ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556
บทเรียนจากอดีต
คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่มักสอนสมาชิกใหม่ นั่นคือ ให้ค้นหาว่าชีวิตจริงของเราท่านทั้งหลาย "สุขอยู่ที่ใด"
คำตอบของคำถามนี้ จึงเป็นจุดมุ่งหมายของการมายัง ณ.สถานที่นี้ และก็ต้องหาคำตอบอีกคำตอบหนึ่งให้ได้ว่า หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เพื่อสิ่งใด หวังสิ่งใด
เมื่อนำคำตอบทั้งสองสิ่งนี้มารวมกัน และเปรียบเทียบกัน พิจารณาดูว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากไม่ ก็ควรที่จะรีบไปหาที่อื่น เพราะท้ายที่สุด ทางของเราท่าน กับทางของแม่ชีเมี้ยนก็ย่อมต้องแยกออกจากกัน กาลเวลาที่ทุ่มเท ก็สูญเปล่า
ด้วยเหตุนี้ ภาพในอดีตของถ้ำกระบอก จึงได้ถูกหลวงพ่อนิพนธ์หยิบยก เพื่อเป็นอุธาหรณ์ให้ผู้ที่มา ได้เห็นความเป็นจริงนี้ และตัดสินใจ
ภาพหนึ่งที่แม่ชีเมี้ยน มักให้เป็นสติสงฆ์ หากเลือกเส้นทางของพระภูมี นั่นคือ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า" อันหมายถึง เราท่านทั้งหลาย ควรเตรียมตัว เตรียมใจ รับทุกข์ ที่จะพึงเกิด เพราะทุกข์อันนี้ เกิดจากกรรมที่เราทำมา มันสมบูรณ์แล้ว จะทำสักฉันใด ปฏิเสธสักฉันใด ก็หาพ้นไม่
การปฏิเสธทุกข์ หาใช่ทางแก้ มีแต่ก้มหน้ายอมรับ แล้วไม่ทำซ้ำอีก นั่นแล จึงจะทำให้ทุกข์หมดไปได้
นับแต่อดีต เมื่อผู้คนมาใช้เส้นทางของพระภูมี เดินตามมาได้ระยะหนึ่ง ก็ต้องเผชิญอุปสรรคใหญ่ ที่ทำให้ต้องหันเห ด้วยวินัยของพระภูมี เป็นวินัยทุกข์ อันจะก่อให้เกิดสุขแก่วิญญาณ
หากแต่ในปัจจุบัน ที่กรรมยังมาไม่ถึง ยังไล่ไม่ทัน เราท่านทั้งหลาย ก็สามารถหาสุขได้จากสิ่งต่างๆ ตามกิเลส นิสัย
สิ่งเหล่านี้ ยั่วยวน จนในที่สุด ก็ละทิ้งวินัยทุกข์ของพระภูมี หรือวางวินัยนี้ลง
คำตรัสของแม่ชีเมี้ยน ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ ที่มีต่อพึ่ชายทั้งสอง เมื่อคนทั้งสอง ละทิ้งวินัยพระภูมี หันไปหาลาภ ยศ เงินทอง สรรเสริญ เพื่อให้ไม่เกิดอาฆาต และให้อภัย
ทรงตรัสว่า " ก็ต้องเห็นใจพี่ทั้งสองของเอ็ง ท่านรูญเป็นแค่เพียงตำรวจยศสิบตรี ไม่มีคนสนใจ ส่วนท่านเจริญ ก็เป็นเพียงพนักงานเทศบาล หากแต่ในวันนี้ มีคนมากมายกราบไหว้ นับหน้าถือตา จะให้ละทิ้งก็เป็นเรื่องยาก"
เราจึงหันกลับมาวันนี้ ในสิ่งที่หลายคนกำลังทำ นั่นคือ การละทิ้งหน้าที่ ที่ช่วยชีวิต หันกลับไปหา เงิน ทอง ลาภยศ สรรเสริญ อีกครั้ง หลังจากที่รอดจากความตาย จึงไม่เป็นเรื่องแปลก
เราได้ยินได้ฟังจากหลวงพ่อนิพนธ์ พูดถึงคนเหล่านี้ อาทิเช่น คนไข้วีไอพีท่านหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งเครื่องจักรกลใหญ่ มีอุปกรณ์ในการสร้างสาธารณูปโภค ระดับชาติ รับงานข้ามประเทศ
จนวันหนึ่ง เมื่อภาวะโรครุมเร้า ทำให้หมดความสามารถในการประกอบอาชีพ ด้วยสังขารไม่อำนวย แลหมอก็กล่าววาจาอมตะ ให้ใช้ชีวิตที่เหลือที่มีอีกไม่มาก ทำในสิ่งที่ชอบ
คนไข้ท่านนี้ ก็มาตามติดหลวงพ่อนิพนธ์ และกล่าวว่า จะหยุดกิจการและรอขาย หากหายก็คงไม่กลับไปทำอีก เอาชีวิตไว้ดีกว่า
และเมื่อเวลาผ่านไปปีกว่าๆ สภาพของเขาก็กลับมาแข็งแรงเป็นปกติ ความคิดในการทำธุรกิจ ก็เริ่มย้อนกลับมา จนในที่สุด ก็ละทิ้งการมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ โดดกลับไปทำธุรกิจเต็มตัว
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ ได้กล่าวเตือนให้พึงระวังเสมอ ไม่ว่าจากอดีตถ้ำกระบอก หรือ คนไข้ปัจจุบัน มักมีพฤติกรรม ดังโบราณว่า "ถึงท่า แล้วถีบเรือทิ้ง หรือไม่ก็ทุบท่าทิ้ง"
