หรือแม้กระทั่ง ยามที่นำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่ แล้วอู่คิดเงิน บังเอิญลืมใส่น็อตตัวหนึ่ง แล้วก็นำมาใส่ พร้อมกับคิดเงิน ๕ บาท เป็นค่าน็อต ไม่เกี่ยวกับค่าซ่อมหลายพันบาทก่อนหน้านี้
สิ่งที่มักจะได้ยินท่านกล่าวเสมอ คือ ๕ บาท ที่คนเหล่านี้คิดว่าได้ มันคุ้มกับมะเร็งหรือ และแน่ใจหรือว่าได้
เมื่อเวลาผ่านไป ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวนั้นเป็นความจริง ยามเมื่อเราได้เห็นแม่ค้า และช่าง เหล่านี้ มารักษามะเร็งที่ชมรม
คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเน้นย้ำเสมอว่า การค้ากำไรเกินควร กำไรที่เกินนี้แหละจะย้อนกลับมาให้ทุกข์แก่เรา แล้วคนเหล่านี้ก็จะกล่าวอ้างเสมอ ว่า ตนเองไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เคยทำร้ายใคร ทำบุญมาตลอดชีวิต สรุปง่ายๆ ก็เป็นคนดีของสังคม แต่ทำไมจึงมาเป็นโรคร้ายนี้ได้
พูดง่ายๆ ประท้วงว่า ตนเองไม่เคยทำบาปทำกรรม ทำไมจึงมาเป็นโรคร้าย
และที่ทำร้ายจิตใจคนพวกนี้มากไปกว่าโรค นั่นคือ ไอ้เจ้าเงินกำไรส่วนเกินที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต รวมทั้งเงินสุจริตที่ควรเป็นของตน ก็ต้องถูกโอนย้ายถ่ายเทไปให้หมอ ให้ฝรั่ง เป็นค่ารักษาจนหมด
ความจริงข้อนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้คิดว่า แท้ที่จริง เราได้หรือเสียกันแน่
พฤติกรรมเช่นนี้ กำลังลุกลามมายังตลาดนัดหน้าชมรมคนรักสุขภาพ ด้วยเห็นความอยากของคนไข้ที่อยากซื้อ อาทิเช่นมะพร้าว ก็นำมะพร้าวมาขายให้ คนไข้ก็อยากซื้อมาให้ชมรมประกอบสมุนไพร แต่มะพร้าวนั้น เป็นมะพร้าวตกต้น ลูกแตก เน่าเสีย มาหลอกขาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนอยู่บ่อยครั้งว่า ไม่ควรสนับสนุนคนเหล่านี้ และท้ายที่สุด เมื่อกรรมมาถึง คนเหล่านี้เป็นโรคร้าย ก็จะเวียนเข้ามาในชมรม
อุทาหรณ์นี้ น่าจะเตือนใจเราท่านว่า สิ่งที่ฝรั่งมักพร่ำสอนในวิชาบริหาร ให้ตั้งจุดมุ่งหมายในการทำธุรกิจ นั่นเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด สำหรับเราท่านชาวพุทธ อย่าได้เดินทางเส้นนั้นเลย