เพื่อให้เห็นภาพลักษณะการทำงาน หรือรูปแบบกลวิธีในการรักษา ให้เห็นเด่นชัด หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเปรียบเทียบ อาการที่ปรากฎ ดังเช่นควัน และสิ่งที่เป็น เหมือนดังไฟ
เหตุที่มั่นใจว่า ทำไม วิธีต่างๆ ในโลกนี้ที่ใช้อยู่ไม่สามารถรักษาโรคได้ ก็ด้วยเหตุที่ว่า วิธีเหล่านั้นไม่สามารถเข้าถึงไฟได้ จึงใช้วิธีดูดควันแทน นั่นคือ ทำให้อาการมันหายไป
ผลก็คือ เมื่อไฟยังอยู่ ก็ต้องมีควันอีก เพราะมันยังไม่ถูกดับลง ที่ซ้ำร้าย ไฟจะยิ่งลุกลามไปมากยิ่งขึ้น นั่นคือ โรคที่เป็นจะเพิ่มขึ้นนั่้นเอง
แต่ความชาญฉลาด และการสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้คนเหล่านั้น สร้างวิชาการ เพื่อกลบเกลื่อน นั่นคือ ให้ดูว่าดีและปลอดภัย เมื่อไม่เห็นควัน ด้วยการกำหนดค่าของควัน ว่าต้องเป็นเท่านั้น เท่านี้ เราท่านจึงเห็น เกณฑ์ต่างๆ มากมาย ความดันต้องเท่านั้น น้ำตาลต้องเท่านี้ ไขมัน ค่านั้นค่านี้ มีเกณฑ์ไปหมด... สิ่งเหล่านั้นคือ ล้วนเป็นเกณฑ์ที่กำหนดจากความสามารถที่เขาทำให้ควันจางลงได้นั่นเอง
ในขณะที่วิธีของพระภูมี อันเป็นการใช้สมุนไพร ที่ต่างจากสูตรของที่ขายกันกลาดเกลือน ไม่ว่า ยาผีบอก พระบอก ตำราบอก ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จะมีคุณสมบัติที่โดดเด่น คือ ไม่สนควัน แต่จะมุ่งไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นั่นคือ การดับไฟ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อาทิเช่น คนเป็นโรคเบาหวาน เมื่อต้องการดูดควัน ทานยาเคมีเข้าไป ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะเข้าเกณฑ์ ที่บอกว่าปลอดภัย คนทานก็ยินดี และวางใจ แต่ไฟ ต้นเหตุคือตับอ่อน ที่กำลังหมดความสามารถในการสร้างอินซูลิน เพื่อกำจัดน้ำตาลส่วนเกิน ไม่มีใครสนใจ
จนท้ายที่สุด น้ำตาลที่ถูกกดลงไป ก็ไปแอบที่อวัยวะต่างๆ ก่อให้เป็นโรค หรือไฟกองใหม่ขึ้น ไม่สิ้นสุด
หากแต่สมุนไพรที่มุ่งดับไฟ ภาพที่ปรากฎ ก็คือ ยิ่งไฟใกล้ดับ ควันก็ยิ่งเยอะ นั่นคือ ปรากฎการณ์ของการลงแดง
ในกรณีของเบาหวาน น้ำตาลในเลือดที่เป็นควันพุ่งสูงปริ๊ด แต่ควัน ก็แค่ภาพลวงตา คือ ไม่สามารถทำลายบ้านได้ ไฟต่างหากที่น่ากลัว ต้องถูกเตือนให้รู้ว่า ร่างกายขาดอินซูลิน ต้องรีบซ่อมตับอ่อน ให้กลับมาผลิตอินซูลิน เพื่อดับไฟนี้อย่างเร่งด่วน
เมื่อไฟถูกดับ ควันที่มีอยู่แม้จะมากมายเพียงใด ก็จะค่อยๆ ลดลง แล้วหายไปในที่สุด
ภาพการลงแดง จึงบอกเหตุถึงประตูสวรรค์เปิดแล้วนั่นเอง เพราะเมื่อใดมันลดลง นั่นคือ ไฟได้ถูกดับแล้ว อันหมายถึงหลักชัย คือประตูสวรรค์ รออยู่อย่างแน่นอน คือ การหายโรค
ด้วยเหตุและผลอันนี้ จะเห็นว่า สมุนไพร ไม่ได้ช่วยให้อาการหายไป แต่อาจจะทำให้อาการดูเหมือนรุนแรงขึ้นอีกต่างหาก ยามลงแดง แต่สิ่งที่สมุนไพรทำ คือ การฟื้นฟูอวัยวะให้กลับมาทำงานเป็นปกติ และสร้างเสริมภูมิให้ร่างกายทนต่อควันที่มากมายอันนั้นได้
จึงเป็นเหตุที่บอกว่า สมุนไพรไม่ได้รักษาโรค ตัวของตัวเราเองที่รักษาโรค โดยได้สมุนไพรเป็นตัวช่วยให้มีความสามารถนั้น เหมือนยามปกติ
หลายคนที่มักถามวิทยากร ท่าน อ.อร่าม จึงมักกล่าวว่า สมุนไพรไม่ได้รักษาโรคใดๆ เลย เป็นคำตอบที่ตอบกลับมา ด้วยเหตุนี้เอง
หลายท่านที่คาดหวัง หลังจากได้ยินได้ฟังว่าสมุนไพรช่วยให้หายโรคได้ แล้วไม่ได้ศึกษารายละเอียด จึงนึกฝันเองว่า เมื่อทานสมุนไพรแล้ว ต้องไม่มีควัน ดังเช่นเมื่อปวดแล้วทานยาแก้ปวด
เมื่อมาทานสมุนไพรจริงๆ ก็ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับควัน ไม่เรียนรู้เหตุและผล จนเมื่อร่างกายพร้อมรับศึก ควันก็เริ่มหนาขึ้น ก็หวนกลับไป ทิ้งสมุนไพร ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
ความสามารถของสมุนไพรสูตรพระภูมี อันเห็นได้ชัด นั่นคือ ทำอย่างไรร่างกายจึงสามารถนำสารที่เป็นประโยชน์ จากสมุนไพรและอาหาร ไปใช้ได้นั่นเอง นี่แหละจึงต้องอาศัยพหูสูตรของพระภูมี
หลายคนรู้ว่า พริกไทย กระเทียม ไพล .... มีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะใช้ได้โดยวิธีใด
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงยก "ไพล" ให้เห็นเป็นตัวอย่าง สารในไพลเป็นสารที่ร่างกายต้องการ แต่การทานไพลโดยตรง ร่างกายจะไม่รับ และถ่ายออกหมด
คนทั่วไปจึงทำได้แค่ใช้ไพล ในการทำเป็นลูกประคบเท่านั้นเอง
การเลือกแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงต้องสร้างความขันติ อดทน ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์สร้างให้โดยทางอ้อม นั่นคือ กิจกรรมการสวดมนต์ และฟังคำสอนนั่นเอง
หากเราท่านสามารถรักษา สมาธิ กรรมฐาน ในห้องสวดมนต์ได้ตลอด ก็จะเป็นพื้นฐาน ที่ใช้ในการต่อสู้กับควันได้ อย่างมีสตินั่นเอง