ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ขออะไร
หากให้ท่านทั้งหลายไปนั่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักวันหนึ่ง แล้วพิจารณาสิ่งที่คนทั้งหลายทั้งปวงทั้งโลกเขาขอกัน แล้วพิจารณา
จักเห็นได้ชัดว่า ตราบใดที่ยังไม่มีโรคไม่มีทุกข์ คนทั้งหลายก็จักขอให้ตนร่ำรวย มีคนรัก กิจการการงานรุ่งเรือง หากแม้นวันใดที่มีทุกข์ คนก็จักร่ำร้องให้หายทุกข์ หายจากโรคภัย หรือแลกเปลี่ยนอยากรับแทน อยากตายแทน
แลเห็นกันทั่วไป สำหรับคนที่ชีวิตตกระกำลำบากแสนสาหัส มักจะโทษฟ้าโทษดิน โทษโน่นนี่นั่น ทำให้ตนเป็น แลลงท้ายก็ตัดพ้อ ทำไมชีวิตตนจึงอาภัพสักปานนี้ พาลไปโน่นเลย ฟ้าไม่ยุติธรรม แล้วก็เลยไปถึง "ทำไมตนทำแต่ความดี ไม่ได้ดี ส่วนคนชั่วที่ตนเห็น ยิ่งเลวร้ายยิ่งได้ดี"
มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา วัดหรือศาสนสถาน จึงมักมีเอกลักษณ์พิเศษที่สถานที่อื่นไม่มี อันไม่ใช่ วัตถุ สถานที่โอ่อ่า หากแต่เป็น "คนทุกข์" ที่มารวมตัวกัน เพื่อขอในสิ่งที่ตนต้องการนั่นเอง
การเป็นวัด หากมองด้วยตามนุษย์ ยิ่งสมัยนี้ จึงมุ่งไปที่โบสถ์ วิหาร แต่นั่นไม่ใช่วัดของพระพุทธเจ้า ดั่งที่ท่านอาสิชี้ให้เห็น วัดของพระพุทธเจ้า มีองค์ประกอบ คือ ความสงบ พระธรรมคำสอน แล้วก็คนทุกข์
ดังนั้น หลายคนเข้าใจผิด เมื่อฟังว่า ไปวัดแล้วได้สมประสงค์ ก็พาลนึกไปว่า ไปวัดแล้วขออะไรก็ได้ ตามประสงค์ จึงไม่แปลกที่ ศาสนพาณิชย์ จึงต้องมีสิ่งสารพัน ไม่ว่าอะไรก็ได้ ที่มากราบไหว้ขอพร แล้วได้สมประสงค์ สถานที่แบบนี้ มีทั่วโลก และทุกที่ก็เชื่อว่า สิ่งที่ตนมีนั้น ศักดิ์สิทธิ์
หากแต่วัดของพระพุทธเจ้า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ พระธรรมคำสอน ที่สอนให้ทำ ทำแล้วจึงได้ตามคำสอน แลสิ่งที่สอน เป็นสิ่งที่โลกมนุษย์หรือโลกโลกียะ ไม่มี นั่นคือ บุญและทาน ที่ซึ่งในโลกนี้ มีแต่ กรรมดี กรรมชั่ว เท่านั้นเอง
การขอจักสมประสงค์ได้ ในวัดของพระพุทธเจ้า ก็ต้องทำในสิ่งที่พระพุทธเจ้าขอเช่นกัน ท่านอาสิเรียกว่า ศาสนา "หมูไปไก่มา" ไม่มีอะไรได้มาฟรี นั่นคือ ต้องทำนิสัยธรรม ก่อน แล้วเอานิสัยนั้นไปสร้างบุญทาน ตามนิสัยที่มีที่ทำได้
ประเด็นก็อยู่ตรงที่ว่า มันจะเกิดบุญเกิดทานได้โดยวิธีใด ... ในเมื่อคนทั้งหลายต่างเชื่อว่า ทำแล้วเป็นบุญ ทำแล้วเป็นทาน อาทิ เอาเงินใส่ซองแล้วเป็นบุญ สร้างโบสถ์สร้างศาลาแล้วเป็นบุญ ทำกันมากมายทั่วประเทศ แทบทุกแห่งหนตำบล ไม่มีที่ไหนไม่มีวัด ไม่มีโบสถ์ แต่ผลที่ได้ ทำมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น เข้าวัดมานับครั้งไม่ถ้วน กราบพระพุทธมานับล้านครั้ง แต่มาวันนี้ ทุกข์มาถึง โรคมาปรากฎแก่ตน ทำไมบุญทานที่ทำ จึงไม่มาช่วยตนเลยแม้นแต่สักน้อย บรรเทาปวดสักนิดก็หามีไม่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า นั่นเพราะเราท่านเมื่อเจอศาสนาแล้ว ขอผิด ทำผิด นั่นเอง ผลผิดจึงเกิด ตัวกระทำที่มีจึงมีแต่ลม ไม่เป็นตน ช่วยตนให้พ้นทุกข์ไม่ได้
ศาสนาของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงชี้แนวทางที่ถูกให้พิจารณา แล้วขอใหม่ การมาวัด เพื่อขอนิสัยของพระพุทธเจ้า เป็นเบื้องต้น จึงต้องมาจนเป็นนิสัย ไม่ใช่มาตามความอยาก ด้วยเหตุว่า มาเพื่อทำให้ชีวิตมีความหมาย ไม่เห็นอะไรสำคัญกว่ากิจกรรมของวิญญาณ ไม่ใช่อยากมาก็มา ไม่อยากก็ไม่มา หรือมาเพื่อสมุนไพร แต่มาเพื่อทำนิสัย ของพระพุทธเจ้า
ยิ่งไปกว่านั้น มีนิสัยแล้วเป็นบุญทานหรือยัง หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่ายัง นี่แหละคือความสำคัญว่าทำไมต้องมาวัด แม้นว่าการทำนิสัยของพระพุทธเจ้าทำที่ใดก็ได้ แต่องค์ประกอบในการสร้างบุญทาน จักหาที่ใด เพราะต้องอาศัย "มนุษย์และสัตว์" ที่ทุกข์ มาเป็นเครื่องมือ
เอกลักษณ์ของวัด จึงมิใช่โบสถ์ ศาลา พระพุทธรูป หากแต่เป็น ความสงบ เพื่อสร้างนิสัย มีพระธรรมคำสอน เป็นสติ และก็มีคนทุกข์มารวมกัน เพื่อให้นิสัยที่มีที่สร้างได้ นำไปสร้างสุขให้แก่ สรรพสัตว์ ไม่ว่า "มนุษย์หรือสัตว์" ด้วยตั้งอยู่บนรากฐาน คำสอนที่ว่า "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว"
วัดเป็นที่รวมของคนทุกข์ การมาหาบุญทานที่เป็นกอบเป็นกำ จึงทำได้ง่าย การมาวัด เพื่อขอจึงสมประสงค์ เพราะมาแล้ว ทำนิสัย ทำบุญทำทาน แก่ผู้ทุกข์ ได้ตามนิสัย ตามกำลังของตน
มะกรูด สักลูกสองลูก มะพร้าวสักทะลาย จึงมีความหมาย สละแรงกายไปช่วยทำกิจกรรม ไม่ว่าทำสมุนไพร หรือช่วยคนที่ทุกข์ที่เดินเหิรลำบาก จึงมีความหมาย การสงบเงียบของตน จึงมีความหมาย เพื่อหยุดนิสัยกรรม อาทิ วาจาว่าร้ายผู้อื่น สร้างนิสัยธรรม จึงมีความหมาย การมามูลนิธิจึงมีความหมาย เพื่อนิสัยธรรม เพื่อบุญทาน แล้วได้สมุนไพร ได้สุขภาพเป็นของแถม
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า หากผู้ใดพิจารณาแล้วเห็นว่านี่คือวัด ลดกิริยาบาป สร้างกิริยาบุญ แล้ว เอานิสัยธรรมนำตน ไปสร้างสุขให้แก่ผู้อื่น นั่นแลคือ การเปลี่ยนพรหมลิขิต เขียนพรหมลิขิตใหม่แห่งตน คือ ปีใหม่ ศักราชใหม่ของตน ที่จะได้ไม่ต้องทุกข์เหมือนในอดีตอีก ไม่ใช่ใหม่แต่ปี แต่นิสัยสันดาน พฤติกรรมเหมือนเดิม มาเอาสมุนไพรมุ่งแต่หายโรค นั่นน่าเสียดาย ได้สิ่งที่ไม่เป็นแก่นสาร ไม่จีรังยั่งยืน หายแล้วก็เป็นอีก
คำที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติพึงระลึกเสมอ ว่า การสร้างบุญทาน จะเลยมนุษย์และสัตว์ไม่ได้เลย วัดของท่านก็รวบรวมคนทุกข์มาอยู่ด้วยกัน เปิดโอกาสให้ใช้นิสัยธรรมที่ตนพึงมี สร้างบุญทาน กอบโกยให้มากที่สุด เท่าที่พึงมีกำลังและสติปัญญา บุญทานต้องสร้างด้วยสองมือ หาใช่ด้วยวัตถุสิ่งของเงินทองไม่ นี่แหละคือทางสายกลาง ใครก็ทำได้ ไม่ว่ายากดีมีจน เมื่อทำได้ ก็สมประสงค์ในสิ่งที่ขอได้ ... คือศาสนา ทำ ใครทำ คนนั้นก็ได้ เมื่อทำนิสัยของพระภูมีได้ นั่นแหละคือคนดี ที่มีนิสัยให้สุขแก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ศาสนาก็แถมสุขภาพให้เป็นรางวัล ไม่ต้องขอ เขาก็ให้ เพราะโลกนี้จะมีสักกี่คน ที่ฟัง พิจารณา แล้วทำได้ คนทำได้ จึงเป็นคนพิเศษ เรียกว่า เหนือมนุษย์ สุขภาพหรือความไม่มีโรค จึงเป็นเครื่องหมายของคนดี ที่ทำในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้นั่นเอง
ท้ายสุดหลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า คนทั่วไปพบศาสนา กลับขอสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสาร สิ่งที่เป็นแก่นสาร เป็นสมบัติติดวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ สร้างสิ่งดีๆรอตนในวันข้างหน้า คือ นิสัยของพระภูมี กลับไม่อยากได้ ไม่อยากทำ นี่แหละกรรม ทำให้คนทั้งหลายทั้งปวง หวังแต่สุขเฉพาะหน้า ใครเล่าที่จะทวนกระแส มาคว้าเอานิสัยของพระพุทธเจ้า ทำจนเป็นอุปนิสัย มีน้อยกว่าน้อย คนผู้นั้นทำตนเหนือมนุษย์ ให้ความสำคัญต่อกิจกรรมที่มีผลต่อวิญญาณ มีความรับผิดชอบต่อสังขาร โรคอะไรก็ไม่กลัว มิหนำซ้ำ อุบัติภัยก็ไม่กล้ำกราย ปลอดโรค ปลอดภัย นี่แหละทำไมคนทั้งหลายทั้งปวงในโลก แม้นจะไม่นับถือพระโคดม เพราะทำไม่ได้ แต่ก็เห็นและเชื่อในบุญญาธิการของพระโคดม ยอมรับว่า ศาสนานี้ดี ใครทำได้ ไม่ธรรมดา
วันนี้มีความพร้อมจะทำนิสัยของพระภูมีได้ กลับไม่ทำ ผลัดวันประกันพรุ่ง เห็นสิ่งอื่นสำคัญ ท่านอาสิก็ชี้ว่า ถึงวันที่อยากจะทำเพื่อช่วยตน ก็ไม่มีความสามารถแล้ว นี่แหละคือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า "ใช้ชีวิตประมาท" วันที่อยากทำ ก็เดินไม่ไหว กินไม่ได้ หมดกำลัง ... ความอยากทำให้ คำขอเป็นจริงไม่ได้ เพราะมันเป็นลม คำขอจะเป็นจริงได้ ก็ต้องอาศัยมือทำ .... วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560
อยากหรือนิสัย
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นความต้องการของศาสนาพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาอย่างชัดแจ้งว่า คือ "สร้างนิสัย" อันเป็นนิสัยของพระภูมี ให้บังเกิดแก่ตน เพื่อเป็นที่พึ่งแห่งตนในภายภาคหน้า
ด้วยนิสัยสามารถติดวิญญาณ เป็นสมบัติประการเดียวที่ติดวิญญาณไปได้ทุกภพทุกชาติ
การมามูลนิธิไทยกรุณา นั่นคือ การสร้างคุณสมบัตินี้ ให้เกิดแก่ตน ให้จงได้ จึงจะเป็นเครื่องการันตี ชีวิตในภายภาคหน้า ย่อมอยู่ดีมีสุข ปลอดทั้งโรค ไร้ทั้งภัย มาแผ่วพานชีวิต ไม่เฉพาะชาตินี้ แต่ถึงภพหน้าทุกชาติไป
เมื่อคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจ ไม่ย่อมพิจารณา เจตนา เนื้อหาของศาสนา ที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามสอน สร้างให้ทำ ให้เกิดแก่ตน ด้วยติดอยู่สุขเฉพาะหน้า คือ หายโรค จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะไม่เห็นค่าของศาสนาที่มีแก่ตนที่แท้จริง ทำให้พฤติกรรมยังไม่ถูกกับร่องกับรอยศาสนาที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น คำถามในวันนี้ พฤติกรรมในวันนี้ ที่มายังมูลนิธิ จึงเสมือนเส้นบางๆ ระหว่าง ความอยากกับนิสัย
การมาเพื่อหายโรค จึงมาตามความอยาก อยากมาก็มา อยากหยุดก็หยุด หาความมาตรฐาน เพื่อให้เกิดนิสัยไม่ได้เลย เห็นชัดว่า เมื่อใดที่อาการของตนดี หรือหาย ตามที่ตนพอใจ การมาหรือไม่มาก็ไม่สำคัญสำหรับตนแล้ว บางคนอาจจะหายไปเลย จะเห็นอีกที มาประจำอีกที ก็เมื่ออาการหวน หรือมีโรคใหม่ เช่นที่ท่านอาสิกล่าวนั่นเอง
หากผู้ใดพิจารณาเหตุผลของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเปลี่ยนความคิด ความเห็นของตน ในการมาอย่างสิ้นเชิง ลืมเรื่องโรค ที่ท่านอาสิสอนว่าเป็นบริวารกรรม มาเพื่อโค่นตัวแม่ คือ นิสัยกรรม แล้วสร้างนิสัยธรรมให้เกิดแก่ตนให้จงได้ เพื่อเป็นที่พึ่งแห่งตนในภายภาคหน้า ส่วนหายโรคนั้น ได้เป็นของแถม
การมาเป็นนิสัย เสมือนชีวิตบางคน ตื่นมาต้องดื่มกาแฟ ตื่นมาต้องทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเร่ง จะรีบ สักฉันใด ก็ไม่เคยขาด นั่นแลนิสัย คนที่มาเป็นนิสัย จึงมาด้วยเหตุผล ว่าเรามีเวลาในการสร้างนิสัยนี้แค่สัปดาห์ละครั้ง จึงต้องเน้น จึงต้องให้ความสำคัญไม่มีอะไรที่จะทำให้ไม่มา เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิตนั่นเอง การมาทำนิสัย คือมาทำเพื่อชีวิต มิเพียงหายโรคในชาตินี้ แต่เพื่อสร้างสุขไปยังทุกภพทุกชาติ ตามติดวิญญาณไปด้วยนั่นเอง
แลเมื่อมาด้วยเหตุและผล พฤติกรรมก็จะเดินตามครรลองคลองธรรม รู้ว่าทุกวินาทีมีค่า อยากที่จะสร้างสุขให้ผู้อื่น เพราะนั่นคือพรหมลิขิตที่สุขของตนในภายภาคหน้านั่นเอง ทำอะไรก็ได้ เท่าที่ตนจะพอทำได้
ท่านอาสิชี้ให้เห็นชัด บุญ ต้องทำถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ดังนั้น เริ่มใหม่ๆ อาจจะไม่พร้อม ไม่ครบ ก็ไม่เป็นไร เสมือนต้นไม้ เพิ่งงอก ก็ต้องรอเวลาเติบโต สักวันก็ต้องออกดอก ออกผล นั่นคือ สามารถรู้และทำ ให้เกิดเป็นบุญ ช่วยตนได้ นั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า มาตามความอยาก ตามอารมณ์ อยากเก่งก็ได้หายโรค น่าเสียดายไม่เจอ ไม่ได้ของดี นั่นคือ พรหมลิขิตที่ดี ที่ตนมีโอกาสเขียนด้วยตนเอง ถึงรอดวันนี้ได้ ไม่ช้าก็เจอพายุอีก ยากจะรอดตลอดรอดฝั่ง ที่สำคัญ ชีวิตผูกติดกับสมุนไพร ขาดเมื่อไหร่ ชีวิตก็มีปัญหาเมื่อนั้น หากแต่มาเพื่อทำนิสัย เมื่อทำเป็น สมุนไพรเป็นพี่เลี้ยง ครั้นยืนได้เองเมื่อใดอีกครั้ง ทีนี้ ชีวิตมั่นคงแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องพึ่งสมุนไพรอีกต่อไป พึ่งการกระทำด้วยนิสัยของพระภูมีที่ตนมีนั่นแล ช่วยตนได้ ตามหลัก "ตนพึ่งตน"
ถ้ามองว่า โรคคือโรค ก็มักจะมาตามความอยาก ไม่เน้น ไม่ให้ความสำคัญ ถ้ามองว่า โรคคือกรรม การมาจึงมีความหมายแก่ตน นั่นคือ นิสัย ที่ไม่มีอะไรจะมาสำคัญกว่า จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้ความสำคัญ ไม่เคยหยุดกิจกรรมนี้เลย ไม่ว่าจะวันหยุด นักขัตฤกษ์ใดๆ ด้วยนิสัยจะเกิดขึ้น อย่างที่ท่านอาสิชี้ ต้องทำซ้ำๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จนซึมซับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำโดยอัตโนมัติ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรสำคัญกว่า เพราะนี่คือเรื่องของชีวิต เรื่องของวิญญาณ ที่เราท่านต้องรับผิดชอบ
วันหยุดยาว จึงเสมือนข้อสอบของคนป่วยที่มาในแผ่นดินนี้ ... ใครสอบตก สอบผ่าน ก็รู้แก่ตน ผลสอบก็บอกแก่ตนเองว่า ตนนั้นจะหายโรคหรือไม่
ด้วยนิสัยสามารถติดวิญญาณ เป็นสมบัติประการเดียวที่ติดวิญญาณไปได้ทุกภพทุกชาติ
การมามูลนิธิไทยกรุณา นั่นคือ การสร้างคุณสมบัตินี้ ให้เกิดแก่ตน ให้จงได้ จึงจะเป็นเครื่องการันตี ชีวิตในภายภาคหน้า ย่อมอยู่ดีมีสุข ปลอดทั้งโรค ไร้ทั้งภัย มาแผ่วพานชีวิต ไม่เฉพาะชาตินี้ แต่ถึงภพหน้าทุกชาติไป
เมื่อคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจ ไม่ย่อมพิจารณา เจตนา เนื้อหาของศาสนา ที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามสอน สร้างให้ทำ ให้เกิดแก่ตน ด้วยติดอยู่สุขเฉพาะหน้า คือ หายโรค จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะไม่เห็นค่าของศาสนาที่มีแก่ตนที่แท้จริง ทำให้พฤติกรรมยังไม่ถูกกับร่องกับรอยศาสนาที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น คำถามในวันนี้ พฤติกรรมในวันนี้ ที่มายังมูลนิธิ จึงเสมือนเส้นบางๆ ระหว่าง ความอยากกับนิสัย
การมาเพื่อหายโรค จึงมาตามความอยาก อยากมาก็มา อยากหยุดก็หยุด หาความมาตรฐาน เพื่อให้เกิดนิสัยไม่ได้เลย เห็นชัดว่า เมื่อใดที่อาการของตนดี หรือหาย ตามที่ตนพอใจ การมาหรือไม่มาก็ไม่สำคัญสำหรับตนแล้ว บางคนอาจจะหายไปเลย จะเห็นอีกที มาประจำอีกที ก็เมื่ออาการหวน หรือมีโรคใหม่ เช่นที่ท่านอาสิกล่าวนั่นเอง
หากผู้ใดพิจารณาเหตุผลของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเปลี่ยนความคิด ความเห็นของตน ในการมาอย่างสิ้นเชิง ลืมเรื่องโรค ที่ท่านอาสิสอนว่าเป็นบริวารกรรม มาเพื่อโค่นตัวแม่ คือ นิสัยกรรม แล้วสร้างนิสัยธรรมให้เกิดแก่ตนให้จงได้ เพื่อเป็นที่พึ่งแห่งตนในภายภาคหน้า ส่วนหายโรคนั้น ได้เป็นของแถม
การมาเป็นนิสัย เสมือนชีวิตบางคน ตื่นมาต้องดื่มกาแฟ ตื่นมาต้องทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเร่ง จะรีบ สักฉันใด ก็ไม่เคยขาด นั่นแลนิสัย คนที่มาเป็นนิสัย จึงมาด้วยเหตุผล ว่าเรามีเวลาในการสร้างนิสัยนี้แค่สัปดาห์ละครั้ง จึงต้องเน้น จึงต้องให้ความสำคัญไม่มีอะไรที่จะทำให้ไม่มา เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิตนั่นเอง การมาทำนิสัย คือมาทำเพื่อชีวิต มิเพียงหายโรคในชาตินี้ แต่เพื่อสร้างสุขไปยังทุกภพทุกชาติ ตามติดวิญญาณไปด้วยนั่นเอง
แลเมื่อมาด้วยเหตุและผล พฤติกรรมก็จะเดินตามครรลองคลองธรรม รู้ว่าทุกวินาทีมีค่า อยากที่จะสร้างสุขให้ผู้อื่น เพราะนั่นคือพรหมลิขิตที่สุขของตนในภายภาคหน้านั่นเอง ทำอะไรก็ได้ เท่าที่ตนจะพอทำได้
ท่านอาสิชี้ให้เห็นชัด บุญ ต้องทำถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ดังนั้น เริ่มใหม่ๆ อาจจะไม่พร้อม ไม่ครบ ก็ไม่เป็นไร เสมือนต้นไม้ เพิ่งงอก ก็ต้องรอเวลาเติบโต สักวันก็ต้องออกดอก ออกผล นั่นคือ สามารถรู้และทำ ให้เกิดเป็นบุญ ช่วยตนได้ นั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า มาตามความอยาก ตามอารมณ์ อยากเก่งก็ได้หายโรค น่าเสียดายไม่เจอ ไม่ได้ของดี นั่นคือ พรหมลิขิตที่ดี ที่ตนมีโอกาสเขียนด้วยตนเอง ถึงรอดวันนี้ได้ ไม่ช้าก็เจอพายุอีก ยากจะรอดตลอดรอดฝั่ง ที่สำคัญ ชีวิตผูกติดกับสมุนไพร ขาดเมื่อไหร่ ชีวิตก็มีปัญหาเมื่อนั้น หากแต่มาเพื่อทำนิสัย เมื่อทำเป็น สมุนไพรเป็นพี่เลี้ยง ครั้นยืนได้เองเมื่อใดอีกครั้ง ทีนี้ ชีวิตมั่นคงแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องพึ่งสมุนไพรอีกต่อไป พึ่งการกระทำด้วยนิสัยของพระภูมีที่ตนมีนั่นแล ช่วยตนได้ ตามหลัก "ตนพึ่งตน"
ถ้ามองว่า โรคคือโรค ก็มักจะมาตามความอยาก ไม่เน้น ไม่ให้ความสำคัญ ถ้ามองว่า โรคคือกรรม การมาจึงมีความหมายแก่ตน นั่นคือ นิสัย ที่ไม่มีอะไรจะมาสำคัญกว่า จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้ความสำคัญ ไม่เคยหยุดกิจกรรมนี้เลย ไม่ว่าจะวันหยุด นักขัตฤกษ์ใดๆ ด้วยนิสัยจะเกิดขึ้น อย่างที่ท่านอาสิชี้ ต้องทำซ้ำๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จนซึมซับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำโดยอัตโนมัติ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรสำคัญกว่า เพราะนี่คือเรื่องของชีวิต เรื่องของวิญญาณ ที่เราท่านต้องรับผิดชอบ
วันหยุดยาว จึงเสมือนข้อสอบของคนป่วยที่มาในแผ่นดินนี้ ... ใครสอบตก สอบผ่าน ก็รู้แก่ตน ผลสอบก็บอกแก่ตนเองว่า ตนนั้นจะหายโรคหรือไม่
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560
เพื่อ
หลักพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า "ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย รอคอยเราอยู่วันข้างหน้า"
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนสงฆ์เสมอว่า สิ่งที่เราท่านทำ มันจะเป็นผลกลับมาหาตัวของเราท่านในวันข้างหน้า ดังนั้น บุคคลที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ย่อมสร้าง "บุญบาป" ได้มากที่สุดเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เป็นผู้นำ แล้วมีคนมาฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม ผลที่เกิดกับผู้นั้นย่อมมหาศาล ถ้าทำถูก ผลถูกก็มหาศาล ทำผิด ผลผิดก็มหาศาล
มูลนิธิไทยกรุณา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ผู้คนที่มาล้วนแล้วแต่หวัง มาเพื่อทำในสิ่งที่ช่วยชีวิตตน ให้พ้นทุกข์
ดังนั้น ทุกการกระทำ ที่บอกสอนให้ทำ จึงต้องระมัดระวัง ต้องมีผลที่ดีตอบสนองแก่ผู้ทำ หากทำแล้วให้ทุกข์ หรือไม่ให้สุข นั่นคือ ทำแล้วไม่ได้อะไรตอบแทน ผู้สอนผู้บอก ย่อมต้องรับผิดชอบการสอนนั้นๆ เป็นธรรมดา ด้วยกติกา แห่งตัวกระทำไม่ตายนั่นเอง
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การกระทำทุกอย่าง ทุกกระเบียด ย่อมถูกไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี ว่า ทำเพื่ออะไร ... มีผลดีต่อผู้ทำประการใด เพียงแต่อาจจะไม่ได้บอกกล่าว บรรยายให้ฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน ว่าเหตุใดจึงต้องทำเท่านั้นเอง
มิใช่เลื่อนลอย เพราะจะเห็นได้ว่า คนที่ฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม มากมายที่ประสพผลสำเร็จ แม้นว่าคนบางคนอาจจะถูกพิพากษาแล้วว่า เท่านั้นวัน เท่านี้เดือน เขาต้องตายก็มีให้เห็นมากมาย
เสียดาย หลายคนเห็นว่า การกระทำนี้นั้น ไม่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องเน้น ไม่เชื่อว่าวันนี้ในรอบสัปดาห์ของหลวงพ่อนิพนธ์ เป็นวันพิเศษ เป็นวันที่มาทำเพื่อมีผลแห่งการช่วยตนพ้นทุกข์ ในทุกการกระทำที่ท่านกำหนด คิดแต่เพียงว่า ที่นี่มีสมุนไพรดี
บทสรุป คนที่รู้ค่า คือคนที่เรียนรู้ อยากรู้ ว่าการกระทำนี้ การกระทำนั้น ทำเพื่อสิ่งใด มีผลอะไรต่อชีวิต มีค่ามหาศาลต่อตนเพียงใด จึงควบคุมพฤติกรรม การกระทำของตนให้สอดคล้อง กับสิ่งที่ตนรู้ แลช่วยตนได้ แต่คนที่ไม่ยอมเรียนรู้ หรือที่ท่านอาสิเรียก คือ ไม่เปิดใจ ไม่รับรู้ ไม่สน แก้วมณี ก็กลายเป็นก้อนกรวด ที่ไร้ค่า เขาไม่สนใจ จะทำตาม เพื่อช่วยตน มีแต่ปรารถนา ไม่มีตัวกระทำที่ช่วยตน ท้ายที่สุด ก็ยากที่จะสมปรารถนา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า อย่างดีก็แค่ยืด โชคดีหน่อย หายโรคนี้ สักพักก็ไปเป็นโรคนั้น หรือ ประสพอุบัติเหตุ หนีกรรมไม่พ้น
หลักของพระภูมี เป็นหลักปราชญ์ ผู้สอนจึงไม่โง่ สอนสิ่งที่กระทำแล้วไม่เกิดผลแก่ผู้ใด เป็นแน่แท้ ก็แล้วทำไมคนมากหลายเขาไม่ทำ เพราะขาดพิจารณานั่นเอง เมื่อไม่พิจารณา ว่า เอ.. เขาให้หิ้วสมุนไพรมาทำไม เอ... เขาให้สละแรงกายทำไม เอ... เขาให้ทำนิสัยทำไม ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อ ... เพื่อ... เพื่อ .. ก็เลยบรรเลงตามนิสัยตน ชอบแบบไหน ทำแบบนั้น
คนส่วนใหญ่จึงตาบอด ตามองแต่มองไม่เห็น มองเท่าไหร่ สถานที่ของแม่ชีเมี้ยน ของหลวงพ่อนิพนธ์ ก็ไม่เป็นวัดขึ้นมาได้ บอกตัวเอง วัดต้องมีโบสถ์ ต้องมีวิหาร ต้องมีศาลา แต่พระพุทธเจ้าบอก "วัด" คือสถานที่ที่มาทำนิสัยของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ไม่ต้องมีโบสถ์ มีศาลา
วัดพุทธกาลจึงเป็นที่รวมคนทุกข์ ให้คนอยากได้สุข มาสละแรงกาย สละนิสัยทำเพื่อตน มาให้สุขผู้อื่น เพื่อผลสุขย้อนมาหาตน การกระทำทุกสิ่งอย่าง ที่่วัด คือ การกระทำเพื่อคนทุกข์ จึงมีผลกลับมายังตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติเสมอว่า จะทำอะไรคิดก่อน ว่า ทำเพื่อ .. มีผลแก่ใคร แก่สรรพสัตว์ไหม ด้วยบุญของพระพุทธเจ้า จะเกิดผล ย่อมต้องมี มนุษย์และสัตว์ เฉกเช่นเดียวกับกรรม ไม่ใช่วัตถุ จึงอย่าแปลกใจเลย หากคิดว่า ทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา มาตลอดชีวิต ทำไมไม่มีผลบุญมาเกื้อหนุนตนในยามนี้เลย เพราะนั้นไม่ใช่บุญของพระพุทธเจ้า
ลองเปลี่ยนมาฟัง พิจารณา ในสิ่งที่ท่านอาสิสอน แล้วคิดว่า ถ้าเราทำตาม จะมีผลกับสรรพสัตว์ และมนุษย์ไหม ถ้ามี นั่นแหละบุญ
ยิ่งนิสัยด้วยแล้ว ผลย่อมชัดเจน ทำปุ๊บ แค่ไม่โกรธตัวเดียว บ้านก็เปลี่ยนจากนรกเป็นสวรรค์แล้ว ... แล้วทำไมไม่ทำ ทำไมไม่อยากทำ ... นี่แหละกรรม มันบังตา บังใจ ไม่อยากให้เราท่า ผู้ใดทำได้ จึงเรียกว่า "เหนือมนุษย์" คือ ทำในสิ่งที่คนทั้งหลายไม่ทำ หรือทำไม่ได้
พิจารณา " ปัญญาเกิด" ... เราจะเห็นค่าของศาสนาของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา แล้วเราจะอยากทำ ไม่ใช่เพราะเขาบอกให้ทำ แต่รู้แล้วว่า ทำเพื่อ.... สุขของตน มิเพียงวันนี้ แต่เพื่อวันหน้า ไปถึงชาติหน้าด้วย ... นี่แลทำไมเรียกว่า หลักปราญช์ ก็การกระทำที่ใครๆสอน ใครๆบอก จะมีผลมหาศาลเพียงนี้ ... ไม่มีเลย จึงไม่ต้องสงสัย ทำไมปู่ย่าตายาย จึงสอนลูกจูงหลานเข้าวัด
ถ้าไม่ทำ ไม่มีใครว่า แต่อย่าบ่นน่ะว่า "ทำไมฉันจึงทุกข์ หาสุขไม่มีเลย"
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560
กงจักร ดอกบัว
คำโบราณ สอนไว้ว่า "มนุษย์มักเห็นกงจักรเป็นดอกบัว" มันคืออะไร
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบาย ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ทั่วไป มักไม่เอาเหตุ เอาผล มาพิจารณา จะเอาแต่สุขเฉพาะหน้า ดั่งที่แม่ชีเมี้ยนสรุปนิสัยให้ฟังว่า "อยากกินเป็นหน้า อยากสุขเป็นสะพาน อยากจะสุขสันดาน ให้ครึกครื้นประจำวัน"
หรือที่หลายคนชอบพูดว่า วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง วันนี้ข้าขอมันก่อน สนุกให้เต็มคราบ ไม่สนอะไรทั้งสิ้น
ยิ่งรวมกลุ่ม รวมพวกแล้วด้วยไซร้ ก็ยิ่งยากที่จะชนะใจ คือ พิจารณาผลแห่งการกระทำ จึงไม่แปลก ที่รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังอดไปรุมโทรมหญิงกับเพื่อนไม่ได้ อดไปรุมตีเขาไม่ได้ อดกินเหล้าจนเมาปลิ้นไม่ได้
หรือ จะแสดงว่าตนมีระดับ ด้วยความมีเงินแห่งตน ทำอะไรก็ได้
แล้วก็อ้างเอ่ยว่านั่นคือ ชีวิตที่มีความสุข
หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า หากจะพิจารณาชีวิตมนุษย์แล้วไซร้ อะไรคือ ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์ "การกินได้ นอนหลับ" นั่นแหละสุขที่แท้จริงของมนุษย์