ด้วยเพราะมองโลกจากสภาวะที่เป็น ที่หอมหวาน และวาดฝัน ว่ามันจะคงอยู่กับตัวของเราท่านอย่างนี้ตลอดไป
หากแต่ในความเป็นจริง นับจากอดีตถ้ำกระบอก ที่เติบโตมาได้ด้วยวินัยของพระภูมี จนกิจการใหญ่โต ก็ละทิ้งวินัยที่ช่วยตนมา ผลที่สุด เมื่อผ่านไปสี่สิบปี ความเลวร้ายย้อนกลับมาบังเกิดกับตนอีกครั้ง ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยตนของตนได้อีก
ตำราสมุนไพร ที่เคยช่วยคนอื่นได้เป็นหมื่นเป็นแสนคน ที่เรียงรายเต็มตู้ ช่วยตนไม่ได้เลย
คนไข้ในปัจจุบัน ก็เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อหาย ก็ถูกกิเลส ยั่วยวนจนย้อนกลับไปในเส้นทางสายเก่า ทิ้งพฤติกรรมที่ทำให้รอดไปจนหมดสิ้น หากแต่กรรมที่เราทำมา แม้หมดปล้องนี้ไป ก็ยังมีปล้องใหม่ตามมา แลเมื่อมาถึง จะกลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อช่วยตนอีกครั้ง หนทางก็ถูกตนทำลายทิ้งลงเสียแล้ว
คำแนะนำที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักให้แก่คนใกล้ชิด ที่หายดี และบอกว่า "ไม่จำเป็นต้องทานสมุนไพรแล้วนั้น" คือ "พฤติกรรมใด ที่กระทำในสถานที่นี้ แล้วมีผลทำให้เราอยู่เป็นปรกติสุข ก็ควรรักษาไว้ ทำให้เหมือนเดิม"
พฤติกรรมนั้น มีไว้เพื่อเลี้ยงชีวิต หากแต่ยามใดที่ประสบกรรมที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ เกินกำลังกว่าพฤติกรรมที่ทำได้ ก็ทานสมุนไพรช่วย
อันหมายความว่า หากจะมีชีวิตที่เป็นสุข ต้องหาความหมายให้ชีวิต นั่นคือ นำพลังชีวิตที่ได้กลับมา แบ่งส่วนหนึ่ง ให้สุขแก่ผู้อื่น เพื่อนำผลอันนั้นมาเลี้ยงตน
สิ่งที่ทำ แม้กรรมยังมาไม่ถึง ก็เป็นเงินบุญเก็บไว้ใช้ ยามกรรมมาได้ อย่ารอจนกระทั่งกรรมมาถึง แล้วค่อยทำ เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ก็ยากที่จะทันกาลแล้ว
ดั่งคำของพระภูมี ที่ตรัสว่า "จงทำความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อม"
เมื่อเราหาย แสดงว่าเราเรียนจบหลักสูตรแล้ว ควรพินิจพิจารณา ว่า พฤติกรรมใดของเรา ที่ทำให้ตนของเรารอด นั่นแหละคือ ความรู้ที่ถูก และผ่านการทดสอบ ลองผิดลองถูกมาแล้ว
คนฉลาด ก็จะยึดและใช้เป็นแนวทางสำหรับตน เพื่อเดินได้โดยปลอดภัย หากไม่พิจารณาใดๆ เลย ก็อุปมาเหมือนทุบท่าทิ้ง กลับไปเดินทางสายเก่า ก็ึคงหลีกลี้หนีกรรมไม่พ้นเหมือนเก่า
หากพิจารณาแล้ว รักษาพฤติกรรมนั้นไว้ และยังนำความรู้นี้ไปเผื่อแผ่ ชี้ให้ผู้อื่นเห็น หลวงพ่อนิพนธ์เรียกคนเช่นนี้ว่า เขากำลังทำตนเป็น "พระมาลัยโปรดสัตว์" นั่นเอง
อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพราะคนที่ได้รับผลจากหลักของพระภูมีแล้วไซร้ จนชีวิตรอดปลอดภัย แล้วหวนกลับไปเลวร้ายอีกครั้ง ยากที่จะประสพผลอีกครั้ง
ด้วยเหตุผลที่หลวงพ่อนิพนธ์ เรียกว่า "เมื่อก่อน คนเหล่านี้ ทำเพราะไม่รู้เรื่องศาสนา แต่สิ่งที่เกิดตอนนี้ คนเหล่านี้ ทำไปทั้งๆ ที่รู้่ เรียกว่า เจตนา และที่สำคัญ คนเหล่านี้มีพฤติกรรมปฏิเสธพระภูมี"
ดังนั้น ก็คงได้ยินวาจาเฉกเช่นที่หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวกับ ท่านโกวินธะ เจ้าอาวาสวัดไผ่รื่นรมย์ ที่โด่งดัง ที่บากหน้ามาให้ช่วยรักษาโรคหัวใจตีบ ๓ เส้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกศิษย์เมื่อครั้งถ้ำกระบอกว่า " ผมรักษาคนทั้งโลกได้ แต่รักษาท่านไม่ได้ เพราะท่านทำผิดทั้งๆ ที่รู้ "