ด้วยพฤติกรรมที่ดูแล้ว คนทั่วไปมักชื่่นชมตนว่าฉลาด นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้ยกตัวอย่างคนไข้ บางท่านมาให้ฟัง
ท่านแรก เป็นแม่ค้าในตลาด ที่มักจะแช่ผักและอาหารด้วยฟอมาลีน เพื่อให้ดูใหม่สด เพื่อขาย และชอบที่จะกล่าวว่า "ของสดที่ขายได้คือกำไร ของที่แช่นั้นคือของแถม"
ท่านที่สอง เป็นคนงาน ที่มักชอบใช้เวลาทำงานสูบบุหรี่ แล้วกล่าวกับเพื่อนร่วมงานเสมอว่า "เอ็งมันโง่ ไม่รู้จักหลบจักอู้ เอ็งทำทั้งวัน ก็ได้ค่าแรงเท่าข้าล่ะหว้า"
ท่านที่สาม เป็นคนค้าเหล็ก ที่ขายเหล็กไม่ได้ขนาดตามมาตรฐาน แต่ขายราคาเต็ม โดยเหล็กของเขาเมื่อชั่งจะมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน แต่บอกลูกค้าว่าเป็นเหล็กเต็ม
คนทั้งสามมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยเหตุเดียวกัน คือ "โรคมะเร็ง" และพูดเหมือนกัน ว่าทำไมเขาจึงเป็น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เหตุมาจากการใช้ความฉลาดของตน เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น หวังเงินเล็กน้อยและภูมิใจในความฉลาดที่ทำให้ตนได้เปรียบผู้อื่น
ประเด็นที่สำคัญนั่นคือ คนเหล่านี้มักสรุปว่า "ตนเป็นผู้ได้"
เมื่อกรรมมาถึง แล้วปรากฎเป็นโรคมะเร็ง ผลที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นคือ "เงินที่ได้จากการเอาเปรียบมาทั้งชีวิต จะถูกใช้เพื่อรักษาตน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ แม้แต่ชีวิตก็ไม่อาจรักษาได้
การเอาเปรียบ ด้วยความฉลาดเพื่อได้มาซึ่งเงินนั้น แท้จริงแล้ว ได้หรือเสีย
หากแต่คำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอด จึงมีลักษณะย้อนเกล็ด นั่นคือ หากคิดที่จะได้ ต้องเริ่มจากการให้ ดังพุทธพจน์ "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว"
กุศโลบาย ที่ใช้สร้างนิสัย แต่ไม่บังคับ จึงให้ทานอาหาร ให้ซื้อน้ำ แล้วนำผลจากกำไรนั้น แปลงมาเป็นสมุนไพรให้ผู้อื่น
สุขที่ผู้อื่นได้รับจากผลของสมุนไพรนั้น จึงย้อนกลับไปหาเจ้าของเงินผู้ทานอาหารและน้ำ
เป็นภาพเล็กๆ ให้ทดลองทำในชมรม แล้วดูผล
และด้วยผลจากการทำนี้ ทำให้เรามั่นใจว่า ปัญญาที่โลกสอนให้หาสุขจากการกอบโกยมาใส่ตน แท้จริงคือสร้างทุกข์ให้แก่ตนในที่สุด
คนฉลาดที่แท้จริง จะใช้ภาพจำลองนี้ เป็นหนทางเพื่อหาสุขใส่ตน ....