เมื่อเปรียบเทียบสองฝั่ง การทำตามนิสัยตน ที่บอกว่าดีสุด สนุกสุดเหวี่ยง ได้ตามใจปรารถนา เหมือนอยู่แดนสวรรค์ มองพฤติกรรมนี้ว่า คือ "ดอกบัว" เป็นสรวงสวรรค์ในแดนมนุษย์ หากแต่วันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ยิ่งทำ ยิ่งนานวัน สุขที่แท้จริง ก็จะค่อยๆเลือนหายไปจากตน กว่าจะรู้ตัวอีกที "กินลำบาก นอนลำบาก" ถึงตอนนั้นจะร้องให้ใครช่วย สิ่งที่บอกว่าช่วยได้ ไม่ว่า หมอ พระ เจ้าลัทธิ .... ล้วนส่ายหน้าทั้งหมดทั้งสิ้น
หากแต่วินัยของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คนทั้งหลายต่างกล่าวว่า "เป็นวินัยทุกข์" ทำแล้วมีแต่ทุก กินก็ต้องกินมื้อเดียว ขึ้นรถ ก็ไม่ได้ รับเงินก็ไม่ได้ บวชแล้วนอนเฉยๆก็ไม่ได้ กินแล้วห้ามนอน แม้แต่เป็นฆราวาส ก็ยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นิสัยตน ที่ดูแล้วฝืนกับตนเองยิ่ง ทำแล้วอึดอัดเป็นทุกข์ แต่วินัยทุกข์ของพระภูมีนี้ เมื่อทำแล้ว ผ่านเวลายิ่งเนิ่นนาน ผลที่เห็นก็คือ "กลับมากินเป็นสุข นอนเป็นสุข" อีกครั้ง
บทสรุป คำตรัสของพระภูมี ที่ว่า "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า อย่าท้อใจ" ที่มนุษย์มองว่าเป็นกงจักร กลับให้คุณมหาศาลในภายภาคหน้า และจะทำให้ถึงสุขที่แท้จริง ที่พระภูมีปรารถนาให้มนุษย์ได้สัมผัส นั่นคือ "สุขนิสัย" อันเป็นสุขที่เกิดจาก การให้สุขผู้อื่นเป็นอุปนิสัยใหม่ ที่บังเกิดแก่ตนนั่นเอง
เรื่องของศาสนา แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า "วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์" ผู้ที่ปรารถนาสุข จึงต้องเป็นผู้ที่ทำตนเหนือมนุษย์ คือมีที่เว้น บางสิ่งบางอย่าง เป็นวินัยทุกข์เพื่อตัดลดนิสัยกรรมแห่งตน แลสร้างนิสัยธรรมให้เกิดแก่ตน อาทิที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ฝึก คือ ไม่โกรธ วันละหนึ่งชั่วโมง ผลที่ทำได้นี่แหละ เป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นตัวสร้างสุขแก่ตน ในภายภาคหน้า ... เป็นบุญบารมี ที่เสมือนเงาติดตามผู้ทำไปทุกหนทุกแห่ง แม้นกระทั่งภพหน้า
ใครจะบอกว่า ชีวิตต้องใช้ให้สนุกสุดเหวี่ยง อยากทำอะไรทำ นั่นไม่ว่ากัน แต่คนดีมีธรรม จะต้องควบคุมนิสัยตน ยิ่งนิสัยที่สร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่นมหาศาลด้วยแล้ว ทำไม่ได้ ต้องหยุดตัวเองให้ได้ เมื่อวันเวลามาถึง คนทั่วไป ก็ตกอยู่ในวัฐจักรของจักรวาล เมื่อสิ้นวาสนา เกิดแล้ว แก่แล้ว ทีนี้แหละผลแห่งการกระทำจะบังเกิด นั่นคือ ความเจ็บ ที่จะมาทำให้ถึงแก่ความตายอย่างทรมาน แต่ไม่ใช่สำหรับคนดีมีธรรม ที่เดินตามวินัยทุกข์ของพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งจะไม่เจ็บ แลตายอย่างสบาย ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ... ชีวิตมนุษย์ จึงวัดกันที่ตอนตาย
คนที่ปล่อยตนตามนิสัย เห็นสิ่งที่ตนทำเป็นดอกบัว ท้ายที่สุดจักพบความเป็นจริง ผลแห่งตัวกระทำแห่งตน จักกลายเป็นกงจักร ตัดใส้ ตัดพุง ตัดปอด ตัดหัวใจ สร้างทุกขเวทนาให้ตน ทรมานจนตาย กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นกงจักร ก็บอกใครไม่ได้ เพราะเห็นเมื่อเวลาตนจะตายแล้วนั่นเอง
หากแต่ใครที่เดินตามรอยพระภูมี อันเป็นวินัยทุกข์ที่ผู้อื่นมองเป็นกงจักร เมื่อยามตาย จะรู้ตนว่า .... ทำไมพระภูมีจึงตรัส "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" เพราะอยู่ก็สบาย "กินได้ นอนหลับ" ถึงตายมิเพียงสบาย แต่ยังสามารถเลือกที่เกิดได้อีก เชื่อหรือไม่
ใครหลอกใคร
ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ยิ่งเรียน ยิ่งศึกษา ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งฉลาด เพราะเป็นหลักปราชญ์
เรื่องของชีวิต เป็นเรื่องของของเป็น เพราะสิ่งเป็นจึงมีชีวิต เมื่อยังมีชีวิต จึงหมายความว่า ยังไม่ตาย แต่ที่เห็นไม่กระดุกกระดิก ไม่ได้แปลว่าตาย แต่มันแค่สลบ หรืออยู่ในสภาวะจำศีล เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายความจริงนี้ ให้พิจารณาว่า ทำไมศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงฟื้นฟูร่างกายได้
ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นโรคไต ไปหาหมอ หมอก็บอกว่า ไตเสียไปแล้วเท่านั้นส่วน เท่านี้ส่วน แล้วก็บอกถึงวิธีพยายามที่จะทำให้ไตเสื่อมน้อยลง จนไม่ไหว ก็ต้องฟอกไต แล้วก็วายในที่สุด ... แล้วก็บอกว่านั่นคือวิธีรักษา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ แล้วไตจะวายจะเสียได้อย่างไร เพราะของเน่าเสียกับของดีมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ อย่างเช่นเนื้อที่เริ่มเน่า ก็มีแต่จะทำให้เนื้อทั้งหมดเน่าไปอย่างรวดเร็ว จะมาอยู่กันค้างวัน ค้างเดือน ค้างปี นั้นไม่ได้ นั่นคือไม่มีชีวิต
ความจริงที่เกิด คือ ไตส่วนที่บอกว่าเสียนั้น ถูกเคมีกดทับ ทำให้ทำงานไม่ได้ เสมือนกับนำก้อนหินไปทับหญ้าฉันใดก็ฉันนั้น หญ้าไม่ตาย แต่ไม่โต ใบสังเคราะห์แสงไม่ได้ เพราะไม่เจอแสง แต่มันไม่ตาย
ทีนี้พอเราเอาก้อนหินออก นั่นแหละหญ้าได้น้ำได้แสงก็กลับมาโตได้อีก นี่แหละธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
หลักการของสมุนไพร ไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เป็นการทำหน้าที่เสมือนยกหินออกจากหญ้านั่นเอง คือไปกระตุ้นเซลล์ให้เกิดความรู้สึก จะด้วยความร้อนจากธาตุไฟ อันเป็นผลจากการทานสมุนไพรมะพร้าว จนขยับสลัดเคมี ที่ร่างกายสกัดไม่หมดแล้วตกค้างที่ไต เหมือนตัวเราที่อยู่ในที่ร้อนมากมาก แล้วไม่สบายตัว ต้องขยับปาดเหงื่อ ถอดเสื้อประมาณนั้น เมื่อเคมีหลุดออก เซลล์ไตตรงนั้นได้อาหาร ก็กลับมาทำงานได้อีก
ปัญหาก็ตามมาอีก เมื่อเซลล์มีปฏิกิริยา พร้อมกันหลายล้านเซลล์ ผลก็คือ อาการ คนทั้งหลายทั้งปวงกลับบอกไม่อยากมีอาการ ปฏิเสธเสียอีก ไม่อยาก ร้อน ไม่อยากปวด ไม่อยากคัน อาทิที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักแซวคนไข้ท่านหนึ่งที่เป็นผู้มีความรู้ดี ขี้สงสัย เป็นไซนัส จนโพรงจมูกไม่รับรู้กลิ่น หรือสัมผัสใดๆ วันหนึ่งก็มาโวยกลับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ทานสมุนไพรแล้ว ตอนนี้รู้สึกเหม็นไปหมด ได้กลิ่นอะไรก็เหม็น ก็แสบ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า นั่นแหละเซลล์สัมผัสกลิ่นของจมูก มันเริ่มทำงาน มันเสมือนเด็กอ่อน ยังทนต่ออะไรไม่ค่อยได้ เป็นเรื่องดี สมัยก่อนที่ทนอะไรก็ได้หน่ะ นั่นมันเซลล์มันถูกยาเคมีน็อค ไม่รับรู้
เราจึงไมแปลกใจเลยว่า ทำไมคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงพยายามที่จะให้เลิกยาเคมี ให้เร็วที่สุด
บทสรุป หมอให้กินยาเคมี กินแล้วสภาพมีทรงกับทรุด แต่ไม่มีอาการคนชอบ แล้วบอกว่านี่คือการรักษา หลวงพ่อนิพนธ์ให้ทานสมุนไพร ทานแล้วสภาพร่างกายดีขึ้น แต่มีอาการ โน่นนิด นี่หน่อย ตลอดเวลา กลับบอกว่าไม่ดี เลยไม่รู้ว่า ใครหลอกใคร กันแน่ เพราะทานสมุนไพรแล้วดี แต่ทำตนเบื่อหน่าย มาก็อยากกลับไวๆ ฟังก็ไม่อยากฟัง ทำก็ไม่อยากจะทำ แล้วบอกอยากเจอของดี อยากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติว่า อย่าทำตัวเป็น "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" อยากได้สมุนไพร แต่ไม่เอาคนสอน ไม่เอาวิธีการ จำไว้น่ะ "ตัวกระทำไม่ตาย" ศาสนาเขาให้โอกาสครั้งเดียว หลายคนทำเชิด มาแบบรีบทาน รีบหาย จะได้ไปให้พ้นไวๆ ทำตัวเบื่อหน่าย ไม่อยากมา ไม่อยากทำ หายแล้วก็หายลับ แต่กรรมมันไม่ได้มีปล้องเดียว พ้นปล้องนี้ ปล้องหน้าก็รออยู่ ตัวกระทำในวันนี้ เท่ากับตัดสะพาน วันหน้าเรือชีวิตประสพเหตุอีก จะเข้าท่าก็ไม่ได้แล้ว เพราะทำลายสะพานนั้นลงเสียแล้ว
ที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้ระวังว่า การฟื้นฟูครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องง่าย เพราะคนที่มาทั้งหลาย ทำกรรมด้วยความไม่รู้่ คือ ยังไม่รู้เรื่องศาสนา เรื่องตัวกระทำ แต่เมื่อมาแล้ว ฟังแล้ว หายแล้ว แสดงว่ารู้แล้ว การกระทำต่อมา แล้วยังทำให้เกิดโรค นั่นเรียกว่า "ทำโดยรู้ โดยเจตนา" ทีนี้แหละเป็นงานช้างแล้ว ยิ่งจะมาหวังสมุนไพรแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนก่อน ... หนทางคงยากยิ่ง เพราะทำตัวทำตนสวนเจตนาของศาสนาของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา นั่นคือ มาฟื้นฟูตนเพื่อเป็นคนดี ให้สุขแก่ผู้อื่น แต่จะมาเพื่อกลับไปใช้นิสัยสันดานเดิม สร้างกรรม สร้างโรคอีก มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนจะเกื้อหนุน ให้โอกาสอีกเป็นซ้ำสอง ถ้าเป็นเช่นนั้น .... คงมีคนไปฟ้องฟ้าดิน ถามว่า "ทำไมให้อำนาจท่านอาสิ มาช่วยโจรให้มีชีวิต มาเบียดเบียนพวกเขาได้อีก ปล่อยให้มันตายเสียวันนั้น วันนี้มันก็ไม่มาโกง ไม่มาฆ่าใคร ไม่มาให้ทุกข์ใครได้อีก"
ฤาถุกหลอก หรือหลอกเขา มาจนชิน เลยมาหลอกศาสนา ร้องช่วยด้วย ช่วยด้วย พอพ้นก็ไปละเลงนิสัยตน สร้างทุกข์ให้ผู้อื่นอีก อย่างนั้นหรือ อย่าเลย.. เสียดายชาติเกิด ที่ได้มาพานพบศาสนา เพราะไม่รู้ว่า ชาติหน้า ชาติไหน จะได้เจออีกไหม
เรื่องของศาสนา เป็นเรื่องของความจริง ใช้ใจต่อใจ ไม่มีหลืบมีมุม ต่อกันและกัน ผู้ใดทำได้ จึงได้สมปรารถนา คือ สุข ที่แท้จริง กินเป็นสุข นอนเป็นสุข
ของจริงบอกว่าหลอก แต่ที่หลอกว่าช่วยได้ เดินเข้าไป แล้วหามออกรายแล้วรายเล่าจนทำลายสถิติทุกปี กลับบอกว่าดี น่าเชื่อถือ ... นั่นกงจักรชัดๆ เข้าไปมีแต่ตัดอวัยวะ โน่นนี่นั่น จนไม่มีให้ตัดแล้วก็ตาย กลับเห็นเป็นดอกบัว ของหลอก ทำโดยไม่คำนึงถึงชีวิต คนนี้ตาย เดี๋ยวคนใหม่ก็มา เอาเงินมาให้แถมต้องกราบต้องไหว้อีก ของจริงคือศาสนา ... ชีวิตมนุษย์นั้นมีค่านัก จักช่วยได้ ก็ด้วย "การให้" เพราะตีราคาเป็นเงินทองไม่ได้
เรื่องของชีวิต เป็นเรื่องของของเป็น เพราะสิ่งเป็นจึงมีชีวิต เมื่อยังมีชีวิต จึงหมายความว่า ยังไม่ตาย แต่ที่เห็นไม่กระดุกกระดิก ไม่ได้แปลว่าตาย แต่มันแค่สลบ หรืออยู่ในสภาวะจำศีล เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายความจริงนี้ ให้พิจารณาว่า ทำไมศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงฟื้นฟูร่างกายได้
ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นโรคไต ไปหาหมอ หมอก็บอกว่า ไตเสียไปแล้วเท่านั้นส่วน เท่านี้ส่วน แล้วก็บอกถึงวิธีพยายามที่จะทำให้ไตเสื่อมน้อยลง จนไม่ไหว ก็ต้องฟอกไต แล้วก็วายในที่สุด ... แล้วก็บอกว่านั่นคือวิธีรักษา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ แล้วไตจะวายจะเสียได้อย่างไร เพราะของเน่าเสียกับของดีมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ อย่างเช่นเนื้อที่เริ่มเน่า ก็มีแต่จะทำให้เนื้อทั้งหมดเน่าไปอย่างรวดเร็ว จะมาอยู่กันค้างวัน ค้างเดือน ค้างปี นั้นไม่ได้ นั่นคือไม่มีชีวิต
ความจริงที่เกิด คือ ไตส่วนที่บอกว่าเสียนั้น ถูกเคมีกดทับ ทำให้ทำงานไม่ได้ เสมือนกับนำก้อนหินไปทับหญ้าฉันใดก็ฉันนั้น หญ้าไม่ตาย แต่ไม่โต ใบสังเคราะห์แสงไม่ได้ เพราะไม่เจอแสง แต่มันไม่ตาย
ทีนี้พอเราเอาก้อนหินออก นั่นแหละหญ้าได้น้ำได้แสงก็กลับมาโตได้อีก นี่แหละธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
หลักการของสมุนไพร ไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เป็นการทำหน้าที่เสมือนยกหินออกจากหญ้านั่นเอง คือไปกระตุ้นเซลล์ให้เกิดความรู้สึก จะด้วยความร้อนจากธาตุไฟ อันเป็นผลจากการทานสมุนไพรมะพร้าว จนขยับสลัดเคมี ที่ร่างกายสกัดไม่หมดแล้วตกค้างที่ไต เหมือนตัวเราที่อยู่ในที่ร้อนมากมาก แล้วไม่สบายตัว ต้องขยับปาดเหงื่อ ถอดเสื้อประมาณนั้น เมื่อเคมีหลุดออก เซลล์ไตตรงนั้นได้อาหาร ก็กลับมาทำงานได้อีก
ปัญหาก็ตามมาอีก เมื่อเซลล์มีปฏิกิริยา พร้อมกันหลายล้านเซลล์ ผลก็คือ อาการ คนทั้งหลายทั้งปวงกลับบอกไม่อยากมีอาการ ปฏิเสธเสียอีก ไม่อยาก ร้อน ไม่อยากปวด ไม่อยากคัน อาทิที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักแซวคนไข้ท่านหนึ่งที่เป็นผู้มีความรู้ดี ขี้สงสัย เป็นไซนัส จนโพรงจมูกไม่รับรู้กลิ่น หรือสัมผัสใดๆ วันหนึ่งก็มาโวยกลับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ทานสมุนไพรแล้ว ตอนนี้รู้สึกเหม็นไปหมด ได้กลิ่นอะไรก็เหม็น ก็แสบ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า นั่นแหละเซลล์สัมผัสกลิ่นของจมูก มันเริ่มทำงาน มันเสมือนเด็กอ่อน ยังทนต่ออะไรไม่ค่อยได้ เป็นเรื่องดี สมัยก่อนที่ทนอะไรก็ได้หน่ะ นั่นมันเซลล์มันถูกยาเคมีน็อค ไม่รับรู้
เราจึงไมแปลกใจเลยว่า ทำไมคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงพยายามที่จะให้เลิกยาเคมี ให้เร็วที่สุด
บทสรุป หมอให้กินยาเคมี กินแล้วสภาพมีทรงกับทรุด แต่ไม่มีอาการคนชอบ แล้วบอกว่านี่คือการรักษา หลวงพ่อนิพนธ์ให้ทานสมุนไพร ทานแล้วสภาพร่างกายดีขึ้น แต่มีอาการ โน่นนิด นี่หน่อย ตลอดเวลา กลับบอกว่าไม่ดี เลยไม่รู้ว่า ใครหลอกใคร กันแน่ เพราะทานสมุนไพรแล้วดี แต่ทำตนเบื่อหน่าย มาก็อยากกลับไวๆ ฟังก็ไม่อยากฟัง ทำก็ไม่อยากจะทำ แล้วบอกอยากเจอของดี อยากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติว่า อย่าทำตัวเป็น "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" อยากได้สมุนไพร แต่ไม่เอาคนสอน ไม่เอาวิธีการ จำไว้น่ะ "ตัวกระทำไม่ตาย" ศาสนาเขาให้โอกาสครั้งเดียว หลายคนทำเชิด มาแบบรีบทาน รีบหาย จะได้ไปให้พ้นไวๆ ทำตัวเบื่อหน่าย ไม่อยากมา ไม่อยากทำ หายแล้วก็หายลับ แต่กรรมมันไม่ได้มีปล้องเดียว พ้นปล้องนี้ ปล้องหน้าก็รออยู่ ตัวกระทำในวันนี้ เท่ากับตัดสะพาน วันหน้าเรือชีวิตประสพเหตุอีก จะเข้าท่าก็ไม่ได้แล้ว เพราะทำลายสะพานนั้นลงเสียแล้ว
ที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้ระวังว่า การฟื้นฟูครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องง่าย เพราะคนที่มาทั้งหลาย ทำกรรมด้วยความไม่รู้่ คือ ยังไม่รู้เรื่องศาสนา เรื่องตัวกระทำ แต่เมื่อมาแล้ว ฟังแล้ว หายแล้ว แสดงว่ารู้แล้ว การกระทำต่อมา แล้วยังทำให้เกิดโรค นั่นเรียกว่า "ทำโดยรู้ โดยเจตนา" ทีนี้แหละเป็นงานช้างแล้ว ยิ่งจะมาหวังสมุนไพรแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนก่อน ... หนทางคงยากยิ่ง เพราะทำตัวทำตนสวนเจตนาของศาสนาของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา นั่นคือ มาฟื้นฟูตนเพื่อเป็นคนดี ให้สุขแก่ผู้อื่น แต่จะมาเพื่อกลับไปใช้นิสัยสันดานเดิม สร้างกรรม สร้างโรคอีก มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนจะเกื้อหนุน ให้โอกาสอีกเป็นซ้ำสอง ถ้าเป็นเช่นนั้น .... คงมีคนไปฟ้องฟ้าดิน ถามว่า "ทำไมให้อำนาจท่านอาสิ มาช่วยโจรให้มีชีวิต มาเบียดเบียนพวกเขาได้อีก ปล่อยให้มันตายเสียวันนั้น วันนี้มันก็ไม่มาโกง ไม่มาฆ่าใคร ไม่มาให้ทุกข์ใครได้อีก"
ฤาถุกหลอก หรือหลอกเขา มาจนชิน เลยมาหลอกศาสนา ร้องช่วยด้วย ช่วยด้วย พอพ้นก็ไปละเลงนิสัยตน สร้างทุกข์ให้ผู้อื่นอีก อย่างนั้นหรือ อย่าเลย.. เสียดายชาติเกิด ที่ได้มาพานพบศาสนา เพราะไม่รู้ว่า ชาติหน้า ชาติไหน จะได้เจออีกไหม
เรื่องของศาสนา เป็นเรื่องของความจริง ใช้ใจต่อใจ ไม่มีหลืบมีมุม ต่อกันและกัน ผู้ใดทำได้ จึงได้สมปรารถนา คือ สุข ที่แท้จริง กินเป็นสุข นอนเป็นสุข
ของจริงบอกว่าหลอก แต่ที่หลอกว่าช่วยได้ เดินเข้าไป แล้วหามออกรายแล้วรายเล่าจนทำลายสถิติทุกปี กลับบอกว่าดี น่าเชื่อถือ ... นั่นกงจักรชัดๆ เข้าไปมีแต่ตัดอวัยวะ โน่นนี่นั่น จนไม่มีให้ตัดแล้วก็ตาย กลับเห็นเป็นดอกบัว ของหลอก ทำโดยไม่คำนึงถึงชีวิต คนนี้ตาย เดี๋ยวคนใหม่ก็มา เอาเงินมาให้แถมต้องกราบต้องไหว้อีก ของจริงคือศาสนา ... ชีวิตมนุษย์นั้นมีค่านัก จักช่วยได้ ก็ด้วย "การให้" เพราะตีราคาเป็นเงินทองไม่ได้
ยอดมวย
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า เราต้องรู้เขารู้เรา จึงจะมีโอกาสชนะสูง ในการต่อสู้
สิ่งที่เราท่านกำลังต่อสู้ ถ้าใช้ตามองก็ว่า คือโรค ถ้าพิจารณาให้ดี พระภูมีชี้ว่า คือ กรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า คือ สิ่งที่คนทั้งโลก เอาชนะไม่ได้ เพราะคนที่ชนะได้ ไปกันหมดแล้ว การจะชนะ จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา
การจะชนะ จึงต้องอาศัยอำนาจธรรม เป็นพี่เลี้ยง ยิ่งไปกว่านั้น ต้องอาศัยตนกระทำของตน เต็มร้อย จึงจะชนะได้
ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ไม่เห็นว่ากำลังสู้กับยอดมวย ที่ล้มมาหมด เริ่มตั้งแต่หมอตี๋ หมอสมัยใหม่ หมอผีหมอพระหมอ.... ดังนั้นจึง ไม่เน้นการกระทำตามคำสอนของท่านอาสิ หวังว่ามันจะเป็นปาฏิหาริย์ สมุนไพรดี กินแล้วต้องหาย ไม่ต้องพึ่งการกระทำแห่งตน นั่นผิดมหันต์
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ว่า มีแต่ต้องเต็มร้อย ยื่นมือประสานกับธรรม จึงจะพ้นหล่มกรรมขึ้นมาได้ มิฉะนั้นอย่าหวัง อย่างดีก็หายโรคนี้ เป็นโรคนั้น
ความจริงที่แน่แท้คือ ทุกคนยังไม่หวังนิพพาน แปลว่ายังต้องเกิด จะทำเพื่อวันนี้หายโรค ช่างน่าเสียดายนัก ท่านอาสิชี้ว่า ศาสนามีไว้ ให้สร้างนิสัยพระพุทธเจ้า สร้างพรหมลิขิตที่ดีในวันข้างหน้า หรือเลยไปภายภาคหน้า ชาติหน้านั่นเอง
เมื่อชะล่าใจ ปล่อยวันเวลาผ่าน กว่าจะรู้ จะมาทำก็ไม่ทันหรือไม่มีโอกาสแล้ว ที่สำคัญเชื่อหรือ ว่าชาติหน้าจะได้เจออีก
คำของหลวงพ่อนิพนธ์ พึงพิจารณา ตัวกระทำไม่ตาย ตายด้วยโรค ชาติหน้าก็ได้โรค ยิ่งไปกว่านั้น เจอศาสนาแล้วไม่ทำ ชาติหน้าคงห่างไกล ทีนี้เหมือนคนทั้งโลก อยากหายโรค อยากพ้นทุกข์ แต่ไม่มีที่ใดจะช่วยให้พ้นทุกข์จากโรคได้เลย
หากเราเชื่อและทำตาม ตัวกระทำก็พาเวียนวนให้เจอศาสนาเป็นที่พึ่งแห่งตนอีก วันนี้ไม่อยากไปนิพพาน วันหน้าอาจอยากก็ได้
การชนะโรคชนะยอดมวยตัวแทนกรรม จึงมีความหมาย มากกว่าแค่สุขจากการหายโรคในวันนี้ การมาแล้วไม่ทำก็เช่นกัน เท่ากับถีบตนให้ห่างศาสนาในวันหน้าเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ในโลก
น่าเสียดาย คนส่วนใหญ่เอาแค่สุขเฉพาะหน้า คือ หายโรค จึงไม่พบของดีของศาสนา และยิ่งประมาทกรรม ของดีไม่เจอ ไม่ได้ โดนน็อคอีกต่างหาก เพราะไม่ทำ รอแต่ปาฏิหาริย์
วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560
รวดเร็ว เฉียบขาด
หลายคนมักมีคำถามว่า ทำไมทานสมุนไพรมาตั้งนานยังไม่หายสักที หรือ ทำมาตั้งนานยังไม่หายสักที
สมบัติของศาสนา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า มี ๓ ประการ จากต่ำสุด คือ มนุษย์สมบัติ อันได้แก่ความไม่มีโรค มาสวรรค์สมบัติ คือ มิเพียงไม่มีโรค แต่มีทั้งทรัพย์ทั้งสติปัญญาสมบูรณ์ จนสูงสุด คือ นิพพานสมบัติ
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้ พระพุทธเจ้าใช้เวลา หกปีสี่เดือน จึงสำเร็จมรรคผล ได้นิพพานสมบัติ หากแปลความก็จักเห็นว่า อำนาจของศาสนาผู้ใดฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตามอย่างจริงจัง ตามคำสอนแล้วไซร้ ผลสำเร็จนั้น รวดเร็ว และเฉียบขาด
แล้วทำไมทุกวันนี้ เราท่านทั้งหลาย แค่มนุษย์สมบัติ มันจึงยากเย็นแสนเข็ญ ไม่พ้นทุกข์พ้นโรคกันสักทีเล่า นั่นเป็นเพราะ เราท่านทั้งหลาย ยังไม่รู้ หรือ รู้ แต่ยังไม่ยอมทำ หรือ ทำ แต่เอาแบบที่ตนชอบนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ชัด ก่อนลาสังขารว่า หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ให้ถึงซึ่งมนุษย์สมบัตินั้น แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า ในยุคนี้มีประการเดียว คือ ทำนิสัยของพระพุทธเจ้าให้เกิดแก่ตน ละนิสัยสันดานเดิมที่ให้ทุกข์ผู้อื่นลง
เมื่อท่านอาสิชี้ พูดให้ฟัง จะด้วยกรรม จะด้วยเวรอันใด บังตา บังใจ ปากบอกอยากได้มนุษย์สมบัติ อยากหายโรค แต่ไม่ทำ และศาสนาก็ชี้ชัดว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" นั่นย่อมแปลได้ว่า ใจอาจยอมรับสมุนไพร แต่ใจนั้นไม่ยอมรับคำสอน ไม่สนใจ จึงไม่บังคับกายให้ทำ
บทสรุป ศาสนาพุทธท่านอาสิก็ชี้ชัดว่า เป็นประชาธิปไตยในการเลือกทำคือไม่บังคับ แต่เป็นเผด็จการเมื่อท่านจะมาทำ ต้องเดินในร่องของศาสนาเท่านั้น ใช้ความคิดตนไม่ได้เลย คนที่ทำได้เท่านั้น จึงจักพบปาฏิหารย์ ด้วยการสร้างคุณสมบัติรองรับอำนาจธรรม ผู้ใดทำได้ ผลจึงเฉียบขาด รวดเร็ว
ก็แล้วท่านจะมาทำแบบว่ากำหนดเอง เดินเอง เอาแค่นี้พอ ไม่เชื่อคนรักษา นั่นจึงไม่แปลกว่า ทำไมผลมันจึงช้า อืดเป็นเรือเกลือ จนบางทีนานจนท้อ เลิกราไปเสียก็มาก
เอาไม่เอา ว่ากันมา ถ้าไม่เอา ก็ไปทางอื่นที่ตนชอบ ถ้าเอา ทำไมไม่ทุ่มทำตามท่านอาสิชี้ เดินสองขา ใช้ทั้งสมุนไพร และธรรมนำตน แล้วจะได้สมปรารถนา หายทุกข์ หายโรค รวดเร็ว ดั่งปาฏิหารย์
ประเภท มาเป็นสิบปี แค่มนุษย์สมบัติ ยังเดินไม่ถึงเลย มันต้องมีอะไรผิดพลาดแล้ว ฉุกคิดแล้วหันมาสำรวจตน จะได้ช่วยตนได้ สมปรารถนา อย่าปล่อยวันเวลาผ่าน .... เชื่อหรือ ว่าตนจะมีเวลาอีกนาน มั่นใจหรือว่าพรหมลิขิตของตนเหนียวแน่น นั่นคือคนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตกอยู่ในความประมาทแล้ว
รีบมา รีบทำ ช่วยตนได้ ก็จะได้กลับไปทำในสิ่งที่ตนชอบ และก็เป็นแบบอย่างให้คนเขาเดินตาม ดีกว่าไหม
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ธุรกิจดาวรุ่ง
หลายคนกำลังกังวลกับลูกหลาน หรือแม้นกระทั่งตนเองว่าจะทำอะไรกินดี จะทำงานอะไร จะหาเงินจากไหน ด้วยความยากลำบากในการทำกินของทุกวันนี้ ปรากฎไปทั่วทุกหัวระแหง
ผลการสำรวจธุรกิจดาวรุ่งที่มีอนาคตมากที่สุด ติดอยู่ในสิบอันดับแรก นั่นคือ ธุรกิจเกี่ยวกับดวงชะตา ไม่ว่าจะสายบุญ หรือสะเดาะเคราะห์ เครื่องลางของขลัง ที่คำนวนดูโดยรวมมูลค่านับแสนล้าน หรือ ล้านล้าน
ไม่ว่าในประเทศใด ธุรกิจนี้กำลังถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว เพื่อดึงดูดคนทั้งหลายให้ไปเยือน ไม่เว้นแม้นกระทั่งประเทศจีน ที่เปิดให้มีวัด รวมไปถึงรื้อฟื้นประเพณีท้องถิ่น หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนพื้นถิ่นเคารพนับถือในอดีต และถูกห้ามไปหลายสิบปี กลับมาใหม่
แอบไปดูญี่ปุ่น เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ที่เรียกกันว่า "เกาะเทพเจ้า" อันเชื่อว่าเป็นสถานที่กำเนิดของศาสนาพุทธนิกายเซนในญี่ปุ่น จะพบเห็นศาลเจ้าหรือวัดถึง ๑๕๙ แห่ง แออัดทุกตรอกซอกซอย ในเกาะเล็กๆแห่งนี้ และรัฐบาลญี่ปุ่นพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวดึงดูดคนให้มาเยือน และทำบุญในเกาะแห่งนี้
ทุกสารทิศ ล้วนอ้างเอ่ยในความศักดิ์สิทธิ์ในเทพเจ้า ในความเชื่อที่ตนมี ว่าของตนนั้นมีจริง ขออะไรก็ได้ ขอลูกได้ลูก ขอรวยได้รวย ขอคู่ได้คู่ .... แล้วก็ไม่แปลกที่มีผู้คนหลั่งใหลกันไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน ไม่เว้นแม้นกระทั่งประเทศอินเดีย อันเป็นแหล่งเริ่มต้นของพุทธศาสนาในยุคของพระโคดม ก็ไม่เว้น
หากผู้หนึ่งผู้ใด ลองมองไปแล้วพิจารณาว่า หากพระพุทธเจ้าทรงเห็น ท่านจะเสียพระทัยสักเพียงไหน ไม่ต้องพูดถึงคนที่นับถือศาสนาอื่น เพียงแค่ชาวพุทธนี่แหละ
