สรรพสิ่งที่ทำ แม่ชีเมี้ยนเรียกว่า ตัวกระทำ เมื่อทำแล้วไม่ตาย และที่สำคัญ ผู้อื่นจะมาลบล้างไม่ได้เลย และสิ่งนี้จะกลายเป็น พรหมลิขิตที่รอเราในภายหน้า
ดังนั้น ใครจะเกลียดผู้อื่นสักปานใด แม้นจะสั่งฆ่า สาปแช่งสักปานใด ก็หาทำให้คนผู้นั้น ตายลงได้ หรือเป็นไปตามความอยากให้เป็นได้ไม่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกสิ่งนี้ว่า "กรรมศักดิ์สิทธิ์"
เมื่อมองในเรื่องโรคภัย การกระทำของฝรั่งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาเหนือกว่า ชนชาติอื่น ก็อาศัยสิ่งนี้ เรียกว่า เป็นการหากินกับพรหมลิขิต นั่นเอง เพราะตราบใดที่คนผู้นั้นยังไม่ถึงที่ จะทานยาเม็ดละบาท หรือเม็ดละล้าน หรือไม่ทานเลย ก็หาถึงที่ตายไม่
และที่เนียนกว่า ดั่งตัวอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มักยกมาให้เห็น อาทิ เมื่อมีบาดหรือเกิดแผลขึ้น ฝรั่งให้ทายา แล้วบอกว่ายาทำให้แผลหาย แต่เมื่อเป็นเบาหวาน ทาเท่าไรก็ไม่หาย นั่นคือ ความสามารถของตัวเราท่านนั้นเอง ที่เป็นผู้รักษา อาการของแผลนั้นๆ แม้กระทั่งกระดูกหัก จะเห็นว่าคนโบราณ ใช้น้ำมันนวด จัดกระดูกเข้าที่ แล้วดามรอร่างกายประสานกระดูกให้ดีดั่งเดิม หมอสมัยนี้ก็โมเมว่า ยาดี ทำให้กระดูกสมาน
และกรณีของกรรมการท่านหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจใหญ่ปัจจุบันอายุก็เกือบ ๘๐ ปี ประสพอุบัติเหตุไหปลาร้าหัก หมอวินิจฉัยว่า อายุขนาดนี้ ร่างกายไม่สามารถประสานกระดูกเข้าด้วยกันได้แล้ว จึงไม่ทำการผ่าตัดและดามเหล็กเหมือนกรณีทั่วไป ได้แต่จัดกระดูกแล้วใส่เฝือกอ่อนดามด้านนอก และห้ามออกกำลังโดยเด็ดขาด
ผ่านการทานสมุนไพรสามเดือน นายตำรวจไปให้หมอตรวจร่างกาย หมอก็ต้องประหลาดใจที่คนอายุขนาดนี้ ร่างกายประสานกระดูกได้อย่างไร ... นี่แหละเป็นสิ่งยืนยันว่า ขึ้นกับร่างกายว่ามีความสามารถหรือไม่ หาใช่ยาหมอ ยาฝรั่งไม่
เมื่อกรรมหรือตัวกระทำ มีน้ำหนัก และมีวันเวลาที่รอเราในภายหน้า ถึงเวลามาเองไม่ต้องเชิญ ในทางตรงกันข้าม แม่ชีเมี้ยนก็สอนว่า ธรรมก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีน้ำหนัก
พระภูมี ไม่ทรงบัญญัติศีล เพราะเมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่มีวันทำได้ แม้แต่ศีล ๕ ก็ตามที ก็หนักเกินกว่ามนุษย์คนใดจะทำได้ ยิ่งทำตลอด ๒๔ ชั่วโมงด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางทำได้เลย เมื่อทำไม่ได้ ก็จะท้อในการกระทำ และไม่ทำอีก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเล่าพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าแม้นจักมีความระแวดระวังสักฉันใด ก็ยังทรงมีการกระทำฆ่าสัตว์ โดยไม่เจตนา ในยามที่ท่านเดินไปสถานที่ต่างๆ สรรพสัตว์ที่อยู่ใต้ใบไม้บ้าง ในดินบ้าง และสัตว์นั้น ก็มีอภัยให้พระพุทธเจ้าบ้าง ไม่ให้บ้าง
