ศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ และวิทยาการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ก้าวล้ำอย่างยิ่ง จนทำให้ความหวังของคนทั้งหลายทั้งปวง ที่อยากจะมีหนทางในการรักษาโรคทุกชนิด มีความเป็นไปได้ยิ่ง
แต่ก็เช่นกัน ปฏิเสธความจริงที่ปรากฎไม่ได้เลยว่า ทุกปี มีคนเป็นโรค และเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย ไม่ต้องมาก แค่โรคชั้นนำ ๕ โรค ที่เป็นกันมากและตายกันมาก ก็ย่อมต้องสะท้อนความจริงบางอย่างให้เห็นเช่นกันว่า ยังไม่มีวิทยาการใดๆที่จะสามารถแม้นแต่ทำให้อัตราการตาย และการเป็นโรค ลดน้อยถอยลงได้เลย
ย้อนกลับมาดูศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อที่จะให้ดำรงอยู่นั้น มิเพียงตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ศาสตร์นี้ช่วยให้คนทั้งหลาย มีเปอร์เซ็นต์ในการฟื้นฟูตน จนหายโรคได้ แลคนเหล่านั้นก็ยังมีตัวมีตน ปรากฎให้เห็นเป็นพยานชัด
๔ หากแต่เมื่อเจอกับพฤติกรรมของคนไทย ทำให้เราสงสัยว่า กรรมอะไรเล่าบังตา บังจิต บังใจ ถึงปานนี้ ศาสตร์ดีๆเช่นนี้ ไม่ช่วยกันทำ ไม่ช่วยกันรักษา มิใช่เพียงแค่ประโยชน์ตน แต่สำหรับคนที่เรารักก็พึ่งได้ คนทั้งหลายทั้งปวงก็พึ่งได้ มีผลสำเร็จ ดั่งคำโบราณ "ช่วยคน ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น" อย่าว่าแต่คนที่ไม่รู้ไม่เห็น แม้นแต่คนที่มาพึ่งเอง คนส่วนใหญ่ก็วางเฉย ไม่รู้ ไม่สน ฉันมาเอาอย่างเดียว
มือน้อยๆ คนละมือ ช่วยกันทำ ก็ไม่เป็นภาระของใคร ช่วยกันทำ ช่วยกันใช้ ช่วยกันรอด แต่เมื่อคนส่วนใหญ่วางเฉย ให้คนส่วนน้อยทำ มิต้องมาก แค่ยามะนาว ยิ่งตอนนี้ฝนสลับอากาศร้อนเย็น อาการไอถามหา คนขอกันมากมาย แต่หาคนมาช่วยกันคั้น มาช่วยกันผ่า เลือดตาแทบกระเด็น กองไว้ไม่มีใครแล กลายเป็นคนที่ทำยาต้ม ยาอื่นๆ ต้องมาช่วยกันทำอีก เห็นแล้วน่าเศร้าใจ
แลก็เห็นข่าวทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อมีใครบางคนแค่ทำความดี วิ่งเพื่อหาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ คนไทยแห่แหนไปสนับสนุน ไปวิ่งด้วย นับหมื่นนับแสนในพื้นที่ แม้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นสิ่งดี แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นจะช่วยชีวิตใครได้มากน้อยสักเพียงใด ผลจักเกิดสักเท่าใด แต่สมุนไพรทำปุ๊บ คนทุกข์รับไปทาน หายไข้ หายปวด ไปจนหายโรคได้ อย่างน้อยก็เป็นร้อยเป็นพันคน เห็นตำตา แต่ไม่มีคนอยากทำ