ทั้งที่ปากบอก มือไหว้ แต่การกระทำสวนทางกับพระธรรมคำสอนอย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างที่ท่านอาสิชี้ ศาสนาของพระภูมี คือ ศาสนาทำ ไม่อ้างอิงกับวัตถุสิ่งของ สร้างคน ไม่สร้างวัตถุ ไม่มีพรแต่สอนให้ทำ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า เมื่อวันเวลาตัดสินมาถึง แต่ละคนก็จะอ้างเอ่ยว่า ตนนั้นกราบไหว้นับถือพระภูมีมาแต่อ้อนแต่ออก ทำบุญสร้างโบสถ์ศาลา กฐิน ผ้าป่า มาไม่รู้สักเท่าไหร่ ถวายสังฆทานก็มากมี แล้วทำไมพระภูมีจึงไม่ช่วยตนบ้างเล่า ความดีที่ทำไปไหน นี่แหละทำบุญ ทำตน ไม่อยู่ในร่องธรรม ผลที่ทำจึงเป็นลม ไม่มีผลใดย้อนกลับมาช่วยตน
ท่านอาสิก็ชี้ว่า สมุนไพร คือธรรมหมวดหนึ่งของพระภูมี มีทำไม ก็มีไว้ให้คนดีที่เดินผิด จนผลผิดเกิด คิดว่าสิ่งที่ตนทำมานั้นถูก เมื่อได้ฟังเรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงที่แม่ชีเมี้ยนนำมา พิจารณา เชื่อแล้วทำตาม จะได้ช่วยตนให้มีการกระทำที่ถูก จะได้ผลถูกเกิดขึ้น ได้เป็นคนดีสมใจ ได้หายโรคเป็นของแถม
อย่าแปลกใจเลย ว่าทำไมธุรกิจนี้จึงเจริญ ศาสนาวัตถุจำพวกนี้ รู้ใจตอบสนองความอยากของมนุษย์ ที่อยากได้ ก็ขอเอา นั่นเอง จะรู้ว่าทำผิด ก็สายไปเสียแล้ว กลับมาบอกคนข้างหลังไม่ได้ จะมาทำศาสนาที่แท้จริง ที่ต้องทำเอง ก็ไม่ชอบ ไม่อยากทำ
ดูกร สาวกของพระภูมี ในยุคพระโคดมที่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่ทรงมีปัญญามาก วาทะศิลป์เป็นเลิศ ยังไม่ถึงแสน แต่บรรดา วัดวาอาราม ศาลเจ้าเหล่านั้น มีสาวกเป็นล้าน ก็มีให้เห็น เอาแค่คนกราบไหว้ต้นไม้ ศาลเจ้า ในประเทศไทย ก็มีจำนวนมากกว่าสาวกของพระพุทธเจ้าเสียอีก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ใครคนใดที่ฝ่ากระแสเสมือนว่ายทวนน้ำ มาทำนิสัยของพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่า ทำตนเหนือมนุษย์ คนผู้นั้นจึงได้หายโรคเป็นของแถม
ดูซิ คนแห่แหนกันไปดูบอลทุกสัปดาห์ มีเป็นร้อยเป็นพันล้านคน ต่อสัปดาห์ ใครเล่าจะทวนกระแส พาตนไปทำนิสัย ทุกสัปดาห์ มีสักกี่คน ไปดูบอล คอนเสริตซ์ หน้าตาบานเป็นกระด้ง ตื่นเต้น ไปทำนิสัย หน้าตาเหมือนตูด เมื่อไหร่จะเสร็จๆ จะได้รีบกลับ
นี่แลทำไมกรรมจึงยอม เพราะคนที่ฟังคำสอน พิจารณา แล้วทำได้ มันมีน้อยกว่าน้อย คนที่ทำได้จึงไม่ธรรมดา จึงได้สัมผัสปาฏิหารย์ของศาสนา คือ ได้ความไม่มีโรค เป็นปฐม
วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ที่ใดที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ ย่อมคลี่คลายทุกข์ได้ เมื่อเราท่านเป็นทุกข์ โรคมาเบียดเบียน ที่ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่มีที่ไหนช่วยตนของเราท่านได้เลย เมื่อก่อนขออะไรก็ได้ ทำไมวันนี้ ขอสักเท่าไหร่ ทุกข์ก็ไม่ลดเลย นั่นเขาหากินกับพรหมลิขิตที่ดีของเราท่านต่างหาก เราท่านมีพรหมลิขิตที่ดี จึงเกิดผล ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นดลบันดาล เขาไม่ได้ช่วยไม่ได้ทำ เพราะเขาไม่มีตัวไม่มีตน เราท่านนึกคิดเอาเอง วันนี้ ทุกข์มาแล้ว ขอสักเท่าไหร่ ก็จึงไม่เป็นผล
คำเตือนสติของหลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า "หิวข้าว ไม่เอามือไปหาหม้อ หาข้าวแล้วตั้งไฟ จะพนมมือขอสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางมีข้าวกิน นอกจากใช้มือของเรานั้นทำเอา"
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560
สิ่งศักดิ์สิทธิ์
คนทั้งโลก ล้วนแล้วแต่ปรารถนาพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะเมื่อถึงคราวทุกข์ คราวซวย เคราะห์หามยามร้าย เข้ามาผจญกับชีวิตด้วยแล้ว
จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมวัดวาอารามศาลเจ้า จึงเต็มไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะยามที่บ้านเมืองลำเค็ญ คนทุกข์เข็ญเดินกันเกลื่อน ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด หรือพ้นโรคภัย
ปัญหาโลกแตกก็คือ ไม่มีใครรู้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง อยู่ตรงไหน ดูได้โดยวิธีใด ก็จึงไม่แปลกที่คนโลภ เห็นช่องทาง ก็ย่อมต้องยก ต้องสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาเพื่อสนองความต้องการของคนทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะลัทธิ ศาสนาใด ล้วนเฉกเช่นเดียวกัน
ภาพที่เห็น เพื่อสร้างความเข้มขลัง ให้คนทั้งหลายท้้งปวงเชื่อว่ามี ทั้งที่ความเป็นจริงไม่มีเลย จึงต้องเน้นที่วัตถุเป็นหลักเป็นธรรมดา แล้วก็ตกแต่งเรื่องราว ให้เห็นว่ามีผู้คนได้รับ ปาฏิหารย์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ
หลวงพ่อนิพนธ์ยกเรื่องราวของท่านในวัยเด็ก ที่พำนักในตรอกไผ่สิงห์โต ย่านคลองเตย ไว้ตอนหนึ่งว่า ปกติกิจประจำวันของท่าน ก็คือการเดินกลับบ้าน ผ่านต้นไม้ใหญ่ และก็แวะฉี่บริเวณต้นไม้ใหญ่ทุกวัน ทำเช่นนั้นมาเป็นปีๆ
อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้คนเอาผ้าเจ็ดสี พร้อมศาลไปตั้งที่ต้นไม้ใหญ่นั้น เมื่อท่านเดินผ่านมา ก็ไม่กล้าไปฉี่รดต้นไม้นั้นอีก เพราะคนเขาบอกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์
และก็เปลี่ยนจากการที่แวะฉี่ทุกวัน กลายเป็นวิ่งผ่าน ด้วยความกลัวประสาเด็ก นั่นเอง
ครั้นบวชที่ถ้ำกระบอก แม่ชีเมี้ยน รู้ดีถึงความกลัวผีของหลวงพ่อนิพนธ์ ดังนั้น ครั้งหนึ่งในธุดงค์ จึงให้ท่านแยกเดินไปลำพัง โดยไม่บอกอะไร หลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องออกเดินไปลำพัง จนวันหนึ่ง เดินกระทั่งมืดค่ำ มองเริ่มไม่เห็นทาง จึงคิดปักกลด เห็นเนินแห่งหนึ่ง ใกล้ทางสามแพร่ง กำลังดี เหมาะกับการปักกลด จึงปักกลดพำนักบนเนินแห่งนั้น
เช้ามา มีผู้คนมากันมากมาย จนทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ประหลาดใจ เพราะเหตุใด ถามไถ่ว่าผู้ที่มา นำมาโดยผู้ใหญ่บ้าน พร้อมลูกบ้าน นำข้าวปลามาถวาย ขอบคุณหลวงพ่อนิพนธ์
จึงถามเรื่องราว ผู้ใหญ่บอกทางแยกนี้ผีดุ หลอกหลอนผู้คนมานาน เป็นผีผู้หญิงตายท้องกลม ดีที่ท่านมาโปรด ทำให้ต่อไปชาวบ้านจะได้ไม่ต้องหวาดผวาอีก แล้วก็ชี้ไปตรงที่หลวงพ่อนิพนธ์ปักกลด กล่าวว่า ตรงที่ท่านปักกลดนั่นแหละ คือหลุมศพของหญิงสาวคนนั้นที่กล่าวถึง
หลังจากธุดงค์นั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงรู้ว่า แม่ชีเมี้ยนกำลังสอนว่า ผีไม่มีจริง แลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในต้นไม้ที่กลัวในวัยเด็ก ก็ไม่มีจริง ไม่มีตัวไม่มีตน ช่วยใคร หรือ หลอกใครไม่ได้
แล้วแม่ชีเมี้ยนก็ตรัสสอนว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก่อนจะปรินิพพาน จึงสอนสาวก โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ปรารถนาในนิพพาน ว่า การจะหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็โดยใช้แว่นส่องจักรวาล คือ ความไม่มีโรคนั่นเอง ที่ใด สามารถทำให้ถึงสิ่งนี้ได้ ที่นั่นแหละมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณาว่า อยากรู้ที่ไหนอะไรศักดิ์สิทธิ์ ก็เอาคนเป็นโรคไปถวายสิ เพราะโรคคือตัวแทนแห่งกรรม คือทุกข์ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีจริง ย่อมคลี่คลายทุกข์อันนั้นลงได้ ลองเลย มะเร็งเอย เอดส์เอย เอาไปถวาย ใครที่ไหนช่วยได้ นั่นแหละสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ปัญหาก็คือ เมื่อมนุษย์ทั้งหลายเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เก๊ อวดอ้างสรรพคุณแห่งตนกันมาจนเคยชิน สอนการขอ แล้วจักสมปรารถนา อาทิ จากพระธรรมดา ก็พัฒนาเป็นปางประทานพร วันนี้ ไม่ได้แล้ว กลายเป็นพระทันใจไปเสียแล้ว เพื่อตอบสนองความอยากนั่นเอง
แต่วันใดที่ของจริงปรากฎคือ ทุกข์สังขารด้วยโรค จะไปขอที่ใดก็ไร้ผล ทีนี้เวลามาเจอศาสนาของพระภูมีที่แม่ชีเม่ี้ยนนำมา เป็นของจริง สอนให้ทำเพื่อช่วยตน เพราะหลักพระภูมีเป็นหลักตนพึ่งตน ก็เลยทำไม่ได้ เพราะติดนิสัยขอ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ฉันใดก็ฉันนั้น เขาวาดภาพพระพุทธเจ้าให้คนลุ่มหลง ว่ามีบุญญาธิการ เดินเจ็ดก้าว ตัวสีเหลืองอร่ามดังทอง ใบหน้าเปล่งปลั่ง มีรัศมี วันใดที่พระพุทธเจ้าอุบัติในพม่า ไปเจอตัวจริง กลับตาลปัตร ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย เพราะเดินธุดงค์ตากแดด ยามชรา หนังก็เหี่ยวย่น เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ อาจรับไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้สติว่า ศาสน์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ได้มาเพื่อเป็นขี้ข้า คือ ใครขอก็ให้ ไม่ใช่ ไม่ใช่ เขามาเพื่อสอน แล้วให้เราท่าน พึ่งตัวกระทำของตนเอง ที่ทำได้ตามคำสอน จึงเรียกศาสนาของพระภูมีนี้ว่า "ศาสนาทำ" ไม่ใช่ ศาสนาขอ เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จอมปลอมทั้งหลายที่มีในโลก ที่คนโลภใช้คำชวนเชิญ มาสิ ท่านศักดิ์สิทธิ์ ขอลูกได้ลูก ขอรวยได้รวย ขอหายโรคได้หายโรค ... ถ้าขอได้จริง โลกใบนี้คงไม่มีคนจน ไม่มีคนเจ็บ ไม่มีคนตาย จริงหรือไม่
ก็แล้วทำไมมนุษย์จึงชอบทำเช่นนั้น ก็เพราะไม่เชื่อว่า "กรรมมีจริง" นั่นเอง เมื่อทุกข์มาถึงตน จึงปฏิเสธ ไม่ยอมรับ ไม่อยากได้ จะเอาเฉพาะสิ่งดีๆ แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาน่ะ "ตัวกระทำ มันไม่ตาย" จะปฏิเสธสักฉันใด ก็ไม่พ้น จะทำสักฉันใด ก็ต้องรับ ... ไม่ว่ารวยจน กฎแห่งกรรม เขาเว้นให้เฉพาะคนที่เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง คือ ศาสนา เมื่อฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำได้ นั่นแหละ จึงจะหนีจากเวรกรรมที่ตนทำมาได้ ด้วยนิสัยของพระพุทธเจ้าที่ตนสร้างได้นั่นเอง
ไม่เชื่อ ก็ลองเอาคนเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ ไปถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเชื่อ หรือเขาว่าใช่ดูสิ ไม่ว่าหมอศักดิ์สิทธิ์ พระศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ...อย่าว่าแต่ผู้อื่นเลย แม้นกระทั่งตัวของเขาเอง ยังหนีไม่พ้นเลย นี่แหละ เขาจึงมีภาษิต "หมองู ตายเพราะงู" อวดศักดิ์สิทธิ์ เป่าคาถา เสกน้ำมนต์ มียาวิเศษ ล้วนแล้วแต่ไปจบที่ห้องไอซียู ก็มีมากมายให้เห็นมิใช่หรือ
ก็แล้วเมื่อเจอของจริง ทำไมนิ่งเฉย ทำไมนั่งขอพร ไม่สร้างตัวกระทำดั่งที่ท่านอาสิสอน เพื่อช่วยตนเล่า แล้วจะแหกปากร้องขอ ช่วยด้วยๆๆๆๆๆๆ ร้องให้ตาย ก็ไม่มีใครช่วยได้ หรือให้ตามคำขอหรอก "อยากได้ ต้องทำเอง"
ที่ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แท้จริง จึงไม่จำเป็นต้องเน้นสร้างวัตถุปัจจัยใดๆ แต่เน้นที่การสร้างนิสัย พฤติกรรมของคน เพราะใจความสำคัญที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากได้ คือ ช่วยคนดี ที่หลงผิด เข้าใจผิด จึงมีการกระทำที่ผิด ให้กลับตน มามีนิสัย พฤติกรรมที่ถูกต้อง ตามรอยพระภูมีนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า อยากเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช้ตามองไม่มีวันเจอ ใช้สติปัญญา พิจารณา จึงจักเห็นได้ ที่ใดทำในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ ทำให้หายทุกข์ได้ ที่นั่นแหละมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ที่ไหนอยู่ในเมือง ช้างเผือกมันต้องอยู่ในป่า
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560
รักษา ...
สิ่งที่ยากที่สุดในการรักษา นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่ผิด ให้หันมาทำในสิ่งที่ถูก
ความเป็นจริงที่ปรากฎ ไม่ว่าหลวงพ่อนิพนธ์จนสอน จะชี้สักฉันใด จิตที่ซาบซึ้งกับยาเคมี หรือ การร้องขอพร ก็ยากที่จะจางไปจากใจของคนทั้งหลาย ทั้งปวงยากยิ่ง เห็นได้จาก การที่ต้องไปหาหมอ การไม่ยอมทิ้งยาเคมี การบนบานศาลกล่าวขอให้หาย นั่นเอง
ยิ่งเรื่องยาเคมีด้วยแล้ว จิตของคนมันซาบซึ้งและตรึงใจว่า เป็นยาที่ทานแล้ว อาการของตนมันหายรวดเร็วทันใจ ในอดีตนั้น เช่นปวดหัว ทานยาแก้ปวดหัว ทานปุ๊บหายปั๊บ เป็นความดัน ทานยาลดความดันอึดใจเดียว ความดันลดสมใจ
แล้วก็โมเมเอาว่า นั่นคือ การรักษา
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า ถ้ามียารักษาได้ นั่นแสดงว่า ผู้ใดทานแล้ว ก็ต้องหาย และไม่จำเป็นต้องทานยานั้นอีก ในไม่ช้า แต่ภาพความเป็นจริงที่ปรากฎ มาจนวันนี้ ก็ยังต้องทานยาต่อเนื่อง จนกลายเป็นติดยา ขาดยาไม่ได้
แลหลายโรค ก็ยิ่งแปลกใหญ่ นั่นคือ บอกว่ารักษาได้ แต่เป็นเก๊าต์ ห้ามทานสัตว์ปีก เป็นไต ห้ามทานเค็ม เป็นโน่น ห้ามนี่ ..... หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เคยคิดบ้างไหม ห้ามทำไม ทำไมต้องห้าม ในเมื่อการรักษา ถ้ารักษาได้ ก็ต้องกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ คือ ทานทุกอย่างที่อยากทานได้ เพราะนั่นคือ ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์
การห้ามทาน นั่นก็คือ ปฏิเสธหรือตัดเหตุที่จะทำให้เกิดอาการนั้นนั่นเอง
ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา มิเพียงไม่ห้าม แถมยังบังคับในสิ่งที่หมอห้ามว่าต้องทานอีกต่างหาก ดังที่ได้ยินวิทยากร ท่าน อ.อร่าม กล่าวในทุกครั้ง
บทสรุป อยากรู้ว่าหนทางใด รักษาตนได้ ก็ดูได้ง่าย นั่นคือ กลับมาทำตามปกติวิสัยของมนุษย์ อันมีสุขจากการอยากกินอะไรก็ได้กิน นั่นแหละ รักษาได้ ไม่ใช่ รักษาได้ แต่ห้ามทานโน่น ห้ามกินนี่ จริงหรือไม่ แต่พอแอบกินเข้าไปเท่านั้นแหละ โลกแตก ความเป็นจริงปรากฎ หามเข้าห้องไม่ทัน แล้วบอกว่าหาย ไม่เป็นแล้วได้ไง
เป็นเก๊าต์ ไม่กินสัตว์ปีก ก็ไม่รู้ว่าตนหาย เป็นไต ไม่ทานเค็ม จะรู้ได้ไงว่าไตดีแล้ว ... รักษาได้ ก็คืนความสุข นั่นคือ ดำรงชีวิตได้เป็นปกติ ทานอาหาร ๕ หมู่ ฤาจะเอาแบบ รักษาได้ แต่ห้ามทานโน่นนี่นั่นตลอดชีวิต หยุดยาไม่ได้
จึงไม่ต้องสงสัย ทำไมศาสตร์ของแม่ชีเมี้ยน จึงต้องให้ทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ นั่นแหละเครื่องตรวจที่ดีที่สุด ว่าหายหรือยัง ดีขึ้นหรือไม่ ไม่ต้องเสียตังค์เข้าอุโมงค์ เจาะเลือด
แลคุณประโยชน์อันมหาศาลในการทานของที่หมอห้าม นั่นคือ เป็นตัวนำร่องที่ดีที่สุด เข้าถึงเหตุแห่งโรคได้ตรงและเร็วที่สุด ช่วยให้สมุนไพรทำงานได้ดีที่สุด เป็นเบาหวานจึงต้องทานน้ำตาล เป็นไตต้องทานเค็ม เป็นมะเร็งต้องทานเนื้อสัตว์ .... ถ้าอยากหาย วันใดที่ทานเหมือนคนปกติ แล้วอาการปกติ นั่นแหละเรียกรักษาหายแท้จริง
ความเป็นจริงที่ปรากฎ ไม่ว่าหลวงพ่อนิพนธ์จนสอน จะชี้สักฉันใด จิตที่ซาบซึ้งกับยาเคมี หรือ การร้องขอพร ก็ยากที่จะจางไปจากใจของคนทั้งหลาย ทั้งปวงยากยิ่ง เห็นได้จาก การที่ต้องไปหาหมอ การไม่ยอมทิ้งยาเคมี การบนบานศาลกล่าวขอให้หาย นั่นเอง
ยิ่งเรื่องยาเคมีด้วยแล้ว จิตของคนมันซาบซึ้งและตรึงใจว่า เป็นยาที่ทานแล้ว อาการของตนมันหายรวดเร็วทันใจ ในอดีตนั้น เช่นปวดหัว ทานยาแก้ปวดหัว ทานปุ๊บหายปั๊บ เป็นความดัน ทานยาลดความดันอึดใจเดียว ความดันลดสมใจ
แล้วก็โมเมเอาว่า นั่นคือ การรักษา
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า ถ้ามียารักษาได้ นั่นแสดงว่า ผู้ใดทานแล้ว ก็ต้องหาย และไม่จำเป็นต้องทานยานั้นอีก ในไม่ช้า แต่ภาพความเป็นจริงที่ปรากฎ มาจนวันนี้ ก็ยังต้องทานยาต่อเนื่อง จนกลายเป็นติดยา ขาดยาไม่ได้
แลหลายโรค ก็ยิ่งแปลกใหญ่ นั่นคือ บอกว่ารักษาได้ แต่เป็นเก๊าต์ ห้ามทานสัตว์ปีก เป็นไต ห้ามทานเค็ม เป็นโน่น ห้ามนี่ ..... หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เคยคิดบ้างไหม ห้ามทำไม ทำไมต้องห้าม ในเมื่อการรักษา ถ้ารักษาได้ ก็ต้องกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ คือ ทานทุกอย่างที่อยากทานได้ เพราะนั่นคือ ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์
การห้ามทาน นั่นก็คือ ปฏิเสธหรือตัดเหตุที่จะทำให้เกิดอาการนั้นนั่นเอง
ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา มิเพียงไม่ห้าม แถมยังบังคับในสิ่งที่หมอห้ามว่าต้องทานอีกต่างหาก ดังที่ได้ยินวิทยากร ท่าน อ.อร่าม กล่าวในทุกครั้ง
บทสรุป อยากรู้ว่าหนทางใด รักษาตนได้ ก็ดูได้ง่าย นั่นคือ กลับมาทำตามปกติวิสัยของมนุษย์ อันมีสุขจากการอยากกินอะไรก็ได้กิน นั่นแหละ รักษาได้ ไม่ใช่ รักษาได้ แต่ห้ามทานโน่น ห้ามกินนี่ จริงหรือไม่ แต่พอแอบกินเข้าไปเท่านั้นแหละ โลกแตก ความเป็นจริงปรากฎ หามเข้าห้องไม่ทัน แล้วบอกว่าหาย ไม่เป็นแล้วได้ไง
เป็นเก๊าต์ ไม่กินสัตว์ปีก ก็ไม่รู้ว่าตนหาย เป็นไต ไม่ทานเค็ม จะรู้ได้ไงว่าไตดีแล้ว ... รักษาได้ ก็คืนความสุข นั่นคือ ดำรงชีวิตได้เป็นปกติ ทานอาหาร ๕ หมู่ ฤาจะเอาแบบ รักษาได้ แต่ห้ามทานโน่นนี่นั่นตลอดชีวิต หยุดยาไม่ได้
จึงไม่ต้องสงสัย ทำไมศาสตร์ของแม่ชีเมี้ยน จึงต้องให้ทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ นั่นแหละเครื่องตรวจที่ดีที่สุด ว่าหายหรือยัง ดีขึ้นหรือไม่ ไม่ต้องเสียตังค์เข้าอุโมงค์ เจาะเลือด
แลคุณประโยชน์อันมหาศาลในการทานของที่หมอห้าม นั่นคือ เป็นตัวนำร่องที่ดีที่สุด เข้าถึงเหตุแห่งโรคได้ตรงและเร็วที่สุด ช่วยให้สมุนไพรทำงานได้ดีที่สุด เป็นเบาหวานจึงต้องทานน้ำตาล เป็นไตต้องทานเค็ม เป็นมะเร็งต้องทานเนื้อสัตว์ .... ถ้าอยากหาย วันใดที่ทานเหมือนคนปกติ แล้วอาการปกติ นั่นแหละเรียกรักษาหายแท้จริง
วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560
โกหกคำโต
จุดอ่อนประการหนึ่งของมนุษย์ คือ ความกลัว ยิ่งเป็นความกลัวตาย กลัวเจ็บ ด้วยแล้ว ไม่มีใครปรารถนาเลยก็ว่าได้ เรียกว่า จะแลกด้วยอะไรที่มีก็ยอม
คนโลภย่อมเห็นช่องทางอันสดใสในการกอบโกยจากความกลัวอันนี้มหาศาล
โลกใบนี้ มีกรรมเป็นอำนาจ ทุกคนอยู่ใต้อำนาจกรรมทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นหมายความว่า คงเป็นไปไม่ได้ ที่จะเอาความคิดที่กรรมสร้างมาชนะอำนาจกรรม นั่นคือ จะคิดค้นหายา มาเอาชนะโรคกรรม โรคเวร ที่ซึ่งมาเพื่อให้มนุษย์รับกรรม และเอาชีวิตได้ นั่นเอง
พระยุคถ้ำกระบอกอยากรู้ว่า ยาเคมีมีที่มาอย่างไร แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า เกิดจากมนุษย์คนหนึ่งที่มีความสามารถมาก ทั้งเป็นหมอ เป็นเภสัชกรที่เก่งกาจ มิหนำซ้ำยังมีหัวทางการค้ายิ่งยวด ครั้งหนึ่งเมื่อคิดค้นตัวยาเพื่อช่วยอาการหนึ่งได้ และทราบว่า ยานั้นมีผลข้างเคียง ก่อให้เกิดอีกโรคหนึ่ง จึงเกิดความคิด เพื่อทำเป็นธุรกิจ และคนก็แห่ทำกันมากมาย เพราะมีผลประโยชน์ที่มากมายมหาศาล ยั่วใจ แม้นจะแลกกับชีวิตผู้อื่น ด้วยรู้แก่ใจว่า ยานั้นมิใช่ยารักษาโรค แต่ก็เอาความกลัวของมนุษย์มาใช้ เพื่อความร่ำรวยแห่งตนและพวกพ้อง
ศาสตร์ของมนุษย์ จึงต้องใช้จิตเวชเป็นตัวนำ ถ้าไม่ทาน ถ้าไม่รีบรักษา ตาย ... ตาย ... ตาย ... วัฐจักรนี้จึงเริ่มที่ ความดัน ทานยาความดันทีนี้ ไตพัง เบาหวาน มะเร็ง สารพัดตามมาเป็นขบวน จึงไม่แปลกว่า ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า ถ้ามียารักษาโรคจริง บริษัทยาเจ๊งไปหมดแล้ว เพราะคนหายกันหมดไม่มีคนทานยา ไม่มีคนต้องไปหาหมอ ไม่จำเป็นต้องมีโรงพยาบาล
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมี เป็นพหูสูตร รู้ความจริงที่แน่แท้ จึงชี้ให้เห็นว่า กายของเราท่านทั้งหลาย ล้วนสร้างขึ้นเอง นั่นหมายความว่า หมอที่ดีที่สุด สำหรับตน มีคนเดียว คือ ตนของตน นั่นเอง ยิ่งพึ่งคนอื่น ยิ่งพัง เพราะจะมีใครรู้ดีกว่าตนเองเล่า
ศาสตร์นี้ จึงชี้ให้เห็นว่า หากร่างกายมีอวัยวะ ๓๒ ที่แข็งแกร่ง ได้ภูมิกลับคืนมา สามารถฟื้นฟูตนได้ตามธรรมชาติ ไม่ต้องอาศัยหมอที่ไหน ไม่ต้องตรวจวินิจฉัยให้เสียเวลา เพราะร่างกายมีระบบการตรวจละเอียดกว่าเยอะ
บทสรุป ใครจะเชื่อหมอสมัยใหม่ หมอสมุนไพร หมอผี หมอพระ หมอ... ก็ไม่ว่ากัน แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า หมอที่ดีที่สุด คือ ตัวของเรา นั่นเอง แต่ก็ต้องมีวัตถุดิบ คือ สมุนไพร และอาหาร เป็นกองหนุนที่ดี อาทิ อยากหายโรคกระดูก แต่ไม่ชอบทานอาหารที่มีแคลเซี่ยม แล้วกระดูกจะมาจากไหน
เรื่องอื่นในชีวิต จะพึ่งอะไร อาศัยใครไม่ว่ากัน แต่เรื่องของสุขภาพ เรื่องของชีวิต ... พระภูมีชี้ชัด อยากประสพผลต้องอาศัย "ตนพึ่งตน" เท่านั้นเอง อย่าไปหลงลมคนขายยาเลย ตัวเลขคนเป็นโรค และคนที่ตายมันก็บ่งชี้อยู่ จริงหรือไม่
ปีใหม่
คำถามที่ท่านอาสิ ฝากให้คิด เมื่อหลายคนถามว่า เขาแค่อยากหายโรค ทำไมต้องให้เขาเปลี่ยนนิสัย
นั่นคือ ท่านเชื่อหรือว่า พ้นปล้องกรรมนี้จะไม่มีปล้องกรรมทุกข์ ที่รออยู่ข้างหน้าอีก
โดยเฉพาะเมื่อนิสัยสร้างกรรมยังอยู่กับตน
คำว่าปีใหม่ แท้ที่จริงจึงมีเฉพาะคนที่มีนิสัยใหม่ของพระภูมี บางสิ่งบางอย่าง เกิดขึ้นแทนนิสัยสร้างกรรม กับตนเท่านั้นแล เพราะสิ่งที่จะรออยู่คือพรหมลิขิตใหม่ ที่ตนเขียนเปลี่ยนบทขึ้นมาเอง
บทสรุป หากนิสัยยังเหมือนเดิม พรหมลิขิตก็เดิมๆ จะใหม่ก็แต่ปี แม้นโชคดีพ้นโรคในวันนี้ แต่นิสัยเดิมก็สร้างโรคใหม่ได้ นั่นยังพอทน แต่ถ้ากรรมเปลี่ยนเป็น อุบัติภัย ก็คงไม่ให้เวลาแก้ไขเป็นแน่แท้ ที่ว่าปีใหม่ก็ไม่มีอะไรที่ใหม่เลย ที่เกิดกับตน การมาพบศาสนาก็ไร้ค่า ช่วยตนไม่ได้
ท่านอาสิ จึงชี้ให้พิจารณาว่า สุขใดจะเท่าสุขที่พระภูมีแสวงหานั่นคือ “สุขนิสัย” ที่ให้สุขทั้งภพนี้ แลตามไปทุกภพทุกชาติ
นี่แลทำไมแม่ชีเมี้ยน จึงอยากให้ทำ เพราะมันคือสุขนิรันดร์ ที่ทุกคนอยากมี แต่คนได้ คือ คนทำ ท่านอาสิจึงปลุกปั่นให้เราทำ และต้องทำ มิใช่ร้องขอ
วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560
เป็นหรือตาย
หลายคนมักปฏิเสธว่า การเป็นโรค มีเหตุที่มา คือ กรรม
แล้วก็อ้างเอ่ยสาเหตุ ว่ามาจากพฤติกรรมผิดๆบ้างหล่ะ
แล้วก็ไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อ้างว่ากินของทอดไหม้เกรียม ก็เลิกทาน อ้างว่า กินนอนไม่เป็นเวลา ก็ไปปรับเปลี่ยน อ้างกินอาหารขยะ พวกฟาสต์ฟู๊ด ก็เลิกทาน แล้วมีใครรอด หายโรค อย่างเก่งก็แค่ยื้อ
นี่แหละ ของเป็นของตาย มันต่างกัน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า ของตาย เมื่อทำสิ่งใด ผลก็ย่อมเป็นที่แน่นอน เรากดเปิดไฟ ไฟมันก็เปิด เรากดปิดไฟ ไฟมันก็ปิด ถ้ามันทำงานถูกต้อง แลก็จะเป็นเช่นนั้นตลอดกาล นี่แหละของตาย ให้ผลที่แน่นอน ส่วนของเป็นนี่ คือ คาดเดาผลไม่ได้เลย เช่นมนุษย์ เรายิ้มให้ ไม่ได้บอกว่า คนผู้นั้นจักต้องยิ้มตอบ มีปัจจัยมากมายหลายอย่าง นอกเสียจากคนผู้นั้น มีนิสัยที่ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบ
หากโรคเป็นของตาย กระบวนการแก้ไขก็คงง่าย นั่นคือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน ก็จบ ไม่เกี่ยวกับเวรกรรม แต่ความเป็นจริง มันเป็นของเป็น เกี่ยวกับเวรกรรม คือ การกระทำของคน เป็นสำคัญ ตราบใดที่นิสัยสันดานยังคงอยู่ อุปมาเสมือนรากเหง้ายังอยู่ ทำสักฉันใด ไม่ว่า จะตัด จะฉายแสง คีโม มันก็สามารถเจริญเติบโตขึ้นมาใหม่ได้ ทำสักฉันใดวิธีใด ยาตัวไหน ก็โค่นไม่ลง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า เราท่านอย่าเสียเวลาไปหายารักษาโรคเลย ไม่มีหรอก เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วแก้ที่ต้นเหตุ คือ รักษาใจ สร้างการกระทำใหม่ โดยใช้นิสัยพระพุทธเจ้า นั่นแหละ จึงทำลายรากเหง้าที่มาของโรคที่เกิดกับเราท่านลงได้อย่างราบคาบ
หากเข้าใจ การฟื้นฟูตน ทำตามศาสนาสอน เริ่มที่ความกตัญญู แล้วแสดงพฤติกรรม ไปลามาไหว้ แค่นี้หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่า โรคหายไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะนี่คือคุณสมบัติเบื้องต้น
แต่ไม่ใช่ด้วยการยกมือ ....
