึ่งได้

หากแต่เมื่อเป็นเรื่องของชีวิต นั่นต้องพึ่งตนเอง โดยชี้ให้เห็น ว่าต้องทำเอง ผ่านการกิน แล้วย่อยเอง และดำรงอยู่ด้วยปัจจัยสี่ มาทุกยุคทุกสมัย

สิ่งหนึ่งที่ชี้ชัด ให้เห็นความจริง นั่นคือ ร่างกายจะรับได้แต่สิ่งที่เป็นธรรมชาติ และร่างกายต้องการเท่านั้น ส่วนที่เหลือ คือต้องขับถ่ายทิ้งไป

และสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าวิทยาศาสตร์จะเข้าถึง นั่นคือ เรื่อง กรรม ที่พระภูมี ทรงตรัสรู้

พระภูมีจึงได้ชี้ให้เห็นว่า "มนุษย์เป็นไปตาม กรรม" จึงต้องรับผิดชอบผลของการกระทำของตนที่ทำทั้งหมดทั้งปวง

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้ แต่พระภูมีทรงชี้ให้เห็นนั่นคือ "สังขารมนุษย์นี้ วิญญาณยืมมาใช้ ต้องรับผิดชอบ"

การป้อนอาหารให้สังขาร หากอาหารที่ป้อนเป็นพิษ หรือเป็นโทษ เช่นทานแกลบแทนข้าว วิญญาณจึงต้องรับผิดชอบ ด้วยทุกข์ที่บังเกิด

ด้วยความจริงนี้เอง แม่ชีเมี้ยนจึงสอนให้เห็นโทษของยาเคมี เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เมื่อทานแล้วมีสภาวะก่อให้เกิดการทำลายสังขาร อาทิ เป็นแผลในระบบทางเดินอาหาร ที่สำคัญ ด้วยสารเคมีที่มักถูกผสมเพื่อใช้เป็นตัวนำร่องของยาเคมีทั้งหลายนั้น ล้วนมาจากสารหนัก ที่ร่างกายไม่สามารถขจัดออกจากร่างกายได้หมดสิ้น

เมื่อสารเหล่านี้ตกค้างอยู่ในร่างกาย จึงเป็นมลภาวะของร่างกายและเป็นบ่อเกิดของโรคแทรกซ้อนตามมาอีกมากมาย

ด้วยโทษที่ถือได้ว่า การทานยาเคมี จึงเป็นการเจตนาทำร้ายร่างกายตนเอง อันถือเป็นโทษหนัก พระภูมีจัดว่าเป็นการขาดคุณธรรมต่อตนเอง

การทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ อาทิเช่น ขายอาหารบูดแก่ผู้อื่น ทำให้เกิดกรดกัดกระเพาะ เป็นบาป แต่จงใจทานยาเคมีไปเพื่อทำลายตน ถือเป็นดับเบิ้ลบาป

การหยุดยาเคมี จึงเป็นการสร้างคุณธรรม เมตตาตน ไม่ทำร้ายตน

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักยกตัวอย่าง ท่าน อ.อร่าม ผู้ซึ่งต้องเบิกค่ายาจาก มหาวิทยาลัยจุฬาฯ เดือนละสองสามหมื่นบาท ตลอดหลายปีของการเป็นอาจารย์

จนกระทั่งเป็น ๗ โรค หนักๆ ที่คนอื่นว่า โรคเดียวก็แย่แล้ว และอยู่ด้วยยามื้อละกำ ด้วยคำขู่ของหมอ "ไม่ทานตาย"

แค่เฉพาะโรคหืด ที่หมอบอกว่า ไม่พ่นยาสักวันก็ตายแล้ว และก็เคยผ่านการขาดยาพ่นชั่วขณะ ถึงกับเกือบตายมาแล้ว

หากแต่สิบปีที่ผ่านมา นับตั้้งแต่วันแรก ที่หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบาย วินิจฉัยอาการ และแนวทางการฟื้นฟูตนให้ฟัง อ.อร่าม ไม่เคยแตะยาเคมี ยาพ่น อีกเลย แม้แต่ครั้งเดียว

สภาพร่างกายจากที่เคยสอนได้ไม่เต็มคาบ ก็สอนได้เต็มวัน ไม่มีอาการอ่อนล้า และกลายมาเป็นวิทยากรหลักของชมรมคนรักสุขภาพ จนทุกวันนี้

หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า "บทจบของการทานยาเคมี จึงเป็นบทเริ่มของการมีคุณธรรมต่อตนเอง"

และผลของการทำย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ แนวความคิด และการปฏิบัติ ว่า "ผลถูกย่อมต้องมาจากการกระทำที่ถูก"

คนที่ใช้หลักสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เริ่มจากก้าวแรกนี้ และหายโดยแนวทาง "ตนพึ่งตน" มีให้เห็นมากมาย เล่ากันไม่รู้จบ ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า แนวทางนี้ถูกหรือผิดได้เป็นอย่างดี

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44