หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนผู้ที่อยากจะแนะนำผู้อื่น ถึงเหตุและผลง่ายๆ ว่าทำไมจึงต้องทานสมุนไพร
ด้วยเหตุและผล ของการที่ "วิญญาณต้องรับผิดชอบต่อสังขาร" นั่นเอง
ดังนั้น มนุษย์ จึงต้องคัดสรรอาหาร ที่จะทานเพื่อดูแลสังขาร การทานอาหารจึงต้องไม่มีสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการ หรือ ทำร้ายร่างกาย อาทิ ทานข้าว ไม่ทานแกลบ ไม่ทานกรวด หิน
อันจะเห็นได้ว่า สิ่งที่ร่างกายตอบรับ มีแต่สิ่งที่เป็นธรรมชาติ เท่านั้นเอง
ฉันใดก็ฉันนั้น เหตุและผลที่ไม่ควรทานยาเคมี ก็ด้วยเหตุที่มันไม่ใช่ของธรรมชาติ จึงเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ตอบรับ เท่ากับเป็นการ "ข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า" นั่นเอง
ผลจากพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ผิดเพี้ยนไป ไม่เป็นตามอริยสัจ ๔ ที่พระภูมีทรงตรัส อันได้แก่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
มาวันนี้ ผลจากพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้วัฐจักรของมนุษย์ กลายเป็น เกิด เจ็บ แล้วตาย โดยที่ยังไม่แก่เลย
พระภูมี จึงได้บัญญัติ วิธีการแก้ไขปัญหาโรคภัย ด้วย "สมุนไพร" อันเป็นสิ่งที่ฟ้าดิน เขาจัดสรรให้ เป็นธรรมชาติ เกิดคู่มากับมนุษย์แล้วนั่นเอง
และสิ่งที่จะปลอดภัย สำหรับผู้แนะนำ นั่นคือ ผู้ที่มา มุ่งหวังสิ่งที่เป็นที่พึ่งของตน จึงควรแนะนำให้มาถึง แม่ชีเมี้ยน พระภูมี และหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อให้คนผู้นั้น ได้เป็นที่พึ่งพิง
เพราะเราท่าน ยังต้องพึ่งพา บารมีของแม่ชีเมี้ยน พระภูมี และคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อช่วยตน คงไม่สามารถช่วยใครได้
หากเราท่านมีใจอยากชี้ทางรอดให้แก่ใคร ก็จึงควรให้เหตุผล ถึงเหตุแห่งการใช้สมุนไพร ของพระภูมี และชี้ช่อง พาไปให้ถึงร่มโพธิ์ร่มไทร ที่จะพึ่งพิงเพื่อช่วยตน
อย่าให้คนเหล่านั้น มาหยุดที่เรา
และเหตุผลสำคัญที่สุด ในการใช้แนวทางสมุนไพร คือ ความเมตตา นั้นเอง
พระภูมีทรงตรัสว่า "คนฉลาด ต้องเมตตาตนเองก่อน ทำตัวให้รอด แล้วจึงนำหนทางรอดของตน ไปชี้ให้คนอื่นเดินตาม"
ผู้ที่ทานแกลบ เท่ากับทำร้ายตน ผู้ที่ทานเคมี เท่ากับกำลังฆ่าตน พฤติกรรมเหล่านี้ เรียกได้ว่า กำลังทำกรรม "ฆ่าตนเอง หรือ ทำร้ายตนเอง" อันเป็นกรรมที่ร้ายแรงกว่ากรรมใดๆ ทั้งสิ้น อันจะเห็นได้จากบัญญัติของพระภูมี ข้อหนึ่งว่า "ห้ามฆ่าตนเอง" เด็ดขาด
การเลือกแนวทางสมุนไพรของพระภูมี ก็คือ การทำให้วัฐจักรของมนุษย์ กลับมาเป็นดั่งเดิม ได้อยู่จนแก่ แล้วตาย ตามพรหมลิขิตเดิมนั่นเอง