หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นความต้องการของศาสนาพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาอย่างชัดแจ้งว่า คือ "สร้างนิสัย" อันเป็นนิสัยของพระภูมี ให้บังเกิดแก่ตน เพื่อเป็นที่พึ่งแห่งตนในภายภาคหน้า
ด้วยนิสัยสามารถติดวิญญาณ เป็นสมบัติประการเดียวที่ติดวิญญาณไปได้ทุกภพทุกชาติ
การมามูลนิธิไทยกรุณา นั่นคือ การสร้างคุณสมบัตินี้ ให้เกิดแก่ตน ให้จงได้ จึงจะเป็นเครื่องการันตี ชีวิตในภายภาคหน้า ย่อมอยู่ดีมีสุข ปลอดทั้งโรค ไร้ทั้งภัย มาแผ่วพานชีวิต ไม่เฉพาะชาตินี้ แต่ถึงภพหน้าทุกชาติไป
เมื่อคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจ ไม่ย่อมพิจารณา เจตนา เนื้อหาของศาสนา ที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามสอน สร้างให้ทำ ให้เกิดแก่ตน ด้วยติดอยู่สุขเฉพาะหน้า คือ หายโรค จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะไม่เห็นค่าของศาสนาที่มีแก่ตนที่แท้จริง ทำให้พฤติกรรมยังไม่ถูกกับร่องกับรอยศาสนาที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น คำถามในวันนี้ พฤติกรรมในวันนี้ ที่มายังมูลนิธิ จึงเสมือนเส้นบางๆ ระหว่าง ความอยากกับนิสัย
การมาเพื่อหายโรค จึงมาตามความอยาก อยากมาก็มา อยากหยุดก็หยุด หาความมาตรฐาน เพื่อให้เกิดนิสัยไม่ได้เลย เห็นชัดว่า เมื่อใดที่อาการของตนดี หรือหาย ตามที่ตนพอใจ การมาหรือไม่มาก็ไม่สำคัญสำหรับตนแล้ว บางคนอาจจะหายไปเลย จะเห็นอีกที มาประจำอีกที ก็เมื่ออาการหวน หรือมีโรคใหม่ เช่นที่ท่านอาสิกล่าวนั่นเอง
หากผู้ใดพิจารณาเหตุผลของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเปลี่ยนความคิด ความเห็นของตน ในการมาอย่างสิ้นเชิง ลืมเรื่องโรค ที่ท่านอาสิสอนว่าเป็นบริวารกรรม มาเพื่อโค่นตัวแม่ คือ นิสัยกรรม แล้วสร้างนิสัยธรรมให้เกิดแก่ตนให้จงได้ เพื่อเป็นที่พึ่งแห่งตนในภายภาคหน้า ส่วนหายโรคนั้น ได้เป็นของแถม
การมาเป็นนิสัย เสมือนชีวิตบางคน ตื่นมาต้องดื่มกาแฟ ตื่นมาต้องทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเร่ง จะรีบ สักฉันใด ก็ไม่เคยขาด นั่นแลนิสัย คนที่มาเป็นนิสัย จึงมาด้วยเหตุผล ว่าเรามีเวลาในการสร้างนิสัยนี้แค่สัปดาห์ละครั้ง จึงต้องเน้น จึงต้องให้ความสำคัญไม่มีอะไรที่จะทำให้ไม่มา เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิตนั่นเอง การมาทำนิสัย คือมาทำเพื่อชีวิต มิเพียงหายโรคในชาตินี้ แต่เพื่อสร้างสุขไปยังทุกภพทุกชาติ ตามติดวิญญาณไปด้วยนั่นเอง
แลเมื่อมาด้วยเหตุและผล พฤติกรรมก็จะเดินตามครรลองคลองธรรม รู้ว่าทุกวินาทีมีค่า อยากที่จะสร้างสุขให้ผู้อื่น เพราะนั่นคือพรหมลิขิตที่สุขของตนในภายภาคหน้านั่นเอง ทำอะไรก็ได้ เท่าที่ตนจะพอทำได้
ท่านอาสิชี้ให้เห็นชัด บุญ ต้องทำถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ดังนั้น เริ่มใหม่ๆ อาจจะไม่พร้อม ไม่ครบ ก็ไม่เป็นไร เสมือนต้นไม้ เพิ่งงอก ก็ต้องรอเวลาเติบโต สักวันก็ต้องออกดอก ออกผล นั่นคือ สามารถรู้และทำ ให้เกิดเป็นบุญ ช่วยตนได้ นั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า มาตามความอยาก ตามอารมณ์ อยากเก่งก็ได้หายโรค น่าเสียดายไม่เจอ ไม่ได้ของดี นั่นคือ พรหมลิขิตที่ดี ที่ตนมีโอกาสเขียนด้วยตนเอง ถึงรอดวันนี้ได้ ไม่ช้าก็เจอพายุอีก ยากจะรอดตลอดรอดฝั่ง ที่สำคัญ ชีวิตผูกติดกับสมุนไพร ขาดเมื่อไหร่ ชีวิตก็มีปัญหาเมื่อนั้น หากแต่มาเพื่อทำนิสัย เมื่อทำเป็น สมุนไพรเป็นพี่เลี้ยง ครั้นยืนได้เองเมื่อใดอีกครั้ง ทีนี้ ชีวิตมั่นคงแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องพึ่งสมุนไพรอีกต่อไป พึ่งการกระทำด้วยนิสัยของพระภูมีที่ตนมีนั่นแล ช่วยตนได้ ตามหลัก "ตนพึ่งตน"
ถ้ามองว่า โรคคือโรค ก็มักจะมาตามความอยาก ไม่เน้น ไม่ให้ความสำคัญ ถ้ามองว่า โรคคือกรรม การมาจึงมีความหมายแก่ตน นั่นคือ นิสัย ที่ไม่มีอะไรจะมาสำคัญกว่า จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้ความสำคัญ ไม่เคยหยุดกิจกรรมนี้เลย ไม่ว่าจะวันหยุด นักขัตฤกษ์ใดๆ ด้วยนิสัยจะเกิดขึ้น อย่างที่ท่านอาสิชี้ ต้องทำซ้ำๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จนซึมซับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำโดยอัตโนมัติ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรสำคัญกว่า เพราะนี่คือเรื่องของชีวิต เรื่องของวิญญาณ ที่เราท่านต้องรับผิดชอบ
วันหยุดยาว จึงเสมือนข้อสอบของคนป่วยที่มาในแผ่นดินนี้ ... ใครสอบตก สอบผ่าน ก็รู้แก่ตน ผลสอบก็บอกแก่ตนเองว่า ตนนั้นจะหายโรคหรือไม่