หากแต่ทำด้วยนิสัย การมา คือ เอานิสัยพระเวสสันดรมาไหว้ คิดถึงผู้อื่น ให้สุขแก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย เราท่านก็ควรมาแล้วไหว้ แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ ครูบาอาจารย์ ด้วยมีสติ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ว่า ระหว่างสัปดาห์ เห็นขวดเปล่า ก็ล้างมาใส่สมุนไพร เห็นมะนาว พริก มะกรูด ที่บ้านมี ก็หยิบมาลูกสองลูก ทำสมุนไพรให้ตน จะได้ไม่เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป เหลือก็บริจาคเป็นทาน นี่แหละคือการมาไหว้ เอานิสัยพระเวสสันดรมาใส่บาตรของศาสนา หรือไม่ ก็ไหว้ด้วยพฤติกรรม รักษารูปรอยของศาสนา มีที่เว้น แลอยู่ในความสงบ ไม่ใช่เอานิสัยสันดานมาบรรเลงในแผ่นดินของเขา ครั้นจะกลับ มาลา ก็เอาสิ่งที่ทำได้ประจำวัน มาลาแล้วขอให้สิ่งที่ตนทำได้ ช่วยให้สมปรารถนา หากมีสิ่งใดผิดพลาดพลั้งก็ขอขมาลาโทษ ในตอนลานี้เอง
คำชี้แนะของหลวงพ่อนิพนธ์ อันเป็นเคล็ดที่สำคัญ ท่านมักบอกเสมอว่า การลาที่ดี ก็คือการลาที่วางปณิธาน ในการได้กลับมาทำความดี ตามคำสั่งสอนของพระภูมีอีกครั้งในวันหน้านั่นเอง เป็นสัญญา ที่จะรักษาตัวเราท่านให้รอดปลอดภัย ได้กลับมา ทำพฤติกรรมตามรอยศาสนา เพื่อช่วยตนอีกนั่นเอง
ท่านอาสิ ก็ชี้แนะให้เห็นชัดว่า เรื่องของศาสนา เป็นเรื่อง "หมูไปไก่มา" ไม่ใช่การมาขอพร การไปมาลาไหว้ มิใช่ด้วยมือเปล่า นั่นเอง มาทำแล้วสิ่งที่ทำได้นั่นแหละ จะย้อนกลับมายังตนให้ตนสมปรารถนา มามือเปล่าก็กลับมือเปล่า นั่งปล่อยเวลาเปล่า ก็ได้แต่ลม จะหาอะไรเกื้อกูลชีวิต คงไม่มี
ใครจะว่า โรค มาจากเชื้อโรคนี่นั่น มาจากพฤติกรรมนี่นั่น ก็ว่าไป และมียารักษา ก็รอไป ..... โรค ไม่เกี่ยวกับเวรกรรม ... ก็แล้วแต่ หากแต่ตัวเลขของการตายด้วยโรค ย่อมสะท้อนว่า วิธีที่คนทั้งโลกใช้ มันผิด ผลถูกคือหายโรค มันจึงไม่มี ตัวเลขมันจึงมีแต่เพิ่มทุกปี
ไม่เห็นหรือ คนกราบไหว้ พระพุทธทั่วแผ่นดิน มีใครได้สมปรารถนาบ้าง นี่แหละ เพราะไม่รู้ จึงไหว้เขาไม่ถูกในร่องธรรม มันจึงเป็นความจำเป็นที่เราท่าน ต้องมีครูบาอาจารย์ มีท่านอาสิ คอยชี้แนะ ฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วก็ทำตาม ถูกผิดวันเวลาจักเป็นเครื่องพิสูจน์ ทำถูกผลถูกย่อมเกิด .... ก็เมื่อทำแล้ว ช่วยให้กายโรคได้ จะบอกว่าผิดได้อย่างไร ส่วนที่บอกว่าถูก เพราะมันถูกจริต น่าเชื่อถือ แต่ทำแล้ว ไม่เคยมีคนรอด ..... กลับไม่เห็น นี่แล... กรรมบังตา บังใจ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นดอกบัวเป็นกงจักร
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ทำเมิน
ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ ผ่านการพิสูจน์ในคุณค่าของตัวเอง จากหลายที่หลายแห่ง แม้นกระทั่งยุโรป ก่อนที่จะส่งคนมาบำบัดยาเสพติดในยุคถ้ำกระบอก ก็มีภารกิจพิเศษส่งรถโมบาย มา ๒ คัน เพื่อทำการตรวจทั้งสมุนไพร และผู้ที่มาบำบัด โดยเฉพาะ และก็ให้การยอมรับ จนกลายเป็นดีลสำคัญในยุคนั้น คือ การส่งคน และทุน ให้แก่ถ้ำกระบอก
ได้ยินข่าว ไม่ว่าจะเป็นหมอสมุนไพรบางท่านที่กำลังโดนสาธารณสุขของไทย ตรวจสอบโน่นนี่นั่น ไปจนหมอนวดแผนไทย ที่ใช้การตอกเส้นตำรับของศาสตร์ทางเหนือ ก็ไม่พ้นเช่นกัน ... ก็คงหนีไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน นั่นคือ ไม่สนับสนุน หากห้ามไม่ได้ ก็ทำให้โตไม่ได้
นั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะคนไทยไม่สนับสนุนภูมิปัญญาของคนไทย เห็นเป็นเรื่องปกติมาทุกยุคทุกสมัย ถ้าเป็นคนไทยคิด ไทยทำ ฟังครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอน ให้เป็นนักคิด นักประดิษฐ์ แล้วก็พูดเบาๆว่า รู้ไหม เครื่องถ่ายเอกสารเครื่องแรก คนไทยเป็นคนคิด แต่รัฐบาลประเทศไทยไม่สนับสนุน จึงต้องไปขายให้ญี่ปุ่น สมัยนั้นก็คิดว่า คงพูดเอามัน
เมื่อชมรมไทยกรุณา เติบโต มีคนหลั่งไหลกันมาเรือนหมื่นในยุคบ่อพลอย ไม่ต้องมากเฉพาะอัมพฤกต์ มีคนหายแลทิ้งไม้เท้าเป็นกองพะเนิน จนพระต้องเผาทิ้ง ไม่มีการสนับสนุนก็พอเข้าใจ นี่เล่นส่ง ขบวนของสาธารณสุขมาทั้งระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศมาเลย ... แต่มิใช่เพื่อส่งเสริม
จะด้วยฟ้าบันดาลหรืออะไรก็ตาม เจตนาจะมาเพื่ออะไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่หัวหน้าชุดคือ หัวขบวน ในการตรวจครั้งนั้น เป็นโรคที่หมอรักษาไม่หาย แลก็ได้มาในรูปแบบคนป่วย ทานสมุนไพร จนมีอาการดีขึ้น ก็แสดงตัวแก่หลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับช่วยผลักดัน ให้ใบประกอบโรคศิลป์และเวชกรรม พูดฟังง่ายภาษาชาวบ้านคือ ทำสมุนไพรได้ รักษาผู้ป่วยได้ แต่รับผู้ป่วยมารักษาไม่ได้ สาธารณสุขไม่ยอม ด้วยว่าไม่ได้เป็นสถานประกอบการ ที่ซึ่งมีข้อกำหนดมากมาย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำในยุคนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยตามหลวงพ่อนิพนธ์ ไปดูคนเก็บใบยาเขียว มาแล้ว ดังนั้น จะบอกว่า ศาสตร์นี้ ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีผลงาน ก็คงไม่ได้แล้ว
สิ่งที่เราสงสัยคือ เขาไม่เชื่อหรือ ว่าวันหนึ่งคนที่เขารัก หรือ ตัวของเขาเองจะต้องเจ็บ ไม่สนับสนุนก็พอว่า นี่ศาลาเดิมของชมรมไทยกรุณา หรือ ศาลาขนมไทย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ ใช้ทำขนมขายหาทุนมาทำสมุนไพร ตั้งใจจะเปลี่ยนเป็นลานชานชลารถไฟ ให้คนมาทางรถไฟได้สะดวก ตั้งใจทำร้านกาแฟ หาทุนมาทำสมุนไพร โดนการรถไฟฟ้องซะงั้นว่าบุกรุกที่หลวง
เราก็คอหนังจีนคนหนึ่ง จำได้ว่า ตัวละครในฤทธิ์มีดสั้น ลูกชายของคนรักพระเอก ชื่อ เล้งเซี่ยวฮุ้น ฆ่าหมอเทวดา ตาย เพื่อไม่ให้ช่วยคน แต่แม่ของเขาเองกลับถูกวางยาพิษ โดยลูกน้องของพ่อ ทำให้ตายเพราะไม่มีหมอนั่นเอง
บทสรุป ดำริของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่อยากให้รัฐบาลช่วย ทำชานชลาในพื้นที่ ศาลาขนมไทย ช่วยจัดขบวนรถไฟให้คนไทยเป็นกรณีพิเศษ คือ ขบวนคนป่วย เหมือนที่ ขสมก ทำทุกวันอาทิตย์ เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาส มาใช้ทางเลือกนี้ คงยังเป็นแค่ลม จะไม่ช่วยอะไรเลยก็ไม่ว่ากัน แต่นั่นหมายถึงวันหนึ่ง คนที่ท่านรักต้องการความช่วยเหลือ อาจไม่มีสถานที่นี้ให้ช่วย เหมือนหนังจีนก็ได้น่ะ
และในวันนี้ หากสมาชิกไม่ช่วยกัน ทำในสิ่งที่ตนพอทำได้ มะพร้าวลูก มะนาวผล ปลอกกระเทียมกันสักนิด ดูแลต้นสมุนไพรสักหน่อย ทิ้งให้เป็นแต่ภาระของท่านอาสิ สถานที่นี้ก็คงไปไม่รอด ไม่ต้องรอสาธารณสุขมาปิดหรอก
วันนั้น จะมีเล้งเซี่ยวฮุ้น เต็มบ้านเต็มเมือง ร้องไห้เสียใจก็ไม่มีประโยชน์ ช่วยคนที่ตนรักไม่ได้ เห็นๆอยู่ว่ามีทางรอดอยู่ตรงหน้า ไม่ช่วยก็พอทน กลับทำลายสิ้น
เหมือนกับที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ทำลายถ้ำกระบอก มาวันนี้ ยาเสพติดเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง ฉันใดก็ฉันนั้น จะร้องสักฉันใด หันไปทางไหน ก็มีแต่คนหลอกเอาเงิน สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้ ครอบครัวพังพินาศ ลูกหลานก็น่าอนาถ อยู่ในวังวนชั่วร้าย เสียงบประมาณมากมายมหาศาล เสียกำลังของแผ่นดินมากมาย เห็นตำตา
จึงอยากฝากอนุสรณ์ของหลวงพ่อนิพนธ์ให้เตือนสติว่า "ศาสนาขาดเรา ไม่เป็นไร เพราะคนทุกข์มีไม่รู้จบ รู้สิ้น คนอยากได้มี แต่ถ้าเราขาดศาสนา ชีวิตจะดับสิ้น" ถ้าเราท่านไม่ช่วยกันต่อแขนต่อขาของศาสนา ทำตัวเป็นมือเป็นไม้ ลำพังท่านอาสิ จะช่วยคนได้สักกี่คน แต่คนที่รอให้ช่วยมีเท่าไหร่
อย่าไปหวังคนใหญ่คนโต รัฐจะมาช่วยเลย สมาชิกที่มาใช้บริการนี่แหละ ช่วยกัน อย่างน้อย ก็เอาพวกเรารอด ทำให้ชาวโลกเขาเห็นว่า ทางเลือกนี้ มีคนรอด ถึงจะน้อย แต่ก็รอด ดีกว่าตายหมดเหมือนหนทางอื่น
ได้ยินข่าว ไม่ว่าจะเป็นหมอสมุนไพรบางท่านที่กำลังโดนสาธารณสุขของไทย ตรวจสอบโน่นนี่นั่น ไปจนหมอนวดแผนไทย ที่ใช้การตอกเส้นตำรับของศาสตร์ทางเหนือ ก็ไม่พ้นเช่นกัน ... ก็คงหนีไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน นั่นคือ ไม่สนับสนุน หากห้ามไม่ได้ ก็ทำให้โตไม่ได้
นั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะคนไทยไม่สนับสนุนภูมิปัญญาของคนไทย เห็นเป็นเรื่องปกติมาทุกยุคทุกสมัย ถ้าเป็นคนไทยคิด ไทยทำ ฟังครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอน ให้เป็นนักคิด นักประดิษฐ์ แล้วก็พูดเบาๆว่า รู้ไหม เครื่องถ่ายเอกสารเครื่องแรก คนไทยเป็นคนคิด แต่รัฐบาลประเทศไทยไม่สนับสนุน จึงต้องไปขายให้ญี่ปุ่น สมัยนั้นก็คิดว่า คงพูดเอามัน
เมื่อชมรมไทยกรุณา เติบโต มีคนหลั่งไหลกันมาเรือนหมื่นในยุคบ่อพลอย ไม่ต้องมากเฉพาะอัมพฤกต์ มีคนหายแลทิ้งไม้เท้าเป็นกองพะเนิน จนพระต้องเผาทิ้ง ไม่มีการสนับสนุนก็พอเข้าใจ นี่เล่นส่ง ขบวนของสาธารณสุขมาทั้งระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศมาเลย ... แต่มิใช่เพื่อส่งเสริม
จะด้วยฟ้าบันดาลหรืออะไรก็ตาม เจตนาจะมาเพื่ออะไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่หัวหน้าชุดคือ หัวขบวน ในการตรวจครั้งนั้น เป็นโรคที่หมอรักษาไม่หาย แลก็ได้มาในรูปแบบคนป่วย ทานสมุนไพร จนมีอาการดีขึ้น ก็แสดงตัวแก่หลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับช่วยผลักดัน ให้ใบประกอบโรคศิลป์และเวชกรรม พูดฟังง่ายภาษาชาวบ้านคือ ทำสมุนไพรได้ รักษาผู้ป่วยได้ แต่รับผู้ป่วยมารักษาไม่ได้ สาธารณสุขไม่ยอม ด้วยว่าไม่ได้เป็นสถานประกอบการ ที่ซึ่งมีข้อกำหนดมากมาย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำในยุคนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยตามหลวงพ่อนิพนธ์ ไปดูคนเก็บใบยาเขียว มาแล้ว ดังนั้น จะบอกว่า ศาสตร์นี้ ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีผลงาน ก็คงไม่ได้แล้ว
สิ่งที่เราสงสัยคือ เขาไม่เชื่อหรือ ว่าวันหนึ่งคนที่เขารัก หรือ ตัวของเขาเองจะต้องเจ็บ ไม่สนับสนุนก็พอว่า นี่ศาลาเดิมของชมรมไทยกรุณา หรือ ศาลาขนมไทย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ ใช้ทำขนมขายหาทุนมาทำสมุนไพร ตั้งใจจะเปลี่ยนเป็นลานชานชลารถไฟ ให้คนมาทางรถไฟได้สะดวก ตั้งใจทำร้านกาแฟ หาทุนมาทำสมุนไพร โดนการรถไฟฟ้องซะงั้นว่าบุกรุกที่หลวง
เราก็คอหนังจีนคนหนึ่ง จำได้ว่า ตัวละครในฤทธิ์มีดสั้น ลูกชายของคนรักพระเอก ชื่อ เล้งเซี่ยวฮุ้น ฆ่าหมอเทวดา ตาย เพื่อไม่ให้ช่วยคน แต่แม่ของเขาเองกลับถูกวางยาพิษ โดยลูกน้องของพ่อ ทำให้ตายเพราะไม่มีหมอนั่นเอง
บทสรุป ดำริของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่อยากให้รัฐบาลช่วย ทำชานชลาในพื้นที่ ศาลาขนมไทย ช่วยจัดขบวนรถไฟให้คนไทยเป็นกรณีพิเศษ คือ ขบวนคนป่วย เหมือนที่ ขสมก ทำทุกวันอาทิตย์ เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาส มาใช้ทางเลือกนี้ คงยังเป็นแค่ลม จะไม่ช่วยอะไรเลยก็ไม่ว่ากัน แต่นั่นหมายถึงวันหนึ่ง คนที่ท่านรักต้องการความช่วยเหลือ อาจไม่มีสถานที่นี้ให้ช่วย เหมือนหนังจีนก็ได้น่ะ
และในวันนี้ หากสมาชิกไม่ช่วยกัน ทำในสิ่งที่ตนพอทำได้ มะพร้าวลูก มะนาวผล ปลอกกระเทียมกันสักนิด ดูแลต้นสมุนไพรสักหน่อย ทิ้งให้เป็นแต่ภาระของท่านอาสิ สถานที่นี้ก็คงไปไม่รอด ไม่ต้องรอสาธารณสุขมาปิดหรอก
วันนั้น จะมีเล้งเซี่ยวฮุ้น เต็มบ้านเต็มเมือง ร้องไห้เสียใจก็ไม่มีประโยชน์ ช่วยคนที่ตนรักไม่ได้ เห็นๆอยู่ว่ามีทางรอดอยู่ตรงหน้า ไม่ช่วยก็พอทน กลับทำลายสิ้น
เหมือนกับที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ทำลายถ้ำกระบอก มาวันนี้ ยาเสพติดเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง ฉันใดก็ฉันนั้น จะร้องสักฉันใด หันไปทางไหน ก็มีแต่คนหลอกเอาเงิน สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้ ครอบครัวพังพินาศ ลูกหลานก็น่าอนาถ อยู่ในวังวนชั่วร้าย เสียงบประมาณมากมายมหาศาล เสียกำลังของแผ่นดินมากมาย เห็นตำตา
จึงอยากฝากอนุสรณ์ของหลวงพ่อนิพนธ์ให้เตือนสติว่า "ศาสนาขาดเรา ไม่เป็นไร เพราะคนทุกข์มีไม่รู้จบ รู้สิ้น คนอยากได้มี แต่ถ้าเราขาดศาสนา ชีวิตจะดับสิ้น" ถ้าเราท่านไม่ช่วยกันต่อแขนต่อขาของศาสนา ทำตัวเป็นมือเป็นไม้ ลำพังท่านอาสิ จะช่วยคนได้สักกี่คน แต่คนที่รอให้ช่วยมีเท่าไหร่
อย่าไปหวังคนใหญ่คนโต รัฐจะมาช่วยเลย สมาชิกที่มาใช้บริการนี่แหละ ช่วยกัน อย่างน้อย ก็เอาพวกเรารอด ทำให้ชาวโลกเขาเห็นว่า ทางเลือกนี้ มีคนรอด ถึงจะน้อย แต่ก็รอด ดีกว่าตายหมดเหมือนหนทางอื่น
วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เปลี่ยน
วันนี้ฟันโยก ทำท่าจะหลุดแต่ก็ยังไม่หลุด คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ก็ลอยมา ที่ว่า เวลาเราทุกข์ ทุกข์ที่เกิดเราก็จะปฏิเสธ อยากให้หมดไปโดยเร็ว พูดง่ายๆ ก็ ดีเอา แต่ชั่วปฏิเสธไม่รับนั่นเอง เป็นอุปนิสัย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า สิ่งที่ผิดพลาดมากที่สุดของมนุษย์ เมื่อยามทุกข์มาปรากฎแก่ตนนั้น ความอยากของตนก็แสวงหาสิ่งต่างๆ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ แล้วแต่ที่ตนมี มาทำให้ทุกข์นั้นหายไป
สัจจธรรมความเป็นจริง โดยเฉพาะทุกข์ที่เกิดกับวิญญาณ นั่นคือ โรค แสวงหาสักเท่าใด รอคอยสักเท่าใด ก็หามีสิ่งใด หรือใครช่วยตนได้เลย
ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ชี้ให้พิจารณาว่า สิ่งที่ช่วยตนได้ มีเพียงประการเดียว นั่นคือ "ตนของตน" นั่นเอง
ผู้ที่ฟัง พิจารณา แล้วเชื่อ ก็ย่อมมองเห็นเหมือนพระภูมีทุกพระองค์ นั่นคือ "กรรม กรรมเราทำมา กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์"
ท่านอาสิ จึงมุ่งชี้เหตุ ทำลายต้นตอ นั่นคือ นิสัยที่สร้างกรรม เพื่อหนีกรรมที่สร้างทุกข์ มามีการกระทำใหม่ นิสัยของพระภูมี ที่สร้างสุขให้แก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย
มนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ มีปัญญา มีพิจารณา และเลือกทำได้ แลธรรมของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็ย่อมต้องมีคนมองเห็น แล้วทำเพื่อช่วยตน
อย่างน้อย สัปดาห์ที่ผ่าน เราก็เห็นคนป่วยชายชราท่านหนึ่ง ที่เป็นมะเร็ง นั่งรอรับสมุนไพร ในตอนบ่าย ท่านก็มองเห็นพื้นที่เปียกน้ำ เจิ่งนอง ด้วยมีฝนในวันก่อน นั่งสักพัก ก็หันซ้ายหันขวา เดินไปหยิบไม้กวาดทางมะพร้าว มากวาดน้ำออกจากทางเดินที่จะเข้าอาคารมะเร็ง ให้เดินได้สะดวก
บทสรุป อะไรเล่าที่เป็นแก่นสารช่วยชีวิตตน สมุนไพรหรือ นั่นแค่พี่เลี้ยง เดินไปส่ง สักพักก็ต้องทิ้งเหมือนไม้เท้า เดินเองได้ ก็วางลง พฤติกรรมนิสัยของพระภูมีต่างหาก ติดตัวเรา เป็นสมบัติไปทุกภพทุกชาติ เป็นแก่นสารสร้างการกระทำที่ดี รอเราอยู่วันข้างหน้า
ถ้าความคิดนี้เกิดขึ้น แล้วยึดเป็นสมบัติติดตัวได้แล้วไซร้ โรคอะไรก็ไม่เหลือ เพราะนั่นแหละ ตนกระทำที่ช่วยตนให้หายโรค ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า คนทั้งหลายทั้งปวง มีการกระทำ ล้วนแล้วแต่เพื่อตนเองหรือคนที่ตนคล้องกันมาทั้งหมดทั้งสิ้น การกระทำนั้น หายังประโยชน์แก่ตน หรือช่วยตนไม่ได้เลย ในยามที่ทุกข์มาถึงตน แต่การกระทำที่ยังประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ที่ตนไม่เคยรู้จัก สติและการกระทำเยี่ยงพระภูมีนี้แหละ จะช่วยตนให้พ้นทุกข์ได้ นี่แหละนิสัยบุญ
บุญของพระพุทธเจ้า ตามศาสตร์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงไม่ต้องใช้วัตถุ ปัจจัยในการแสวงหา แค่ฟังคำสอน พิจารณา แล้วทำ ให้สุขแก่ผู้อื่น ไม่ได้กระทำเพื่อตนและผู้คล้องกรรม สละแรงกายให้เป็นทานเบื้องตน แล้วก็จักเป็นคุณสมบัติ ที่ทำให้เราหยุดการกระทำที่เป็นทุกข์ คือมีนิสัยสร้างสุขให้แก่ผู้อื่น ตามมาได้ จะไปโกรธเขาทำไม จะเห็นผิดเขาทำไม จะประหัตประหารเขาทำไม ทำเช่นนั้นทุกข์ก็รอเราอยู่
ศาสตร์นี้จึงเรียก ศาสตร์แห่งปัญญา เป็นหลักปราชญ์ เอาสัจจะมาเป็นผู้นำ แล้วค่อยๆทำ ค่อยๆสร้าง จนเป็นนิสัยสันดาน แทนนิสัยกรรมเดิม คนทำได้ ย่อมเป็นคนดี มีบุญ คนมีบุญคือมีสุข คนมีสุขที่ไหนจะมีโรคอยู่กับตนได้ เพราะโรคคือตัวแทนแห่งบาป แห่งกรรม มาเพื่อสร้างทุกข์ จึงไม่แปลกเลยที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า คนทำได้ จึงได้หายโรคเป็นของแถม ที่ศาสนาให้เป็นรางวัลของคนดี มีธรรม
จะเปลี่ยนโรค ก็เริ่มที่เปลี่ยนพฤติกรรม เล็กๆน้อยๆ อย่างนี้แหละ เป็นการสร้างคุณสมบัติ ให้สุขแก่ผู้อื่น จะรอ จะหวัง มียาวิเศษ กินแล้วหาย โดยไม่ต้องเปลี่ยนตนเลย รอไปเถอะ ไม่มีทางสมหวัง ไม่มีทางหายโรค
สมุนไพรถึงจะแจกเป็นทาน แต่ศาสนาเขาบุคคลิก มีผลมหาศาลเฉพาะคนทำนิสัยของพระภูมีได้ เพราะเขามีไว้ให้โอกาส คนที่ทำผิดพลาด ไม่รู้เรื่องศาสนา จะได้กลับตน เป็นคนดี เมื่อเปลี่ยนนิสัยตนได้ ก็ได้หายโรคเป็นของแถม
ส่วนคนไม่เปลี่ยน ก็ไม่ว่ากัน แต่ท่านอาสิก็ชี้ให้เห็นก่อน อย่าว่ากันน่ะ เพราะทำแบบนี้มันอาจปลอดโรค หายโรค แต่ไม่ปลอดภัย หายโรคนี้ เป็นโรคนั้น หายโรคนั้น กรรมมองแล้ว มันช้าไป โรคไม่เอาแล้ว ล่ออุบัติเหตุเลยดีกว่า พูดง่ายๆ ก็เสียเวลาเปล่าในการมานั่นเอง เพราะสรุปก็คือไม่รอดเหมือนกัน เป็นแค่เพียงแต่ยื้อ เท่านั้นเอง
เงินล้านเปลี่ยนโรค เปลี่ยนปวดเป็นไม่ปวดไม่ได้ แต่พฤติกรรมเปลี่ยน แค่ไม้กวาด เปลี่ยนโรคเป็นหายโรค เปลี่ยนปวดเป็นไม่ปวดได้ ... เชื่อหรือไม่
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
จนตรอก
สภาพของประเทศไทย กำลังเดินไปสู่ทางตันของประเทศเข้าทุกวัน ช้าเร็วก็ต้องถึงสภาพที่โบราณเรียก "จนตรอก" นั่นคือ รายได้กับรายจ่าย ไม่สมดุลย์กันอย่างมาก จนวิกฤต
ไม่ได้มาวิวาทะว่า ด้วยสาเหตุใด ใครเป็นคนทำ หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า นั่นคือ กรรมของประเทศ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวเสมอในเหตุผลที่แม่ชีเมี้ยน ทิ้งสิ่งนี้ไว้ในแผ่นดินไทย และกล่าวว่าเพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิด
ท่านขยายความให้พิจารณาได้เด่นชัดขึ้นว่า เพราะเหตุที่คนไทย ไม่มีความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้ นั่นเอง ไม่ว่าทางใด ที่นับวันแต่ละประเทศจะพัฒนาตนให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น เพื่อแข่งขันกับประเทศอื่น อันจะเป็นรายได้เข้าสู่ประเทศ ไม่ว่า เทคโนโลยี นวัตกรรม และในไม่ช้า แม้นแต่รายได้หลัก ที่ค้ำจุนประเทศอย่างเกษตรกรรม ก็จะหดหายลงไป
เมื่อแข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้ ย่อมหมายถึงอำนาจต่อรองในระดับโลก ย่อมสูญเสียไป กลายเป็นผู้เสียเปรียบไปทุกประตู แลการจะผลิกผันให้ฟื้นคืนกลับมาย่อมต้องอาศัยบุคคลากรที่มีสมองของประเทศ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ประเทศไทยขาดแคลน และขาดการสนับสนุน ดูจากอันดับของการศึกษาไม่ว่าในระดับใด แม้นกระทั่งอุดมศึกษา ที่เคยโดดเด่น ก็นับวันมีแต่ถอยลง หากแม้นจะมีผู้ใดมีสมองชั้นหัวกระทิ ก็ถูกแรงดึงดูดจากเพื่อนบ้าน นำไปใช้ด้วยการเสนอสิ่งจูงใจนานาชนิด ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดไปกันหมด
ดังนั้น ศาสตร์ของพระภูมีหากคนดี มีอำนาจเห็น ย่อมสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกอบกู้ประเทศได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุที่ไม่มีประเทศใด สามารถทำแข่งได้นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ ให้คิดเล่นๆ ว่า เอาเฉพาะมะเร็ง หากทางการแพทย์ ทำเฉพาะในส่วนที่ตนถนัด นั่นก็คือ การผ่าตัด ส่วนการฟื้นฟู เปลี่ยนมาใช้สมุนไพร ไม่ต้องเสียเงินไปกับการซื้อเครื่องมือแพทย์ ฉายแสง คีโม ประเทศก็ประหยัดงบประมาณมากมายมหาศาล มิเพียงแค่นั้น ยังได้บุคคลากรที่ดี มีสุขภาพดี กลับคืนมาช่วยประเทศชาติได้อีก งบประมาณก็ไปใช้ในส่วนอื่นได้อีก
หากมองไปทั้งโลก ยอดผู้ป่วยมะเร็งหลายล้านคน เลือกมาใช้หนทางสมุนไพร ต้องเดินทางเข้าประเทศ ต้องใช้วัตถุดิบสมุนไพรในประเทศ มะนาว มะกรูด มะพร้าว ดีปลี พริกไทย .... มีค่าใช้จ่ายในการพักอาศัย สร้างรายได้ให้แก่ประเทศมหาศาล
ที่สำคัญ กลายเป็นอำนาจต่อรองระดับประเทศได้อย่างง่ายดาย เพราะคงไม่มีใครอยากเสียชีวิต และก็คงไม่มีประเทศใด ที่จะไม่รับผิดชอบต่อประชากรของตน เมื่อคนทั้งหลายรู้ว่า มีหนทางช่วยตนรอดได้
บทสรุป ผู้ที่ทานสมุนไพรในวันนี้ มิใช่เพียงเพื่อตน แต่นี่คือประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้คนที่จะตามมา รู้ว่ามีหนทางที่ทำให้รอดได้ แค่ฟัง เรียนรู้ และพิจาณา ทำตน ให้เป็นร่องรอยที่ถูก ให้คนรุ่นหลังได้เดินตาม ก็นับว่าสร้างคุณมหาศาลแล้ว หากแต่ประวัติศาสตร์ในภาพที่สร้างพฤติกรรมที่ทำแล้วไม่รอด ไม่อยากให้มีเลย ถ้าไม่คิดจะทำ ก็ไปทำในสิ่งที่ตนชอบเสียดีกว่า
ประเทศไทยเสมือนต้องคำสาป ต้องรอจนเสียกรุง ประเทศย่ำแย่ ข้าวยาก หมากแพง จึงจะสามัคคี รวมพลัง นี่ก็ใกล้แล้ว ... แล้วเราท่านก็จะได้เห็นว่าพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยนเป็นจริง สมุนไพรศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมานี้แหละ กอบกู้แผ่นดินนี้ได้
แล้วคนทั้งโลกจะรู้ว่า โรค นั้น อยากหายง่ายนิดเดียว ... แค่เป็นคนดี มีนิสัยธรรม ตามคำสอนของพระภูมีเท่านั้นเอง ไม่สนหรอกต้องนับถือ แต่ทำได้ ได้สุขภาพเป็นของแถม
แค่เปลี่ยนนโยบายเป็นประเทศปลอดสงคราม ไม่ต้องนำเงินไปซื้ออาวุธ ซื้อเรือดำน้ำ เครื่องบินรบ ... เท่านี้ประเทศก็ไปฉิวแล้ว จริงหรือไม่ ไม่ต้องมีทหารให้มากมาย ใครก็ไม่กล้าบุก เพราะล้วนแล้วแต่มีญาติ มีพี่น้อง ผองเพื่อน เป็นโรคกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทำลายไทย ก็ทำลายคนที่ตนรักนั่นเอง ถึงประเทศนั้นอยากบุก แต่ประเทศอื่น เขายอมหรือ นี่แหละ ไทยนี้รักสงบที่แท้จริง แถมไม่ต้องรบอีก
เขียนไปอย่างนั้น เพราะจะเป็นจริง ก็ต้องรอประเทศเข้าโซนฉิบหายก่อนนั่นแหละ คนมีอำนาจจึงหันมามอง ตอนนี้ความโลภมันบังตา บังใจ มองอย่างไรก็ไม่เห็น ก็งบแต่ละปีมันล่อใจ แค่ค่าซื้อยา เวชภัณฑ์ ก็ยากจะอดใจไหว ปีละ สามแสนล้านบาทเชียวหนา ...
