การบังคับให้มานั่งสวดมนต์ นั่งฟัง เพื่ออะไร ...
บทบัญญัติ ของพระภูมี มีความหมาย และที่สำคัญ ให้ประโยชน์หลายประการ ในการทำ
หลวงพ่อนิพนธ์ สอนว่า คุณลักษณะของกรรม ประการหนึ่ง คือ สามารถจำนิสัยของคนได้ นั่นจึงเป็นเหตุให้ผลกรรมที่ตามมานั้น ไม่ผิดฝาผิดตัว
พระพุทธเจ้าจึงสอนวิธี หนีกรรม และวิธีใช้กรรม
การหนีกรรม ก็คือ การเปลี่ยนนิสัย ดังนั้น เมื่อเราใช้วันเวลา ๑ วัน มาเพื่อเปลี่ยนนิสัยตน ในวันนี้เอง ผลที่เกิดประการแรก คือ กรรมมันหาเราท่านไม่เจอ เพราะเมื่อกรรมมาถึง เราท่านก็มีนิสัยของพระภูมีไปเสียแล้ว คือ กายสงบ ใจสงบ วาจากล่าวมนต์ของพระภูมี ล้วนเป็นนิสัยบุญ
กรรมพิจารณา แล้วไม่ใช่นิสัยคนผู้นั้น ก็ผ่านเลยไป
ด้วยความรู้นี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สถานที่นี้เป็นสถานที่สร้างบุญ ไม่มีทางเลยที่ อากาศจะเป็นโทษ ไอใส่กันจะติดเชื้อ หรือ เชื้อจากคนโน้นจะกระโจนใส่คนนี้ แม้นว่าจะนั่งกันแออัด ติดกันสักฉันใด และก็ปลอดภัย ไม่มีใครมาสวดมนต์แล้วเสียชีวิตอย่างแน่นอน
การนั่งสงบแล้วฟัง นั่นคือ กรรมฐานเบื้องต้นของพระภูมี ที่ใช้ในการสร้างสติ ปัญญา หาใช่นั่งหลับตานิ่งๆ ไม่
ในระหว่างนี้ เราท่านจะต้องเผชิญมาร หรือกิเลสที่มายั่วยุ ให้กรรมฐานเราท่านแตก อันเนื่องมาจากความเมื่อย ความง่วงเหงาหาวนอน ความอยากคุย จิตจึงไม่สามารถจดจ่อ ไม่สามารถตั้งอยู่ในสติของพระภูมี ว่าเราท่านกำลังอยู่ในกรรมฐาน เพื่อช่วยชีวิตตน ผลก็คือ กรรมฐานแตก แล้วบรรเลง ทำตามนิสัย อยากคุย อยากอ่านหนังสือพิมพ์ อยากเล่นโทรศัพท์ อยาก....
ก็แล้วกรรมฐานอันนี้ มีประโยชน์อันใดต่อการฟื้นฟูตน ....
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบาย ว่ากรรมฐานอันนี้ ก็จักใช้เป็นสติ เมื่อยามที่เราท่าน ลงแดง นั่นเอง ทีนี้เราท่านจักไม่เผชิญกับความเมื่อยแล้ว หากแต่ต้องเผชิญกับความปวด ความทรมานของกรรมที่มาบีบเค้นสังขาร เพื่อทรมานวิญญาณ
กรรมอันนี้น ก็จะมาเป็นมาร โน้มน้าวเราให้ไกลจากสติของพระภูมี นั่นคือ ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า จิตของเราที่ไม่ฝึกฝนในการนั่งสวดมนต์ และฟัง ก็จักถูกกิเลสนิสัยของตน ทำให้ทนไม่ได้ ละทิ้งหนทางแห่งหลัก "ตนพึ่งตน" อ้างเหตุแห่งความตาย แล้วก็พาตนกลับไปยังหลัก พึ่งผู้อื่น ให้หมอช่วยให้ความปวดนั้นหายไป
นั่นคือ ไม่สามารถเชื่อมั่นในพรหมลิขิต ทานสมุนไพร ยอมใช้กรรมที่ทำมา บ่งหนามเจ็บเนื้อ เพื่อทนทุกข์ ให้หมด จนพ้นทุกข์
ความรู้อันนี้ จึงถูกใช้เป็นแว่นส่องดูผลของการทานสมุนไพร ว่าจักประสพผลหรือไม่ได้เป็นอย่างดี เพราะในขณะที่ร่างกายยังดีอยู่ ความเจ็บปวดก็ยังไม่มากมายนัก จะมีก็แต่ความอยาก กับความเมื่อย ยังไม่สามารถรักษาอาการให้สงบได้ นั่นคือ ศึกเล็กยังผ่านไม่ได้ ศึกใหญ่ยามลงแดง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