บทสรุป คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนมาให้พิจารณาว่า คนทั้งหลายทั้งปวง เขาชอบอ่านประวัติศาสตร์ แล้วก็พูดดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ จะมีสักกี่คนเล่า ที่ทำตัวเป็นประวัติศาสตร์ แม้นแต่ห้องน้ำ เออน่ะห้องน้ำที่นี่ สะอาดดี น่าใช้ มีคนกล่าวมากมาย ชื่นชมมากมาย แต่จะมีใครแบกหิน แบกทราย ลงแรง อาบเหงื่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งห้องน้ำ นี่แหละ คนที่เป็นผู้ให้ ย่อมมีค่าเหนือผู้รับ คนที่ทำตนเป็นผู้ให้ได้ ให้สุขแก่ผู้อื่น จึงสมควรหายโรค หายทุกข์ที่ตนมี
๘ พูดกันมาสามทศวรรษ ก็แล้วแต่ใครฟัง เลือกแล้วทำ จะเป็นเวสสันดร หรือจะเป็นชูชก วันที่ผลแห่งการกระทำปรากฎ ทำไมคนนั้นหาย ทำไมฉันไม่หาย ก็ได้แต่บอกว่า สถานที่นี้ ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่ว่าจะบรมครูแม่ชีเมี้ยน พระพุทธ หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านอาสิ มีแต่คำสอน ที่ฟังแล้ว ไปพิจารณา ทำเพื่อช่วยตน ใครทำ ใครได้ ผลหายไม่หายจึงรู้แก่ใจตน ตั้งแต่วันแรกแล้ว
นี่แค่เสี้ยวของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หายโรคน่ะกระจอก แม้นจะเป็นปัญหาที่โลกแก้ไม่ตก ศาสตร์อันนี้ ยังสอนเลยไปถึงการป้องกัน การทำให้ไม่มีโรคได้อีกต่างหาก ศาสตร์อันนี้ คนไทยไม่อยากเรียน ไม่อยากไปวัดของแม่ชีเมี้ยน แต่อยากหายโรค อยากไม่มีโรค ... ก็คงได้แต่อยาก ไม่มีทางเป็นจริง
เราจึงนึกถึงคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราว่า "อย่าดีแต่พูด ต้องทำให้ได้ด้วย ผลจึงเกิด" คนทั้งโลกเขาก็รู้ทั้งหมดทั้งสิ้น "ทำดี ได้ดี" แต่ใครหล่ะที่ทำได้ ผลผิดในวันนี้ กรรมชั่วบันดาลให้เกิดโรค เป็นทุกข์แล้ว แค่รู้ แค่พูด มันช่วยตนไม่ได้ จะเอ่ยอ้างว่าตนดีสักฉันใด ผลอันนี้มันก็ประจานอยู่ ว่า นั่นคือความคิด ว่าสิ่งที่ทำมันดี แต่ความจริงที่ทำ มันตรงข้าม
พระภูมีทุกพระองค์ ทำตนจนพ้นโลก พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย และสอนสาวกที่เชื่อ แล้วทำตาม ให้ผลแบบเดียวกัน เป็นประจักษ์พยาน ผลที่ได้คือ สุข น่าสงสัย คนไทยบอกอยากมีสุข ศาสนาก็ชี้ช่อง แต่คนไทยเอามือซุกหีบ ไม่ทำ ... ไม่เรียกกรรม เรียกอะไร ฤาจะรอเครื่องมือแพทย์มาช่วยตน ครั้นพอใกล้จะตาย ก็ร้องหาศาสนา ช่วยด้วย ๆๆๆๆๆๆๆ เขาก็ย้อนกลับมาว่า ตอนที่ยังมีแรง มีกำลัง ทำไมจึงวางเฉย ไม่ทำสุขให้ผู้อื่น จะได้มีผลย้อนมาช่วยตน แล้วจะร้องทำไมเล่า ให้ผู้อื่นช่วย
วิทยาการของโลก แค่รักษาโรค ก็มองไม่เห็นทางแล้ว จะให้ทำไม่เกิดโรค ... ตายอีกกี่ชาติ เกิดใหม่มาก็ยิ่งไม่มีทางทำได้ ดันเชื่อ .... แต่ศาสนาทำได้ กลับวางเฉย ไม่ทำซะงั้น ... การพานพบศาสนา ก็สูญเปล่า แลพรหมลิขิตดีสักเพียงไหน เชื่อหรือว่า ชาติหน้า ชาติไหนจะได้เวียนมาพบศาสนาดีๆที่แม่ชีเมี้ยนนำมานี้อีก ด้วยพฤติกรรมในวันนี้ คงยากแล้ว