ฉะนั้น คนที่ทานในวันนี้ ทานสมุนไพรแค่ตนรอด หาใช่ไม่ แต่จะเป็นแสงน้อยๆ ที่วันใดเมืองไทยมืดมน แสงนี้จะเด่นชัด นำทางประเทศและคนอีกมากมายได้ วันเวลานั่นแหละะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าท้อใจ ชีวิตเรามีความหมาย คือ ประวัติศาสตร์ และเมื่อทำได้ วันหนึ่งคนจะมาเรียนรู้ มาอ่านประวัติศาสตร์ ท่านจะภูมิใจที่ตนคือหนึ่งในประวัติศาสตร์ ของผู้ทำตน ให้คนมาอ่าน
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
จริงไม่เชื่อ เชื่อไม่จริง
ไม่เชื่อก็คงไม่ได้ ว่าโลกนี้มีอำนาจกรรม
ทำไมหรือ ก็มนุษย์นั้น มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาด มีความรู้ มีความคิด แยกแยะสิ่งถูกผิดได้ทุกตัวคน แต่ครั้นถึงเวลา กลับกลายเป็นเสมือนบ้าใบ้ คิดไม่ได้ ทำไม่ถูกซะงั้น เมื่อกรรมมา
โบราณจึงว่า เมื่อกรรมบันดาล คนทั้งหลายก็ขาดสติ ขาดความยั้งคิด ทำในสิ่งที่ผิดได้อย่างง่ายดาย มีให้เห็นกันมากมาย น้อยใจ ก็ฆ่าตัวตาย ผิดหวังก็ทำร้ายตัว อยากได้ก็ไปแย่งชิง ปล้นฆ่าเขาเอามาเป็นของตน ฉลาดกว่าก็ใช้ปัญญาหลอกคน อยากรวยก็ค้ายา ใครเสพไปจะตายก็ชั่งมัน ครั้นกรรมย้อนมาหาตน จะปฏิเสธสักฉันใดก็หาพ้นไม่ ถึงตอนนั้น ค่อยคิดได้ ไม่น่าทำเลย แค่ยกปืนยิงขึ้นฟ้าขู่ก็พอแล้ว นี่ไปยิงเขาตาย แล้วลูกเมียจะทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร
เมื่อย้อนกลับมาเรื่องของชีวิต เรื่องของทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตน ณ.วันนี้ โรครุมเร้า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ก็อยากปฏิเสธ ดิ้นรนหาสิ่งต่างๆมาช่วยตน ด้นดั้นไปหาไม่ว่าจะไกลแสนไกล ไม่ว่าจะแพงแสนแพง เพื่อให้ตนพ้นทุกข์ ที่ไหนใครว่าดี ไปหมด
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า สิ่งที่ทำขาดพิจารณา เพียงแต่เขาว่าดี ก็ไปพึ่ง ทั้งๆที่ไม่เคยมีข้อพิสูจน์ ไม่เคยเห็นซึ่งผลอันจับต้องได้ เป็นตัวเป็นตน ก็เชื่อและทำตามหมดหัวใจ กว่าจะรู้ตัวอีกที ชีวิตก็ยากที่จะกู้กลับให้ฟื้นคืนได้ดั่งเดิม หรือ จบชีวิตไปรายแล้วรายเล่า ... ด้วยการกระทำนั้น ใช้ตาดู เชื่อในวัตถุ เชื่อในปริญญา เชื่อในความน่าเชื่อถือ เชื่อในวิทยาการ เชื่อในคำบอกเล่าต่อกันมา แม้นสิ่งเหล่านั้น หาผลที่ประจักษ์ยังไม่ได้เลย
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา พูดเรื่องจริง ไม่กลอกกลิ้ง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า มีเหง้าของศาสนา ประจักษ์เป็นพยาน มีผู้คนประสพผลเป็นตัวตนก็มากมาย น่าเชื่อถือ แต่ไม่ถูกจริต ไม่มีปริญญา ไม่มีวิทยาการ ไม่ต้องใจ ไม่อยากฟัง ไม่อยากพิจารณา และก็ไม่ทำซะงั้น
บทสรุป ท่านอาสิจึงชี้ให้เห็นว่า ด้วยศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา การหายโรคนั้น ง่ายและทำได้ แต่สิ่งที่ยากคือ ผู้อยากได้ ไม่ฟัง ไม่พิจารณา ที่สำคัญคือ ไม่ทำ เพราะเป็นศาสตร์ของผู้ทำได้ ไม่ใช่ของผู้ร้องขอ โดยไม่ต้องทำ
รากเหง้าของศาสตร์รักษาโรคตายด้วยยา ไม่เคยมีปรากฎ แต่คนเชื่อว่ามียา รากเหง้าของศาสนา อย่าว่าแต่หายโรคเลย พ้นโลก ไม่เกิดแก่เจ็บตาย มีให้เห็น กลับไม่เชื่อ ไม่ทำ ... หวังแต่จะหายโดยสบาย ด้วยเป่าเสก ด้วยเอาวัตถุมาแลก
เราจึงอยากย้อนคำของแม่ชีเมี้ยนที่ฝากหลวงพ่อนิพนธ์มาให้พิจารณา หนทางแห่งการหายโรค มีช่องทางเดียว คือ พัฒนาวิญญาณให้สูง ด้วยการลดนิสัยกรรม บางสิ่งบางอย่าง ทำนิสัยธรรม บางสิ่งบางอย่าง เพื่อมีนิสัยสร้างสุขให้ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ทำได้ทุกตัวคน ใครทำได้ คนนั้นรอด ... อย่าเสียเวลาไปจุดธูป อ้อนวอน ขอโดยไม่ทำ ขอให้ตาย พระพุทธเจ้าก็ไม่แม้นแต่จะแลด้วยหางตา
ท่านอาสิจึงชี้ว่า "การบูชาพระพุทธศาสนา ก็โดยการลดกิริยา แลอยู่ในความสงบ" ความเห็นความจำเป็นที่โลกเขาพูดกัน ช่วยตนไม่ได้หลอก แต่สัจจะธรรมความจริงของพระพุทธเจ้า เป็นของจริง ทำจริงได้จริง เสียได้ คนทำได้ ไปจากโลกนี้หมดแล้ว ถึงกระนั้นก็มีรากเหง้าทิ้งไว้ให้ศึกษา เดินตาม ... ทำไมไม่เดิน รอแต่ยารักษาโรค รอไปเถอะ ไม่มีวันสมหวัง มีแต่หลอกให้ทาน แล้วความจริงปรากฎ ก็พบสัจจะธรรม "เดินเข้า หามออก" จะบอกใครก็ไม่ได้
ทำไมหรือ ก็มนุษย์นั้น มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาด มีความรู้ มีความคิด แยกแยะสิ่งถูกผิดได้ทุกตัวคน แต่ครั้นถึงเวลา กลับกลายเป็นเสมือนบ้าใบ้ คิดไม่ได้ ทำไม่ถูกซะงั้น เมื่อกรรมมา
โบราณจึงว่า เมื่อกรรมบันดาล คนทั้งหลายก็ขาดสติ ขาดความยั้งคิด ทำในสิ่งที่ผิดได้อย่างง่ายดาย มีให้เห็นกันมากมาย น้อยใจ ก็ฆ่าตัวตาย ผิดหวังก็ทำร้ายตัว อยากได้ก็ไปแย่งชิง ปล้นฆ่าเขาเอามาเป็นของตน ฉลาดกว่าก็ใช้ปัญญาหลอกคน อยากรวยก็ค้ายา ใครเสพไปจะตายก็ชั่งมัน ครั้นกรรมย้อนมาหาตน จะปฏิเสธสักฉันใดก็หาพ้นไม่ ถึงตอนนั้น ค่อยคิดได้ ไม่น่าทำเลย แค่ยกปืนยิงขึ้นฟ้าขู่ก็พอแล้ว นี่ไปยิงเขาตาย แล้วลูกเมียจะทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร
เมื่อย้อนกลับมาเรื่องของชีวิต เรื่องของทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตน ณ.วันนี้ โรครุมเร้า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ก็อยากปฏิเสธ ดิ้นรนหาสิ่งต่างๆมาช่วยตน ด้นดั้นไปหาไม่ว่าจะไกลแสนไกล ไม่ว่าจะแพงแสนแพง เพื่อให้ตนพ้นทุกข์ ที่ไหนใครว่าดี ไปหมด
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า สิ่งที่ทำขาดพิจารณา เพียงแต่เขาว่าดี ก็ไปพึ่ง ทั้งๆที่ไม่เคยมีข้อพิสูจน์ ไม่เคยเห็นซึ่งผลอันจับต้องได้ เป็นตัวเป็นตน ก็เชื่อและทำตามหมดหัวใจ กว่าจะรู้ตัวอีกที ชีวิตก็ยากที่จะกู้กลับให้ฟื้นคืนได้ดั่งเดิม หรือ จบชีวิตไปรายแล้วรายเล่า ... ด้วยการกระทำนั้น ใช้ตาดู เชื่อในวัตถุ เชื่อในปริญญา เชื่อในความน่าเชื่อถือ เชื่อในวิทยาการ เชื่อในคำบอกเล่าต่อกันมา แม้นสิ่งเหล่านั้น หาผลที่ประจักษ์ยังไม่ได้เลย
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา พูดเรื่องจริง ไม่กลอกกลิ้ง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า มีเหง้าของศาสนา ประจักษ์เป็นพยาน มีผู้คนประสพผลเป็นตัวตนก็มากมาย น่าเชื่อถือ แต่ไม่ถูกจริต ไม่มีปริญญา ไม่มีวิทยาการ ไม่ต้องใจ ไม่อยากฟัง ไม่อยากพิจารณา และก็ไม่ทำซะงั้น
บทสรุป ท่านอาสิจึงชี้ให้เห็นว่า ด้วยศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา การหายโรคนั้น ง่ายและทำได้ แต่สิ่งที่ยากคือ ผู้อยากได้ ไม่ฟัง ไม่พิจารณา ที่สำคัญคือ ไม่ทำ เพราะเป็นศาสตร์ของผู้ทำได้ ไม่ใช่ของผู้ร้องขอ โดยไม่ต้องทำ
รากเหง้าของศาสตร์รักษาโรคตายด้วยยา ไม่เคยมีปรากฎ แต่คนเชื่อว่ามียา รากเหง้าของศาสนา อย่าว่าแต่หายโรคเลย พ้นโลก ไม่เกิดแก่เจ็บตาย มีให้เห็น กลับไม่เชื่อ ไม่ทำ ... หวังแต่จะหายโดยสบาย ด้วยเป่าเสก ด้วยเอาวัตถุมาแลก
เราจึงอยากย้อนคำของแม่ชีเมี้ยนที่ฝากหลวงพ่อนิพนธ์มาให้พิจารณา หนทางแห่งการหายโรค มีช่องทางเดียว คือ พัฒนาวิญญาณให้สูง ด้วยการลดนิสัยกรรม บางสิ่งบางอย่าง ทำนิสัยธรรม บางสิ่งบางอย่าง เพื่อมีนิสัยสร้างสุขให้ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ทำได้ทุกตัวคน ใครทำได้ คนนั้นรอด ... อย่าเสียเวลาไปจุดธูป อ้อนวอน ขอโดยไม่ทำ ขอให้ตาย พระพุทธเจ้าก็ไม่แม้นแต่จะแลด้วยหางตา
ท่านอาสิจึงชี้ว่า "การบูชาพระพุทธศาสนา ก็โดยการลดกิริยา แลอยู่ในความสงบ" ความเห็นความจำเป็นที่โลกเขาพูดกัน ช่วยตนไม่ได้หลอก แต่สัจจะธรรมความจริงของพระพุทธเจ้า เป็นของจริง ทำจริงได้จริง เสียได้ คนทำได้ ไปจากโลกนี้หมดแล้ว ถึงกระนั้นก็มีรากเหง้าทิ้งไว้ให้ศึกษา เดินตาม ... ทำไมไม่เดิน รอแต่ยารักษาโรค รอไปเถอะ ไม่มีวันสมหวัง มีแต่หลอกให้ทาน แล้วความจริงปรากฎ ก็พบสัจจะธรรม "เดินเข้า หามออก" จะบอกใครก็ไม่ได้
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เหนือกว่าเยอะ
ศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ และวิทยาการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ก้าวล้ำอย่างยิ่ง จนทำให้ความหวังของคนทั้งหลายทั้งปวง ที่อยากจะมีหนทางในการรักษาโรคทุกชนิด มีความเป็นไปได้ยิ่ง
แต่ก็เช่นกัน ปฏิเสธความจริงที่ปรากฎไม่ได้เลยว่า ทุกปี มีคนเป็นโรค และเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย ไม่ต้องมาก แค่โรคชั้นนำ ๕ โรค ที่เป็นกันมากและตายกันมาก ก็ย่อมต้องสะท้อนความจริงบางอย่างให้เห็นเช่นกันว่า ยังไม่มีวิทยาการใดๆที่จะสามารถแม้นแต่ทำให้อัตราการตาย และการเป็นโรค ลดน้อยถอยลงได้เลย
ย้อนกลับมาดูศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อที่จะให้ดำรงอยู่นั้น มิเพียงตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ศาสตร์นี้ช่วยให้คนทั้งหลาย มีเปอร์เซ็นต์ในการฟื้นฟูตน จนหายโรคได้ แลคนเหล่านั้นก็ยังมีตัวมีตน ปรากฎให้เห็นเป็นพยานชัด
๔ หากแต่เมื่อเจอกับพฤติกรรมของคนไทย ทำให้เราสงสัยว่า กรรมอะไรเล่าบังตา บังจิต บังใจ ถึงปานนี้ ศาสตร์ดีๆเช่นนี้ ไม่ช่วยกันทำ ไม่ช่วยกันรักษา มิใช่เพียงแค่ประโยชน์ตน แต่สำหรับคนที่เรารักก็พึ่งได้ คนทั้งหลายทั้งปวงก็พึ่งได้ มีผลสำเร็จ ดั่งคำโบราณ "ช่วยคน ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น" อย่าว่าแต่คนที่ไม่รู้ไม่เห็น แม้นแต่คนที่มาพึ่งเอง คนส่วนใหญ่ก็วางเฉย ไม่รู้ ไม่สน ฉันมาเอาอย่างเดียว
มือน้อยๆ คนละมือ ช่วยกันทำ ก็ไม่เป็นภาระของใคร ช่วยกันทำ ช่วยกันใช้ ช่วยกันรอด แต่เมื่อคนส่วนใหญ่วางเฉย ให้คนส่วนน้อยทำ มิต้องมาก แค่ยามะนาว ยิ่งตอนนี้ฝนสลับอากาศร้อนเย็น อาการไอถามหา คนขอกันมากมาย แต่หาคนมาช่วยกันคั้น มาช่วยกันผ่า เลือดตาแทบกระเด็น กองไว้ไม่มีใครแล กลายเป็นคนที่ทำยาต้ม ยาอื่นๆ ต้องมาช่วยกันทำอีก เห็นแล้วน่าเศร้าใจ
แลก็เห็นข่าวทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อมีใครบางคนแค่ทำความดี วิ่งเพื่อหาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ คนไทยแห่แหนไปสนับสนุน ไปวิ่งด้วย นับหมื่นนับแสนในพื้นที่ แม้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นสิ่งดี แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นจะช่วยชีวิตใครได้มากน้อยสักเพียงใด ผลจักเกิดสักเท่าใด แต่สมุนไพรทำปุ๊บ คนทุกข์รับไปทาน หายไข้ หายปวด ไปจนหายโรคได้ อย่างน้อยก็เป็นร้อยเป็นพันคน เห็นตำตา แต่ไม่มีคนอยากทำ
บทสรุป คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนมาให้พิจารณาว่า คนทั้งหลายทั้งปวง เขาชอบอ่านประวัติศาสตร์ แล้วก็พูดดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ จะมีสักกี่คนเล่า ที่ทำตัวเป็นประวัติศาสตร์ แม้นแต่ห้องน้ำ เออน่ะห้องน้ำที่นี่ สะอาดดี น่าใช้ มีคนกล่าวมากมาย ชื่นชมมากมาย แต่จะมีใครแบกหิน แบกทราย ลงแรง อาบเหงื่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งห้องน้ำ นี่แหละ คนที่เป็นผู้ให้ ย่อมมีค่าเหนือผู้รับ คนที่ทำตนเป็นผู้ให้ได้ ให้สุขแก่ผู้อื่น จึงสมควรหายโรค หายทุกข์ที่ตนมี
๘ พูดกันมาสามทศวรรษ ก็แล้วแต่ใครฟัง เลือกแล้วทำ จะเป็นเวสสันดร หรือจะเป็นชูชก วันที่ผลแห่งการกระทำปรากฎ ทำไมคนนั้นหาย ทำไมฉันไม่หาย ก็ได้แต่บอกว่า สถานที่นี้ ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่ว่าจะบรมครูแม่ชีเมี้ยน พระพุทธ หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านอาสิ มีแต่คำสอน ที่ฟังแล้ว ไปพิจารณา ทำเพื่อช่วยตน ใครทำ ใครได้ ผลหายไม่หายจึงรู้แก่ใจตน ตั้งแต่วันแรกแล้ว
นี่แค่เสี้ยวของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หายโรคน่ะกระจอก แม้นจะเป็นปัญหาที่โลกแก้ไม่ตก ศาสตร์อันนี้ ยังสอนเลยไปถึงการป้องกัน การทำให้ไม่มีโรคได้อีกต่างหาก ศาสตร์อันนี้ คนไทยไม่อยากเรียน ไม่อยากไปวัดของแม่ชีเมี้ยน แต่อยากหายโรค อยากไม่มีโรค ... ก็คงได้แต่อยาก ไม่มีทางเป็นจริง
เราจึงนึกถึงคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราว่า "อย่าดีแต่พูด ต้องทำให้ได้ด้วย ผลจึงเกิด" คนทั้งโลกเขาก็รู้ทั้งหมดทั้งสิ้น "ทำดี ได้ดี" แต่ใครหล่ะที่ทำได้ ผลผิดในวันนี้ กรรมชั่วบันดาลให้เกิดโรค เป็นทุกข์แล้ว แค่รู้ แค่พูด มันช่วยตนไม่ได้ จะเอ่ยอ้างว่าตนดีสักฉันใด ผลอันนี้มันก็ประจานอยู่ ว่า นั่นคือความคิด ว่าสิ่งที่ทำมันดี แต่ความจริงที่ทำ มันตรงข้าม
พระภูมีทุกพระองค์ ทำตนจนพ้นโลก พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย และสอนสาวกที่เชื่อ แล้วทำตาม ให้ผลแบบเดียวกัน เป็นประจักษ์พยาน ผลที่ได้คือ สุข น่าสงสัย คนไทยบอกอยากมีสุข ศาสนาก็ชี้ช่อง แต่คนไทยเอามือซุกหีบ ไม่ทำ ... ไม่เรียกกรรม เรียกอะไร ฤาจะรอเครื่องมือแพทย์มาช่วยตน ครั้นพอใกล้จะตาย ก็ร้องหาศาสนา ช่วยด้วย ๆๆๆๆๆๆๆ เขาก็ย้อนกลับมาว่า ตอนที่ยังมีแรง มีกำลัง ทำไมจึงวางเฉย ไม่ทำสุขให้ผู้อื่น จะได้มีผลย้อนมาช่วยตน แล้วจะร้องทำไมเล่า ให้ผู้อื่นช่วย
วิทยาการของโลก แค่รักษาโรค ก็มองไม่เห็นทางแล้ว จะให้ทำไม่เกิดโรค ... ตายอีกกี่ชาติ เกิดใหม่มาก็ยิ่งไม่มีทางทำได้ ดันเชื่อ .... แต่ศาสนาทำได้ กลับวางเฉย ไม่ทำซะงั้น ... การพานพบศาสนา ก็สูญเปล่า แลพรหมลิขิตดีสักเพียงไหน เชื่อหรือว่า ชาติหน้า ชาติไหนจะได้เวียนมาพบศาสนาดีๆที่แม่ชีเมี้ยนนำมานี้อีก ด้วยพฤติกรรมในวันนี้ คงยากแล้ว
แต่ก็เช่นกัน ปฏิเสธความจริงที่ปรากฎไม่ได้เลยว่า ทุกปี มีคนเป็นโรค และเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย ไม่ต้องมาก แค่โรคชั้นนำ ๕ โรค ที่เป็นกันมากและตายกันมาก ก็ย่อมต้องสะท้อนความจริงบางอย่างให้เห็นเช่นกันว่า ยังไม่มีวิทยาการใดๆที่จะสามารถแม้นแต่ทำให้อัตราการตาย และการเป็นโรค ลดน้อยถอยลงได้เลย
ย้อนกลับมาดูศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อที่จะให้ดำรงอยู่นั้น มิเพียงตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ศาสตร์นี้ช่วยให้คนทั้งหลาย มีเปอร์เซ็นต์ในการฟื้นฟูตน จนหายโรคได้ แลคนเหล่านั้นก็ยังมีตัวมีตน ปรากฎให้เห็นเป็นพยานชัด
๔ หากแต่เมื่อเจอกับพฤติกรรมของคนไทย ทำให้เราสงสัยว่า กรรมอะไรเล่าบังตา บังจิต บังใจ ถึงปานนี้ ศาสตร์ดีๆเช่นนี้ ไม่ช่วยกันทำ ไม่ช่วยกันรักษา มิใช่เพียงแค่ประโยชน์ตน แต่สำหรับคนที่เรารักก็พึ่งได้ คนทั้งหลายทั้งปวงก็พึ่งได้ มีผลสำเร็จ ดั่งคำโบราณ "ช่วยคน ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น" อย่าว่าแต่คนที่ไม่รู้ไม่เห็น แม้นแต่คนที่มาพึ่งเอง คนส่วนใหญ่ก็วางเฉย ไม่รู้ ไม่สน ฉันมาเอาอย่างเดียว
มือน้อยๆ คนละมือ ช่วยกันทำ ก็ไม่เป็นภาระของใคร ช่วยกันทำ ช่วยกันใช้ ช่วยกันรอด แต่เมื่อคนส่วนใหญ่วางเฉย ให้คนส่วนน้อยทำ มิต้องมาก แค่ยามะนาว ยิ่งตอนนี้ฝนสลับอากาศร้อนเย็น อาการไอถามหา คนขอกันมากมาย แต่หาคนมาช่วยกันคั้น มาช่วยกันผ่า เลือดตาแทบกระเด็น กองไว้ไม่มีใครแล กลายเป็นคนที่ทำยาต้ม ยาอื่นๆ ต้องมาช่วยกันทำอีก เห็นแล้วน่าเศร้าใจ
แลก็เห็นข่าวทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อมีใครบางคนแค่ทำความดี วิ่งเพื่อหาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ คนไทยแห่แหนไปสนับสนุน ไปวิ่งด้วย นับหมื่นนับแสนในพื้นที่ แม้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นสิ่งดี แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นจะช่วยชีวิตใครได้มากน้อยสักเพียงใด ผลจักเกิดสักเท่าใด แต่สมุนไพรทำปุ๊บ คนทุกข์รับไปทาน หายไข้ หายปวด ไปจนหายโรคได้ อย่างน้อยก็เป็นร้อยเป็นพันคน เห็นตำตา แต่ไม่มีคนอยากทำ
บทสรุป คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนมาให้พิจารณาว่า คนทั้งหลายทั้งปวง เขาชอบอ่านประวัติศาสตร์ แล้วก็พูดดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ จะมีสักกี่คนเล่า ที่ทำตัวเป็นประวัติศาสตร์ แม้นแต่ห้องน้ำ เออน่ะห้องน้ำที่นี่ สะอาดดี น่าใช้ มีคนกล่าวมากมาย ชื่นชมมากมาย แต่จะมีใครแบกหิน แบกทราย ลงแรง อาบเหงื่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งห้องน้ำ นี่แหละ คนที่เป็นผู้ให้ ย่อมมีค่าเหนือผู้รับ คนที่ทำตนเป็นผู้ให้ได้ ให้สุขแก่ผู้อื่น จึงสมควรหายโรค หายทุกข์ที่ตนมี
๘ พูดกันมาสามทศวรรษ ก็แล้วแต่ใครฟัง เลือกแล้วทำ จะเป็นเวสสันดร หรือจะเป็นชูชก วันที่ผลแห่งการกระทำปรากฎ ทำไมคนนั้นหาย ทำไมฉันไม่หาย ก็ได้แต่บอกว่า สถานที่นี้ ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่ว่าจะบรมครูแม่ชีเมี้ยน พระพุทธ หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านอาสิ มีแต่คำสอน ที่ฟังแล้ว ไปพิจารณา ทำเพื่อช่วยตน ใครทำ ใครได้ ผลหายไม่หายจึงรู้แก่ใจตน ตั้งแต่วันแรกแล้ว
นี่แค่เสี้ยวของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หายโรคน่ะกระจอก แม้นจะเป็นปัญหาที่โลกแก้ไม่ตก ศาสตร์อันนี้ ยังสอนเลยไปถึงการป้องกัน การทำให้ไม่มีโรคได้อีกต่างหาก ศาสตร์อันนี้ คนไทยไม่อยากเรียน ไม่อยากไปวัดของแม่ชีเมี้ยน แต่อยากหายโรค อยากไม่มีโรค ... ก็คงได้แต่อยาก ไม่มีทางเป็นจริง
เราจึงนึกถึงคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราว่า "อย่าดีแต่พูด ต้องทำให้ได้ด้วย ผลจึงเกิด" คนทั้งโลกเขาก็รู้ทั้งหมดทั้งสิ้น "ทำดี ได้ดี" แต่ใครหล่ะที่ทำได้ ผลผิดในวันนี้ กรรมชั่วบันดาลให้เกิดโรค เป็นทุกข์แล้ว แค่รู้ แค่พูด มันช่วยตนไม่ได้ จะเอ่ยอ้างว่าตนดีสักฉันใด ผลอันนี้มันก็ประจานอยู่ ว่า นั่นคือความคิด ว่าสิ่งที่ทำมันดี แต่ความจริงที่ทำ มันตรงข้าม
พระภูมีทุกพระองค์ ทำตนจนพ้นโลก พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย และสอนสาวกที่เชื่อ แล้วทำตาม ให้ผลแบบเดียวกัน เป็นประจักษ์พยาน ผลที่ได้คือ สุข น่าสงสัย คนไทยบอกอยากมีสุข ศาสนาก็ชี้ช่อง แต่คนไทยเอามือซุกหีบ ไม่ทำ ... ไม่เรียกกรรม เรียกอะไร ฤาจะรอเครื่องมือแพทย์มาช่วยตน ครั้นพอใกล้จะตาย ก็ร้องหาศาสนา ช่วยด้วย ๆๆๆๆๆๆๆ เขาก็ย้อนกลับมาว่า ตอนที่ยังมีแรง มีกำลัง ทำไมจึงวางเฉย ไม่ทำสุขให้ผู้อื่น จะได้มีผลย้อนมาช่วยตน แล้วจะร้องทำไมเล่า ให้ผู้อื่นช่วย
วิทยาการของโลก แค่รักษาโรค ก็มองไม่เห็นทางแล้ว จะให้ทำไม่เกิดโรค ... ตายอีกกี่ชาติ เกิดใหม่มาก็ยิ่งไม่มีทางทำได้ ดันเชื่อ .... แต่ศาสนาทำได้ กลับวางเฉย ไม่ทำซะงั้น ... การพานพบศาสนา ก็สูญเปล่า แลพรหมลิขิตดีสักเพียงไหน เชื่อหรือว่า ชาติหน้า ชาติไหนจะได้เวียนมาพบศาสนาดีๆที่แม่ชีเมี้ยนนำมานี้อีก ด้วยพฤติกรรมในวันนี้ คงยากแล้ว
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
สุข
คงไม่ใครคนใดที่ไม่ปรารถนาจะมีสุข ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เวลานี้จมอยู่กับกองทุกข์ คือ โรค ที่บีบเค้นร่างกายและวิญญาณทุกเมื่อเชื่อวัน
จะด้วยบุญเก่า อย่างที่ อ.อร่าม มักกล่าวเสมอ หรืออะไรก็ตามแต่ พัดพาเราท่านให้มาถึงแผ่นดินของหลวงพ่อนิพนธ์
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ บทบัญญัติของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้พิจารณาว่า อันสุขนั้น จะแสวงหามาใส่ตนสักฉันใด ไม่ได้เลย หนทางที่จะทำให้ตนถึงซึ่งความสุข กลับกลายเป็นการตีวัวกระทบคราดซะงั้น นั่นก็คือ ต้องสร้างสุขให้ผู้อื่นก่อน แล้วผลนั้นจึงย้อนกลับมายังตน เฉกเช่นเดียวกับกรรมฉันใดก็ฉันนั้น ที่เราสร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่น วันนี้มันย้อนมายังตนแล้ว
ภาพอันเด่นชัดของศาสนา ที่เป็นดินแดนสงบสุข ... สงบ แล้วจึงสุข ที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามสร้าง เพราะนั่นคือ เอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
การมาเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ของเราท่าน จึงมาหาความสงบ เพื่อสร้างสุข แต่ครั้นพอคนทั้งหลายมาแล้ว ดูตัวอย่างคนที่มาก่อน โฆษณาว่าสมุนไพรดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ทำลายศาสนาสิ้น นั่นคือ หาความสงบสุขไม่ได้เลย เอาแต่สมุนไพร
แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า จะมาทำเพื่อช่วยคนหรือฆ่าคน หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนพระเสมอว่า การทำสมุนไพรช่วยคน อยากจะให้สมบูรณ์ ก็ต้องทำพร้อมกาย วาจา ใจ มิใช่ห้ามพูด หากแต่การพูดหรือใช้วาจา ก็ควรอยู่ในร่องธรรม พูดสิ่งที่ดี อาทิ คุยกันในเรื่องการปฏิบัติ หรือวินัยธรรมที่ตนสงสัย หากอยู่คนเดียว หรือไม่อยากคุย เอาชัว ก็สวดมนต์ไปทำไป
แต่ภาพที่ปรากฎในวันนี้ พอใจกับการอุทิศตนของตนแล้ว ฉันเป็นจิตอาสา มาทำก็เหนื่อย ค่าสูงส่งยิ่ง ดังนั้น ฉันก็ไม่ต้องสวดมนต์ตามที่ท่านอาสิสอนก็ได้ ฉันไม่ต้องควบคุม อยากพูดอะไรก็ได้ นั่นก็ยังพอทำเนา แต่คนไม่รู้มาทีหลัง เห็นรุ่นพึ่ทำแบบนี้ได้ ก็คิดว่าทำได้ ... เลยไม่เหลือภาพความสงบในหมู่จิตอาสาแทบจะให้เห็นเลย
น่าเสียดาย หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติว่า มือทำ เอาปากลบไปเสียหมด เลยยังไม่รู้ว่า ที่เหนื่อยนั้น ที่เสียสละนั้น จะเหลือกลับบ้านหรือเปล่า ก็ไม่แปลกใจ หลายคนบอก เป็นจิตอาสามาตั้งนาน สภาพของตนก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง
บทสรุป ทุกวันนี้ จึงยังมองไม่เห็นร่องธรรมที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ให้คนทั้งหลายเห็น พิจารณา แล้วทำตาม เพื่อยังผลของตนสมปรารถนาได้เลย ถ้าใครถามว่า ฉันจะหายโรคอย่างไร แรงที่ลงไปมากมาย ของทุกคน ผลที่ได้มันจึงน้อย
อยากจะเห็นความเฉียบขาดในการช่วยมนุษย์ให้หายโรค ของศาสนา ลองมองแผ่นดินนี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสมือนวัด ทำตนเสมือนพวกที่ไปหาเจ้า นั่งสงบเงียบ ตั้งใจฟัง ยามที่จะขอหวย เป็นต้นแบบให้คนที่มาทีหลังเห็นว่า จะพึงรอด พระภูมีสอนว่าบูชาศาสนา ก็ด้วยลดกิริยา สร้างสุขให้ผู้อื่น
พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ ก็บอกว่า "มีที่เว้นบ้าง" มิใช่จะเอาแต่นิสัยสันดานตนมาใช้ ไม่มีที่เว้นเลย แล้วจะให้กรรมมันเว้น ได้อย่างไร
ถามตนเองก่อน พฤติกรรมของเรา สร้างสุขให้ผู้อื่นหรือไม่ ก็คนที่หนึ่งคุย คนที่สองมา มันก็คุยตาม สามสี่ห้า จะไปเหลืออะไร มันก็นึกว่าคุยแล้วก็รอดได้ เท่ากับชี้ช่องผิด หรือพูดง่ายๆ กำลังฆ่าคนนั่นเอง แล้วผลที่จะย้อนกลับมายังตน จะเป็นอะไร เป็นสุขได้หรือ หายโรคได้หรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า หลักศาสนาเป็นหลักปราชญ์ ดังนั้น ดูง่ายใครจะรอด ใครจะหาย ก็ถ้าพฤติกรรม ในระหว่างกิจกรรมของศาสนา กับภายนอกมันเหมือนกัน ก็เรียบร้อย ใครที่มีสติ อยู่ในกรรมฐานสงฆ์ ในการทำกิจกรรม สงบได้ นั่นแหละรอด
