รูปภาพแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์อนุญาต |
ธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นธรรมคำสอน หรือ ธรรมหมวดสมุนไพร ก็เฉกเช่นเดียวกัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเรียกธรรมของพระพุทธเจ้าว่า "ธรรมเป็น" และมักกล่าวว่า สมุนไพรของพระภูมี เป็นสมุนไพรที่มีวิญญาณ
เมื่อเป็นของเป็น หรือ ของมีวิญญาณ ก็มีนัยว่า "ต้องมีเจ้าของ"
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนา หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นของที่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของสาธารณะ ใครอยากเชิญใครอยากได้ ก็ทำได้ ไม่ใช่ ไม่ใช่
เหตุและผล ในเรื่องของเจ้าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั้นจะพึงดูได้จาก เมื่อสิ้นสาวกองค์สุดท้าย ก็สิ้นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา รอจนพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติ
เราท่าน จึงไม่ได้ยินได้เห็น พระอรหันต์อีกเลยนับแต่นั้น และกล่าวว่า พระอรหันต์สาวกของพระโคดม มีเพียงแปดหมื่นสี่พันรูป ไม่มีเพิ่มอีกแม้แต่องค์เดียว
สิ่งนี้ได้ตอกย้ำ ภาพวันวาน ที่สามเณรนิพนธ์ได้ถามแม่ชีเมี้ยนว่า เมื่อท่านได้ทรงถ่ายทอดตำราสมุนไพร ก็มีผู้รู้ผู้เห็น ไม่ว่าพระ หรือ คนทั่วไป กันมากมาย แล้วไม่กลัวว่า คนพวกนั้นจะนำสูตรของท่านไปปู้ยี่ปู้ยำหรือ
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสตอบว่า "สมุนไพรเป็นเพียงมัมมี่ ไม่มีวิญญาณ" สิ่งสำคัญอยู่ที่คาถาที่จะบรรจุวิญญาณ ที่ฉันให้ต่างหาก สมุนไพรจึงมีฤทธิ์
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงย้ำเตือนในคืนวันปีใหม่ว่า ตัวท่านไม่มีอะไร หากแต่สิ่งที่เป็น สิ่งที่เกิด เป็นเพราะแม่ชีเมี้ยนท่านให้ หรือ อนุญาตให้ทำ สมุนไพรและวินัยที่บอกกล่าว จึงยังคงมีอำนาจช่วยคนได้
ก็ดูอย่างถ้ำกระบอก เมื่อท่านให้ก็เฟื่องฟู แลเมื่อท่านละสังขาร แล้วเอากลับ สมุนไพรสูตรเดิม ก็ไร้ค่า ไม่มีฤทธิ์ช่วยใครได้
ดังนั้น เมื่อสิ้นอำนาจ ก็อุปมาเหมือนหมดอายุขัย การกระทำแบบเดิมที่เคยช่วยได้ จึงไม่มีฤทธิ์หรือบารมีมาช่วยตนได้อีกต่อไป
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงยกตัวอย่างเช่น ลูกศิษย์เก่าๆ ที่ยังฝังใจกับถ้ำกระบอก กับพฤติกรรมเก่าๆ ที่เคยใช้เป็นที่พึ่งเมื่อครั้งนั้น และได้ติดสอยห้อยตามท่านมาจนปัจจุบัน ก็ยังมีพฤติกรรมแบบเดิม และคิดว่าเป็นที่พึ่งได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้น แม้นจะทำตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ก็หามีประโยชน์แก่ชีวิตอีกต่อไป เพราะถูกถอนอำนาจ เรียกได้ว่า พฤติกรรมอย่างนั้นหมดอายุขัย ไม่มีผลต่อผู้ทำอีกต่อไป
อาทิเช่น เราท่านอาจได้มีโอกาสเห็นภาพของแม่ชีเมี้ยนได้จากเว็บไซด์ หรือ บ้านของเหล่าลูกศิษย์ถ้ำกระบอก ที่อยู่บนหิ้งบูชา เมื่อครั้งที่ถ่าย ณ หน้าถ้ำ
การกราบไหว้ รำลึกคุณ ที่พระสอนกันมาแต่ครั้งถ้ำกระบอก ทำให้ลูกศิษย์เหล่านั้น ก็ยังกระทำอยู่
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นั่นมันอดีตที่แม่ชีเมี้ยนท่านอนุญาต แต่ตอนนี้ท่านถอนออกมาหมดแล้ว พฤติกรรมเช่นนั้นจึงช่วยตนไม่ได้อีก
