คงไม่ใครคนใดที่ไม่ปรารถนาจะมีสุข ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เวลานี้จมอยู่กับกองทุกข์ คือ โรค ที่บีบเค้นร่างกายและวิญญาณทุกเมื่อเชื่อวัน
จะด้วยบุญเก่า อย่างที่ อ.อร่าม มักกล่าวเสมอ หรืออะไรก็ตามแต่ พัดพาเราท่านให้มาถึงแผ่นดินของหลวงพ่อนิพนธ์
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ บทบัญญัติของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้พิจารณาว่า อันสุขนั้น จะแสวงหามาใส่ตนสักฉันใด ไม่ได้เลย หนทางที่จะทำให้ตนถึงซึ่งความสุข กลับกลายเป็นการตีวัวกระทบคราดซะงั้น นั่นก็คือ ต้องสร้างสุขให้ผู้อื่นก่อน แล้วผลนั้นจึงย้อนกลับมายังตน เฉกเช่นเดียวกับกรรมฉันใดก็ฉันนั้น ที่เราสร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่น วันนี้มันย้อนมายังตนแล้ว
ภาพอันเด่นชัดของศาสนา ที่เป็นดินแดนสงบสุข ... สงบ แล้วจึงสุข ที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามสร้าง เพราะนั่นคือ เอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
การมาเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ของเราท่าน จึงมาหาความสงบ เพื่อสร้างสุข แต่ครั้นพอคนทั้งหลายมาแล้ว ดูตัวอย่างคนที่มาก่อน โฆษณาว่าสมุนไพรดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ทำลายศาสนาสิ้น นั่นคือ หาความสงบสุขไม่ได้เลย เอาแต่สมุนไพร
แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า จะมาทำเพื่อช่วยคนหรือฆ่าคน หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนพระเสมอว่า การทำสมุนไพรช่วยคน อยากจะให้สมบูรณ์ ก็ต้องทำพร้อมกาย วาจา ใจ มิใช่ห้ามพูด หากแต่การพูดหรือใช้วาจา ก็ควรอยู่ในร่องธรรม พูดสิ่งที่ดี อาทิ คุยกันในเรื่องการปฏิบัติ หรือวินัยธรรมที่ตนสงสัย หากอยู่คนเดียว หรือไม่อยากคุย เอาชัว ก็สวดมนต์ไปทำไป
แต่ภาพที่ปรากฎในวันนี้ พอใจกับการอุทิศตนของตนแล้ว ฉันเป็นจิตอาสา มาทำก็เหนื่อย ค่าสูงส่งยิ่ง ดังนั้น ฉันก็ไม่ต้องสวดมนต์ตามที่ท่านอาสิสอนก็ได้ ฉันไม่ต้องควบคุม อยากพูดอะไรก็ได้ นั่นก็ยังพอทำเนา แต่คนไม่รู้มาทีหลัง เห็นรุ่นพึ่ทำแบบนี้ได้ ก็คิดว่าทำได้ ... เลยไม่เหลือภาพความสงบในหมู่จิตอาสาแทบจะให้เห็นเลย
น่าเสียดาย หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติว่า มือทำ เอาปากลบไปเสียหมด เลยยังไม่รู้ว่า ที่เหนื่อยนั้น ที่เสียสละนั้น จะเหลือกลับบ้านหรือเปล่า ก็ไม่แปลกใจ หลายคนบอก เป็นจิตอาสามาตั้งนาน สภาพของตนก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง
บทสรุป ทุกวันนี้ จึงยังมองไม่เห็นร่องธรรมที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ให้คนทั้งหลายเห็น พิจารณา แล้วทำตาม เพื่อยังผลของตนสมปรารถนาได้เลย ถ้าใครถามว่า ฉันจะหายโรคอย่างไร แรงที่ลงไปมากมาย ของทุกคน ผลที่ได้มันจึงน้อย
อยากจะเห็นความเฉียบขาดในการช่วยมนุษย์ให้หายโรค ของศาสนา ลองมองแผ่นดินนี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสมือนวัด ทำตนเสมือนพวกที่ไปหาเจ้า นั่งสงบเงียบ ตั้งใจฟัง ยามที่จะขอหวย เป็นต้นแบบให้คนที่มาทีหลังเห็นว่า จะพึงรอด พระภูมีสอนว่าบูชาศาสนา ก็ด้วยลดกิริยา สร้างสุขให้ผู้อื่น
พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ ก็บอกว่า "มีที่เว้นบ้าง" มิใช่จะเอาแต่นิสัยสันดานตนมาใช้ ไม่มีที่เว้นเลย แล้วจะให้กรรมมันเว้น ได้อย่างไร
ถามตนเองก่อน พฤติกรรมของเรา สร้างสุขให้ผู้อื่นหรือไม่ ก็คนที่หนึ่งคุย คนที่สองมา มันก็คุยตาม สามสี่ห้า จะไปเหลืออะไร มันก็นึกว่าคุยแล้วก็รอดได้ เท่ากับชี้ช่องผิด หรือพูดง่ายๆ กำลังฆ่าคนนั่นเอง แล้วผลที่จะย้อนกลับมายังตน จะเป็นอะไร เป็นสุขได้หรือ หายโรคได้หรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า หลักศาสนาเป็นหลักปราชญ์ ดังนั้น ดูง่ายใครจะรอด ใครจะหาย ก็ถ้าพฤติกรรม ในระหว่างกิจกรรมของศาสนา กับภายนอกมันเหมือนกัน ก็เรียบร้อย ใครที่มีสติ อยู่ในกรรมฐานสงฆ์ ในการทำกิจกรรม สงบได้ นั่นแหละรอด
มาร่วมสร้างแบบอย่างที่รอด กันดีกว่าไหม แบบที่มาแล้วช่วยไม่ได้ มีเต็มโลกแล้ว
ก็อย่างที่ท่านอาสิสอน อย่างน้อยก็ทำเพื่อแสดงความกตัญญู ต่อศาสนา ต่อพระพุทธ ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ทำให้เราท่านมีโอกาสพ้นทุกข์ โชว์ให้โลกเห็น ได้เป็นทางเลือก ว่า หากอยากจะหายโรค ทำได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคุมตนบางสิ่งบางอย่าง บางเวลา และให้สุขแก่ผู้อื่น หนีความวุ่นวายโลกภายนอก มาสงบตนในแผ่นดินนี้ นี่แหละช่วยตนพ้นทุกข์ได้ ได้ทั้งสุขกายคือ หายโรค และสุขนิสัย อันจะเป็นเครื่องมือสร้างกรรมดีรอตนในวันข้างหน้า