มาร่วมสร้างแบบอย่างที่รอด กันดีกว่าไหม แบบที่มาแล้วช่วยไม่ได้ มีเต็มโลกแล้ว
ก็อย่างที่ท่านอาสิสอน อย่างน้อยก็ทำเพื่อแสดงความกตัญญู ต่อศาสนา ต่อพระพุทธ ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ทำให้เราท่านมีโอกาสพ้นทุกข์ โชว์ให้โลกเห็น ได้เป็นทางเลือก ว่า หากอยากจะหายโรค ทำได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคุมตนบางสิ่งบางอย่าง บางเวลา และให้สุขแก่ผู้อื่น หนีความวุ่นวายโลกภายนอก มาสงบตนในแผ่นดินนี้ นี่แหละช่วยตนพ้นทุกข์ได้ ได้ทั้งสุขกายคือ หายโรค และสุขนิสัย อันจะเป็นเครื่องมือสร้างกรรมดีรอตนในวันข้างหน้า
จะด้วยบุญเก่า อย่างที่ อ.อร่าม มักกล่าวเสมอ หรืออะไรก็ตามแต่ พัดพาเราท่านให้มาถึงแผ่นดินของหลวงพ่อนิพนธ์
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ บทบัญญัติของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้พิจารณาว่า อันสุขนั้น จะแสวงหามาใส่ตนสักฉันใด ไม่ได้เลย หนทางที่จะทำให้ตนถึงซึ่งความสุข กลับกลายเป็นการตีวัวกระทบคราดซะงั้น นั่นก็คือ ต้องสร้างสุขให้ผู้อื่นก่อน แล้วผลนั้นจึงย้อนกลับมายังตน เฉกเช่นเดียวกับกรรมฉันใดก็ฉันนั้น ที่เราสร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่น วันนี้มันย้อนมายังตนแล้ว
ภาพอันเด่นชัดของศาสนา ที่เป็นดินแดนสงบสุข ... สงบ แล้วจึงสุข ที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามสร้าง เพราะนั่นคือ เอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
การมาเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ของเราท่าน จึงมาหาความสงบ เพื่อสร้างสุข แต่ครั้นพอคนทั้งหลายมาแล้ว ดูตัวอย่างคนที่มาก่อน โฆษณาว่าสมุนไพรดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ทำลายศาสนาสิ้น นั่นคือ หาความสงบสุขไม่ได้เลย เอาแต่สมุนไพร
แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า จะมาทำเพื่อช่วยคนหรือฆ่าคน หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนพระเสมอว่า การทำสมุนไพรช่วยคน อยากจะให้สมบูรณ์ ก็ต้องทำพร้อมกาย วาจา ใจ มิใช่ห้ามพูด หากแต่การพูดหรือใช้วาจา ก็ควรอยู่ในร่องธรรม พูดสิ่งที่ดี อาทิ คุยกันในเรื่องการปฏิบัติ หรือวินัยธรรมที่ตนสงสัย หากอยู่คนเดียว หรือไม่อยากคุย เอาชัว ก็สวดมนต์ไปทำไป
แต่ภาพที่ปรากฎในวันนี้ พอใจกับการอุทิศตนของตนแล้ว ฉันเป็นจิตอาสา มาทำก็เหนื่อย ค่าสูงส่งยิ่ง ดังนั้น ฉันก็ไม่ต้องสวดมนต์ตามที่ท่านอาสิสอนก็ได้ ฉันไม่ต้องควบคุม อยากพูดอะไรก็ได้ นั่นก็ยังพอทำเนา แต่คนไม่รู้มาทีหลัง เห็นรุ่นพึ่ทำแบบนี้ได้ ก็คิดว่าทำได้ ... เลยไม่เหลือภาพความสงบในหมู่จิตอาสาแทบจะให้เห็นเลย
น่าเสียดาย หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติว่า มือทำ เอาปากลบไปเสียหมด เลยยังไม่รู้ว่า ที่เหนื่อยนั้น ที่เสียสละนั้น จะเหลือกลับบ้านหรือเปล่า ก็ไม่แปลกใจ หลายคนบอก เป็นจิตอาสามาตั้งนาน สภาพของตนก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง
บทสรุป ทุกวันนี้ จึงยังมองไม่เห็นร่องธรรมที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ให้คนทั้งหลายเห็น พิจารณา แล้วทำตาม เพื่อยังผลของตนสมปรารถนาได้เลย ถ้าใครถามว่า ฉันจะหายโรคอย่างไร แรงที่ลงไปมากมาย ของทุกคน ผลที่ได้มันจึงน้อย
อยากจะเห็นความเฉียบขาดในการช่วยมนุษย์ให้หายโรค ของศาสนา ลองมองแผ่นดินนี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสมือนวัด ทำตนเสมือนพวกที่ไปหาเจ้า นั่งสงบเงียบ ตั้งใจฟัง ยามที่จะขอหวย เป็นต้นแบบให้คนที่มาทีหลังเห็นว่า จะพึงรอด พระภูมีสอนว่าบูชาศาสนา ก็ด้วยลดกิริยา สร้างสุขให้ผู้อื่น
พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ ก็บอกว่า "มีที่เว้นบ้าง" มิใช่จะเอาแต่นิสัยสันดานตนมาใช้ ไม่มีที่เว้นเลย แล้วจะให้กรรมมันเว้น ได้อย่างไร
ถามตนเองก่อน พฤติกรรมของเรา สร้างสุขให้ผู้อื่นหรือไม่ ก็คนที่หนึ่งคุย คนที่สองมา มันก็คุยตาม สามสี่ห้า จะไปเหลืออะไร มันก็นึกว่าคุยแล้วก็รอดได้ เท่ากับชี้ช่องผิด หรือพูดง่ายๆ กำลังฆ่าคนนั่นเอง แล้วผลที่จะย้อนกลับมายังตน จะเป็นอะไร เป็นสุขได้หรือ หายโรคได้หรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า หลักศาสนาเป็นหลักปราชญ์ ดังนั้น ดูง่ายใครจะรอด ใครจะหาย ก็ถ้าพฤติกรรม ในระหว่างกิจกรรมของศาสนา กับภายนอกมันเหมือนกัน ก็เรียบร้อย ใครที่มีสติ อยู่ในกรรมฐานสงฆ์ ในการทำกิจกรรม สงบได้ นั่นแหละรอด
มาร่วมสร้างแบบอย่างที่รอด กันดีกว่าไหม แบบที่มาแล้วช่วยไม่ได้ มีเต็มโลกแล้ว
ก็อย่างที่ท่านอาสิสอน อย่างน้อยก็ทำเพื่อแสดงความกตัญญู ต่อศาสนา ต่อพระพุทธ ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ทำให้เราท่านมีโอกาสพ้นทุกข์ โชว์ให้โลกเห็น ได้เป็นทางเลือก ว่า หากอยากจะหายโรค ทำได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคุมตนบางสิ่งบางอย่าง บางเวลา และให้สุขแก่ผู้อื่น หนีความวุ่นวายโลกภายนอก มาสงบตนในแผ่นดินนี้ นี่แหละช่วยตนพ้นทุกข์ได้ ได้ทั้งสุขกายคือ หายโรค และสุขนิสัย อันจะเป็นเครื่องมือสร้างกรรมดีรอตนในวันข้างหน้า
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
สวนทาง
ความจริงของโลก พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่มีมนุษย์หรือสรรพสัตว์ใดในโลกที่จะเหนือกรรม หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า นั่นคือ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียวในโลก"
หากเราท่านย้อนไปดูประวัติศาสตร์ แล้วตั้งคำถาม แล้วพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ใช้สิ่งใดเล่า จึงสามารถชนะกรรมได้ แม่ชีเมี้ยนก็ตรัสชี้ให้เห็นว่า นั่นคือ ปัญญาของโลกุตตระ และอำนาจธรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้พิจารณาว่า ก็แล้วพระพุทธเจ้าทำอย่างไร จึงหนี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้เล่า ก็ด้วยการตัดกิเลส นิสัย สันดาน อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อหันกลับมายังเราท่าน ปรารถนาก็เพียงแค่หายโรค ซึ่งเป็นงานที่ง่ายกว่าเยอะ และทำได้
แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาการกระทำ ที่ชี้จุดว่า เหตุเกิดจากนิสัย ปฐมบทที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ คือ การลดนิสัยกาย ด้วยการเปลี่ยนเป็นเพศบรรพชิต หรือบวช แล้วจึงตามด้วยลดนิสัย วาจา และ ใจ
การหายโรค ย่อมหลีกหนี การต้องเปลี่ยนนิสัยไม่ได้เลย คนที่มาเพื่ออยากหายโรค แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ก็ต้องทำตนเป็นพระขอนิสัย
เพราะนิสัยใหม่ การกระทำใหม่ อันเป็นนิสัยของพระพุทธเจ้า จักทำให้พรหมลิขิตของเราท่านเปลี่ยนได้ พ้นโรคได้ และมีชีวิตที่ปลอดภัย
ยุคถ้ำกระบอก คำถามที่คนทั้งหลายมักจะเจอ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหนัก ก็คือ บวชได้ไหม ถ้าไม่ได้ ก็กลับบ้านไป
หลวงพ่อนิพนธ์ แปลความให้ฟังว่า นั่นหมายความว่า หากจะเอาเป็นมาตรฐาน ที่คนอยากหายโรค ต้องทำ และเมื่อทำได้ ก็สมปรารถนาทุกตัวคน นั่นก็คือ เปลี่ยนกายเป็นสงฆ์ แล้วเรียนรู้ ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดนิสัยใหม่แก่ตนให้จงได้ เมื่อทำได้ ก็ได้พรหมลิขิตที่ดี ชีวิตปลอดภัย แล้วมีร่างกายสุขภาพดีเป็นของแถม สึกออกไป ก็จะพบแต่สุขสมปรารถนา
หากมาวันนี้ คนก็ยังคงอยากได้ตามหวัง แต่พฤติกรรมการกระทำ กลับสวนทางกับสิ่งที่คนรักษาบอก แทบจะทุกตัวคน
บวชได้ไหม ... ไม่ได้ มีภาระเยอะ ... มาปฏิบัติกิจ สัปดาห์ละครั้งที่วัดได้ไหม .. ไม่ได้ ... ไม่ว่าง ไม่มีเวลา ... มารับสมุนไพร สัปดาห์ละครั้ง และทำกิจกรรม ได้ไหม ... ไม่ได้ มีเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ที่จะไม่สวดมนต์ ไม่พัฒนาตนใดๆเลย สิ่งที่คนรักษาบอก ทำแล้วช่วยตนได้ วางเฉย แต่สิ่งที่หมอบอก เจ้าบอก เจ้าพิธีบอก ทำตามหมด ไม่มีบิดพริ้ว ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นช่วยตนไม่ได้เลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวเสมอว่า มันจึงเป็นการยาก ที่จะหวังผล เพราะคนทั้งหลายทั้งปวง เอาตนเป็นที่ตั้ง ไม่ทำตนเหมือนไปหาหมอ ที่บอกอะไรก็ทำตาม อย่างเคร่งครัด สถานที่นี้ ใครทำตาม และทำได้ มาตรฐาน การันตีได้รอดทุกตัวคน และกลายเป็นคนดี ที่สังคมอยากได้ ไม่มีใครอยากทำ แต่ทุกคนอยากรอด ก็คงได้แค่อยาก แต่ไม่รู้จะรอดหรือไม่
หนักไปกว่านั้นอีก หนทางรอดที่เกิดจากความสงบ แต่คนที่อยากรอด กลับมาทำลายสิ้น ใช้นิสัยตน อ้างตนเป็นจิตอาสาบ้าง เป็นแล้วคุยได้ สถานที่สงบทำให้คนรอด ก็เลยกลายเป็นชวนกันมาตาย เพราะคนที่มาไม่รู้ เห็นคนมาก่อน คุยได้ เล่นได้ ไม่ต้องสงบ กูก็ทำมั่ง
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องแยก อยากทำแบบชิวๆ เล่นกันตามสันดานนิสัย ก็ไปมูลนิธิ ที่ซึ่งวัดดวงกันเอาเอง จะหาผลเป็นแก่นสารไม่ได้ ใครทำใครได้ กับสถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ที่ซึ่งเดินตามมาตรฐาน ของพระพุทธศาสนา เป็นที่สงบ เป็นที่ปฏิบัติ ฝึกสร้างนิสัยพระพุทธ ที่ใครทำได้ การันตีรอดทุกตัวคน
แต่ก็นั่นแหละ คนทั้งหลายก็อ้างความเห็น ความจำเป็น ปฏิบัติ เริ่มที่การบวช เปลี่ยนกายก่อน ก็ต่อรอง ... ไม่รู้หรอกว่า ไม่คิดหรอกว่า ... ถามกรรมเขาแล้วหรือยัง เขาจะยอมหรือไม่
ยิ่งพฤติกรรมสวนทางกับมาตรฐานเท่าไหร ยิ่งห่างไกลผลที่จะพึงได้เท่านั้น สถานที่สร้างเป็นเอกลักษณ์ของศาสนา เพราะเล็งเห็นว่า ความสงบ จึงเป็นบ่อเกิดหนทางช่วยให้รอด รู้แล้วควรช่วยสร้างหนทางรอด แต่มองดูความจริง ยิ่งอยู่นาน ยิ่งทำลาย มันกลายเป็นตลาดไปแล้ว เล่นบรรเลงกันมั่ว .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้สติว่า "ตลาดมันช่วยใครได้บ้างเล่า"
วันหนึ่งสมุนไพรที่รับจากมูลนิธิก็จะด้อยค่าลง กลายเป็นเสมือนกินน้ำ ก็เท่านั้น
ฤาถึงเวลาแล้ว ที่วัดกันไปเลย ใครอยากรอดก็บวช ใครไม่บวชก็บ้านใครบ้านมัน เหมือนยุคถ้ำกระบอก ของแม่ชีเมี้ยน ... จะมาเสียเวลากันทำไม เมื่อทำแล้วไม่ได้ผล ช่วยแล้วไม่ได้คนดี ทำเสมือนศาสนาเป็นขี้ข้า
หากเราท่านย้อนไปดูประวัติศาสตร์ แล้วตั้งคำถาม แล้วพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ใช้สิ่งใดเล่า จึงสามารถชนะกรรมได้ แม่ชีเมี้ยนก็ตรัสชี้ให้เห็นว่า นั่นคือ ปัญญาของโลกุตตระ และอำนาจธรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้พิจารณาว่า ก็แล้วพระพุทธเจ้าทำอย่างไร จึงหนี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้เล่า ก็ด้วยการตัดกิเลส นิสัย สันดาน อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อหันกลับมายังเราท่าน ปรารถนาก็เพียงแค่หายโรค ซึ่งเป็นงานที่ง่ายกว่าเยอะ และทำได้
แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาการกระทำ ที่ชี้จุดว่า เหตุเกิดจากนิสัย ปฐมบทที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ คือ การลดนิสัยกาย ด้วยการเปลี่ยนเป็นเพศบรรพชิต หรือบวช แล้วจึงตามด้วยลดนิสัย วาจา และ ใจ
การหายโรค ย่อมหลีกหนี การต้องเปลี่ยนนิสัยไม่ได้เลย คนที่มาเพื่ออยากหายโรค แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ก็ต้องทำตนเป็นพระขอนิสัย
เพราะนิสัยใหม่ การกระทำใหม่ อันเป็นนิสัยของพระพุทธเจ้า จักทำให้พรหมลิขิตของเราท่านเปลี่ยนได้ พ้นโรคได้ และมีชีวิตที่ปลอดภัย
ยุคถ้ำกระบอก คำถามที่คนทั้งหลายมักจะเจอ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหนัก ก็คือ บวชได้ไหม ถ้าไม่ได้ ก็กลับบ้านไป
หลวงพ่อนิพนธ์ แปลความให้ฟังว่า นั่นหมายความว่า หากจะเอาเป็นมาตรฐาน ที่คนอยากหายโรค ต้องทำ และเมื่อทำได้ ก็สมปรารถนาทุกตัวคน นั่นก็คือ เปลี่ยนกายเป็นสงฆ์ แล้วเรียนรู้ ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดนิสัยใหม่แก่ตนให้จงได้ เมื่อทำได้ ก็ได้พรหมลิขิตที่ดี ชีวิตปลอดภัย แล้วมีร่างกายสุขภาพดีเป็นของแถม สึกออกไป ก็จะพบแต่สุขสมปรารถนา
หากมาวันนี้ คนก็ยังคงอยากได้ตามหวัง แต่พฤติกรรมการกระทำ กลับสวนทางกับสิ่งที่คนรักษาบอก แทบจะทุกตัวคน
บวชได้ไหม ... ไม่ได้ มีภาระเยอะ ... มาปฏิบัติกิจ สัปดาห์ละครั้งที่วัดได้ไหม .. ไม่ได้ ... ไม่ว่าง ไม่มีเวลา ... มารับสมุนไพร สัปดาห์ละครั้ง และทำกิจกรรม ได้ไหม ... ไม่ได้ มีเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ที่จะไม่สวดมนต์ ไม่พัฒนาตนใดๆเลย สิ่งที่คนรักษาบอก ทำแล้วช่วยตนได้ วางเฉย แต่สิ่งที่หมอบอก เจ้าบอก เจ้าพิธีบอก ทำตามหมด ไม่มีบิดพริ้ว ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นช่วยตนไม่ได้เลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวเสมอว่า มันจึงเป็นการยาก ที่จะหวังผล เพราะคนทั้งหลายทั้งปวง เอาตนเป็นที่ตั้ง ไม่ทำตนเหมือนไปหาหมอ ที่บอกอะไรก็ทำตาม อย่างเคร่งครัด สถานที่นี้ ใครทำตาม และทำได้ มาตรฐาน การันตีได้รอดทุกตัวคน และกลายเป็นคนดี ที่สังคมอยากได้ ไม่มีใครอยากทำ แต่ทุกคนอยากรอด ก็คงได้แค่อยาก แต่ไม่รู้จะรอดหรือไม่
หนักไปกว่านั้นอีก หนทางรอดที่เกิดจากความสงบ แต่คนที่อยากรอด กลับมาทำลายสิ้น ใช้นิสัยตน อ้างตนเป็นจิตอาสาบ้าง เป็นแล้วคุยได้ สถานที่สงบทำให้คนรอด ก็เลยกลายเป็นชวนกันมาตาย เพราะคนที่มาไม่รู้ เห็นคนมาก่อน คุยได้ เล่นได้ ไม่ต้องสงบ กูก็ทำมั่ง
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องแยก อยากทำแบบชิวๆ เล่นกันตามสันดานนิสัย ก็ไปมูลนิธิ ที่ซึ่งวัดดวงกันเอาเอง จะหาผลเป็นแก่นสารไม่ได้ ใครทำใครได้ กับสถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ที่ซึ่งเดินตามมาตรฐาน ของพระพุทธศาสนา เป็นที่สงบ เป็นที่ปฏิบัติ ฝึกสร้างนิสัยพระพุทธ ที่ใครทำได้ การันตีรอดทุกตัวคน
แต่ก็นั่นแหละ คนทั้งหลายก็อ้างความเห็น ความจำเป็น ปฏิบัติ เริ่มที่การบวช เปลี่ยนกายก่อน ก็ต่อรอง ... ไม่รู้หรอกว่า ไม่คิดหรอกว่า ... ถามกรรมเขาแล้วหรือยัง เขาจะยอมหรือไม่
ยิ่งพฤติกรรมสวนทางกับมาตรฐานเท่าไหร ยิ่งห่างไกลผลที่จะพึงได้เท่านั้น สถานที่สร้างเป็นเอกลักษณ์ของศาสนา เพราะเล็งเห็นว่า ความสงบ จึงเป็นบ่อเกิดหนทางช่วยให้รอด รู้แล้วควรช่วยสร้างหนทางรอด แต่มองดูความจริง ยิ่งอยู่นาน ยิ่งทำลาย มันกลายเป็นตลาดไปแล้ว เล่นบรรเลงกันมั่ว .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้สติว่า "ตลาดมันช่วยใครได้บ้างเล่า"
วันหนึ่งสมุนไพรที่รับจากมูลนิธิก็จะด้อยค่าลง กลายเป็นเสมือนกินน้ำ ก็เท่านั้น
ฤาถึงเวลาแล้ว ที่วัดกันไปเลย ใครอยากรอดก็บวช ใครไม่บวชก็บ้านใครบ้านมัน เหมือนยุคถ้ำกระบอก ของแม่ชีเมี้ยน ... จะมาเสียเวลากันทำไม เมื่อทำแล้วไม่ได้ผล ช่วยแล้วไม่ได้คนดี ทำเสมือนศาสนาเป็นขี้ข้า
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ยังกลัว
หลวงพ่อนิพนธ์มักเตือนสงฆ์ของท่านเสมอว่า "พระพุทธเจ้า กลัวที่สุดก็คือกรรม"
เพราะกรรมมีอำนาจ สามารถแทรกเข้ามาในตัวเรา ล่อหลอกให้เราทำกรรมได้อย่างง่ายดาย แลเมื่อทำแล้ว ก็ย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้นๆ จะปฏิเสธสักฉันใดก็ไม่พ้น
คำสอนที่ตามมา จึงชี้ว่า "เกิดเป็นคน อย่าท้ากรรม"
วันเวลาผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ทั้งหลายเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตน มีพฤติกรรมท้ากรรม เย้ยธรรมชาติ คุยโตโอ้อวดว่าสามารถเอาชนะธรรมชาติ ชนะกรรมได้
สร้างตึกทนทานแผ่นดินไหว สร้างสะพานทนทานพายุ สร้างยาเคมีพิชิตโรค ... แลวันเวลาก็จักเป็นเครื่องพิสูจน์ แค่โลกเขย่าเบาๆ ตึกก็พังแล้ว แค่พายุคลื่นสึนามิ อย่าว่าแต่สะพานเลย เมืองยังล่ม ยอดเสียชีวิตจากโรค ไม่ว่า มะเร็ง เบาหวาน ไต .... ทะลุหลักทำลายสถิติทุกปี
หลวงพ่อนิพนธ์จึงแปลความหมายว่า เราท่านที่มาเพื่อจะหายโรค จะทำได้ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา พูดฟังง่ายก็คือ คนทั้งโลกไม่มีใครทำได้ หรือ ปัญญาโลกทำไม่ได้ เราท่านจึงมาพึ่งศาสนา มาใช้พระธรรมของพระภูมี ที่พิสูจน์แล้วว่า "ชนะกรรม ชนะเวร ชนะโรค"
เมื่อใช้ปัญญาโลก ไม่ว่าศาสตร์แขนงใด จะใช้นิสัยเช่นใด ใครก็ไม่สน แต่หากจะมาชนะโรค ใช้ปัญญาของศาสนา ไม่ลดกิริยา ไม่ควบคุมนิสัย ตามรอยพระภูมี เท่ากับท้ากรรม ขนาดพระพุทธยังกลัว ยังไม่กล้าท้ากรรมเลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรเป็นของเป็น จักดีเลิศ ก็แต่เฉพาะคนมีธรรม เท่านั้นเอง หากผู้มีนิสัยโจรมาทานแล้วไซร้ ก็กลายเป็นน้ำ กินแล้วก็ผ่าน เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้แนะสงฆ์ของท่านเสมอว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาอยู่สูง มีแต่ทำตนสูงขึ้นไปหา ไม่มีหรอกที่จะโน้มลงมาให้เราดึงท่านต่ำ หาไม่แล้วท่านก็อุเบกขาเฉย จะร้องร่ำ กราบไหว้สักฉันใด มิเพียงไม่ช่วย แม้นแต่แลยังไม่มีเลย
ย้อนอดีตถ้ำกระบอก คนทั้งหลายทั้งปวง ล้วนแต่บอกว่า ยาสมุนไพรนั้นดี รักษายาเสพติดเฉียบขาดนัก แต่คนทั้งหลายไม่รู้หรอกว่า เหตุเพราะคนที่จะบำบัด ต้องวางสัจจะ ไม่สูบ ไม่เสพ ไม่ค้า เป็นคำมั่นสัญญาเสียก่อน ผลจึงเกิด
นั่นแปลว่า ต้องเปลี่ยนตน เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนใจ แล้วทำการกระทำใหม่ที่ดี เป็นคุณสมบัติ รองรับอำนาจ มาใส่ในสมุนไพร ผลจึงเกิด
จะมาเล่นเจ้าล่อเอาเถิด หลอกกินสมุนไพร หายแล้วก็ไป นั่นประเมินกรรมต่ำไปแล้ว แล้วก็มีพฤติกรรมมองศาสนาเป็นขี้ข้า จะเอาแต่นิสัยสันดานตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้พิจารณา ลำพังตีนกรรม ทำให้เป็นโรค ก็สาหัสแล้ว หากมาเกินเลยศาสนา เหมือนเทวทัต เจอตีนฟ้า หมั่นไส้ แม้นแต่ธรณีก็ยังรับไม่ไหว ก็มีในประวัติศาสตร์ให้เห็นให้อ่านแล้วมิใช่หรือ
ฟัง พิจารณา ที่ท่านอาสิสอน ไม่เอา ไม่ทำ ไม่ว่า ไม่ยุ่งกัน บ้านใครบ้านมัน แต่มาแล้วไม่ทำ เหมือนท้ากรรม เย้ยศาสนา ผู้อื่นตามมาก็นึกว่าทำได้ ก็ทำมั่ง ผลการกระทำนี้เหมือนเทวทัตน่ะท่านทั้งหลาย ไปทำที่อื่นดีกว่า อย่างน้อยก็กรรมเพียวๆ
เอกลักษณ์ของศาสนา ย่อมเป็นที่สงบ สร้างสุขให้ผู้อื่น เพราะเป็นที่รวมของคนทุกข์ แล้วแน่มาจากไหน เอานิสัยมาบรรเลง ทำลายเสีย "กรรมน่ะ กรรม จำไว้ให้ดี กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์"
ถ้าไม่กลัวกรรม ก็อย่ามายุ่งกับธรรมเลย
พิจารณาแล้วจะเห็นที่มาว่า "หมองูตายเพราะงู" ก็อวดว่ารักษาโรคนั้นได้ โรคนี้ได้ ชนะเวรชนะกรรมได้ ท้ายที่สุดก็เป็นโรคตาย รายแล้วรายเล่า
เพราะกรรมมีอำนาจ สามารถแทรกเข้ามาในตัวเรา ล่อหลอกให้เราทำกรรมได้อย่างง่ายดาย แลเมื่อทำแล้ว ก็ย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้นๆ จะปฏิเสธสักฉันใดก็ไม่พ้น
คำสอนที่ตามมา จึงชี้ว่า "เกิดเป็นคน อย่าท้ากรรม"
วันเวลาผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ทั้งหลายเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตน มีพฤติกรรมท้ากรรม เย้ยธรรมชาติ คุยโตโอ้อวดว่าสามารถเอาชนะธรรมชาติ ชนะกรรมได้
สร้างตึกทนทานแผ่นดินไหว สร้างสะพานทนทานพายุ สร้างยาเคมีพิชิตโรค ... แลวันเวลาก็จักเป็นเครื่องพิสูจน์ แค่โลกเขย่าเบาๆ ตึกก็พังแล้ว แค่พายุคลื่นสึนามิ อย่าว่าแต่สะพานเลย เมืองยังล่ม ยอดเสียชีวิตจากโรค ไม่ว่า มะเร็ง เบาหวาน ไต .... ทะลุหลักทำลายสถิติทุกปี
หลวงพ่อนิพนธ์จึงแปลความหมายว่า เราท่านที่มาเพื่อจะหายโรค จะทำได้ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา พูดฟังง่ายก็คือ คนทั้งโลกไม่มีใครทำได้ หรือ ปัญญาโลกทำไม่ได้ เราท่านจึงมาพึ่งศาสนา มาใช้พระธรรมของพระภูมี ที่พิสูจน์แล้วว่า "ชนะกรรม ชนะเวร ชนะโรค"
เมื่อใช้ปัญญาโลก ไม่ว่าศาสตร์แขนงใด จะใช้นิสัยเช่นใด ใครก็ไม่สน แต่หากจะมาชนะโรค ใช้ปัญญาของศาสนา ไม่ลดกิริยา ไม่ควบคุมนิสัย ตามรอยพระภูมี เท่ากับท้ากรรม ขนาดพระพุทธยังกลัว ยังไม่กล้าท้ากรรมเลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรเป็นของเป็น จักดีเลิศ ก็แต่เฉพาะคนมีธรรม เท่านั้นเอง หากผู้มีนิสัยโจรมาทานแล้วไซร้ ก็กลายเป็นน้ำ กินแล้วก็ผ่าน เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้แนะสงฆ์ของท่านเสมอว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาอยู่สูง มีแต่ทำตนสูงขึ้นไปหา ไม่มีหรอกที่จะโน้มลงมาให้เราดึงท่านต่ำ หาไม่แล้วท่านก็อุเบกขาเฉย จะร้องร่ำ กราบไหว้สักฉันใด มิเพียงไม่ช่วย แม้นแต่แลยังไม่มีเลย
ย้อนอดีตถ้ำกระบอก คนทั้งหลายทั้งปวง ล้วนแต่บอกว่า ยาสมุนไพรนั้นดี รักษายาเสพติดเฉียบขาดนัก แต่คนทั้งหลายไม่รู้หรอกว่า เหตุเพราะคนที่จะบำบัด ต้องวางสัจจะ ไม่สูบ ไม่เสพ ไม่ค้า เป็นคำมั่นสัญญาเสียก่อน ผลจึงเกิด
นั่นแปลว่า ต้องเปลี่ยนตน เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนใจ แล้วทำการกระทำใหม่ที่ดี เป็นคุณสมบัติ รองรับอำนาจ มาใส่ในสมุนไพร ผลจึงเกิด
จะมาเล่นเจ้าล่อเอาเถิด หลอกกินสมุนไพร หายแล้วก็ไป นั่นประเมินกรรมต่ำไปแล้ว แล้วก็มีพฤติกรรมมองศาสนาเป็นขี้ข้า จะเอาแต่นิสัยสันดานตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้พิจารณา ลำพังตีนกรรม ทำให้เป็นโรค ก็สาหัสแล้ว หากมาเกินเลยศาสนา เหมือนเทวทัต เจอตีนฟ้า หมั่นไส้ แม้นแต่ธรณีก็ยังรับไม่ไหว ก็มีในประวัติศาสตร์ให้เห็นให้อ่านแล้วมิใช่หรือ
ฟัง พิจารณา ที่ท่านอาสิสอน ไม่เอา ไม่ทำ ไม่ว่า ไม่ยุ่งกัน บ้านใครบ้านมัน แต่มาแล้วไม่ทำ เหมือนท้ากรรม เย้ยศาสนา ผู้อื่นตามมาก็นึกว่าทำได้ ก็ทำมั่ง ผลการกระทำนี้เหมือนเทวทัตน่ะท่านทั้งหลาย ไปทำที่อื่นดีกว่า อย่างน้อยก็กรรมเพียวๆ
เอกลักษณ์ของศาสนา ย่อมเป็นที่สงบ สร้างสุขให้ผู้อื่น เพราะเป็นที่รวมของคนทุกข์ แล้วแน่มาจากไหน เอานิสัยมาบรรเลง ทำลายเสีย "กรรมน่ะ กรรม จำไว้ให้ดี กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์"
ถ้าไม่กลัวกรรม ก็อย่ามายุ่งกับธรรมเลย
พิจารณาแล้วจะเห็นที่มาว่า "หมองูตายเพราะงู" ก็อวดว่ารักษาโรคนั้นได้ โรคนี้ได้ ชนะเวรชนะกรรมได้ ท้ายที่สุดก็เป็นโรคตาย รายแล้วรายเล่า
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ต้องธรรมด้วย