จุดมุ่งหมายของวิปัสสนา กรรมฐาน คือ การฝึกฝนพลังจิตให้เข้มแข็ง สามารถดำรงสติตามคำสอนของพระภูมี และนำไปใช้ ยามที่ต้องเผชิญเหต ได้อย่างคล่องแคล่ว
ก็โรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม และกรรมมีหน้าที่บีบเค้นสังขาร ทรมานวิญญาณ หากแต่เมื่อเราท่านดำรงตนอยู่ในกรรมฐาน นั่นก็คือ สามารถแยกสังขารกับวิญญาณ ออกจากกัน ความทุกข์ของสังขาร ไม่สามารถก่อทุกข์ให้กับวิญญาณที่มีสติ ดำรงในกรรมฐานได้
และกรรมก็มีวันเวลา ในเมื่อพรหมลิขิตเราท่านยังมีอยู่ เมื่อถึงเวลา กรรมหรือโรคก็ต้องผ่านไป ... นั่นคือ การหายโรค
การทานยาเคมี คือการปฏิเสธกรรม ไม่ยอมรับในวันเวลานั้น หากแต่กรรมหาหายไปไหน กลับสะสมเหมือนเขื่อนกัก เมื่อรวมกันเข้ามากขึ้นมากขึ้น ... นั่นเป็นเหตุที่เรียกว่า อะไรทำให้เราท่านเดินไม่ถึงพรหมลิขิต ก็ด้วยเหตุแห่งการปฏิเสธกรรมนี้ มันรวมกันหนักจนพรหมลิขิตขาด นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงรับหน้าที่มาปลุกปั่่นยุยง คนที่เชื่อ และศรัทธา ให้เลิกทานยาเคมี และดำรงตนอยู่ ตามพรหมลิขิต โดยอาศัยสมุนไพร และธรรมคำสอนของพระภูมี
ใครจะมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ จำฝืนทน ... ก็ตามแต่ หากแต่สิ่งที่ทำ ไม่มีความหมาย นั่นก็คือ การนำผู้อื่นมาทรมาน .... สร้างบาปสร้างเวร .... แม่ชีเมี้ยน เป็นผู้มีเมตตาอันมหาศาล ไม่กำหนดมาเพื่อสร้างบาปอย่างแน่นอน
การซ้อมกรรมฐานอาทิตย์ละวัน เหมือนนักกีฬา และไปใช้แข่ง ครั้งเดียว นั่นคือ ตอนลงแดง ผู้ใดฝึกเช่นไร ผลที่คาดคะเนในการแข่ง ย่อมประจักษ์ ตั้งแต่เริ่มแล้วไซร้ ไม่ต้องให้หมอดูทำนายท่ายทัก
แลผลแห่งความดีตามพระภูมี ที่ทำได้ ก็เป็นเสมือนผู้ช่วย ที่ลดทอนกำลังของคู่แข่งให้น้อยลง ตามความดีที่ทำได้
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมี จึงต้องมีสองขา เป็นที่มาของคำขวัญที่ว่า บุญล้างบาป สมุนไพรล้างโรค
และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมคนเลว มันจึงไม่มีทางหาย ก็กรรมมันแรง เฉพาะของเดิมก็เกินแบบ บวกพฤติกรรมเลวร้ายที่ทำ โดยเฉพาะในพื้นที่นี้ ทำกิริยาดุจดั่งเทวทัต สองแรงบวก ... ยิ่งเกินกว่ามนุษย์หน้าไหนจะรับไหว
พระภูมี จึงตรัสว่า คนฉลาดคือคนที่รู้รักษาตัวรอด นั่นคือรู้จักการทำความดีแบบไหนที่ฟ้าดินกำหนด และทำแล้วกลับมาช่วยตนได้ รู้กาละเทศะ เวลาไหนควรสงบ ควรลดกิริยา ระงับกิเลสความอยากได้
การมาสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน จึงมีความหมาย และมีคำตอบ และรู้ว่าต้องทำอย่างไร ....
การทำกรรมฐานในสมัยถ้ำกระบอก จึงนั่งสวดมนต์ ฟังธรรม กันตั้งแต่หัวค่ำ จนรับอรุณของวันใหม่ ฟังเท่าไหรก็ไม่เบื่อ ไม่บ่น สมัยนี้น่ะเรอะ ... เมื่อไหร่จะเลิกว่ะ แม่งพูดอยู่นั่นแหละเบื่อฉิบหาย
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า นั่งหลับตา ก็เห็นแต่ความมืด ... หากเห็นโน่นเห็นนั่น ก็กลายเป็นคนบ้าแล้ว