หากแต่ทางเลือกนี้ คนไม่นิยม เพราะมันลำบาก หากแต่กาลเวลาจะพิสูจน์ว่า ทางที่แต่ละคนเลือกนั้น ถูกหรือผิด ก็ดูจากผลที่เกิดกับตนนั้นแล
หากแต่จะเสียดายก็ตรงที่ ผู้ที่เลือกผิด ไม่มีโอกาสที่จะกลับมาบอกว่า ทางนั้นมันผิด
เราจึงมองภาพคนสองคนที่เราเห็น แล้วเปรียบเทียบกัน เพราะทั้งสองคนนี้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน หากแต่สองคนนี้เลือกที่จะเดินต่างกัน ผลออกมาจึงต่างกัน
สองคนที่ว่า คือ คนที่ติดเชื้อเอดส์ เป็นผู้หญิงที่ติดเชื้อมาจากชายที่ตนรัก เช่นกัน
คนแรก เป็นคนที่สังคมรู้จักดี มีเวปไซด์เป็นของตนเอง เพื่อบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นไป และอาการของตน เผยแพร่ให้สาธารณะชนได้ทราบ อันเรียกได้ว่า เป็นตัวแทนแห่งทางเลือก ของการพึ่งวิทยาศาสตร์ เพื่อการดำรงอยู่
คนที่สอง ก็ติดเชื้อจากสามี เช่นกัน เป็นผู้ที่มีอาชีพอยู่ในวงการแพทย์ ทำงานในโรงพยาบาลใหญ่ของรัฐ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
เริ่มจากสถานภาพที่พอกัน นั่นคือ อายุของเธอทั้งสอง ช่วงเวลาที่ตายจากไปของสามี ความรู้ จะต่างกันก็แค่ คนหลังมีลูกน้อยติดมาด้วยเท่านั้นเอง
คนแรกให้ความสำคัญ ต่อวิทยาการอย่างเคร่งครัด นั่นคือ ปฏิบัติตามหมอสั่งทุกประการ และมีวินัยในการทานยา และดูแลตนอย่างดี
คนหลัง เลือกที่จะมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วทานสมุนไพร ความรู้ทางการแพทย์ที่มี เก็บไว้เฉพาะประกอบอาชีพ หากแต่การดำรงอยู่ ใช้หลักที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน นั่นคือ ไม่เคยที่จะใช้ยาเคมีใดๆ เลย
ดูมา ดูไป ผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว ผลของการยืนระยะของทั้งสองคน ก็เริ่มปรากฎเด่นชัด ให้เห็นความแตกต่าง
คนแรก มีอาการต่างๆ เกิดขึ้นแทรก ตลอดเวลาที่ผ่าน และสภาพก็มีแต่ทรงกับทรุด
คนหลัง ไม่เคยมีอาการของโรคอื่นแทรกเข้ามา นอกจากเป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อน ดั่งเช่นคนทั่วไป ร่างกายก็สมบูรณ์ ไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อ และมาร่วมทำกิจกรรมได้ทุกสัปดาห์ ตลอดสิบปีที่ผ่านมา
เมื่อเราพิจารณาจากคนไข้ทั้งสอง เราก็ย้อนไปในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ว่า ไม่ว่าจะเลือกทางใด เมื่อพรหมลิขิตยังมี ก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่จะต่างกันก็คือ สภาพที่เป็นอยู่นั่น อยู่อย่างไรต่างหาก
ในขณะที่คนแรก ต้องระมัดระวัง การกิน การนอน ทุกสิ่งอย่าง ไหนจะอาการแทรกซ้อน ลืมทานยา ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์
ขณะที่คนหลัง ทำตนเหมือนคนปกติ อยากทานก็ทาน อยากทำอะไรก็ทำ เรียกว่า กินเป็นสุข นอนเป็นสุข หากแต่จะมีข้อผูกมัดกับตัวเอง ก็คือ มาทำกิจกรรมร่วมกับหลวงพ่อนิพนธ์ทุกสัปดาห์ เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ถ้าสิ่งที่ทำผิด ผลผิดก็ปรากฎ ถ้าสิ่งที่ทำถูก ผลถูกก็ปรากฎ
หากแต่ว่า มันต้องใช้วันเวลา ดั่งคำ "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"
สิ่งที่เราเสียดาย ก็เห็นจะมีแต่ว่า คนที่กล้าประกาศตนให้สาธารณะชนได้รับรู้ความเป็นไป ถ้าเขาได้มาพิสูจน์สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ก็สามารถทำให้คนได้เห็นทางเลือกสายนี้กันมากขึ้น
ไม่ใช่อยากให้ทั้งหมดที่จะมาชื่นชอบ หากแต่ทำให้คนทั้งหมด ได้รู้ ได้มีโอกาสเลือก ก็ยังดี
ดั่งคำแม่ชีเมี้ยน ต้องมีคนหนึ่งในสิบ ที่ชอบแนวทางของพระภูมีบ้าง อย่างแน่นอน
เสียดายก็แต่ ตายไปยังไม่รู้เลยว่า สิ่งดีๆ อยู่ใกล้ตัว
เห็นอังกฤษเขาโหมโฆษณายาตัวใหม่ รักษาได้ ช่วยได้ ก็เฮโลไป เสียเงิน เสียทอง ก็พอทน กว่าจะรู้ว่าถูกหลอกอีกแล้ว อาจจะต้องเสียชีวิตอีกด้วย มันน่าเสียดายจริงๆ