เคยสงสัยไหมว่า ทำไม ค้ำจุนโลก จึงต้องใช้ "เมตตาธรรม" ก็แค่เมตตาอย่างเดียวไม่พอหรือ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า อันเมตตาของมนุษย์ที่มีมาตามนิสัยสันดานเดิม มักจะเป็นไปตามกรรมที่มีมาในอดีตเป็นสำคัญ อาทิ บิดามารดา มีต่อบุตร หรือแม้นกระทั่ง สรรพสัตว์ ที่เลี้ยงอยู่
เมตตานั้น เป็นเนื่องด้วยกรรมทำกันมา มีสายใยผูกพันธ์เป็นต่อก่อเกิด หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้เห็นชัด ดูคนที่บอกว่ารักเมตตาสัตว์นั่นสิ สัตว์เลี้ยงของตนดูแลฟูมฟักอย่างดี กินดี อยู่ดี ให้ความรักใคร แต่กับที่ไม่ใช่ของตัว หรือแม้นแต่คน กลับไม่แยแส มีให้เห็นมากมาย
ครั้นเมื่อเจอศาสนา ที่สอนให้เราท่านมีเมตตา เริ่มจากความคิดพื้นฐาน ที่พระภูมีทรงสอน นั่นคือ "ให้สุขแก่ผู้อื่น" ดังนั้น จึงเมตตาเสมอเหมือนกันหมด อาทิเช่นในมูลนิธิ ไม่ว่าใครผ่านมา ก็ได้รับอนุเคราะห์เมตตาเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น พระภูมียังตอกย้ำอีกว่า หากจะให้สมบูรณ์ในเมตตานั้น ก็ควรทำเสมือนหนึ่งเป็นธรรมที่ทรงให้ นั่นคือ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
เมตตาธรรม จึงค้ำจุนโลกใบนี้ได้ เพราะการให้นั้น ไม่จำกัดเฉพาะคนที่ตนรัก ตนชอบ ไม่มีสิ่งแอบแฝงในการให้ ด้วยไม่หวังผลประโยชน์ สิ่งที่ให้จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ เราท่านพึงจักกระทำได้นั่นเอง สิ่งที่ให้ย่อมพิจารณาแล้วว่าไม่มีโทษ ด้วยปรารถนาให้สุขแก่ผู้อื่น
บทสรุป จึงไม่แปลกที่จะได้ยินท่านอาสิกล่าวเสมอว่า สมุนไพรสูตรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ทำให้ ผู้ที่ทานย่อมมีแต่คุณ ไม่มีโทษ อาการที่เกิดนั่นเป็นด้วยโรคที่เป็นแสดงอาการ เพราะถ้ามีเหตุจากสมุนไพร ย่อมต้องเกิดอาการนั้นๆกับทุกคนที่ทานเช่นกัน
ศาสตร์อันนี้ จึงไม่กลัวคนโขมย ลักไปทำ หรือแม้นแต่คนอยากเรียน ก็ยิ่งทำให้ ผลก็ยิ่งมาก คนทำก็ยิ่งเป็นภาระ จะมีใครที่ยอมเสียสละเพื่อคนทั่วไป เท่าที่เห็นก็มีแต่หลวงพ่อนิพนธ์นี่แหละ
คนที่จะทานแล้วได้ผล ก็ต้องไม่ต่างอะไรกับคนทำ คือ ต้องสร้างคุณสมบัติ เป็นคนมีธรรม มีเจตนา นำกำลังที่ได้ ไปให้สุขผู้อื่น ทำตัวสอดคล้องเป็นกิ่งทองใบหยก ไม่ใช่กูหายแล้วกูก็เล่นตามนิสัยสันดานเดิม กล้บไปสร้างทุกข์ให้ผู้อื่นอีก สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่โง่ทำเช่นนั้น ช่วยคนเช่นนั้นแน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า อันเมตตาของมนุษย์ที่มีมาตามนิสัยสันดานเดิม มักจะเป็นไปตามกรรมที่มีมาในอดีตเป็นสำคัญ อาทิ บิดามารดา มีต่อบุตร หรือแม้นกระทั่ง สรรพสัตว์ ที่เลี้ยงอยู่
เมตตานั้น เป็นเนื่องด้วยกรรมทำกันมา มีสายใยผูกพันธ์เป็นต่อก่อเกิด หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้เห็นชัด ดูคนที่บอกว่ารักเมตตาสัตว์นั่นสิ สัตว์เลี้ยงของตนดูแลฟูมฟักอย่างดี กินดี อยู่ดี ให้ความรักใคร แต่กับที่ไม่ใช่ของตัว หรือแม้นแต่คน กลับไม่แยแส มีให้เห็นมากมาย
ครั้นเมื่อเจอศาสนา ที่สอนให้เราท่านมีเมตตา เริ่มจากความคิดพื้นฐาน ที่พระภูมีทรงสอน นั่นคือ "ให้สุขแก่ผู้อื่น" ดังนั้น จึงเมตตาเสมอเหมือนกันหมด อาทิเช่นในมูลนิธิ ไม่ว่าใครผ่านมา ก็ได้รับอนุเคราะห์เมตตาเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น พระภูมียังตอกย้ำอีกว่า หากจะให้สมบูรณ์ในเมตตานั้น ก็ควรทำเสมือนหนึ่งเป็นธรรมที่ทรงให้ นั่นคือ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
เมตตาธรรม จึงค้ำจุนโลกใบนี้ได้ เพราะการให้นั้น ไม่จำกัดเฉพาะคนที่ตนรัก ตนชอบ ไม่มีสิ่งแอบแฝงในการให้ ด้วยไม่หวังผลประโยชน์ สิ่งที่ให้จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ เราท่านพึงจักกระทำได้นั่นเอง สิ่งที่ให้ย่อมพิจารณาแล้วว่าไม่มีโทษ ด้วยปรารถนาให้สุขแก่ผู้อื่น
บทสรุป จึงไม่แปลกที่จะได้ยินท่านอาสิกล่าวเสมอว่า สมุนไพรสูตรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ทำให้ ผู้ที่ทานย่อมมีแต่คุณ ไม่มีโทษ อาการที่เกิดนั่นเป็นด้วยโรคที่เป็นแสดงอาการ เพราะถ้ามีเหตุจากสมุนไพร ย่อมต้องเกิดอาการนั้นๆกับทุกคนที่ทานเช่นกัน
ศาสตร์อันนี้ จึงไม่กลัวคนโขมย ลักไปทำ หรือแม้นแต่คนอยากเรียน ก็ยิ่งทำให้ ผลก็ยิ่งมาก คนทำก็ยิ่งเป็นภาระ จะมีใครที่ยอมเสียสละเพื่อคนทั่วไป เท่าที่เห็นก็มีแต่หลวงพ่อนิพนธ์นี่แหละ
คนที่จะทานแล้วได้ผล ก็ต้องไม่ต่างอะไรกับคนทำ คือ ต้องสร้างคุณสมบัติ เป็นคนมีธรรม มีเจตนา นำกำลังที่ได้ ไปให้สุขผู้อื่น ทำตัวสอดคล้องเป็นกิ่งทองใบหยก ไม่ใช่กูหายแล้วกูก็เล่นตามนิสัยสันดานเดิม กล้บไปสร้างทุกข์ให้ผู้อื่นอีก สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่โง่ทำเช่นนั้น ช่วยคนเช่นนั้นแน
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ไม่ถูก
คำถามคาใจหลายคนแม้นจนตัวตายก็ยังไม่เข้าใจประการหนึ่ง คือ ในเมื่อเราก็กราบไหว้ นับถือ พระพุทธ มาแต่อ้อนแต่ออก เข้าวัด เข้าวา ทำบุญตามพระสอน มาก็ช้านาน ทำไมในยามนี้ เรามีทุกข์ จะร้องขอพระภูมี สักฉันใด ก็หามีผลไม่
ก็ไหนว่าเมตตา ก็ไหนว่ามีบุญญาติการก็ไหนว่าศักดิ์สิทธิ์
ท่านอาสิก็ชี้ให้เห็นว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเราไหว้เขา แต่ไม่อยู่ในร่องธรรมนั่นเอง
คำขอของเราจึงไร้ผล เพราะการกระทำของเรา เดินคนละทางกับพระภูมี ที่สอนไว้ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมคนมาสถานที่นี้ต้องฟัง พิจารณา แล้วเอาไปทำ ให้อยู่ในร่องธรรมของเขานั่นเอง
พูดฟังง่าย ทำถูก ก็มีคุณสมบัติ ศาสนาจึงจะเกื้อกูลได้ พบปาฏิหาริย์ได้ หายโรคได้ ช่วยตนได้
บทสรุป ใครจะเชื่อว่า จะมีหมอดี ยาดี ก็ว่าไป แต่ที่นี่มีธรรมดี ของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา สอนบูชาพระพุทธ ด้วยการลดกิริยา ลดนิสัย เป็นบุญ ช่วยตนได้
วันเวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ ของแท้ของเทียม ให้ปรากฎ
ความคิดมนุษย์ไม่มีทางชนะกรรมชนะโรคได้ เป็นแต่เพียงให้ฮือฮาเดี๋ยวก็ดับไป รอไปเถอะยาดี ไม่มีวันเจอ ถ้านั่นคือโรคตาย ที่มาเพื่อจบชีวิตตน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า มีแต่เอาชีวิตมนุษย์มาเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพราะจุดอ่อนของมนุษย์ คือ กลัวเจ็บ กลัวตาย
ก็ไหนว่าเมตตา ก็ไหนว่ามีบุญญาติการก็ไหนว่าศักดิ์สิทธิ์
ท่านอาสิก็ชี้ให้เห็นว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเราไหว้เขา แต่ไม่อยู่ในร่องธรรมนั่นเอง
คำขอของเราจึงไร้ผล เพราะการกระทำของเรา เดินคนละทางกับพระภูมี ที่สอนไว้ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมคนมาสถานที่นี้ต้องฟัง พิจารณา แล้วเอาไปทำ ให้อยู่ในร่องธรรมของเขานั่นเอง
พูดฟังง่าย ทำถูก ก็มีคุณสมบัติ ศาสนาจึงจะเกื้อกูลได้ พบปาฏิหาริย์ได้ หายโรคได้ ช่วยตนได้
บทสรุป ใครจะเชื่อว่า จะมีหมอดี ยาดี ก็ว่าไป แต่ที่นี่มีธรรมดี ของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา สอนบูชาพระพุทธ ด้วยการลดกิริยา ลดนิสัย เป็นบุญ ช่วยตนได้
วันเวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ ของแท้ของเทียม ให้ปรากฎ
ความคิดมนุษย์ไม่มีทางชนะกรรมชนะโรคได้ เป็นแต่เพียงให้ฮือฮาเดี๋ยวก็ดับไป รอไปเถอะยาดี ไม่มีวันเจอ ถ้านั่นคือโรคตาย ที่มาเพื่อจบชีวิตตน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า มีแต่เอาชีวิตมนุษย์มาเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพราะจุดอ่อนของมนุษย์ คือ กลัวเจ็บ กลัวตาย
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
วัดกัน
หลักของพระภูมี นั้นทำยาก แต่ก็ไม่ยากเกินจะทำ
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า คนมากมายที่ชอบสบาย อยากหายเร็วๆ ไวๆ เมื่อมาพบเจอความจริงนี้ ย่อมทำได้ยาก
และก็ไม่ยอมที่จะพิจารณาเหตุและผล ก็ย่อมท้อและเบื่อหน่าย หรือ หันไปหาหนทางที่ตอบโจทย์นิสัยของตนได้ นั่นคือ ยอมที่จะเสียเงิน แต่ไม่ยอมที่จะเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ปรับเปลี่ยนนิสัยแห่งตน
ภาพที่ปรากฎ ก็เลยไม่น่าประหลาดใจแต่ประการใด ไม่ว่าจะเป็น การเบื่อการรอคอย เบื่อปฏิบัติ แล้วหันไปซื้อสมุนไพร จากคนที่รู้จักสูตรยาสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยนไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เรียกว่า เอาแบบจ่ายตังค์แล้วได้สมุนไพร ได้อบตัว ไม่ต้องมาทำพิธีกรรมอันใดเหมือนในมูลนิธิก็มากมี
หรือ แม้นแต่คอยเงี่ยหูฟังที่ไหนมียาดี ก็รีบไปหา แห่แหนกันไป ด้วยหวังว่า จะมีสรรพคุณวิเศษตามที่เล่าลือ กินปุ๊บหายปั๊ป ในสามวันเจ็ดวัน ไม่ต้องมายืดเยื้อใช้เวลาเหมือนสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณาว่า นั่นเพราะเขาไม่เชื่อกรรม เขาคิดแต่พึ่งผู้อื่น ก็ไม่ว่ากัน หากแต่ความจริงอันนี้ จะพิสูจน์อย่างไรในวันนี้คงไม่ได้ แต่วันเวลาที่ผ่าน ก็ย่อมจักเป็นเครื่องยืนยันว่า "โลกใบนี้ ไม่มีวันที่มนุษย์จะค้นพบยารักษาโรค หรือวิธีรักษาโรคตายได้"
ยิ่งหายได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนนิสัย ไม่เอารอยของพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ด้วยขาดยุติธรรมแห่งโลกนั่นเอง คือ ทุกคนมีโอกาสไม่เท่ากัน
นี่แลลักษณะของกระต่ายตื่นตูม แทนที่จะตั้งสติ พิจารณา ค้นหาเหตุและผล ที่ได้ยินได้ฟังจาก ท่านอาสิ ก็วิ่งไปด้วยคิดว่าสิ่งที่ตนเป็น ฟังจากหมอนั้น น่ากลัว ด้วยคำขู่ เป็นอย่างนี้ ตาย...คำคำเดียว ก็ไม่พิจารณาอะไร คิดไปเอง ตนต้องตายแน่ในโรคที่เป็นอยู่ แล้วก็วิ่ง แห่เอาไปทางโน้นที ทางนี้ที ช่วยด้วย ที่ไหนว่ามียาดี ไปหมด หมอผี พิธีกรรม ลัทธิ ความเชื่อ พระ แม้นแต่เข้าทรงองค์เจ้า ก็ไป ล้วนแล้วแต่ทำเสมือนรถเสีย แล้ววิ่งไปหาช่างที่ไม่รู้จริง อวดสรรพคุณ แต่ทำไม่ได้ ยิ่งทำ รถยิ่งพัง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงชี้ความจริง ว่า ผู้ที่จะช่วยตนของตนได้ ก็มีแต่ตนพึ่งตน เท่านั้นแล มองไปหาอื่นไกล วิ่งหาให้เหนื่อยทำไม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หากแม้นศาสตร์นี้ช่วยไม่ได้ ก็ไม่มีที่ไหนช่วยได้แล้ว แลคนที่จะใช้ศาสตร์นี้ ก็ต้องใช้พฤติกรรมแห่งตนนั่นแลช่วยตน ท่านอาสิ ก็มีแต่เพียงคำสอน แนวทางที่จะช่วยตน ให้ไปพิจารณา แล้วทำ .... ใครทำได้ คนนั้นรอด
กรรมมันบังตา บังใจ สถานที่นี้ มีผู้คนมากมายประสพผล แต่ไม่ยอมเดิน สถานที่ที่มีแต่เสียงเล่าลือ หาคนหายจากโรคที่เป็นจริงๆไม่มีเลย เป็นตัวเป็นตนให้เห็น กลับแห่แหนกันไป
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เคยถามที่นั่นสักคำ ว่ากี่วันหาย รับรองจะหายไหม แต่เมื่อเจอของจริง ทำได้ หายแน่ ช้าเร็วก็แล้วแต่กรรมของคน ต่างกรรมต่างวาระ กำหนดไม่ได้ กลับคาดคั้น หรือ กำหนดวันซะงั้น สามเดือนหายไหม กี่วันหาย
ก็ถ้ายามันมีจริง ดีจริง หายจริง ไม่คิดหรือว่าประเทศที่ร่ำรวย มีเงิน ไม่ว่าอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน เขาจะนิ่งเฉย ไม่ทุ่มเงินมาซื้อไปให้คนของเขา มันคงไม่อยู่รอเราไปเอาหล่ะมั๊ง
ก็คีโมที่ว่าดี แล้วทำไมคนอเมริกา จึงตายด้วยมะเร็งปีละมากมายเล่า
ดั่งคำ "ถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ"
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า คนมากมายที่ชอบสบาย อยากหายเร็วๆ ไวๆ เมื่อมาพบเจอความจริงนี้ ย่อมทำได้ยาก
และก็ไม่ยอมที่จะพิจารณาเหตุและผล ก็ย่อมท้อและเบื่อหน่าย หรือ หันไปหาหนทางที่ตอบโจทย์นิสัยของตนได้ นั่นคือ ยอมที่จะเสียเงิน แต่ไม่ยอมที่จะเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ปรับเปลี่ยนนิสัยแห่งตน
ภาพที่ปรากฎ ก็เลยไม่น่าประหลาดใจแต่ประการใด ไม่ว่าจะเป็น การเบื่อการรอคอย เบื่อปฏิบัติ แล้วหันไปซื้อสมุนไพร จากคนที่รู้จักสูตรยาสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยนไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เรียกว่า เอาแบบจ่ายตังค์แล้วได้สมุนไพร ได้อบตัว ไม่ต้องมาทำพิธีกรรมอันใดเหมือนในมูลนิธิก็มากมี
หรือ แม้นแต่คอยเงี่ยหูฟังที่ไหนมียาดี ก็รีบไปหา แห่แหนกันไป ด้วยหวังว่า จะมีสรรพคุณวิเศษตามที่เล่าลือ กินปุ๊บหายปั๊ป ในสามวันเจ็ดวัน ไม่ต้องมายืดเยื้อใช้เวลาเหมือนสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณาว่า นั่นเพราะเขาไม่เชื่อกรรม เขาคิดแต่พึ่งผู้อื่น ก็ไม่ว่ากัน หากแต่ความจริงอันนี้ จะพิสูจน์อย่างไรในวันนี้คงไม่ได้ แต่วันเวลาที่ผ่าน ก็ย่อมจักเป็นเครื่องยืนยันว่า "โลกใบนี้ ไม่มีวันที่มนุษย์จะค้นพบยารักษาโรค หรือวิธีรักษาโรคตายได้"
ยิ่งหายได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนนิสัย ไม่เอารอยของพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ด้วยขาดยุติธรรมแห่งโลกนั่นเอง คือ ทุกคนมีโอกาสไม่เท่ากัน
นี่แลลักษณะของกระต่ายตื่นตูม แทนที่จะตั้งสติ พิจารณา ค้นหาเหตุและผล ที่ได้ยินได้ฟังจาก ท่านอาสิ ก็วิ่งไปด้วยคิดว่าสิ่งที่ตนเป็น ฟังจากหมอนั้น น่ากลัว ด้วยคำขู่ เป็นอย่างนี้ ตาย...คำคำเดียว ก็ไม่พิจารณาอะไร คิดไปเอง ตนต้องตายแน่ในโรคที่เป็นอยู่ แล้วก็วิ่ง แห่เอาไปทางโน้นที ทางนี้ที ช่วยด้วย ที่ไหนว่ามียาดี ไปหมด หมอผี พิธีกรรม ลัทธิ ความเชื่อ พระ แม้นแต่เข้าทรงองค์เจ้า ก็ไป ล้วนแล้วแต่ทำเสมือนรถเสีย แล้ววิ่งไปหาช่างที่ไม่รู้จริง อวดสรรพคุณ แต่ทำไม่ได้ ยิ่งทำ รถยิ่งพัง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงชี้ความจริง ว่า ผู้ที่จะช่วยตนของตนได้ ก็มีแต่ตนพึ่งตน เท่านั้นแล มองไปหาอื่นไกล วิ่งหาให้เหนื่อยทำไม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หากแม้นศาสตร์นี้ช่วยไม่ได้ ก็ไม่มีที่ไหนช่วยได้แล้ว แลคนที่จะใช้ศาสตร์นี้ ก็ต้องใช้พฤติกรรมแห่งตนนั่นแลช่วยตน ท่านอาสิ ก็มีแต่เพียงคำสอน แนวทางที่จะช่วยตน ให้ไปพิจารณา แล้วทำ .... ใครทำได้ คนนั้นรอด
กรรมมันบังตา บังใจ สถานที่นี้ มีผู้คนมากมายประสพผล แต่ไม่ยอมเดิน สถานที่ที่มีแต่เสียงเล่าลือ หาคนหายจากโรคที่เป็นจริงๆไม่มีเลย เป็นตัวเป็นตนให้เห็น กลับแห่แหนกันไป
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เคยถามที่นั่นสักคำ ว่ากี่วันหาย รับรองจะหายไหม แต่เมื่อเจอของจริง ทำได้ หายแน่ ช้าเร็วก็แล้วแต่กรรมของคน ต่างกรรมต่างวาระ กำหนดไม่ได้ กลับคาดคั้น หรือ กำหนดวันซะงั้น สามเดือนหายไหม กี่วันหาย
ก็ถ้ายามันมีจริง ดีจริง หายจริง ไม่คิดหรือว่าประเทศที่ร่ำรวย มีเงิน ไม่ว่าอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน เขาจะนิ่งเฉย ไม่ทุ่มเงินมาซื้อไปให้คนของเขา มันคงไม่อยู่รอเราไปเอาหล่ะมั๊ง
ก็คีโมที่ว่าดี แล้วทำไมคนอเมริกา จึงตายด้วยมะเร็งปีละมากมายเล่า
ดั่งคำ "ถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ"
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เลยไปแล้ว
เมื่อนึกถึงการทำบุญ หลายท่านก็นึกถึงพระ นึกถึงวัด นึกถึงกฐิน ผ้าป้า การตักบาตร หลายคนอาจจะเลยไปว่า บุญใหญ่ก็สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างวัด พระพุทธรูปใหญ่ๆ เพื่อสืบศาสนา
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า บุญที่แแท้จริง คือ การทำนิสัยต่างหาก ลดนิสัยกรรม สร้างนิสัยพระพุทธเจ้า ให้เกิดแก่ตน
แลเมื่อมีนิสัยพระพุทธเจ้าแล้ว การสร้างบุญ ก็กลับกลายเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ประจำวัน ที่เราท่านมองข้าม ไม่สนใจ เพราะมองเป็นเรื่องเล็ก สนแต่เรื่องใหญ่
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทำไมต้องกตัญญู ต่อศาสนา ต่อพระพุทธเจ้า เพราะจะเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เราท่านควบคุมนิสัย ควบคุมการกระทำของตน เมื่อมีสิ่งนี้ ก็จักเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อจะกระทำสิ่งใด ดั่งคำ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"
ขยายความให้เห็นชัดว่า คนกตัญญูย่อมต้องทำในสิ่งที่ผู้มีคุณต้องการหรืออยากได้ เมื่อศาสนา และพระพุทธเจ้าอยากได้คนดี มีธรรม คนกตัญญู จึงมักนึกถึงเสมอหรือระลึกเป็นสติเตือนตน เมื่อจะกระทำสิ่งใด ย่อมต้องมองว่า พระพุทธเจ้าทรงกระทำอย่างไร หากท่านทรงเจอสิ่งนี้ แล้วก็เดินตาม
คนผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้า ดูการกระทำของพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง จึงเห็นธรรมของท่าน แล้วเดินตาม
บุญของพระพุทธเจ้า จึงเกิดจากสิ่งเล็กน้อย ตามรอยพระพุทธเจ้า ที่ทรงกลัวกรรม กลัวการเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกพุทธประวัติให้เห็น เพื่อพิจารณาว่า ครั้นเดินธุดงค์ไป เพลาบ่ายก็ทรงหาที่พัก แลมองเห็นข้าวในนาสุกงอมแล้ว ท่านก็ทรงเก็บเกี่ยวแล้ววางไว้ ครั้นเข้าก็เดินเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงทำอย่างนั้น ก็เพื่อไม่เป็นฝ่ายเบียดเบียนชาวบ้านแต่ถ่ายเดียวนั่นเอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า หากผู้ใดมีกตัญญู ก็จักเห็นชัดดั่งที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ คือมีนิสัย "อยู่บ้านท่านไม่นิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น" ให้เห็นเด่นชัด
การมีนิสัยธรรม จึงเกิดจากสิ่งเล็กน้อย เห็นสิ่งใดที่จะกระทำได้ ก็กระทำไม่วางเฉย เห็นช้อนตกหล่น ก็เก็บล้าง เอาไปไว้ที่ เห็นไฟเปิดอยู่ก็ปิดเสีย เห็นน้ำรั่ว เปิดทิ้ง ก็แก้ไข แม้นสิ่งนั้นไม่ใช่บ้านของเรา ยิ่งเป็นสถานที่ที่เราต้องไปพักพาอาศัย ยิ่งต้องสอดส่องดูแลยิ่งกว่าบ้านเราเสียอีก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา คนหนึ่งทานของปิ้งย่างเสร็จ ก็ทิ้งไม้ แล้วก็บอกว่าตนไม่เคยสร้างกรรม แต่หารู้ไม่ ไม้นั้น อาจไปทิ่มตำขาผู้อื่น จนบาดเจ็บ ผู้มีนิสัยธรรม เห็นพิจารณาได้ ก็ทำตามพระพุทธเจ้า เก็บไม้แหลมนั้นทิ้งเสียในที่ที่ควร นี่แลบุญ
เพราะบุญเกิดจากนิสัยที่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า สร้างสุขให้แก่ผู้อื่น ไม่โกรธ ไม่เห็นผิดผู้อื่น ก็เพราะจิตกตัญญู อยากเป็นคนดีของพระพุทธเจ้า ของศาสนา ข่มความโกรธ ขันติอดทน ให้อภัยแก่ผู้อื่น
อย่าไปมองเลยว่า บุญของพระพุทธเจ้าคือการสร้างวัตถุ คือต้องรอพระ ต้องไปที่วัด บุญของพระพุทธเจ้า ทำที่ไหนก็ได้ ขอเพียงให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ และทำด้วยอยากเป็นคนดีของพระพุทธเจ้า ของศาสนา มิใช่เพื่อหวังผลตอบแทน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า แค่มีสติ เห็นมะนาว มะกรูด ในบ้าน แบ่งมาสามผลห้าผล เอามาให้ทำสมุนไพร เพราะอยากมีนิสัยพระเวสสันดร เป็นคนดีของศาสนา ให้สุขแก่เพื่อนมนุษย์ ดีกว่าไปสร้างเจดีย์เสียอีก อย่าเลย และเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ด้วยเอามูลค่า เอาตัวเงินเป็นเครื่องวัด
เมื่อเริ่มถูก คือ เริ่มด้วยจิตกตัญญู อยากเป็นคนดี พฤติกรรมที่ดูเล็กน้อย ที่กระทำในแผ่นดินศาสนา อันเป็นแผ่นดินที่รวมคนทุกข์ ก็สามารถช่วยให้ตนสมปรารถนา คือ หายโรคได้โดยไม่ยากเลย
ไม่เชื่อก็ลองทำ แล้วดูผล ว่าไปสร้างโบสถ์ สร้างพระ ช่วยใครได้ แต่ไปล้างห้องน้ำ ไปช่วยทำสมุนไพร หิ้วมะกรูด มะนาวมา หรือ ทำที่ตนพอจะทำได้ ให้คนทุกข์ในแผ่นดินมูลนิธิไทยกรุณา นั้นช่วยให้หายโรคได้ เพราะจิตที่ทำมันต่างกัน เราท่านมาชวนกันทำ เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ ทำตนเป็นคนดี อันเป็นกตัญญูที่สนองในสิ่งที่พระพุทธเจ้า และศาสนาอยากได้นั่นเอง
เราเชื่อ เพราะเห็นมามากมาย อาทิ ลุงเป็นอัมพฤกต์ท่านหนึ่ง เดินไม่สะดวก ก้มไม่ได้ แต่ท่านก็ซื้อไม้เก็บขยะ หิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่ แล้วก็เดินคีบเก็บขยะที่คนอื่นเขาทิ้งกัน เก็บจนท่านไม่ต้องใช้ไม้คีบยาวๆ มาเป็นที่คีบถ่าน แลก็เห็นท่านเดินจนปกติ ก้มลงเก็บด้วยมือได้ ก็เห็นมาแล้ว
จึงอยากให้พิจารณาคำของหลวงพ่อนิพนธ์ อย่าคิดว่า แค่ปิดน้ำ ปิดไฟ แค่ช้อนคันเดียว แค่ไม้แหลมอันเดียว แค่มะกรูดไม่กี่ลูก มะพร้าวนิดหน่อย ไม่สำคัญ สู้โบสถ์ สู้วัด ไม่ได้ นั่นมันเลยบุญของพระพุทธเจ้าไปแล้ว เพราะการกระทำจะเป็นบุญ ย่อมต้องมีผลให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ แลที่ไหนจะดีกว่าแผ่นดินของศาสนา ที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนทุกข์เล่า แค่ห้องน้ำ คนทุกข์ก็มาใช้เป็นร้อยเป็นพัน แค่ดูแลสถานที่ คนทุกข์ก็มานั่งพัก เอาร่มเงา เอาร่มรื่น นั่งนอนสบาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอ ว่าขวดใบเดียวที่นำมาเพื่อใส่สมุนไพร ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านแล้ว เพราะช่วยให้หายปวด หายโรคได้ เนื่องด้วย ไม่มีขวด คนป่วยจะเอาอะไรใส่สมุนไพร จะมีสมุนไพรทานได้อย่างไร จะหายป่วยได้อย่างไร นี่แล อย่าเลย ด้วยเห็นว่าเล็กน้อย แล้วก็คอยแต่หาย คอยสักเท่าไหร่ ก็ไม่สมปรารถนาสักที เพราะขาดกตัญญู มันจึงขาดพฤติกรรมนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า บุญที่แแท้จริง คือ การทำนิสัยต่างหาก ลดนิสัยกรรม สร้างนิสัยพระพุทธเจ้า ให้เกิดแก่ตน
แลเมื่อมีนิสัยพระพุทธเจ้าแล้ว การสร้างบุญ ก็กลับกลายเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ประจำวัน ที่เราท่านมองข้าม ไม่สนใจ เพราะมองเป็นเรื่องเล็ก สนแต่เรื่องใหญ่
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทำไมต้องกตัญญู ต่อศาสนา ต่อพระพุทธเจ้า เพราะจะเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เราท่านควบคุมนิสัย ควบคุมการกระทำของตน เมื่อมีสิ่งนี้ ก็จักเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อจะกระทำสิ่งใด ดั่งคำ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"
ขยายความให้เห็นชัดว่า คนกตัญญูย่อมต้องทำในสิ่งที่ผู้มีคุณต้องการหรืออยากได้ เมื่อศาสนา และพระพุทธเจ้าอยากได้คนดี มีธรรม คนกตัญญู จึงมักนึกถึงเสมอหรือระลึกเป็นสติเตือนตน เมื่อจะกระทำสิ่งใด ย่อมต้องมองว่า พระพุทธเจ้าทรงกระทำอย่างไร หากท่านทรงเจอสิ่งนี้ แล้วก็เดินตาม
คนผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้า ดูการกระทำของพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง จึงเห็นธรรมของท่าน แล้วเดินตาม
