การรักษาตนเองด้วยวิธีสมุนไพร ต้องใช้เวลานาน เรียกว่าหนังยาว
แลต้องใช้สติปัญญาแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้า คือ เรื่องทาน ซึ่งอาจจะเกิดการทานไม่ได้ชั่วขณะ เมื่ออาการของโรคประทุ หรือ มีเชื้อลงกระเพาะ ทำให้ทานก็ไม่ได้ แถมยังถ่ายบ่อยอีกต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์ ให้สติว่า ถึงแม้เราจะมีสมุนไพรดี แต่ก็ไม่ใช่เป็นทิฐิมานะ จนกระทั่งปฏิเสธการแพทย์แผนปัจจุบัน ไปเสียทั้งหมด เพราะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แพทย์แผนปัจจุบัน นั้น ให้ผลเร็ว ทำให้คนไข้ไม่เกิดการทรุดหรืออ่อนล้าจนเกินไป
ดังนั้น หลายต่อหลายครั้ง เมื่อคนไข้มีเชื้อลงกระเพาะ นั่นหมายถึง ยิ่งทานน้ำ ยิ่งถ่ายมาก หากมีเฉพาะอาการถ่าย ก็ให้คนไข้นอนพักนิ่งๆ หยุดน้ำให้มากที่สุด รอจนกระหายจริงๆ ก็จิบน้ำอุ่น รอจนเชื้อหมดฤทธิ์ อาการถ่ายก็จะหายไปเอง
หากอาการถ่ายเกิดขึ้นยาวนาน แลคนไข้ค่อนข้างมีอายุ ผลที่ตามมาจากเชื้อนี้ มักไม่ถ่ายเพียงอย่างเดียว จะมีอาการทานไม่ได้ ทานแล้วอาเจียนผสมโรงตามมาด้วย นั่นคือ โรคกำลังปิดประตูที่ให้กำลังแก่ร่างกายในการต่อสู้ คือ การกิน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้คนไข้ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกว่า ที่ไปหาหมอ เพราะอาการปัจจุบันทันด่วนนี้ ทำให้ร่างกายถูกรุมกินโต๊ะ ทั้งจากอาการโรค และอาการขาดอาหาร
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้คนไข้แก้ปัญหาเรื่องการกินก่อน โดยใช้การให้น้ำเกลือ โดยแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งมีผลดีหลายประการ คือ จะได้กำลังกลับคืน และไม่มีน้ำเข้าไปในกระเพาะทำให้เชื้อที่มีอยู่ ก่อให้เกิดอาการถ่าย คนไข้ก็จะไม่โทรม เพราะสู้ศึกด้านเดียว คือรอให้ร่างกายเคลียร์เชื้อจากกระเพาะจนหมด
หลังจากเริ่มมีกำลัง และเชื้ออ่อนตัวลง นั่นหมายความว่า คนป่วยจะเริ่มกลับมาทานอาหารได้ดั่งเดิม เริ่มจากอาหารอ่อนที่ร้อนๆ แล้งจึงทานสมุนไพรต่อ
ในขณะให้น้ำเกลือ ก็ลดสมุนไพรเป็นทานยาเขียวเพียงอย่างเดียวไปก่อน เพื่อไล่เชื้อ
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเตือนบ่อยๆ นั่นคือ หลังจากเริ่มทานได้ ต้องรีบออกจากโรงพยาบาล มิฉะนั้น หมอจะจับนอนยาวเลย เพราะเหตุที่ผลตรวจค่าต่างๆ ในเลือดของคนทานสมุนไพรมักมีค่าสูงเกินเกณฑ์เป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่า น้ำตาล ไขมัน ...
อย่าลังเล และรอ หรือปฏิเสธแพทย์แผนปัจจุบันไปเสียทั้งหมด นี่แหละคุณของแผนปัจจุบัน มีไว้สำหรับอุบัติเหตุ คือเหตุเฉพาะหน้า เช่นนี้
การผสมผสานระหว่างสมุนไพร ใช้ในการฟื้นฟูตน ส่วนแพทย์แผนปัจจุบัน ใช้แก้ไขอาการปัจจุบันทันด่วน ที่หลวงพ่อมักเรียกว่าอุบัติเหตุ เช่น ทานไม่ได้ มีเสลดพันคอ ...
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า หากกรรมเขาปิดประตูกิน นั่นคือการปิดประตูตีแมวแล้ว ต้องรีบแก้ไขให้กลับมาทานได้อย่างด่วนที่สุด
ส่วนอาการของโรค มักจะเป็นหนังยาว ไม่จบกันในวันสองวันนี้หรอก
ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้เห็นว่า การรักษาตน นั่นคือการชิงไหวชิงพริบ ระหว่างเรากับกรรม
ดังนั้นจึงต้องรู้เขารู้เรา รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นตัวทำให้ตายได้ และจะแก้ไขโดยวิธีใด
อันหมายความว่า กรรม มีวันเวลา เมื่อถึงเวลาต้องสิ้นสุด
เมื่อกรรมมาทำให้เราทานไม่ได้ ก็มีวันเวลากำหนดที่เชื้อจะคงอยู่ ห้าวันสิบวัน หากเราไม่รู้เท่าทัน ผลต่อเนื่องก็จะเกิดอาศัยการขาดอาหารเป็นเหตุ แต่เมื่อเรารู้เท่าทัน ใช้น้ำเกลือแทน
เมื่อเวลามาถึง เชื้อก็ต้องหมดฤทธิ์ ร่างกายเราก็จะกลับมาเหมือนเดิม และไม่ทรุดจากการทานไม่ได้นี้ นี่แหละจึงเรียกว่าต้องชิงไหวชิงพริบกัน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้ฟังว่าเคล็ดในการรักษา มีง่ายๆ ด้วยเหตุและผลจากความรู้ของพระพุทธเจ้านั่นคือ เมื่อกรรมมาต้องยอมรับ หากแต่กรรมเมื่อใช้มีวันหมด ดังนั้น จึงอาศัยนี้เป็นเคล็ดว่า "ทำอย่างไรก็ได้ ให้เรายืนหยัดอยู่ได้ จนหมดเวลาแล้วเราก็จะชนะเอง"
การทานสมุนไพรก็คือการเตรียมร่างกาย และภูมิ เพื่อให้ยืนหยัดอยู่ได้ รอจนหมดกรรม โรคก็จะหมดฤทธิ์ "โรคตาย แต่เราไม่ตาย" นี่แหละเขาเรียกหายโรค
สิ่งที่เรียกกรรมพันธุ์ อันความหมาย จึงหมายถึง โรคที่ทำให้เราตาย ที่ซึ่งปกติทั่วไป "โรคแก่แล้วตาย" นั่นหมายถึงเราก็ตายด้วย
หลักพระภูมี ใช้เหตุและผล ไม่ใช่หยิ่ง ถือว่าสมุนไพรดี แล้วไม่สนใครอื่น ไม่เอา ไม่ใช้
ถูกผิด เขาวัดกันที่ผล .... จึงเป็นคำกล่าวที่พระภูมีทรงตรัสว่า "รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดคน"