เคยสงสัยไหมว่า ทำไม ค้ำจุนโลก จึงต้องใช้ "เมตตาธรรม" ก็แค่เมตตาอย่างเดียวไม่พอหรือ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า อันเมตตาของมนุษย์ที่มีมาตามนิสัยสันดานเดิม มักจะเป็นไปตามกรรมที่มีมาในอดีตเป็นสำคัญ อาทิ บิดามารดา มีต่อบุตร หรือแม้นกระทั่ง สรรพสัตว์ ที่เลี้ยงอยู่
เมตตานั้น เป็นเนื่องด้วยกรรมทำกันมา มีสายใยผูกพันธ์เป็นต่อก่อเกิด หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้เห็นชัด ดูคนที่บอกว่ารักเมตตาสัตว์นั่นสิ สัตว์เลี้ยงของตนดูแลฟูมฟักอย่างดี กินดี อยู่ดี ให้ความรักใคร แต่กับที่ไม่ใช่ของตัว หรือแม้นแต่คน กลับไม่แยแส มีให้เห็นมากมาย
ครั้นเมื่อเจอศาสนา ที่สอนให้เราท่านมีเมตตา เริ่มจากความคิดพื้นฐาน ที่พระภูมีทรงสอน นั่นคือ "ให้สุขแก่ผู้อื่น" ดังนั้น จึงเมตตาเสมอเหมือนกันหมด อาทิเช่นในมูลนิธิ ไม่ว่าใครผ่านมา ก็ได้รับอนุเคราะห์เมตตาเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น พระภูมียังตอกย้ำอีกว่า หากจะให้สมบูรณ์ในเมตตานั้น ก็ควรทำเสมือนหนึ่งเป็นธรรมที่ทรงให้ นั่นคือ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
เมตตาธรรม จึงค้ำจุนโลกใบนี้ได้ เพราะการให้นั้น ไม่จำกัดเฉพาะคนที่ตนรัก ตนชอบ ไม่มีสิ่งแอบแฝงในการให้ ด้วยไม่หวังผลประโยชน์ สิ่งที่ให้จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ เราท่านพึงจักกระทำได้นั่นเอง สิ่งที่ให้ย่อมพิจารณาแล้วว่าไม่มีโทษ ด้วยปรารถนาให้สุขแก่ผู้อื่น
บทสรุป จึงไม่แปลกที่จะได้ยินท่านอาสิกล่าวเสมอว่า สมุนไพรสูตรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ทำให้ ผู้ที่ทานย่อมมีแต่คุณ ไม่มีโทษ อาการที่เกิดนั่นเป็นด้วยโรคที่เป็นแสดงอาการ เพราะถ้ามีเหตุจากสมุนไพร ย่อมต้องเกิดอาการนั้นๆกับทุกคนที่ทานเช่นกัน
ศาสตร์อันนี้ จึงไม่กลัวคนโขมย ลักไปทำ หรือแม้นแต่คนอยากเรียน ก็ยิ่งทำให้ ผลก็ยิ่งมาก คนทำก็ยิ่งเป็นภาระ จะมีใครที่ยอมเสียสละเพื่อคนทั่วไป เท่าที่เห็นก็มีแต่หลวงพ่อนิพนธ์นี่แหละ
คนที่จะทานแล้วได้ผล ก็ต้องไม่ต่างอะไรกับคนทำ คือ ต้องสร้างคุณสมบัติ เป็นคนมีธรรม มีเจตนา นำกำลังที่ได้ ไปให้สุขผู้อื่น ทำตัวสอดคล้องเป็นกิ่งทองใบหยก ไม่ใช่กูหายแล้วกูก็เล่นตามนิสัยสันดานเดิม กล้บไปสร้างทุกข์ให้ผู้อื่นอีก สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่โง่ทำเช่นนั้น ช่วยคนเช่นนั้นแน