บุญของพระพุทธเจ้า จึงเกิดจากสิ่งเล็กน้อย ตามรอยพระพุทธเจ้า ที่ทรงกลัวกรรม กลัวการเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกพุทธประวัติให้เห็น เพื่อพิจารณาว่า ครั้นเดินธุดงค์ไป เพลาบ่ายก็ทรงหาที่พัก แลมองเห็นข้าวในนาสุกงอมแล้ว ท่านก็ทรงเก็บเกี่ยวแล้ววางไว้ ครั้นเข้าก็เดินเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงทำอย่างนั้น ก็เพื่อไม่เป็นฝ่ายเบียดเบียนชาวบ้านแต่ถ่ายเดียวนั่นเอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า หากผู้ใดมีกตัญญู ก็จักเห็นชัดดั่งที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ คือมีนิสัย "อยู่บ้านท่านไม่นิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น" ให้เห็นเด่นชัด
การมีนิสัยธรรม จึงเกิดจากสิ่งเล็กน้อย เห็นสิ่งใดที่จะกระทำได้ ก็กระทำไม่วางเฉย เห็นช้อนตกหล่น ก็เก็บล้าง เอาไปไว้ที่ เห็นไฟเปิดอยู่ก็ปิดเสีย เห็นน้ำรั่ว เปิดทิ้ง ก็แก้ไข แม้นสิ่งนั้นไม่ใช่บ้านของเรา ยิ่งเป็นสถานที่ที่เราต้องไปพักพาอาศัย ยิ่งต้องสอดส่องดูแลยิ่งกว่าบ้านเราเสียอีก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา คนหนึ่งทานของปิ้งย่างเสร็จ ก็ทิ้งไม้ แล้วก็บอกว่าตนไม่เคยสร้างกรรม แต่หารู้ไม่ ไม้นั้น อาจไปทิ่มตำขาผู้อื่น จนบาดเจ็บ ผู้มีนิสัยธรรม เห็นพิจารณาได้ ก็ทำตามพระพุทธเจ้า เก็บไม้แหลมนั้นทิ้งเสียในที่ที่ควร นี่แลบุญ
เพราะบุญเกิดจากนิสัยที่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า สร้างสุขให้แก่ผู้อื่น ไม่โกรธ ไม่เห็นผิดผู้อื่น ก็เพราะจิตกตัญญู อยากเป็นคนดีของพระพุทธเจ้า ของศาสนา ข่มความโกรธ ขันติอดทน ให้อภัยแก่ผู้อื่น
อย่าไปมองเลยว่า บุญของพระพุทธเจ้าคือการสร้างวัตถุ คือต้องรอพระ ต้องไปที่วัด บุญของพระพุทธเจ้า ทำที่ไหนก็ได้ ขอเพียงให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ และทำด้วยอยากเป็นคนดีของพระพุทธเจ้า ของศาสนา มิใช่เพื่อหวังผลตอบแทน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า แค่มีสติ เห็นมะนาว มะกรูด ในบ้าน แบ่งมาสามผลห้าผล เอามาให้ทำสมุนไพร เพราะอยากมีนิสัยพระเวสสันดร เป็นคนดีของศาสนา ให้สุขแก่เพื่อนมนุษย์ ดีกว่าไปสร้างเจดีย์เสียอีก อย่าเลย และเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ด้วยเอามูลค่า เอาตัวเงินเป็นเครื่องวัด
เมื่อเริ่มถูก คือ เริ่มด้วยจิตกตัญญู อยากเป็นคนดี พฤติกรรมที่ดูเล็กน้อย ที่กระทำในแผ่นดินศาสนา อันเป็นแผ่นดินที่รวมคนทุกข์ ก็สามารถช่วยให้ตนสมปรารถนา คือ หายโรคได้โดยไม่ยากเลย
ไม่เชื่อก็ลองทำ แล้วดูผล ว่าไปสร้างโบสถ์ สร้างพระ ช่วยใครได้ แต่ไปล้างห้องน้ำ ไปช่วยทำสมุนไพร หิ้วมะกรูด มะนาวมา หรือ ทำที่ตนพอจะทำได้ ให้คนทุกข์ในแผ่นดินมูลนิธิไทยกรุณา นั้นช่วยให้หายโรคได้ เพราะจิตที่ทำมันต่างกัน เราท่านมาชวนกันทำ เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ ทำตนเป็นคนดี อันเป็นกตัญญูที่สนองในสิ่งที่พระพุทธเจ้า และศาสนาอยากได้นั่นเอง
เราเชื่อ เพราะเห็นมามากมาย อาทิ ลุงเป็นอัมพฤกต์ท่านหนึ่ง เดินไม่สะดวก ก้มไม่ได้ แต่ท่านก็ซื้อไม้เก็บขยะ หิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่ แล้วก็เดินคีบเก็บขยะที่คนอื่นเขาทิ้งกัน เก็บจนท่านไม่ต้องใช้ไม้คีบยาวๆ มาเป็นที่คีบถ่าน แลก็เห็นท่านเดินจนปกติ ก้มลงเก็บด้วยมือได้ ก็เห็นมาแล้ว
จึงอยากให้พิจารณาคำของหลวงพ่อนิพนธ์ อย่าคิดว่า แค่ปิดน้ำ ปิดไฟ แค่ช้อนคันเดียว แค่ไม้แหลมอันเดียว แค่มะกรูดไม่กี่ลูก มะพร้าวนิดหน่อย ไม่สำคัญ สู้โบสถ์ สู้วัด ไม่ได้ นั่นมันเลยบุญของพระพุทธเจ้าไปแล้ว เพราะการกระทำจะเป็นบุญ ย่อมต้องมีผลให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ แลที่ไหนจะดีกว่าแผ่นดินของศาสนา ที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนทุกข์เล่า แค่ห้องน้ำ คนทุกข์ก็มาใช้เป็นร้อยเป็นพัน แค่ดูแลสถานที่ คนทุกข์ก็มานั่งพัก เอาร่มเงา เอาร่มรื่น นั่งนอนสบาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอ ว่าขวดใบเดียวที่นำมาเพื่อใส่สมุนไพร ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านแล้ว เพราะช่วยให้หายปวด หายโรคได้ เนื่องด้วย ไม่มีขวด คนป่วยจะเอาอะไรใส่สมุนไพร จะมีสมุนไพรทานได้อย่างไร จะหายป่วยได้อย่างไร นี่แล อย่าเลย ด้วยเห็นว่าเล็กน้อย แล้วก็คอยแต่หาย คอยสักเท่าไหร่ ก็ไม่สมปรารถนาสักที เพราะขาดกตัญญู มันจึงขาดพฤติกรรมนั่นเอง
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560
รอยารักษา
ความหวัง ความเชื่อ ของคนจะเรียกว่าทั้งโลกก็ว่าได้ ด้วยเห็นความเจริญก้าวหน้าของวัตถุในโลกปัจจุบัน ย่อมอดคาดหวังไม่ได้ว่า โรคที่ตนเป็น ช้าเร็วย่อมมียารักษาได้อย่างแน่นอน
เทคโนโลยีที่ก้าวไปถึงขั้น พันธุกรรม DNA อันจะเห็นได้จากการตัดต่อยีนของพืชและสัตว์ให้ได้ตามที่ต้องการ และความสามารถเจาะเข้าไปในอะตอม ก็ยิ่งทำให้ความหวังโตใหญ่ และน่าจะเป็นจริงได้ในไม่ช้า
ความปลูกถ่าย หรือ เทคโนโลยีเสต็มเซลล์ ในสัตว์ ก็ยิ่งกระตุ้นความเชื่อ ในการจะมียารักษาโรค จนบางสำนักคุยโวไปจนถึงขนาดในอนาคตอันใกล้ จะสามารถพิชิตได้ทุกโรค ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า คนเหล่านั้นเชื่อว่า ด้วยวิทยาการแห่งตน จะสามารถชนะธรรมชาติได้ มิเพียงแต่การแพทย์ แม้นในความเป็นอยู่ ก็เชื่อว่า ตึกที่ตนสร้างแข็งแกร่ง ทนทานแผ่นดินไหว ลมฟ้าอากาศได้ สะพานที่สร้างก็แข็งแกร่ง ทนต่อคลี่นลมและพายุที่รุนแรงได้ ก็มีให้เห็นในหลากหลายประเทศ
ด้วยเหตุที่คนทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส ว่าโลกนี้ ไม่มีอำนาจอะไรที่จะเหนือกรรมได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวนั่นคือ "กรรม"
สิ่งนี้ ทำให้คนทั้งหลายเชื่อไม่ได้ในวันนี้ คนมากมายจึงรอยารักษาโรค แต่วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าปัญญามนุษย์นั้น กรรมเขาสร้างมา จะมาเหนือกรรม เป็นไปไม่ได้ นั่นคือ ไม่มีวันที่มนุษย์จะคิดค้นวิธีการเอาชนะโรค ที่มาเพื่อทำลายชีวิตได้ พูดง่ายๆ "ไม่มียาใดรักษาโรคตายได้" นั่นเอง
แม้นแต่วิทยาการที่มีความน่าจะเป็นไปได้ที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา นั่นคือ การให้เลือด ก็จักเห็นได้ว่า ร่างกายเมื่อรับมาแล้ว ก็จักต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามานี้ อันจะเห็นว่า แม้นในครั้งแรกๆของการให้ ร่างกายอาจจะยังไม่ปฏิเสธ แต่พอมากครั้งเข้า ร่างกายก็จะปฏิเสธเลือดที่ให้ แม้นจะมาจากแหล่งเดิม คนเดิม ที่เคยรับได้ก็ตามที สิ่งเหล่านี้มีให้เห็น และพบเสมอไม่เพียงแต่เลือด นั่นคือ การดื้อยา นั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์และท่านอาสิ จึงมักชี้ให้พิจารณาว่า หนทางที่จะประสพผลในการช่วยตน ให้หายโรค อันเป็นบทพิสูจน์ที่มีมานาน รู้กันทั่ว นั่นคือ ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ใช้หลัก "ตนพึ่งตน" และ "ธรรมชาติ คือสมุนไพร" หมายความว่า เรื่องการกอบกู้ชีวิต ไม่มีใคร หรืออะไร ที่จะช่วยตนของเราได้ นอกจาก ตนของเรานั่นเอง
ใครจะรอยาก็ไม่ว่าอะไร ใครจะทำตามความเห็นความเชื่อของตนอย่างไร ก็ไม่ว่ากัน หากแต่สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า หากคิดจะช่วยตน ควรเดินตามเยี่ยงอย่างรอยของพระพุทธเจ้า นั่นคือ "พึ่งตนเอง" ด้วยชี้ให้เห็นว่า เหตุแห่งโรค มิใช่เชื้อโรค แต่คือ "กรรม" เราทำมา หากจะพ้นทุกข์ ย่อมต้องตัดเหตุคือ "นิสัยกรรม" มาทำตนให้มีนิสัยธรรม ของพระพุทธเจ้า เป็นบางสิ่งบางอย่าง จึงจะช่วยตนได้
แพ้ชนะ หายไม่หาย ... ตนของตนนั่นแหละ คือ คำตอบ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า "ใครฟัง พิจารณา แล้วทำได้ คนนั้นรอด"
ท่านอาสิ ก็เพียงแต่ทำได้แค่สมุนไพร เพื่อให้โอกาส ยืดวันเวลา ให้เราท่านทั้งหลาย ได้มีกำลัง มีสติปัญญา มีความรู้ เพื่อที่จะทำนิสัยแห่งตน เพื่อช่วยตน เท่านั้นเอง ... จะหวังแต่เอาสมุนไพรดันเพื่อให้พ้นโรค อาจทำได้ แต่จะพ้นกรรม ไม่ได้เลย ถึงกระนั้น ... ท่านอาสิก็เน้นย้ำเสมอ หายโรค ไม่ได้บอกว่า จะไม่ตาย กรรมเขามีวิธีเยอะ ออกไปหน้ามูลนิธิ รถไฟชนตายก็มีให้เห็นแล้ว
สมุนไพรจึงเป็นแค่จุดเริ่ม ของการช่วยตน บทสุดท้ายคือ "นิสัย" ต่างหาก ที่เป็นคำตอบว่าชีวิตจะรอดปลอดภัยหรือไม่
เทคโนโลยีที่ก้าวไปถึงขั้น พันธุกรรม DNA อันจะเห็นได้จากการตัดต่อยีนของพืชและสัตว์ให้ได้ตามที่ต้องการ และความสามารถเจาะเข้าไปในอะตอม ก็ยิ่งทำให้ความหวังโตใหญ่ และน่าจะเป็นจริงได้ในไม่ช้า
ความปลูกถ่าย หรือ เทคโนโลยีเสต็มเซลล์ ในสัตว์ ก็ยิ่งกระตุ้นความเชื่อ ในการจะมียารักษาโรค จนบางสำนักคุยโวไปจนถึงขนาดในอนาคตอันใกล้ จะสามารถพิชิตได้ทุกโรค ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า คนเหล่านั้นเชื่อว่า ด้วยวิทยาการแห่งตน จะสามารถชนะธรรมชาติได้ มิเพียงแต่การแพทย์ แม้นในความเป็นอยู่ ก็เชื่อว่า ตึกที่ตนสร้างแข็งแกร่ง ทนทานแผ่นดินไหว ลมฟ้าอากาศได้ สะพานที่สร้างก็แข็งแกร่ง ทนต่อคลี่นลมและพายุที่รุนแรงได้ ก็มีให้เห็นในหลากหลายประเทศ
ด้วยเหตุที่คนทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส ว่าโลกนี้ ไม่มีอำนาจอะไรที่จะเหนือกรรมได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวนั่นคือ "กรรม"
สิ่งนี้ ทำให้คนทั้งหลายเชื่อไม่ได้ในวันนี้ คนมากมายจึงรอยารักษาโรค แต่วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าปัญญามนุษย์นั้น กรรมเขาสร้างมา จะมาเหนือกรรม เป็นไปไม่ได้ นั่นคือ ไม่มีวันที่มนุษย์จะคิดค้นวิธีการเอาชนะโรค ที่มาเพื่อทำลายชีวิตได้ พูดง่ายๆ "ไม่มียาใดรักษาโรคตายได้" นั่นเอง
แม้นแต่วิทยาการที่มีความน่าจะเป็นไปได้ที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา นั่นคือ การให้เลือด ก็จักเห็นได้ว่า ร่างกายเมื่อรับมาแล้ว ก็จักต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามานี้ อันจะเห็นว่า แม้นในครั้งแรกๆของการให้ ร่างกายอาจจะยังไม่ปฏิเสธ แต่พอมากครั้งเข้า ร่างกายก็จะปฏิเสธเลือดที่ให้ แม้นจะมาจากแหล่งเดิม คนเดิม ที่เคยรับได้ก็ตามที สิ่งเหล่านี้มีให้เห็น และพบเสมอไม่เพียงแต่เลือด นั่นคือ การดื้อยา นั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์และท่านอาสิ จึงมักชี้ให้พิจารณาว่า หนทางที่จะประสพผลในการช่วยตน ให้หายโรค อันเป็นบทพิสูจน์ที่มีมานาน รู้กันทั่ว นั่นคือ ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ใช้หลัก "ตนพึ่งตน" และ "ธรรมชาติ คือสมุนไพร" หมายความว่า เรื่องการกอบกู้ชีวิต ไม่มีใคร หรืออะไร ที่จะช่วยตนของเราได้ นอกจาก ตนของเรานั่นเอง
ใครจะรอยาก็ไม่ว่าอะไร ใครจะทำตามความเห็นความเชื่อของตนอย่างไร ก็ไม่ว่ากัน หากแต่สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า หากคิดจะช่วยตน ควรเดินตามเยี่ยงอย่างรอยของพระพุทธเจ้า นั่นคือ "พึ่งตนเอง" ด้วยชี้ให้เห็นว่า เหตุแห่งโรค มิใช่เชื้อโรค แต่คือ "กรรม" เราทำมา หากจะพ้นทุกข์ ย่อมต้องตัดเหตุคือ "นิสัยกรรม" มาทำตนให้มีนิสัยธรรม ของพระพุทธเจ้า เป็นบางสิ่งบางอย่าง จึงจะช่วยตนได้
แพ้ชนะ หายไม่หาย ... ตนของตนนั่นแหละ คือ คำตอบ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า "ใครฟัง พิจารณา แล้วทำได้ คนนั้นรอด"
ท่านอาสิ ก็เพียงแต่ทำได้แค่สมุนไพร เพื่อให้โอกาส ยืดวันเวลา ให้เราท่านทั้งหลาย ได้มีกำลัง มีสติปัญญา มีความรู้ เพื่อที่จะทำนิสัยแห่งตน เพื่อช่วยตน เท่านั้นเอง ... จะหวังแต่เอาสมุนไพรดันเพื่อให้พ้นโรค อาจทำได้ แต่จะพ้นกรรม ไม่ได้เลย ถึงกระนั้น ... ท่านอาสิก็เน้นย้ำเสมอ หายโรค ไม่ได้บอกว่า จะไม่ตาย กรรมเขามีวิธีเยอะ ออกไปหน้ามูลนิธิ รถไฟชนตายก็มีให้เห็นแล้ว
สมุนไพรจึงเป็นแค่จุดเริ่ม ของการช่วยตน บทสุดท้ายคือ "นิสัย" ต่างหาก ที่เป็นคำตอบว่าชีวิตจะรอดปลอดภัยหรือไม่
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560
กระไดกตัญญู
ท่านอาสิชี้ให้เห็นว่า ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาเพื่อหาบุญนั้น ต้องทำนิสัยใหม่ คือนิสัยของพระพุทธเจ้า เพียงประการเดียว จึงจักเป็นบุญ หาใช่สร้างด้วยวัตถุไม่
แลก็ชี้ให้เห็นอีกว่า กระบวนการที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำเป็นแบบ ให้เดินตาม อันนับได้ว่าเป็นกระไดขั้นแรกในการสร้างนิสัยของพระพุทธเจ้าให้เกิดแก่ตน นั่นคือ กระไดกตัญญู
หากไร้เสียซึ่งกตัญญู การเดินในแนวทางพุทธศาสนา ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะเกิดผล มักจะลงเอยในรูป ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา ไปเสียหมด
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พระที่บวชมาทุกรูปเห็นเสมอว่า ทุกคนที่บวชเข้ามาล้วนแล้วแต่ปรารถนาในพระพุทธศาสนาทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าจะบวชสั้นหรือยาว ก็หวังมรรคผลในสิ่งที่ตนทำทั้งหมดทั้งปวง ว่าจะเป็นไปด้วยเจริญในธรรม
แต่ไฉน พระที่มีมากมายกว่าสามแสนรูป ในปัจจุบัน จึงไม่พบทางที่ตนปรารถนาเล่า
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ก็ด้วยข้ามกระไดกตัญญูนี้ไปนั่นเอง
เพราะนิสัยของพระพุทธเจ้านั้น เป็นนิสัยที่เราท่านยังไม่เคยมีเคยทำมา สิ่งที่มีอยู่คุ้นชิน ก็มีเพียงนิสัยกรรมนิสัยเวร ที่สร้างทุกข์ให้แก่ตน เท่านั้นเอง
ดังนั้น กรรมเขามีอำนาจ นิสัยเดิมก็ชักชวนให้หันเหกลับมา ด้วยทำง่าย นิสัยของพระพุทธเจ้า หากใครได้ลองทำตามที่ท่านอาสิชี้ คือ วางสัจจะไม่โกรธ ลองทำดูสักชั่วโมง ก็จักเห็นว่า เป็นงานที่หนักหนาสาหัสแก่ตน ไม่ว่า กาย วาจา ใจ ยิ่งนัก
ดังนั้น การจะดำรงนิสัยของพระพุทธเจ้า ให้เกิดแก่ตน ช้าเร็ว ย่อมอยู่ในสภาพเสมือนแบกภูเขา จึงเรียกวินัยนี้ว่า "วินัยทุกข์" ที่ต้องแบกไว้ตลอดเวลา จะทำได้อย่างไร เมื่อตนไม่คุ้นเคย ไม่ช้า ไม่นาน ก็วางทิ้งไปแทบทุกตัวคน
นี่แล แม่ชีเมี้ยนจึงทรงให้สติขันติสงฆ์ของท่านว่า ให้พิจารณา ตัวกตัญญู เป็นน้ำหนัก เมื่อจิตใจของเราเศร้าหมอง นั่นกรรมของเรา สิ่งที่เราท่านทำอยู่ ก็มีสติว่า เพื่อให้สิ่งที่ครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้า นั้นทรงยินดีว่ามีผู้อยากทำ และทำได้ เราท่านจะได้มีมานะในการดำรงวินัยทุกข์ เพื่อสร้างนิสัยสุขของศาสนา ให้บังเกิดแก่ตนให้จงได้ จะได้ทำตนอยู่ดูศาสนาได้
สติของความกตัญญูนี้แหละ จะพาเราท่านก้าวข้ามความเศร้าหมอง แลทำได้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ว่า อย่ามองว่าเป็นพฤติกรรมเล็กน้อย การไหว้พ่อแม่ เพื่อความกตัญญู ก็สามารถช่วยให้พ้นกรรมพ้นเวรได้เป็นบางสิ่งบางอย่าง การระลึกคุณอยู่เสมอ ของแม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า ก็จะทำให้จิตใจเราเข็มแข็ง ในการทำนิสัยสุขของพระพุทธเจ้า และชุ่มอ่อนลง ในการมีเมตตาแก่ผู้อื่น ปรารถนาจะให้สุขแก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ตามครูบาอาจารย์ พระพุทธ และแม่ชีเมี้ยน
จึงเป็นบททดสอบที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ให้ดูว่า หากจะมองว่าใครจะประสพผลในแนวทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เมื่อเข้ามาในเขต ใครที่มีกตัญญู ก็จักมีสติว่า การบูชาพระพุทธศาสนา หาใช่ด้วยวัตถุไม่ แต่ด้วยการลดกิริยา ที่ซึ่งเป็นการกระทำที่ยิงนกทีเดียวได้หลายตัว ได้ทั้งแสดงเอกลักษณ์ศาสนา อันเป็นกตัญญูที่ให้แก่ศาสนา ได้ทั้งการควบคุมนิสัยไม่สร้างกรรมแก่ตน ได้ทั้งนิสัยใหม่ที่จะบังเกิดแก่ตน ได้สร้างสุขให้ผู้อื่น ที่สำคัญ ได้ทำให้คนทั้งหลายทั้งปวงได้รู้ว่า หนทางแห่งการช่วยตน นั้นต้องทำเอง ไม่ใช่รอพึ่งสมุนไพรแต่เพียงถ่ายเดียว
หากเราท่านทั้งหลายทำได้ แผ่นดินของหลวงพ่อนิพนธ์ แม้นจะมีคนที่ทุกข์ด้วยโรค แต่ทุกคนที่มาก็หาได้เศร้าซึม หมดอาลัยตายอยาก เสมือนคนในโรงพยาบาล แต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ด้วยเห็นทางรอด ต่างพยายามให้สุขแก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ยกฐานะวิญญาณของตน ให้เป็นผู้ให้ และยิ้มได้เพราะรู้ว่า ในไม่ช้าผลแห่งสุขจะย้อนกลับมาหาตน ด้วยสุขที่ตนให้แก่ผู้อื่นในวันนี้
แลจะทำเช่นนั้นได้ มิใช่เรื่องยากเลยที่จะหายโรค ก็เพียงแต่มีจิตกตัญญู สนองคุณของผู้ให้ ไม่ว่า แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ ครูบาอาจารย์ แล้วนำมาเป็นสติควบคุมตน ให้ตนของตนทำได้ .... ใครทำได้ คนนั้นชี้วิตปลอดภัย ได้หายโรคเป็นของแถม ชีวิตภายภาคหน้าก็มีสุข ด้วยนิสัยให้สุขนี้ ย่อมสร้างสุขรอตนในวันข้างหน้านั่นเอง
จะมาเพียงเพื่อทานสมุนไพรหายโรค .... แล้วนิสัยเหมือนเดิม ... สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน จะช่วยเล่า ... สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่โง่ ช่วยคนทำบาปจนกรรมบันดาลให้เป็นโรค แล้วทำให้คนนั้นหายโรค ไปทำบาปต่อ .... คนที่รับผล ย่อมฟ้องฟ้าดินว่า ไปช่วยทำไม ถ้าไม่ช่วยไอ้คนนี้ก็ตายห่าไปแล้ว ย้อนกลับมาทำบาปแก่เขาไม่ได้แล้ว ...
ก็แล้วถ้าท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะช่วยคนที่เอาแต่ทานสมุนไพร เพียงเพื่อหายโรค หรือไม่
แลก็ชี้ให้เห็นอีกว่า กระบวนการที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำเป็นแบบ ให้เดินตาม อันนับได้ว่าเป็นกระไดขั้นแรกในการสร้างนิสัยของพระพุทธเจ้าให้เกิดแก่ตน นั่นคือ กระไดกตัญญู
หากไร้เสียซึ่งกตัญญู การเดินในแนวทางพุทธศาสนา ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะเกิดผล มักจะลงเอยในรูป ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา ไปเสียหมด
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พระที่บวชมาทุกรูปเห็นเสมอว่า ทุกคนที่บวชเข้ามาล้วนแล้วแต่ปรารถนาในพระพุทธศาสนาทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าจะบวชสั้นหรือยาว ก็หวังมรรคผลในสิ่งที่ตนทำทั้งหมดทั้งปวง ว่าจะเป็นไปด้วยเจริญในธรรม
แต่ไฉน พระที่มีมากมายกว่าสามแสนรูป ในปัจจุบัน จึงไม่พบทางที่ตนปรารถนาเล่า
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ก็ด้วยข้ามกระไดกตัญญูนี้ไปนั่นเอง
เพราะนิสัยของพระพุทธเจ้านั้น เป็นนิสัยที่เราท่านยังไม่เคยมีเคยทำมา สิ่งที่มีอยู่คุ้นชิน ก็มีเพียงนิสัยกรรมนิสัยเวร ที่สร้างทุกข์ให้แก่ตน เท่านั้นเอง
ดังนั้น กรรมเขามีอำนาจ นิสัยเดิมก็ชักชวนให้หันเหกลับมา ด้วยทำง่าย นิสัยของพระพุทธเจ้า หากใครได้ลองทำตามที่ท่านอาสิชี้ คือ วางสัจจะไม่โกรธ ลองทำดูสักชั่วโมง ก็จักเห็นว่า เป็นงานที่หนักหนาสาหัสแก่ตน ไม่ว่า กาย วาจา ใจ ยิ่งนัก
ดังนั้น การจะดำรงนิสัยของพระพุทธเจ้า ให้เกิดแก่ตน ช้าเร็ว ย่อมอยู่ในสภาพเสมือนแบกภูเขา จึงเรียกวินัยนี้ว่า "วินัยทุกข์" ที่ต้องแบกไว้ตลอดเวลา จะทำได้อย่างไร เมื่อตนไม่คุ้นเคย ไม่ช้า ไม่นาน ก็วางทิ้งไปแทบทุกตัวคน
นี่แล แม่ชีเมี้ยนจึงทรงให้สติขันติสงฆ์ของท่านว่า ให้พิจารณา ตัวกตัญญู เป็นน้ำหนัก เมื่อจิตใจของเราเศร้าหมอง นั่นกรรมของเรา สิ่งที่เราท่านทำอยู่ ก็มีสติว่า เพื่อให้สิ่งที่ครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้า นั้นทรงยินดีว่ามีผู้อยากทำ และทำได้ เราท่านจะได้มีมานะในการดำรงวินัยทุกข์ เพื่อสร้างนิสัยสุขของศาสนา ให้บังเกิดแก่ตนให้จงได้ จะได้ทำตนอยู่ดูศาสนาได้
สติของความกตัญญูนี้แหละ จะพาเราท่านก้าวข้ามความเศร้าหมอง แลทำได้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ว่า อย่ามองว่าเป็นพฤติกรรมเล็กน้อย การไหว้พ่อแม่ เพื่อความกตัญญู ก็สามารถช่วยให้พ้นกรรมพ้นเวรได้เป็นบางสิ่งบางอย่าง การระลึกคุณอยู่เสมอ ของแม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า ก็จะทำให้จิตใจเราเข็มแข็ง ในการทำนิสัยสุขของพระพุทธเจ้า และชุ่มอ่อนลง ในการมีเมตตาแก่ผู้อื่น ปรารถนาจะให้สุขแก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ตามครูบาอาจารย์ พระพุทธ และแม่ชีเมี้ยน
จึงเป็นบททดสอบที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ให้ดูว่า หากจะมองว่าใครจะประสพผลในแนวทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เมื่อเข้ามาในเขต ใครที่มีกตัญญู ก็จักมีสติว่า การบูชาพระพุทธศาสนา หาใช่ด้วยวัตถุไม่ แต่ด้วยการลดกิริยา ที่ซึ่งเป็นการกระทำที่ยิงนกทีเดียวได้หลายตัว ได้ทั้งแสดงเอกลักษณ์ศาสนา อันเป็นกตัญญูที่ให้แก่ศาสนา ได้ทั้งการควบคุมนิสัยไม่สร้างกรรมแก่ตน ได้ทั้งนิสัยใหม่ที่จะบังเกิดแก่ตน ได้สร้างสุขให้ผู้อื่น ที่สำคัญ ได้ทำให้คนทั้งหลายทั้งปวงได้รู้ว่า หนทางแห่งการช่วยตน นั้นต้องทำเอง ไม่ใช่รอพึ่งสมุนไพรแต่เพียงถ่ายเดียว
หากเราท่านทั้งหลายทำได้ แผ่นดินของหลวงพ่อนิพนธ์ แม้นจะมีคนที่ทุกข์ด้วยโรค แต่ทุกคนที่มาก็หาได้เศร้าซึม หมดอาลัยตายอยาก เสมือนคนในโรงพยาบาล แต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ด้วยเห็นทางรอด ต่างพยายามให้สุขแก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ยกฐานะวิญญาณของตน ให้เป็นผู้ให้ และยิ้มได้เพราะรู้ว่า ในไม่ช้าผลแห่งสุขจะย้อนกลับมาหาตน ด้วยสุขที่ตนให้แก่ผู้อื่นในวันนี้
แลจะทำเช่นนั้นได้ มิใช่เรื่องยากเลยที่จะหายโรค ก็เพียงแต่มีจิตกตัญญู สนองคุณของผู้ให้ ไม่ว่า แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ ครูบาอาจารย์ แล้วนำมาเป็นสติควบคุมตน ให้ตนของตนทำได้ .... ใครทำได้ คนนั้นชี้วิตปลอดภัย ได้หายโรคเป็นของแถม ชีวิตภายภาคหน้าก็มีสุข ด้วยนิสัยให้สุขนี้ ย่อมสร้างสุขรอตนในวันข้างหน้านั่นเอง
จะมาเพียงเพื่อทานสมุนไพรหายโรค .... แล้วนิสัยเหมือนเดิม ... สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน จะช่วยเล่า ... สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่โง่ ช่วยคนทำบาปจนกรรมบันดาลให้เป็นโรค แล้วทำให้คนนั้นหายโรค ไปทำบาปต่อ .... คนที่รับผล ย่อมฟ้องฟ้าดินว่า ไปช่วยทำไม ถ้าไม่ช่วยไอ้คนนี้ก็ตายห่าไปแล้ว ย้อนกลับมาทำบาปแก่เขาไม่ได้แล้ว ...
ก็แล้วถ้าท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะช่วยคนที่เอาแต่ทานสมุนไพร เพียงเพื่อหายโรค หรือไม่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)