หลายปีก่อน เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์พูดถึงขยะมนุษย์ เราก็ยากจินตนาการ ผ่านมาหลายปี เริ่มมองเห็นในสิ่งที่ท่านพูด
มนุษย์เราเมื่อเปลี่ยนสถานะจากคนมีประโยชน์ มาเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพิงคนอื่น ก็เหมือนไร้ค่า บางคนจึงต้องถูกทิ้งเหมือนขยะ เป็นที่น่ารังเกียจของคนในครอบครัวไปซะอย่างนั้น
สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เป็นภาพหนึ่งที่ปรากฎความจริงข้อนี้ที่ท่านพูด เมื่อมีผู้หญิงที่เป็นคนไข้ท่านหนึ่งหิ้วกระเป๋ามาขออนุญาตหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อมาพำนักพักในชมรม
อายุของเธอก็ไม่มาก สภาพภายนอกก็ดูไม่ออกว่าเจ็บป่วยไข้
สอบถามใจความ ก็ได้ว่าเธอป่วยเป็นโรคที่หมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ ว่ามีสาเหตุจากอะไร ไม่ได้เป็นโรค แต่เธอมีอาการเป็นบางเวลา เมื่ออาการปรากฎเธอจะปวดร้าว ทรมานอย่างแสนสาหัส
จนอาการเริ่มรุนแรงขึ้น เธอก็ไม่สามารถทำงานได้ พ่อแม่พี่น้อง กล่าวหาเธอว่าเธอแกล้ง เพราะตรวจไม่พบ ในที่สุดสามีก็ขอหย่า เธอกลายเป็นคนโดดเดี่ยวลำพัง
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็รับไว้ ลองฟื้นฟูดูสักตั้ง โดยกล่าวว่า เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ วินิจฉัยไม่ได้ แต่ร่างกายทำได้ หากแต่ขาดเครื่องมือในการแก้ไข นั่นคือ สมุนไพร
เฉกเช่นเดียวกัน หญิงสาววัยไม่ถึงสามสิบ หน้าตาสวยเข้าขั้นเป็นดาราได้ แต่เหมือนฟ้าแกล้ง เพราะเธอเป็นโรคสะเก็ดเงิน ทำให้เป็นแผลทั้งตัว ต้องใส่เสื้อผ้ามิดชิด ไม่ให้คนเห็น และกลายเป็นคนที่ต้องแยกตัวจากสังคม ทำงานไม่ได้
คนที่อยู่ในวัย เป็นกำลังของสังคม ของประเทศ กลายเป็นขยะ ที่สังคมไม่ต้องการไปแล้ว นี่แหละคืองานของศาสนา ที่จะพัฒนาขยะมนุษย์เหล่านี้ พร้อมคืนคนที่ดี ทั้งร่างกาย และจิตใจ กลับคืนสู่สังคม
สิ่งที่แม่ชีเมี้ยน ทิ้งไว้ให้หลวงพ่อนิพนธ์ กู้ชาติ มิใช่มหันตภัยธรรมดา มิใช่จากข้าศึก แต่จากโรคภัย และนิสัยของมนุษย์นั่นเอง เมื่อได้คนดีทยอยคืนกลับสังคม มากขึ้นเรื่อยๆ นั่นแหละ คือการสร้างชาติ เพราะสังคมจะมีคนดี ที่เชื่อมั่นในศาสนา และกลัวกรรม มาเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง ไม่ให้คนไม่ดี มีอำนาจได้ บ้านเมืองก็จะสงบสุข ดั่งพระราชดำรัสของในหลวง
ศาสน์ทำให้เรามองเห็นกรรม แลคนดีทุกคนย่อมเป็นดั่งพระภูมี คือกลัวกรรม ...อันหนักหนา เพราะมันทำให้เป็นทุกข์