นั่นคือ ต้องค้นหาถึงเหตุที่เป็นรากเหง้าของปัญหาว่ามีจุดกำเนิดมาได้โดยวิธีใด พูดภาษาชาวบ้าน ก็ใครมันใช้ ใครมันสั่ง แล้วผลของการใช้ การสั่ง มันจะเป็นอย่างไร
แม่ชีเมี้ยน จึงแจกแจงอำนาจในโลกให้ฟังว่า มี ๓ ประการ
ประการแรก คือ อำนาจกรรม ซึ่งปกครองทุกสรรพสิ่งในโลก จึงเรียก โลกนี้ว่าเป็นโลกของกรรม มีอำนาจบันดาลทุกสิ่ง สร้างทุกสิ่ง อยู่คู่กับโลกมา ผลก็คือ ให้คุณให้โทษ ตามการกระทำของคน ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
ผลของกรรมดี ก็ให้สุข ผลของกรรมชั่ว ก็ให้ทุกข์
พระพุทธเจ้าเห็นความจริงข้อนี้ จึงตรัสว่า "ทุกสิ่งในโลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
ด้วยเหตุนี้ แม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวว่า ปัญญาของมนุษย์ หรือทีเรียกว่าปัญญาของโลก กรรมเขาเป็นผู้สร้าง จึงไม่สามารถจะเหนือกรรมได้เลย อันเป็นเหตุให้สรุปว่า ไม่ว่ากรรมวิธี พระเจ้าองค์ใด ลัทธิใด หรือ สิ่งใดๆ อันมีที่มาจากปัญญามนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น จึงไม่สามารถเอาชนะผลของกรรมที่ทำมาได้ แม้แต่น้อย
แลผลของกรรมชั่ว ปรากฎมาเป็นโรค หากเป็นกรรมผ่าน ไม่ใช่โรคตาย ก็ย่อมทำให้หายได้ หากแต่มาในฉายาเพชรฆาต ที่มุ่งมั่นมาเพื่อกำหนดวันตายแล้วไซร้ จึงไม่มีสิ่งใดที่เกิดจากปัญญามนุษย์มาช่วยได้อย่างแน่นอน
ประการที่สอง คือ อำนาจของวิญญาณ ซึ่งเป็นอำนาจที่แต่ละคนมี และที่สำคัญ เป็นที่รองรับผลของทุกข์และสุขที่ทำมา ดูอำนาจนี้ได้จากคนเป็นแลคนตาย
คนเมื่อตาย แม้จะต่างกันแค่เสี้ยวเวลา วิญญาณเพิ่งออกจากสังขาร จะทำสักฉันใด ก็หามีความรู้สึกไม่ จะตี จะแทง จะหยิกสักฉันใด ก็หาความรู้สึกไม่ นั่นเป็นบทพิสูจน์ว่า ความรู้สึกที่สัมผัสได้ นั่นแหละคือความรู้สึกของวิญญาณ หากปราศจากวิญญาณแล้ว ก็หาความรู้สึกไม่ สิ่งที่รับทุกข์สุข จึงไม่ใช่กาย หากแต่เป็นวิญญาณต่างหาก
ด้วยอำนาจของวิญญาณ มีขอบเขต ควบคุมทุกอณูของร่างกาย ทุกเซลล์ แม้จะเล็กสักปานใด อำนาจก็ไปถึง เมื่อเราท่านถูกเข็มหรือหนามทิ่ม แม้จะเล็กน้อย วิญญาณก็รู้สึก
วิญญาณ จึงมีความสามารถที่จะบงการสังขารให้ทำสิ่งไรก็ได้ตามต้องการ จึงมีคำกล่าวว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" นั่นเอง
หากแต่สิ่งที่อยู่กันมากับวิญญาณช้านาน คือ กิเลศ ก่อให้เกิดกรรม จนเวียนว่ายตายเกิด มาไม่รู้เท่าไร อันเป็นคำอธิบายที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอว่า ทำไมตายแล้วต้องเกิด เพราะวิญญาณต้องมีสังขาร เพื่อรับกรรมที่ทำมานั่นเอง เพราะถ้าไม่มีสังขาร ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงต้องเกิดมาเพื่อรับ
ด้วยกรรมที่ติดกับวิญญาณมาช้านานนี้เอง แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสสอนเสมอว่า "กรรมเขาเป็นพี่ ธรรมเขาเป็นน้อง" การที่จะให้คนมารับเอาธรรมไปปฏิบัติ จึงต้องพูด เอาเหตุและผล ให้พิจารณา
ประการที่สาม คือ อำนาจธรรม ซึ่งเป็นของส่วนบุคคล นั่นคือ ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มีกลาดเกลื่อน เพราะอำนาจธรรม และกรรม เขาไม่ละเมิดล่วงล้ำซึ่งกันและกัน
เขตกรรม ธรรมเขาก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว นั่นคือ ใครจะเชื่อ จะสร้างลัทธิ อะไร ก็ตามกรรมของคนเหล่านั้นไป ตามความชอบ และเขตธรรม กรรมเขาก็ละเว้น ให้โอกาสคนได้ทำเพื่อช่วยตน
ดังนั้น ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ความจริง พระอรหันต์จะมีก็แต่ในยุคของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านทรงดับขันธ์ ท่านก็นำอำนาจนี้เก็บกลับไปด้วย นั่นคือ จะไม่มีพระอรหันต์อีก รอจนพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติ
เราท่านจึงเห็นว่า พระอรหันต์สาวกของพระโคดม จึงมีแค่แปดหมื่นกว่า และไม่มีอรหันต์อีกเลยนับแต่สิ้นพระโคดม
อำนาจธรรม จึงเป็นอำนาจที่สาม มีไว้เพื่อ "พัฒนามนุษย์" ให้พ้นจากอำนาจกรรม เปลี่ยนชีวิตของตน โดยใช้ "ธรรมลิขิต" แทน "กรรมลิขิต" จึงจะหนีพ้นพรหมลิขิตเดิมได้
และเมื่อพิจารณา แล้วว่า ที่กล่าวอ้างกันว่า เป็นโรคเพราะเชื้ออันนั้น พฤติกรรมอย่างโน้น ทำให้เป็น จึงไม่ใช่เหตุที่แท้จริง
เมื่อไม่รู้เหตุที่แท้จริง หมอเหล่านั้น จึงไม่มีทางที่จะรักษาโรคตายได้อย่างแน่นอน ...
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสสอนสงฆ์เสมอให้จำว่า "จำไว้น่ะ กรรมเราทำมา กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงไม่กลัวสิ่งใดในโลกเลย นอกจากกรรม เพราะเมื่อมีกรรม ก็หมายถึงต้องเกิด มารับกรรมที่ทำมานั้นเอง"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสรุปให้ฟังเสมอว่า "อยู่ใต้ฟ้าอย่าท้าฝน เกิดเป็นคนอย่าท้ากรรม"