มา ณ วันนี้ สิ่งที่แม่ชีเมี้ยน อนุญาต คือ รูปปั้นที่ตั้ง ณ ชมรมคนรักสุขภาพ ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์อนุญาตให้ถ่าย และนำไปกราบไหว้ระลึกคุณได้
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ของเป็นมีอายุขัย เมื่อหมดอายุขัย เป็นของตายก็ไร้ค่า พฤติกรรมเดียวกัน เหมือนกัน ความรู้สึกเดียวกัน แต่ทำผิดที่ ผิดเวลา ผลก็ต่างกัน
มา ณ วันนี้ ผู้ที่ไหว้รูปแม่ชีเมี้ยนเมื่อครั้งถ้ำกระบอก จึงไม่มีผลในการช่วยตน แต่ผู้ที่ไหว้รูปแม่ชีเมี้ยน ที่ชมรม มีผลต่อการช่วยตน
อันเป็นเครื่องยืนยันว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ของสาธารณะ ผู้ที่จะรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องมีคุณสมบัติ และได้รับอนุญาต
ดังนั้น ข้อสงสัยที่ว่า ทำไมทุกครั้งหลวงพ่อนิพนธ์ต้องสอนด้วยตัวเอง จึงกระจ่าง เพราะท่านกล่าวว่า สิ่งที่ท่านพูด และกำหนดให้ทำเป็นวินัย จะมีอายุขัย และมีผล แค่ไม่กี่ชั่วโมง นั่นเอง
เมื่อเลยไปแล้ว แม้จะทำอย่างเดียวกัน ผลก็ต่างกัน
ข้อพิจารณาที่หลวงพ่อนิพนธ์ทิ้งไว้ให้ คือ สิ่งที่สอน สิ่งที่กล่าว ในเรื่องของพระพุทธศาสนา ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อคัดง้างกับผู้ใด หรือ ให้ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงมาเชื่อ
แต่คำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่นำมาถ่ายทอด "เป็นเรื่องจริง ไม่กลอกกลิ้ง พูดความจริงทุกอย่าง"
มีไว้เพื่อให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด ที่พิจารณาแล้วเห็นชอบ ในเหตุและผลอันนี้ ก็จะได้ปรับเปลี่ยนนิสัย และพฤติกรรม เข้ามาอยู่ในครรลองของศาสนาที่แท้จริง เพื่อช่วยตนของตนเองได้
และก็คงมีเพียงกลุ่มคนที่ไม่มากนัก ที่จะชอบในเหตุและผล ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
อุปมา ในยุคของพระกัสปะ ก็เพียงแค่ประมาณสามแสนคน หรือ ในยุคที่มีพระพุทธเจ้าที่ปราดเปรื่อง เช่น พระโคดม ก็มีแค่ประมาณล้านคน เท่านั้นเอง เทียบกับมนุษย์ทั้งโลกแล้ว น้อยกว่าน้อยมาก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า เรื่องของศาสนา จึงเป็นเรื่องของคนกลุ่มเล็กๆ แต่อำนาจบุญญาธิการของเขายิ่งใหญ่นัก จนคนทั้งโลก ยังต้องยอมรับ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงตอกย้ำ ให้ทุกคนกลับไปพิจารณาตนเองอีกครั้ง ในการกระทำของตน เรื่องของชีวิต ต้องมุ่งมั่น ทุ่มเท จึงได้มา กิจกรรมและวินัยที่บอก ทุกอย่าง ล้วนมีผลต่อชีวิต
หากท่านใด ไม่คิดจะมาทำ ไม่คิดทุ่มเท หวังแค่เพียงสมุนไพร ย่อมเป็นการยากที่จะประสพผล ผลสุดท้ายย่อมคาดคำนวนได้ว่า เป็นการสิ้นเปลืองสมุนไพรเปล่า และเป็นการเสียเวลาเปล่าของคนเหล่านั้นด้วย
คนเหล่านี้ ควรพิจารณาตน แล้วตัดสินใจ และเลือกทำในสิ่งที่ตนชอบจะดีกว่า ทางใคร ทางมัน
ผู้ที่จะมา จึงควรตั้งเจตนา และทำให้เป็นตน ว่า สถานที่นี้ ท่านมาหา แม่ชีเมี้ยน พระภูมี และสมุนไพร
ประเภทที่มาหาเพื่อน หาตลาดของถูก หาประโยชน์ ... แล้วได้สมุนไพรฟรีเป็นของแถม คนเหล่านี้ เรียกว่า มีตาหามีแววไม่ ควรที่จะไปที่อื่น... อย่ามาเบียดเบียนสมุนไพรของคนที่เขาอยากช่วยตนเลย ... ก็จักเป็นบุญยิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น