ด้วยกรรมอันนี้นี่เอง ถึงเป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังทรงมีอาการปวดเมื่อย และเมื่อจะดับขันธ์ ก็ทรงใช้กรรมเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการอาเจียนเป็นพระโลหิต ทำให้พราหมณ์ ที่ต้องการแต่งเรื่องนำไปอ้างว่า ทรงพระประชวร และโมเมหมอชีวิกขึ้นมา ... นั่นเอง
เมื่อธรรมมีอำนาจ มีน้ำหนัก บทสวดที่แม่ชีเมี้ยนให้หลวงพ่อนิพนธ์นำมาให้ญาติโยมสวด ก็มีน้ำหนัก จึงเป็นเหตุผลว่า เพื่อป้องกันการกระทำที่ไม่ควร ก็ไม่อนุญาติให้ถ่ายหรือนำกลับไปบ้าน เพราะกรรมเดิมก็หนักอยู่แล้ว หากโดนกรรมอันเกิดจากการทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต่อบทสวดด้วยแล้ว จะยิ่งไปกันใหญ่ และที่สำคัญ ไม่มีอะไรช่วยได้ เพราะสิ่งที่ทำผิด หาใช่กรรม แต่เป็นธรรมที่จะใช้ช่วยตนด้วยนี่ซิ
แม่ชีเมี้ยน จึงสอนแนวทางการปฏิบัติธรรมของพระภูมี โดยการวางสัจจะ หรือข้อกำหนด เป็นข้อๆ บางสิ่งบางอย่าง เริ่มจากสิ่งที่พอทำได้ ทีละน้อย และค่อยๆเพิ่มน้ำหนักขึ้น
บทบัญญัติของญาติโยม ในอดีต หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เริ่มจากการกระทำที่ไม่ทำลายศาสนาเป็นประการแรก ไม่ซื้อขาย ไม่ส่งเสริม ไม่ถวายเงิน ในขณะที่คนไข้ยาเสพติด ก็มักจะเริ่ม ด้วย การที่จะไม่เสพ ไม่ขาย ไม่ส่งเสริม
และบทในการตัดกิเลส มักจะเริ่มจากการทำไม่โกรธ นับจากหนึ่งชั่วโมง ค่อยๆ ฝึกไป
และเริ่มฝึกการกระทำ เพื่อให้เกิดความสงบได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ก็ต้องเริ่มจากการสวดมนต์ นั่งกรรมฐานฟัง พระ บังคับหรือลดกิริยาลง .... ถ้าเบื่้องต้นนี้ทำไม่ได้ ก็คงมองได้ว่า ไม่สามารถต้านทานกิเลสนิสัยใดๆ ของตนได้เลย เส้นทางสายนี้ ก็ไม่มีวันประสพผล จะมาสักฉันใด ก็ไร้ผล หรือที่พระภูมีทรงตรัสเรียกบุคคลประเภทนี้ว่า คนดิบที่เกินกว่าธรรมของท่านจะทำให้สุกได้แล้วนั่นเอง
อยากรู้ธรรม จึงไม่ใช่พิจารณานี่นั่นโน่น หากแต่พิจารณานิสัยตน ที่จะมาเป็นมารผจญ ยามที่เราอยู่ในกรรมฐาน เพื่อเดินตามพระภูมี สร้างบุญ ก็คือ สร้างความสงบ และยามนั้นท่านจะเห็นกิเลสนิสัย ที่มาสารพันรูปแบบ ไม่ว่า ความเมื่อย ความปวด ความอยากที่แปรมาหลายรูปหลายแบบ เพื่อให้ละออกจากความสงบ หรือกรรมฐาน ที่จะสร้างบุญให้ตน
ใครอยากลองแนวทางนี้ อยากพิสูจน์ ก็ลองจุดธูปไหว้แม่ชีเมี้ยน ไหว้พระพุทธ ลองทำไม่โกรธในเวลาที่ยุ่งที่สุดของชีวิตตน สักวันละหนึ่งชั่วโมง แค่ช่วงสั้นๆ ๗ วัน แล้วก็จักเห็นความจริงข้อนี้
แล้วจะรู้ว่า แค่ชั่วโมงเดียวก็หนักสาหัสแล้ว คนถ้ายอมรับความจริง แบกศิลห้า ๒๔ ชั่วโมง ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า กิจกรรมบำบัดยาเสพติด ทำไมจึงต้องใช้พระ ก็เพราะต้องใช้สติอย่างมาก เมื่อเจอกับคนไข้ ที่เรียกได้ว่า กวนตีนสุดยอด กวนโอ๊ยที่สุด และที่สำคัญ ควบคุมตนไม่ได้ด้วยนั่นเอง .... สิ่งเดียวที่จะกำหราบอาการเหล่านี้ คือ คุณธรรม และความเมตตา เป็นสตินั่นเอง ที่ใช้เป็นน้ำหนักกดทับ