ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560
กงจักร ดอกบัว
คำโบราณ สอนไว้ว่า "มนุษย์มักเห็นกงจักรเป็นดอกบัว" มันคืออะไร
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบาย ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ทั่วไป มักไม่เอาเหตุ เอาผล มาพิจารณา จะเอาแต่สุขเฉพาะหน้า ดั่งที่แม่ชีเมี้ยนสรุปนิสัยให้ฟังว่า "อยากกินเป็นหน้า อยากสุขเป็นสะพาน อยากจะสุขสันดาน ให้ครึกครื้นประจำวัน"
หรือที่หลายคนชอบพูดว่า วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง วันนี้ข้าขอมันก่อน สนุกให้เต็มคราบ ไม่สนอะไรทั้งสิ้น
ยิ่งรวมกลุ่ม รวมพวกแล้วด้วยไซร้ ก็ยิ่งยากที่จะชนะใจ คือ พิจารณาผลแห่งการกระทำ จึงไม่แปลก ที่รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังอดไปรุมโทรมหญิงกับเพื่อนไม่ได้ อดไปรุมตีเขาไม่ได้ อดกินเหล้าจนเมาปลิ้นไม่ได้
หรือ จะแสดงว่าตนมีระดับ ด้วยความมีเงินแห่งตน ทำอะไรก็ได้
แล้วก็อ้างเอ่ยว่านั่นคือ ชีวิตที่มีความสุข
หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า หากจะพิจารณาชีวิตมนุษย์แล้วไซร้ อะไรคือ ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์ "การกินได้ นอนหลับ" นั่นแหละสุขที่แท้จริงของมนุษย์
เมื่อเปรียบเทียบสองฝั่ง การทำตามนิสัยตน ที่บอกว่าดีสุด สนุกสุดเหวี่ยง ได้ตามใจปรารถนา เหมือนอยู่แดนสวรรค์ มองพฤติกรรมนี้ว่า คือ "ดอกบัว" เป็นสรวงสวรรค์ในแดนมนุษย์ หากแต่วันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ยิ่งทำ ยิ่งนานวัน สุขที่แท้จริง ก็จะค่อยๆเลือนหายไปจากตน กว่าจะรู้ตัวอีกที "กินลำบาก นอนลำบาก" ถึงตอนนั้นจะร้องให้ใครช่วย สิ่งที่บอกว่าช่วยได้ ไม่ว่า หมอ พระ เจ้าลัทธิ .... ล้วนส่ายหน้าทั้งหมดทั้งสิ้น
หากแต่วินัยของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คนทั้งหลายต่างกล่าวว่า "เป็นวินัยทุกข์" ทำแล้วมีแต่ทุก กินก็ต้องกินมื้อเดียว ขึ้นรถ ก็ไม่ได้ รับเงินก็ไม่ได้ บวชแล้วนอนเฉยๆก็ไม่ได้ กินแล้วห้ามนอน แม้แต่เป็นฆราวาส ก็ยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นิสัยตน ที่ดูแล้วฝืนกับตนเองยิ่ง ทำแล้วอึดอัดเป็นทุกข์ แต่วินัยทุกข์ของพระภูมีนี้ เมื่อทำแล้ว ผ่านเวลายิ่งเนิ่นนาน ผลที่เห็นก็คือ "กลับมากินเป็นสุข นอนเป็นสุข" อีกครั้ง
บทสรุป คำตรัสของพระภูมี ที่ว่า "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า อย่าท้อใจ" ที่มนุษย์มองว่าเป็นกงจักร กลับให้คุณมหาศาลในภายภาคหน้า และจะทำให้ถึงสุขที่แท้จริง ที่พระภูมีปรารถนาให้มนุษย์ได้สัมผัส นั่นคือ "สุขนิสัย" อันเป็นสุขที่เกิดจาก การให้สุขผู้อื่นเป็นอุปนิสัยใหม่ ที่บังเกิดแก่ตนนั่นเอง
เรื่องของศาสนา แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า "วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์" ผู้ที่ปรารถนาสุข จึงต้องเป็นผู้ที่ทำตนเหนือมนุษย์ คือมีที่เว้น บางสิ่งบางอย่าง เป็นวินัยทุกข์เพื่อตัดลดนิสัยกรรมแห่งตน แลสร้างนิสัยธรรมให้เกิดแก่ตน อาทิที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ฝึก คือ ไม่โกรธ วันละหนึ่งชั่วโมง ผลที่ทำได้นี่แหละ เป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นตัวสร้างสุขแก่ตน ในภายภาคหน้า ... เป็นบุญบารมี ที่เสมือนเงาติดตามผู้ทำไปทุกหนทุกแห่ง แม้นกระทั่งภพหน้า
ใครจะบอกว่า ชีวิตต้องใช้ให้สนุกสุดเหวี่ยง อยากทำอะไรทำ นั่นไม่ว่ากัน แต่คนดีมีธรรม จะต้องควบคุมนิสัยตน ยิ่งนิสัยที่สร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่นมหาศาลด้วยแล้ว ทำไม่ได้ ต้องหยุดตัวเองให้ได้ เมื่อวันเวลามาถึง คนทั่วไป ก็ตกอยู่ในวัฐจักรของจักรวาล เมื่อสิ้นวาสนา เกิดแล้ว แก่แล้ว ทีนี้แหละผลแห่งการกระทำจะบังเกิด นั่นคือ ความเจ็บ ที่จะมาทำให้ถึงแก่ความตายอย่างทรมาน แต่ไม่ใช่สำหรับคนดีมีธรรม ที่เดินตามวินัยทุกข์ของพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งจะไม่เจ็บ แลตายอย่างสบาย ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ... ชีวิตมนุษย์ จึงวัดกันที่ตอนตาย
คนที่ปล่อยตนตามนิสัย เห็นสิ่งที่ตนทำเป็นดอกบัว ท้ายที่สุดจักพบความเป็นจริง ผลแห่งตัวกระทำแห่งตน จักกลายเป็นกงจักร ตัดใส้ ตัดพุง ตัดปอด ตัดหัวใจ สร้างทุกขเวทนาให้ตน ทรมานจนตาย กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นกงจักร ก็บอกใครไม่ได้ เพราะเห็นเมื่อเวลาตนจะตายแล้วนั่นเอง
หากแต่ใครที่เดินตามรอยพระภูมี อันเป็นวินัยทุกข์ที่ผู้อื่นมองเป็นกงจักร เมื่อยามตาย จะรู้ตนว่า .... ทำไมพระภูมีจึงตรัส "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" เพราะอยู่ก็สบาย "กินได้ นอนหลับ" ถึงตายมิเพียงสบาย แต่ยังสามารถเลือกที่เกิดได้อีก เชื่อหรือไม่