นั่นคือ สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเสมอในการสอนว่า ด้วยความรู้ของมนุษย์ ในไม่ช้าก็จะถึงทางตัน นั้นเอง
เหตุที่ถึงทางตัน ไม่ใช่มนุษย์ไม่รู้ที่มาที่ไป หากแต่รู้แล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไร หรือ เข้าถึงได้นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบาย ว่า นักวิทยาศาสตร์ มีความสามารถในการค้นคว้าหาสาเหตุ ว่าอะไรเป็นแหล่งต้นตอ ของการเกิดโรค ได้ อย่างไม่ยากเย็น
และสิ่งที่ค้นพบ ก็พบมานาน แต่ทำอะไรไม่ได้ นั่นคือ ต้นกำเนิดหรือแหล่งที่ทำให้แต่ละคนเกิดโรค คือ "สมอง" นั่นเอง
เมื่อสมองสั่ง ร่างกายจะทำงาน ดังนั้น เมื่อโรคเกิดจากการทำงานของร่างกายที่ผิดปกติ นั่นคือ สมองมันสั่งให้เป็นเช่นนั้น
แต่ด้วยความจำกัดของวิทยาการในศาสตร์ของมนุษย์ "สมองเป็นดินแดนลี้ลับ"
อันหมายความว่า ด้วยวิทยาการที่มี ไม่สามารถเข้าถึงความซับซ้อนของสมองได้นั่นเอง
มนุษย์ จึงต้องอาศัยการแก้ที่ปลายเหตุ ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า อุปมากับการดูดควันนั่นเอง
ผลก็คือ สิ่งที่ช่วยได้ คือ บรรเทาหรือลดอาการที่ปรากฎ หากแต่ไม่สามารถแก้โรคได้นั่นเอง
หากแต่ด้วยภูมิปัญญาของพระภูมี ผู้ซึ่งรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล นั่นคือ ธรรมชาติ รวมถึงธรรมชาติของมนุษย์ สรุปมาเป็นข้อความสั้นๆ ประโยคเดียว "มนุษย์เป็นไปตามกรรม"
หลวงพ่อนิพนธ์ได้ขยายความให้ฟังว่า นั่นหมายถึง กรรม เป็นต้นอำนาจ ที่ใช้สั่งสมองของเราท่าน ให้ทำไปตามกรรมที่ทำมานั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนจึงมักตรัสสอนสงฆ์ ให้ระวังตนให้ดี จำไว้น่ะ "กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์"
การแก้โรค จึงกลายเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ทำอย่างไรก็แก้ไม่หมด จับโน่นโผล่นี่
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า การใช้สมุนไพรเพียงลำพัง จึงไม่เพียงพอ เพราะจะเข้าทำนอง "หนีเสือปะจรเข้"
ตัวอย่างที่ยกมาให้ฟังเสมอ ก็ดังเช่น ท่านจันทร์ ที่มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ในขณะที่สถานะเป็นพระ อันเหตุที่ต้องไปบวชคือ การติดเชื้อเอดส์ มาจากการไปเป็นลูกเรือจับปลา จนทำอะไรไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ให้ท่านจันทร์ ให้สัจจะ เมื่อหายจะทำตนเป็นคนดี ทำตนเป็นประโยชน์ ช่วยคนที่มาทีหลังต่อไป สักระยะเวลาหนึ่ง
ท่านจันทร์ตอบตกลง และได้มาพักอาศัยที่วัดของหลวงพ่อนิพนธ์เลย เพื่อรักษาตน
เวลาผ่านไปไม่นาน ท่านจันทร์ จากที่ร่อแร่ใกล้ตาย กลับมาแข็งแรง สามารถไปเดินธุดงค์กับคณะได้ การธุดงค์ผ่านไประยะหนึ่ง ท่านจันทร์ก็มั่นใจว่าตนหายดี แข็งแรง ดังเดิม ก็เบี้ยวกลางธุดงค์ หนีกลับ
ผ่านไปครึ่งปี แม่ของท่านจันทร์ ได้มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วแจ้งว่า ท่านจันทร์ ป่วยเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง และเสียชีวิต
