ดั่งที่ อ.อร่ามได้เคยกล่าวไว้หลายครั้ง นั่นคือ ผู้ป่วยแต่ละคน จะได้สมุนไพรเขียวกลับบ้าน เป็นขวดลิตรกันทีเดียว เรียกได้ว่าทานกันเต็มที่
ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องใช้กากยาเขียว
ครั้นต่อมา เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ มีดำริที่จะเปิดแจกสมุนไพร ให้แก่ชาวบ้าน หลังจากที่ได้นำคณะสงฆ์ของท่าน ไปจำพรรษา ที่สวนสมุนไพร อ.บ่อพลอย
จากการเปิดตัวนี้เอง เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ก็มีคนป่วยแห่กันมาหาพระ เพื่อขอสมุนไพร จากจำนวนสิบ กลายเป็นหมื่น จนสำนักสงฆ์ที่อยู่กลางป่า ไม่มีบ้านคน กลับกลายเป็นเมืองขนาดเล็กย่อมๆ
ด้วยเหตุที่การแจกสมุนไพรแก่ชาวบ้านในเวลานั้น ใช้การเทรินยาเขียวให้ทานคนละแก้วเท่านั้น ในแต่ละครั้งที่มา
แล้วก็ให้ทาน สมุนไพรมะกรูด และสมุนไพรน้ำผึ้ง (สมุนไพรดำ) คนละช้อน แล้วกลับบ้าน ไม่ได้แจกเป็นถุงดังเช่นทุกวันนี้
หากกระนั้นก็ตาม คนหายก็มีมาก ยิ่งทำให้เสียงเล่าลือยิ่งมาก อันเป็นผลทำให้สมุนไพรเขียว ซึ่งแต่เดิมถูกนำไปใช้ทาแผล และอาการด่างๆ บริเวณผิวหนัง ไม่มี เพราะต้องนำไปให้คนทานทั้งหมด
และในช่วงนั้นเอง มีคณะกรรการท่านหนึ่ง ได้เสนอความเห็นว่า ในการคั้นยาเขียว น่าจะอาศัยเครื่องจักรทำให้คั้นได้ปริมาณเต็มที่ และไม่มีกากยาปนในตัวสมุนไพรด้วย
หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเหตุสมุนไพรเขียวต้องมีกากยาปนอยู่บ้าง เพราะกากยาจะยังคงมีตัวยาอยู่ เมื่อเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร จะติดไปในอาหาร ทำให้ช่วยรักษาแผล และที่สำคัญทำให้ขับถ่ายได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีอาการริดสีดวงทวาร
ด้วยได้ฟังเหตุผลนี้เอง เจ้าหน้าที่ทำยาในสมัยนั้น คือ "คุณเส่ย" จึงได้เรียนถามหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น กากยาเขียวที่ปรกติไม่ได้ใช้ ต้องทิ้งไป จะสามารถนำไปใช้ได้หรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ก็ทำได้
จึงเป็นจุดเริ่มจากนั้นมาในการใช้กากยาเขียว โดยได้รับคำแนะนำว่า ในกรณีที่ใช้ในคนที่เป็นโรคผิวหนัง ให้นำไปผสมน้ำปูนใส (ปูนกินหมากของคนแก่ หรือที่เรียกปูนแดง) โดยใส่น้ำลงในปูน คนให้ทั่ว แล้วรอจนตกตะกอน ได้น้ำใสๆ นำมาเคล้ากับกากยาเขียวจนชุ่ม แล้วนำไปโชลมที่บริเวณนั้นๆ หลังอาบน้ำทุกครั้ง
ในกรณีของการเป็นโรคท้องผูก หรือ ริดสีดวง สามารถนำไปบดให้ละเอียดขึ้นด้วยเครื่องปั่น แล้วเคล้ากับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลักษณะเช่นเดียวกับลูกกลอน เก็บไว้ในขวดทึบแสง (เหมือนยาที่โดนแสงไม่ได้) แล้วแช่ในตู้เย็น ใช้ทาน และสามารถเก็บไว้ได้นาน
ข้อสำคัญ น้ำผึ้งที่ใช้ ควรเป็นน้ำผึ้งแท้ มิฉะนั้นจะทำให้เสียได้ง่าย
หรือถ้าไม่มีอะไรเลย ก็สับป่นให้เล็กลง แล้วทานสดเลยก็ได้
ดังนั้น การใช้กากยาเขียว จึงไม่จำเป็นต้องขอมามากมาย สักกำมือก็พอ สำหรับหนึ่งอาทิตย์ เมื่อหมดแล้วไปขอใหม่ เพราะตัวสรรพคุณของยาเขียว เมื่อผ่านสิบวันสองอาทิตย์ ก็จะลดค่าลงอย่างรวดเร็ว
หรือการจะนำไปใช้กับแผล ก็ทำเหมือนหนังจีน คือ เมื่อผสมน้ำปูนกับกากยาเขียวจนพอชุ่ม แล้วขยำให้เข้ากัน จนเห็นน้ำเขียวๆ แล้วก็โปะลงบนผ้าพันแผล นำไปปิดทับที่แผล ลักษณะเดียวกับกอเอี๊ยะของจีนนั้นแหละ หากแต่ทุกครั้งต้องล้างแผลก่อน เพื่อนำเศษกากยาเขึยวเก่าออก อาจใช้วิธีแผนปัจจุบันในการล้างก็ได้
มายุคปัจจุบัน เราจึงได้เห็นการประยุกต์กากยาเขียว จากหลานของคุณหญิงบุญเรือน นั่นคือ การทำขนมปังกากยาเขียว อันเป็นที่ชื่นชอบของหลายคน ที่ซึ่งประยุกต์มาจาก ขนมปังผักขมของฝรั่ง ..... แล้วท่านไปลองชิมแล้วหรือยัง ... ขมแต่ดี .. ขอบอก.. หลวงพ่อนิพนธ์การันตี
แต่อาจต้องขออภัย เพราะขายเกลี้ยงทุกสัปดาห์ อันนี้ต้องแย่งกันหน่อย เพราะของดีมีน้อย