หมอวินิจฉัยว่า ตรวจไม่พบเชื้อเอดส์ และแจ้งสาเหตุการตาย ด้วยน้ำท่วมปอด
สิ่งที่เราท่าน กำลังเผชิญ นั่นคือ กรรม อันอุปมาเหมือนน้ำที่เปิดจากก๊อกใส่แก้ว การรักษาก็อุปมาเหมือนนำน้ำในแก้วออก ไม่ว่าจะนำน้ำออกจนหมดหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่น้ำจากก๊อก คือ เราท่านยังทำกรรมเพิ่มอยู่ มันก็ไหลลงมาในแก้วไม่รู้จักหมดจักสิ้น จะช้าเร็วมันก็ต้องล้น คือ หนีตายไม่พ้น
วิธีการที่พระภูมีทรงตรัสรู้ เพื่อทะลุทางตัน ก็คือ หยุดกรรมที่จะทำใหม่นั้นเสีย นั่นคือ การเอาธรรมของท่านมาใช้เป็นเครื่องมือบังคับพฤติกรรมของเราท่านนั่นเอง
เมื่อหยุดกรรมใหม่ได้ กรรมเก่าในแก้ว ค่อยๆ ใช้ น้ำก็จะค่อยๆ ถูกดูดออก ช้าเร็วตามความสามารถ แต่ท้ายที่สุดมันก็ต้องหมด
สิ่งที่น่าเสียดายที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนคือ มนุษย์ให้ลำดับความสำคัญ แก่สิ่งที่มีผลต่อชีวิตผิด เรื่องง่ายจึงกลายเป็นเรื่องยาก
ธรรมของพระภูมี ผู้ใดทำเต็มที่ มีผลถึงนิพพาน
หากพูดกันถึงเรื่องหายโรค เป็นความหวังที่แทบจะไม่ต้องพูดเลย เป็นเรื่องกระจอกมาก ถือได้ว่าเป็นแค่เรื่องติดปลายนวม หรือของแถมเท่านั้นเอง สำหรับพระภูมี
ในยุคถ้ำกระบอก แม่ชีเมี้ยนจึงให้พระสอนญาติโยม ที่มากันเรือนหมื่นเรือนแสน เน้นที่การนำธรรมคำสอนของพระภูมีไปปฏิบัติ รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้สอดคล้องกับธรรมคำสอน ส่วนเรื่องโรค ไม่ต้องพูดถึง หรือกังวลเลย
ก็ด้วยเหตุที่ธรรมของพระภูมี มีอำนาจเหนือกรรม เมื่อปฏิบัติได้ ก็เท่ากับ ปิดก๊อกน้ำ หรือ หรี่น้ำจนเหลือน้อยแล้ว งานที่เหลือ ก็เพียงหน้าเดียว คือการเอาน้ำในแก้วออก อันเป็นหน้าที่สมุนไพร
ก็แค่รอเวลา น้ำในแก้วลดและหมดไป ซึ่งจะเห็นว่า ไม่มีทางที่น้ำจะล้นแก้วเด็ดขาด เพราะน้ำที่ลดมันเร็วกว่าน้ำที่เติมนั่นเอง
ด้วยเหตุผลอันนี้ หากอุปมาน้ำเต็มหรือล้นแก้วแล้วต้องตาย พระจึงมั่นใจว่า หากไม่ใช่พรหมลิขิตถึงที่ตายแล้ว คนที่ปฏิบัติและทำ จะไม่มีทางที่จะตายด้วยการปฏิบัติดังเช่นที่แม่ชีเมี้ยนสอนได้เลย
และหากยืนระยะได้ ช้าเร็ว น้ำก็ต้องหมด โรคก็ต้องหายอย่างแน่นอน
สิ่งที่ดีกว่านั้น ที่ว่างในแก้ว ไม่ใช่สำหรับน้ำอีกแล้ว แต่เป็นบุญที่ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตแทน
นี่จึงเป็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา ทำไมจึงต้องมีพระพุทธเจ้า ก็เพื่อเป็นต้นอำนาจ ให้เราท่านได้รับคำสอนมาปฏิบัติ ชี้ให้เห็น "กรรม" และกำหนดพฤติกรรมอันเป็นบุญ ให้เราท่านปฏิบัติ เพื่อหยุดกรรมนั้นๆ นั่นเอง
โลกที่วิกฤตทุกวันนี้ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ไม่ต้องสงสัยเลย ก็เพราะมนุษย์มันห่างศาสนามาไกล จนไม่กลัวการทำกรรม ผลที่สะท้อนกลับมา กรรมรวมของมนุษย์จึงย้อนกลับมาทำลายมนุษย์เอง จึงต้องมีพระพุทธเจ้าเพื่อมาดับทุกข์เข็ญ นั่นเอง
อยากเห็นอำนาจกรรม ลองพิจารณาสิ่งที่ท่านเป็น ดูว่า ...
ตัวท่านก็ยังเป็นท่าน นาทีนี้เป็นสุข นั่นคือ กรรมดีมันสั่ง แต่อีกนาทีถัดมา กรรมชั่วมันสั่ง ปวดหัวจนแทบจะระเบิด นอนดิ้นไปดิ้นมา ทำอย่างไรก็ไม่หาย พอหมดครบเวลาใช้กรรมปุ๊บ ก็หายขึ้นมาเฉยๆ ซะงั้น
นี่แหละ เพราะความรู้มนุษย์เข้าไม่ถึงกรรมจึงถึงทางตัน แค่ปวดท้องก็แก้ไม่ได้ กันไม่ได้ อย่างดีก็ทานยาแก้ปวด แก้ที่ปลายเหตุเท่านั้นเอง
กรรมมันแค่มาทรมานต่างหาก ไม่ได้มาฆ่าให้ตาย มันจึงหาย...
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้เห็นลำดับความสำคัญของการมาที่นี่ว่า ควรลำดับให้ถูก ที่นี่มีแม่ชีเมี้ยน มีพระพุทธเจ้า มีสมุนไพร
ควรมาหาแม่ชีเมี้ยน มารับและปฏิบัติธรรมของพระภูมี เพื่อสร้างบุญไว้เลี้ยงตน
ส่วนสมุนไพร และการหายโรค นั่นมันของแถม อันเป็นอุปมาเหมือนของรับขวัญที่พระภูมีทรงให้แก่สาวก เป็นสมบัติเบื้องต้นต่างหาก
เราท่านจึงถูกสอน ให้มุ่งหวังสมบัติอันสูงสุด รอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติ และได้เกิดในดินแดนนั้น และกล่าวเจตนาทุกครั้ง ในการทำกิจกรรม นั่นคือ ...
"ข้าพเจ้า ปรารถนา มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑"
หากจะมาแค่รับสมุนไพร .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ช่างน่าเสียดายยิ่ง มาถึงที่ กลับเข้าตำราโบราณ "มีตาหามีแววไม่"
แม่ชีเมี้ยน ชี้ให้เห็นขุมทรัพย์ของพระภูมีว่า "แหล่งรวมคนทุกข์ คือแหล่งบุญ"
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้สร้างแหล่งรวมคนทุกข์ไว้ให้แสวงบุญแล้ว แต่เราท่านมาถึง กลับเฉยเมย จะรับแต่สมุนไพร ไม่เอาบุญไปเลี้ยงตนเลย...
ท้ายที่สุดหลวงพ่อนิพนธ์ ก็กล่าวว่า เมื่อสุดทางของอำนาจสมุนไพร คนๆ นั้น ก็จะถึงทางตัน เฉกเช่นเดียวกับคนทั่วไป ที่ใช้ความรู้ของมนุษย์เช่นกัน ...
ต่อให้ทานมากสักเท่าไร ก็หาเป็นผลไม่ พระภูมีเรียกคนเหล่านี้ว่า "เป็นคนดิบ เกินกว่าที่จะทำให้เป็นคนดีได้" นั่นเอง
ทำได้เพียงอย่างเดียว คือ "อุเบกขา" อยากกินกินไป
การมาจึง เน้นกันที่ มาสร้างบุญ ตามคำสอนพระภูมี แล้วได้สมุนไพรแถมติดมือ กลับบ้าน ... นี่แหละจึงจะทะลุทางตันที่เจอะเจอได้ เพราะเราอยู่ได้ต้องอาศัยบุญเลี้ยง เป็นสำคัญ จึงจะปลอดภัย